"ป้าไม่เคยได้นอนหลับสนิทอีกเลยตั้งแต่เริ่มมีลูกคนแรก ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้แหละลูกหมอ"
คำบอกเล่าจากหญิงชราวัย ๗๗ ปี ทำให้ผมต้องหยุดฟังอย่างใจจดจ่อ
"ทำไมเหรอครับ" ผมถามออกไป
รอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นที่ริมมุมปากของหญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้า อันที่จริงจะว่าชราก็คงไม่ผิดนัก เพราะอายุของแกกำลังจะเข้าเลข ๘ แล้ว แต่ผมยืนยันได้เลยว่า หากได้มองดูแบบเร็วๆ อย่างที่ผมมองเมื่อสักครู่ที่ท่านเดินเข้ามาในห้องตรวจ ผมเชื่อว่า หากบอกว่าอายุท่านราว ๖๐ ผมก็คงเชื่ออย่างสนิทใจ
"ตั้งแต่มีลูก ก็ไม่เคยได้นอนหลับสนิทอีกเลย เพราะว่าเราต้องดูแลพวกเขาตลอดเวลา แม้ยามเขาหลับ ก็ต้องดูว่าเขาหลับสบายดีอยู่ไหม ตัวร้อนไหม ป่วยไหม" และยังไม่ทันจะได้พูดต่อไป ผมก็แทรกขึ้นมาว่า "และดูว่ายังหายใจอยู่ไหมด้วยใช่ไหมครับคุณยาย"
คราวนี้ รอยยิ้มก็ปรากฎออกมาอย่างชัดเจน
"ใช่หมอ หมอรู้ได้ยังไง" คุณยายทำท่าสงสัย
โถ... จะไม่รู้ได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อสิ่งที่คุณยายทำนั้น ผมเองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ตั้งแต่มีลูก ลูกตัวเล็กๆที่เรายังไม่ค่อยจะรู้จักกันดีมานอนอยู่ข้างๆ ผมก็แทบจะไม่รู้จักคำว่าหลับสนิทมาตั้งแต่ตอนนั้น ไหนลูกจะตื่นมาดูดนมแม่มัน ผมก็ตื่น ไหนจะขี้แตก ผมก็ตื่นมาช่วยเมียเปลี่ยนผ้าอ้อมลูก ไหนมันจะเป็นไข้ ผมก็แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน แม้ว่าเมียจะบอกให้สลับสับเปลี่ยนกันก็ตาม ไหนจะลูกหายใจไม่ออกเพราะน้ำมูกออกจมูกตัน ผมก็นอนไม่หลับ ไหนจะลูกพลิกตัว ผมก็แอบสะดุ้งตื่น ไหนมันจะนอนสบาย ผมก็ยังคงมองดูมัน ว่ามันหายใจอยู่ไหม ไม่ได้พูดเล่น ผมดูว่าลูกยังหายอยู่ไหมอยู่บ่อยๆ หลายๆครั้งก็แอบนับอัตราการหายใจ ว่าเร็วไปไหม หากเร็วไปก็จะลุกลงจากเตียงมาจับแก้มจับหน้าผาก เพื่อดูว่ามันตัวร้อนไหม เป็นเช่นนั้นจริงๆ
"ว่าแต่ ทำไมจึงนอนหลับไม่สนิทยาวนานจังเลยครับคุณยาย ลูกๆโตหมดแล้วนี่นา" ผมยังคงสงสัยต่อไป
"ยายมีลูก ๕ คนจ๊ะหมอ เมื่อคนนึงโต คนนึงก็มาอีก คนนึงหายหวัด อีกคนนึงก็เป็นหวัดต่อ เรียกได้ว่าเป็นหวัดกันทั้งปี ดังนั้น กว่าลูกจะโตกันหมด แยกย้ายกันออกจากบ้านไป ยายก็ลืมไปแล้ว ว่าการนอนหลับนานๆ หลับสนิท หลับลึกๆเป็นยังไง"
