บ้านของครูอ้อยเป็นแฟลต สังคมชาวแฟลตต้องอารีอารอบกันและกันจึงจะอยู่กันอย่างมีความสุขสงบ เพื่อนบ้าน(แฟลต)ของครูอ้อยทุกคนเป็นคนดีที่น่าคบ เวลามีกิจกรรมอะไรที่ดีที่ส่งเสริมความสามัคคี ทุกคนทุกท่านก็จะมาช่วยเหลือกัน เริ่มตั้งแต่การประชุมวางแผนการดำเนินการ การเก็บเงิน และการลงแขกทำงานด้วย
ครูอ้อยและครอบครัวอาศัยอยู่ที่แฟลตแห่งนี้เป็นเวลา 11 ปีแล้ว สมกับชื่อแฟลตที่ครูอ้อยอยู่ คือ แฟลต 11 กม.11 หมู่ 1
เกือบทุกวันที่ครูอ้อยกลับบ้านแต่วัน จะมีเวลาเหลือเฟือที่จะพูดคุยกับเพื่อนบ้านตั้งแต่ชั้นล่างสุด เป็นช่างทำผม ชั้นสอง ลูกๆชอบมาเล่นกับครูอ้อย ชั้นสามแม่บ้านเธอชอบมาคุยด้วย ชั้นสี่ก็มี และครูอ้อยอยู่ชั้นห้า มีเพื่อนทุกห้องเลย
สังคมชาวแฟลต ไม่รู้ก็เหมือนต้องรู้ เพราะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เธอต้องรู้กันไปหมด เช่นเมื่อวันก่อน มีการทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อย แต่พวกเราก็รับรู้กันหมด ดังนั้นเพื่อเป็นการที่ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องของเรา เราต้องพากันพูดแบบกระซิบ
แต่ครูอ้อยไม่เคยต้องทำเช่นนั้น เพราะสมาชิกในบ้านของครูอ้อย มีเวลาไม่ตรงกัน หมายถึง การออกจากบ้าน การกลับบ้าน การกินอยู่หลับนอน ซึ่งตกลงกันว่า ให้เงินไปและหากินเองก่อนกลับบ้าน
เราทำแบบนี้มานาน 3 ปีแล้ว เพราะพ่อบ้านเปลี่ยนเวลาทำงานตามปกติ เป็นแบบไม่ปกติ
หมายความว่า คนปกติราชการเวลา 08.00 - 16.30 น โดยประมาณ แต่พ่อบ้านของครูอ้อยมีเวลาทำงานคือ 13.00 - 21.00 น.
ดังนั้นเวลากินอยู่ จึงไม่ตรงกัน
ตอนแรกก็วุ่นวายมาก เพราะเมื่อก่อนนี้ พ่อบ้านจะทำหน้าที่ขับรถไปส่งลูกและภรรยา และเธอก็ขึ้นรถไฟนั่งไปทำงาน ขากลับบ้านก็แวะซื้อกับข้าวที่เธอชอบกลับบ้านมากินข้าวด้วยกัน ต่างคนต่างเล่าเรื่องของตน เรื่องที่ดีบ้าง เรื่องที่มีปัญหาบ้าง เพื่อปรึกษาหารือกันและกินข้าวดูโทรทัศน์ไปด้วย
แต่สามต่อมา เธอเปลี่ยนเวลาทำงาน ครูอ้อยจึงเกือบตกในสภาพลำบาก ในปีแรกต้องขับรถให้เป็น พาลูกไปโรงเรียนด้วย ปีที่สองลูกแยกโรงเรียน และปีนี้เป็นปีที่สาม
ที่แฟลตนี้พ่อบ้านจะเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่เหมือนกันในกรมรถไฟ
จากสามปีที่ผ่านมานั้นพบว่า เราทั้งครอบครัวไม่ได้กินข้าวด้วยกันบ่อยนัก นานๆที เนื่องจากวันหยุดของพ่อบ้านก็จะเป็นสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ดังนั้นหน้าที่ดูแลกิจการลูกๆ และบ้านช่องจึงตกเป็นของครูอ้อย พ่อบ้านไม่ได้มีส่วนเลย การหากับข้าว เป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุดถ้าครูอ้อยคนเดียวจะกินแบบง่ายๆ แต่เราก็ตัดสินกันว่า " ตัวใครท้องท่าน" หากินกันเอง
เมื่อลูกโตกันหมดแล้ว จึงเปลี่ยนแผนการเสียเวลาในการทำกับข้าว และล้างจาน เอาเวลาตรงนั้นมาทำอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์ จะดีกว่า ครูอ้อยคิด
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสามปี หนึ่งพันกว่าวัน พบว่า ครอบครัวของเราขาดอะไรสักอย่างที่ครอบครัวอื่นเขามีกัน แต่ครอบครัวครูอ้อยไม่มี
นั่นคือ " ความอบอุ่น " ครอบครัวของเรามีความรักเป็นสูตรอาหารประจำเต็มเปี่ยม พร้อมกับความศรัทธาเป็นอาหารหวาน มีความปรารถนาดีเป็นเครื่องดื่ม และมีความซื่อสัตย์เป็นอาหารขบเคี้ยว เรามีอาหารแห่งใจครบหมดทุกชนิด แต่ครอบครัวครูอ้อยขาด " ความอบอุ่นจริงๆ " ที่จะเป็นน้ำพริกรสชาติดีในแต่ละวัน
