(ภาพจาก goo.co.th)
สัตตมหาสถาน ในศาสนาพุทธ หมายถึง สถานที่สำคัญ ๗ แห่ง ที่พระพุทธเจ้าเสด็จประทับเสวยวิมุตติสุข หลังจากได้ทรงตรัสรู้ธรรมแล้ว เป็นเวลาแห่งละ ๑ สัปดาห์ รัชกาลที่ ๓โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองขึ้นแทนพระธาตุเจดีย์ ตั้งอยู่บริเวณกำแพงวัดด้านทิศตะวันออก เรียงเป็นแถวแนวทิศเหนือ ทิศใต้ ประกอบด้วย
สัปดาห์ที่ ๑ โพธิบัลลังก์ หรือ บัลลังก์แห่งต้นโพธิ์ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ทรงประทับต่อที่ต้นศรีมหาโพธิ์ต่ออีก ๗ วันแล้วเทวดาก็มาแสดงความยินดีกับพระพุทธองค์
สัปดาห์ที่ ๒ อนิมิสเจดีย์ หรือ เจดีย์ที่ไม่กะพริบตาเพราะพระพุทธเจ้าประทับยืนและจ้องต้นโพธิ์ด้วยตาไม่กะพริบ ตลอด ๗ วัน เป็นการระลึกถึงบุญคุณของต้นโพธิ์
สัปดาห์ที่ ๓ รัตนจงกรมเจดีย์ หรือ เจดีย์แห่งทางจงกรมที่ประดับด้วยเพชรพลอย พระพุทธเจ้าทรงเดินจงกรมตลอด ๗ วันหลังจากตรัสรู้
สัปดาห์ที่ ๔ รัตนฆรเจดีย์ หรือ เจดีย์แห่งอาคารที่ประดับไปด้วยเพชรพลอย หรือ เรือนแก้ว พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในเรือนแก้วซึ่งเทวดาบรรดาลถวาย พิจารณาธรรมในเรือนแก้วนั้นตลอด ๗ วัน
สัปดาห์ที่ ๖ อชปาลนิโครธ หรือ ต้นไทรของผู้เลี้ยงแพะ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ใต้ต้นไทรของคนเลี้ยงแพะตลอด ๗ วัน ในช่วงนี้มีธิดามารสามตนมาผจญต่อพระพุทธเจ้า
สัปดาห์ที่ ๖ มุจลินท์ หรือ ราชาแห่งต้นมุจละ โดยพระพุทธเจ้าทรงทำสมาธิใต้ต้นมุจลินท์ตลอด ๗ วัน ในขณะนั้นเกิดฝนหลงฤดูพญานาคมุจลินท์จึงได้ใช้พังพานของตนปกป้องพระพุทธเจ้าจากฝนตลอด ๗ วัน
สัปดาห์ที่ ๗ ราชายตนะ หรือที่อยู่แห่งพระราชา โดยพระพุทธเจ้าประทับใต้ต้นไม้ชื่อว่า ราชายตนะ (ต้นเกด) ตลอด ๗ วัน ในสัปดาห์นี้พระพุทธเจ้าฉันอาหารเป็นมื้อแรก จตุโลกบาลถวายบาตรพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารวมบาตรให้เป็นหนึ่งเดียว
ศิลปกรรมจีนที่เด่นชัดที่สุดปรากฏในวัดสุทัศน์เทพวราราม คืออนิมิสเจดีย์ ทำเป็น เก๋งจีน ศิลาจีนสลักเป็นรูปปราสาท ตั้งอยู่บนฐานสูงมีบันไดทางขึ้น ประดิษฐานพระพุทธรูปปางถวายเนตร รอบผนังฐานปั้นลายนูนต่ำรูปท้องฟ้า ก้อนเมฆ และเทวดารำล่องลอยอยู่บนฟ้า ด้านหน้าเก๋งจีนเป็นรูปปั้นช้าง รูปปั้นสิงโต และรูปจำลองพระอนิมิสเจดีย์ ศาลาที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาจากประเทศจีน (ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ๒๕๕๑ : ๑๙๙ – ๒๑๑) เก๋งจีนนี้สมมุติเป็น พระอนิมิสเจดีย์ ที่ประทับยืนทอดพระเนตรดูต้นมหาโพธิ์
เอกสารประกอบการเขียน
ศักดิ์ชัย สายสิงห์. งานช่างพระนั่งเกล้า. กรุงเพทฯ : มติชน. ๒๕๕๑.
โดย วาทิน ศานติ์ สันติ (๑๐/๑๒/๒๕๕๘)
ไม่มีความเห็น