ตำลึงเป็นผักไม่มีค่าแต่มีคุณค่าอาหารมากมาย เราทำงานมีตำแหน่งใหญ่โตมีชื่อเสียงเงินทองมากมายอยู่บ้านหลังใหญ่ติดแอร์ทั้งหลัง เราภาคภูมิใจที่มีเงินมากพอที่จะซื้อตำลึงเยอะแค่ไหนก็ได้ในตลาด
หรือเราเป็นคนธรรมดาไม่มีใครรู้จักไม่มีใครรู้เห็น
อยู่บ้านหลังเล็กรับลมจากท้องทุ่งไม่มีเงินมากนัก แต่มีตำลึงขึ้นอยู่เต็มบ้านจะกินเยอะแค่ไหนก็ได้
..
สุดท้ายเราก็มาที่แกงจืดตำลึงหมูสับเหมือนกัน
..
https://www.gotoknow.org/posts/565901
เป็นบันทึกที่อ่านแล้ว... ได้แง่คิดมากมาย
..
จึงตั้งคำถามถามกับตัวเอง ครับว่า..ทำไมถึงนึกไม่ได้..ในมุมนี้นะ... ทุกครั้งที่กินแกงจืดตำลึง ที่เก็บมาจากหลังบ้าน
คิดแต่เพียงว่า...อึม!! มันขึ้นง่ายและหาง่ายดีนะ.. ทำแกงจืดก็อร่อย ได้คุณค่าทางอาหารหลายอย่าง กินจนอิ่ม พุงกาง..... แล้วมันก็ผ่านเลยไป...
..
แต่มาวันนี้...บันทึกนี้ของอาจารย์ ....ทำให้ต้องหันกลับมาคิดต่อครับว่า...
..
..
คนเรานั้น...กว่าจะได้เกิดมามัน...ก็แสนยากแล้ว
และการได้เกิดมาแสนยากเช่นนี้...
การที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้มันยาก.. ชีวิตมันก็มองจะยากขึ้นไปอีก!!....
..
จะดีกว่ามั้ย!!.. ที่เราจะทำสิ่งใดในชีวิตของเราก็ตาม... ให้มันง่าย
..
หากแต่ว่า.... ทำแล้ว..ให้มันมองมีคุณค่าในตัวของมัน ....มิใช่มองแค่เพียงฉาบฉวย..ด้วยสิ่งของล่อใจ โดยกว่าจะเห็นค่าของมัน..ว่าแท้จริงแล้ว....มันก็ไม่ต่างอะไรกับความเรียบง่ายนั้น
..
..
บ้านหลังเล็ก..ที่ปลูกรับลมอยู่กลางทุ่ง..ตัวเจ้าของบ้านอาจมีเงินไม่มากมายนัก แต่ว่ามีตำลึงขึ้นอยู่เต็มบ้าน จะเก็บกินเยอะแค่ไหน ก็ย่อมได้...
หากตำลึง.. คือสิ่งที่ทำแล้วเป็นความดีงามที่ไม่จำเป็นต้องแลกซื้อด้วยอำนาจของเงินกองโต ตำลึงจึงหยิบฉวยได้ง่ายตามใจปรารถนา...บ้านหลังเล็กนี้จึงมีสิ่งดี ๆ เจืออยู่รายรอบ... เมื่อจะไปวัดก็ได้เจอพระ เมื่อจะทำบุญแม้เพียงบุญเล็ก ๆ ก็สุขใจที่ได้ทำทุกครั้ง จะมองหาที่พึ่งเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ.. ก็ไม่ขัดสน....จะไขว่คว้าหาแง่งามของชีวิต.. ก็มีแต่กัลยาณมิตรคอยเกื้อกูล
..
และอาจารย์พูดตบท้ายว่า....สุดท้ายทุกคนก็ต้องมาลงที่แกงจืดตำลึง(หมูสับ)
..
..
สุดท้าย...ชีวิตของคนเราก็เช่นกัน สิ่งที่ติดตัวเราไปได้นั้น คือ คุณงามความดีนั่นเอง(ตำลึง)
ส่วนหมูสับนั้น.. คือส่วนประกอบที่อาจหมายถึง.. ต้นทุนของชีวิต(ที่มีมาแตกต่างกัน)ที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้...
..คงจะประมาณนี้ใช่มั้ยครับอาจารย์..
..
ขอบพระคุณ.. แง่คิดดี ดี.. ที่ทำให้ผมคิดได้
ขอบคุณคุณแสงแห่งความดีมากครับ คุณแสงฯ ตีความบันทึกผมได้ความหมายลึกซึ้งกว่าตัวบันทึกของผมเองอีกครับ เปรียบเหมือนบันทึกผมเหมือนใบตำลึงแล้วคุณแสงหยิบมาทำแกงจืดหมูสับครับ ใบตำลึงจะไม่มีทางอร่อยถ้าไม่มีคนหยิบมาปรุงครับ
ผมเขียนจากความรู้สึกที่ผมมองอาจารย์.. แค่ครั้งเดียวนะครับที่เราได้เจอกัน
และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ.....สิ่งที่ผมได้จากสังคมแห่งนี้ ครับ
..
ด้วยความระลึกถึงนะครับ
ขอบพระคุณพี่ใหญ่ และคุณเพชร นะครับ
ขอบคุณทั้งคุณแสงและอาจารย์ธวัชชัย เจ้าของบันทึก
ที่งดงามทั้งสองคนจ้ะ
ขอบคุณ ครูมะเดื่อมากนะครับ
ความคิดของอาจารย์ หลากหลายมาก ...ผมมองได้เพียงบางมุมเท่านั้น
เป็นบันทึกที่เรียบง่าย และ งดงาม