ครูอ้อยเคยถามพ่อบ้านว่า " คุณคะ รู้สึกว่าเราทั้งครอบครัว ไม่ได้ทำกิจกรรมที่สำคัญร่วมกันเป็นเวลา สามปีแล้วนะคะ " พ่อบ้านรับฟังแต่ไม่พูดอะไร
ครูอ้อยเริ่มหงุดหงิดและมักจะถามเพื่อนบ้านว่าจะทำอย่างไรดี และเธอๆก็แนะนำ แบบหวังดีประสงค์ร้ายว่า " ไปกรมรถไฟเลยครูอ้อย ไปเขียนคำร้องเรียนเลย เรามีสิทธิ เพราะ...." สิบทั้งสิบ ร้อยทั้งร้อยแนะนำอย่างนี้หมดทุกคน
แต่ที่พวกเธอแนะนำ ไม่ใช่นิสัย หรือแนวการดำเนินชีวิตของครูอ้อยเลย
ครูอ้อยจึงเก็บเงียบ และคิดอยู่เสมอว่า " สักวันหนึ่งคงดีขึ้น "
ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ครูอ้อยประสบกับความสำเร็จ น่าจะมีการกินฉลอง แต่ก็ไม่มี เมื่อวันเกิดก็ไม่มี เมื่อวันลอยกระทงก็ไม่ไป งานบุญทั้งหลาย ไม่เคยได้คิดเลย ว่า จะได้ไปด้วยกันทั้งครอบครัว
สรุปว่า " ครอบครัวของครูอ้อยไม่เคย มีความอบอุ่นเลย "
จนกระทั่งเมื่อวานนี้ พ่อบ้านครูอ้อย กลับบ้านดึกเชียว มีกลิ่นละมุดด้วย ครูอ้อยก็ไม่สนใจ อ่านหนังสือต่อไป พ่อบ้านชวนคุยด้วยการเริ่มต้นว่า " ไปกินเลี้ยงมา "
ครูอ้อยลดหนังสือที่บังหน้าลงนิดนึง พ่อบ้านเธอเริ่มถอดเครื่องแต่งตัวทีละชิ้น ตั้งแต่นาฬิกาข้อมือ จนกระทั่งนุ่งผ้าขาวมามานั่งข้างๆครูอ้อย เริ่มเล่าว่า " วันนี้พี่ศักดิ์ พี่บอย พากันเลี้ยงฉลอง " ครูอ้อยก็ลดหนังสือที่บังหน้าอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เป็นการไม่เสียมารยาทในการฟัง ครูอ้อยก็ตอบไปว่า " เหรอคะ "
จากนั้นพ่อบ้านครูอ้อย " ต้นเดือนธันวาจะได้ทำงานเวลาปกติแล้ว คนอื่นเขาต้องใช้เวลา-8ปีถึงจะหลุดมาได้ ผมใช้เวลาแค่ 3 ปีเอง "
ครูอ้อยวางหนังสือทันที ไม่อ่านต่อไปแล้ว ดีใจจัง....
และคิดว่า " สามปี หรือ สามวัน ครูอ้อยไม่เคยอยากให้กิดขึ้นเลย "
ความอบอุ่น น้ำพริกของครูอ้อยหวลกลับมาอีกแล้ว
ครอบครัวครูอ้อยมีความอบอุ่นเหมือนครอบครัวอื่นๆแล้ว
ความอบอุ่นคือ.....
.....ความรัก
.....ความเข้าใจ
.....ความเอาใจใส่
.....การให้อภัย
.....การยอมรับในทุกสิ่งที่เราเป็น
.....การรับในทุกสิ่งที่คนในครอบครัวเป็น
ถึงแม้บางครั้งการแสดงออกทางกายไม่มี...แต่การแสดงออกทางจิตใจ หรือแววตา....มันก็มากพอสำหรับความอบอุ่นที่เกิดขึ้น ...ในใจ...ของเรา
ครอบครัวครูอ้อยมีพร้อมค่ะ (แอบรู้นะว่าพ่อบ้านเอาใจใส่อย่างไร)
ขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับ "ครอบครัวสุขสันต์ค่ะ"
ขอบคุณค่ะ น้องอ๊อบ
สวัสดีค่ะคุณจ๊อด
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณจ๊อด....รูปหล่อ
ความหวังที่รอคอยของคุณสิริพร...อยู่ไม่ไกลแล้วนะครับ...ขอร่วมชื่นชมแสงไออุ่นแห่งความรักความเข้าใจของครอบครัวคุณ...สุขสันต์หรรษาชีวาชื่นจิตนะครับ...
ขอบคุณครับ...
เรียนอาจารย์
ครูอ้อยคะ....
ดิฉันว่าครูอ้อยอาจจะอยากให้มีเวลาว่างเหมือนตอนนี้ก็ได้....เพราะครูอ้อยจะไม่มีเวลาให้กับเพื่อนๆในblog...ครูอ้อยจะคิดถึงเพื่อนๆ
...จากนี้ไปครูอ้อยจะมีเวลาให้พวกเราน้อยลง...
แต่อะไรที่เป็นความสุขที่แท้จริงของครูอ้อย...ก็จงอยู่กับมันเถอะค่ะ
ขอแสดงความดีใจด้วยค่ะ
คุณกฤษณา คะ
อ่านไปยิ้มไป ยินดีด้วยนะคะ สามปีที่ขาดความอบอุ่น กำลังจะได้การชดเชย
^___^
สวัสดีค่ะคุณแนน
ขอบคุณค่ะที่มาอ่านบันทึกของครูอ้อย ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะคุณจ๊อด
ครูอ้อยจะรอรับนะคะ โทรศัพท์มาก่อนนะคะ ดีใจที่จะมาจริงๆค่ะ จะได้มาฉลองกัน เย้!
และเราก็ได้พบกันจริงๆค่ะที่สวนรถไฟในตอนเย็นและได้กินอาหารร่วมกันด้วย
ดูภาพนี้สิคะว่า....ครูอ้อยมีความสุขแค่ไหน....