นั่นไง เหตุผลที่ผมกำลังวิตกกับตัวเองก็กำลังเผยออกมาจากคุณยายท่านนี้เอง
ใช่สิ ตอนนี้ลูกสาวทั้ง ๒ ของผมแยกห้องนอนแล้ว แต่ผมยังเป็นคนที่สะดุ้งง่ายเช่นเคย เสียงก็อกๆแก็กๆ แม้เพียงนิดเดียวก็สามารถปลุกผมตื่นขึ้นมาได้ มันน่าตลกที่เรากลายเป็นคนที่ระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูกมากมายแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากที่เจ้าเปี๊ยกแยกห้องนอน ผมกลัวว่าลูกสาวจะเดินละเมอออกมานอกห้องนอนแล้วตกบันไดบ้านด้วยซ้ำ บางครั้งก็ต้องเดินออกไปดู เห็นไหมครับ เป็นความกังวลที่ดูงี่เง่าสิ้นดี ตลกด้วย
เอ๊ะ การหลับยากขึ้นอาจจะมาจากอายุของผมที่มากขึ้นด้วยหรือไม่หนอ ความรู้สึกนี้แว๊บขึ้นมาในใจ
เป็นไปได้ครับ เพราะโดยธรรมชาติ คนอายุมากขึ้นก็มักจะหลับยากขึ้น
การปวดฉี่ตอนกลางคืนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก สำหรับผมคงไม่ใช่เพราะฉี่บ่อยขึ้น แต่เป็นเพราะเมื่อตื่นมาฉี่สักครั้ง ก็จะตามมาด้วยการลืมหลับไปได้เลยทีเดียว
หรือว่าผมกรน อันนี้เป็นข้อสงสัยที่ทำให้ครั้งหนึ่งต้องมานอนให้พยาบาลห้อง sleep lab เฝ้าสังเกต ก็พบว่าอาการนอนกรนของผมจิ๊บจ๊อยมาก
"ผมเดาว่าคุณยายต้องมาช่วยเลี้ยงหลานอีกแน่ๆเลย ใช่มั้ย" ผมตั้งคำถามออกไปอีก ราวกับว่าจะเป็นคนสู่รู้ไปเรื่อยๆ
"เปล่าหรอกหมอ ยายยังคงต้องดูแลน้องอีกคนหนึ่ง เขาไม่ปกติมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ตอนนี้อายุเขาก็ ๖๐ กว่าๆ แก่ไปด้วยกัน ก็ไม่รู้ว่าใครจะไปก่อนกัน" คุณยายตอบมาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ
เห็นรอยยิ้มและแววตาของหญิงชราท่านนี้ จึงเข้าใจได้ว่า ทำไมท่านจึงยิ้มเก่ง ทำไมจึงดูอ่อนกว่าวัย และผมก็รู้สึกสุขใจ รู้สึกดีที่ได้เป็นหมอของแกในวันนี้ รู้สึกถึงการส่งพลังมุมบวกที่ท่านส่งมาให้หมอที่นั่งตรงหน้าอย่างมากมาย
สุดท้าย เรื่องของการนอนหลับของผมก็ยังคงเป็นปุจฉาต่อไป หรือว่าการนอนของผมไม่เป็นธรรมชาติ
เลยลองแก้ปัญหาโดยการนอนแก้ผ้า ตั้งแต่นั้นก็เลยค้นพบว่า การนอนอย่างเป็นธรรมชาตินั้นมันสบายอย่างไร ฮ่าๆๆๆ
แต่เอ๊ะ ยังตื่นครับ ตื่นมันเกือบทุกคืนนั่นแหละ
ธนพันธ์
๑๖ ธค ๕๘
ใช่ไหมครับ,
คนมีอายุมากขึ้น หลับยาก แต่ก็ตื่นเร็วขึ้น
ลูกชายยังนอนห้องเดียวกับพ่อแม่อยู่เลยแต่คนละเตียง ห้องนอนของลูกตอนนี้เป็นห้องเก็บของไปซะแล้วนิ คงต้องรีบหาทางโยกย้ายได้ซักที