ย้อนกลังไปยังวันที่ 18 พฤษภาคม 2559 ผศ.ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา อดีตผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิตที่เคยกำกับดูแลงาน “บริการวิชาการแก่สังคม” หรือ “งานวิชาการรับใช้สังคม” ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้รับเชิญเป็นวิทยากรในเวทีการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การบริหารจัดการอาสาสมัครนักศึกษาเพื่อการเรียนการสอนและการทำงานเพื่อสังคม” ขึ้นในระหว่างวันที่ 16 – 18 พฤษภาคม 2559 ณ ห้องปทุมวัน ชั้น 2 โรงแรมเอเชีย กรุงเทพฯ ซึ่งจัดโดยสถาบันคลังสมองของชาติ ร่วมกับเครือข่ายจิตอาสา (Volunteer Spirit Network) และองค์การหน่วยอาสาสมัครอังกฤษ (Voluntary Service Oversea : VSO)
ครั้งนี้ ผศ.ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา เดินทางไปในฐานะคณะกรรมการบริหารโครงการ “หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน” และโครงการ “วิจัย มมส เพื่อชุมชน” ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งทั้งสองโครงการคือส่วนหนึ่งในพันธกิจอันหลากหลายของมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่มีต่อการรับใช้สังคมบนฐานคิดหลักแห่งการ “เรียนรู้คู่บริการ” รวมถึงแนวคิดอื่นๆ ที่ยึดโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นต้นว่า
เวทีดังกล่าวเป็นการจัดอบรมรมในหลักสูตรที่มุ่งพัฒนาศักยภาพอาจารย์และบุคลากรในสังกัดสถาบันอุดมศึกษา เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการออกแบบกระบวนการสร้างอาสาสมัครและการสร้างกระบวนการเรียนรู้แก่นิสิตนักศึกษา อาจารย์และบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา เพื่อนำไปสู่การจัดการเรียนรู้เพื่อการรับใช้สังคมอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลผ่านงานด้าน “อาสาสมัคร” หรือ “จิตอาสา-จิตสาธารณะ” โดยมีสถาบันอุดมศึกษาเข้าร่วมการเรียนรู้จำนวน 15 สถาบัน
ผศ.ดร.ฉันทนา เวชโอสถศักดา ได้สะท้อนให้เห็นถึงระบบและกลไกการจัดการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรมโดยการบูรณาการ 3 มิติเข้าด้วยกัน (3 In 1) อันหมายถึงการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมในหลักสูตร หรือในวิชาชีพ (Curricular) กิจกรรมนอกหลักสูตร (Excurricular) และกิจกรรมอันเป็นพันธกิจของมหาวิทยาลัย (Mission) ซึ่งทำให้นิสิตเกิดทางเลือกของการเรียนรู้สู่การเป็น “อาสาสมัคร” อย่างหลากหลายและมีแรงบันดาลใจต่อการเรียนรู้คู่บริการโดยใช้ชุมชนเป็นห้องเรียนและเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริงทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและกลุ่มทีม ยกตัวอย่างเช่น
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงกรณีศึกษาอื่นๆ เช่น กระบวนการเรียนรู้เพื่อสร้างอาสาสมัครผ่านวิกฤตทางธรรมชาติ (อุทกภัย-วาตภัย) โดยขับเคลื่อนทั้งในระดับต้นน้ำ (ป้องกัน) กลางน้ำ (ท่ามกลางสถานการณ์) ปลายน้ำ (บัดบัดเยียวยา) ซึ่งชุมชนในบางพื้นที่หลังประสบภัยทางธรรมชาติแล้ว มหาวิทยาลัยกับชุมชนได้ผนึกกำลังยกระดับการเรียนรู้คู่บริการผ่านกิจกรรม “ค่ายอาสาพัฒนา” จากนั้นก็ยกระดับขึ้นสู่ “งานบริการวิชาการ”และพัฒนาเป็น “งานวิจัย” ในที่สุด ทั้งนี้ในหลายๆ กิจกรรมต่างล้วนบูรณาการบนฐาน “วัฒนธรรมชุมชน” เป็นหัวใจหลัก รวมถึงการเน้นระบบการทำงานแบบมีส่วนร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน และภาคีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้มากที่สุด
เช่นเดียวกับการสะท้อนถึงประเด็นการหนุนเสริม (เสริมพลัง) แก่นิสิตเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้เพื่อเป็นอาสาสมัครในมหาวิทยาลัยภายใต้แนวคิด “ความดีและคนดีไม่สมควรเดินทางอย่างเดียวดาย” โดยมีกระบวนการต่างๆ เข้ามาเกื้อหนุน เป็นต้นว่า
นี่คืออีกหนึ่งเวทีของความภาคภูมิใจของชาวมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ได้รับเกียรติเป็นกรณีศึกษาที่ว่าด้วยกระบวนการจัดการเรียนรู้สู่ความเป็นอาสาสมัครของนิสิต อาจารย์และบุคคลในครรลองของการศึกษาเพื่อรับใช้สังคมที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามตระหนักว่าการบ่มเพาะ “อาสาสมัคร –จิตอาสา-จิตสาธารณะ” จำต้องสร้างพื้นที่ทางเลือกให้หลากหลายแก่นิสิต จึงมุ่งบูรณาการผ่านระบบชีวิตของนิสิต ผ่านการเรียนรู้ใน วิชาชีพ การเรียนรู้ นอกวิชาชีพ (นอกหลักสูตร) และการเรียนรู้ผ่าน พันธกิจสถาบัน เพื่อให้นิสิตเกิดความตระหนักรู้ โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำจริง เพื่อก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ตกผลึกหลากล้นด้วยทักษะต่างๆ ทั้งที่เป็น “Hard skill & Soft skill”
หมายเหตุ
พนัส ปรีวาสนา สุริยะ สอนสุระ และทีมงาน
ตามมาศึกษาเรียนรู้
มีประเด็นน่าสนใจของจิตอาสา
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับ ดร. ขจิต ฝอยทอง
กรณีนี้ อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นว่า ใน มมส สามารถบูรณาการการเรียนรู้ได้หลากหลาย ทั้งในวิชาชีพ-นอกวิชาชีพ-พันธกิจหลักของมหาวิทยาลัย (วิจัย-บริการ-ทำนุ) เพื่อเป็นสนามชีวิตให้นิสิตได้เรียนรู้สู่การเป็นอาสาสมัครได้หลากหลายช่องทางครับ
นิสิต-ผู้เรียนเองก็สามารถเลือกเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ได้หลากหลายช่องทาง แต่ระบบและกลไกยังเป็นเรื่องใหญ่ครับ นโยบาย (ระบบ) ชัดแค่ไหน และคนภายใต้นโยบาย (กลไก) มีใจนำพา ศรัทธานำทางที่จะทำงานเหล่านี้จริงจังแค่ไหน ตื่นตัวต่อการเรียนรู้แค่ไหน นี่ก็เป็นโจทย์สำคัญเลยครับ