กตัญญูสีดำ...เรื่องเล่า กับ การเยียวยา Storytelling: Healing and Narrative Skills


นี้คือเรื่องเล่ากับการเยียวยาเรื่องหนึ่งที่น่าอ่าน และได้รางวัลระดับประเทศมาแล้ว - ของพี่แมว พี่สาวผมเอง ที่แสนขยัน ผิดกับน้องที่แสนฝืด พี่แมวผมจะส่งผลงานสัก 2 เรื่อง เต็มโควตา แต่จะทันไหมนะ 555 เขียนแบบมีเป้าหมาย อยากได้ตังค์ไปทำบุญ ได้เรื่องละ 1,000 บาท (หวังสูงไปไหม รางวัลชมเชย) ขออนุญาตนำเรื่องนี้มาลงในบันทึกของผมนะครับ เพราะอ่านเมื่อไหร่เหมือนจมอยู่ก้นบึ้งหัวใจตนเองจังครับ

"กตัญญูสีดำ"

บุษบงก์ วิเศษพลชัย


คุณนึกน้อยใจไหมว่าทำไมหนอเราจึงลำบากกว่าคนอื่น ทำไมคนนั้นดูมีความสุขกว่า เรา ทำไมเราไม่รวย ทำไมเราไม่สวย ทำไมเราต้องมาเป็นหมออนามัย แต่คุณลองมองไปรอบ ๆ ตัวเราสิค่ะ แล้วคุณจะรู้ว่ายังมีคนที่โชคชะตาร้ายกาจกับชีวิตเขายิ่งกว่าเรามากมาย ในหลาย ๆ คนที่มีโชคชะตาเลวร้ายนั้น ปุ้ย เป็นคนหนึ่งในนั้น

ที่หมู่บ้านที่ฉันทำงานอยู่นี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักครอบครัวของปุ้ย ไม่ใช่ว่าครอบครัวของปุ้ยร่ำรวย หรือมีชื่อเสียงหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะอะไรเดี๋ยวก็จะได้รู้ค่ะ ครอบครัวของปุ้ยมีกันอยู่ 6 คนเป็นครอบครัวที่มีบัตรผู้พิการมากที่สุดคือ 5 ใบ ประกอบไปด้วย ยายภูแม่ของปุ้ย พี่สาวและพี่ชายของปุ้ยซึ่งตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลศรีธัญญา เหมาพี่ชายของปุ้ยที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านและปุ้ย มีเพียงตาหลวยพ่อของปุ้ยเท่านั้นที่ไม่ได้บัตรผู้พิการเพราะไม่ได้เจ็บป่วยทางจิตแต่ฉันไม่แน่ใจว่าคนที่ได้รับการประเมินว่าไม่ได้เจ็บป่วยทางจิตนั้นจริง ๆ แล้วมีสภาพจิตใจที่เลวร้ายกว่าคนที่ได้ชื่อว่าเจ็บป่วยทางจิตอย่างปุ้ยหรือไม่ คนแรกที่ทำให้ฉันได้แง่มุมชีวิตใหม่ ๆ คือเหมาพี่ชายของปุ้ย เป็นการเจอกันที่สร้าง ความประทับใจให้ฉันมาก ตอนนั้นฉันเพิ่งย้ายจากโรงพยาบาลชุมชนในจังหวัดนครสวรรค์มาอยู่สถานีอนามัยนี้ ได้ไม่ถึงเดือน ด้วยการที่เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลมาก่อนฉันจึงไม่ได้มีความสุขเลยที่ต้องมาอยู่สถานีอนามัย แต่จำเป็นเพราะฉันย้ายตามสามีมาและไม่มีทางเลือกอื่นถ้าอยากอยู่กับครอบครัวที่กรุงเทพฯ สถานีอนามัยแห่งนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

วันนั้นเป็นกลางวันวันพุธที่อากาศร้อนจัด ฉันกำลังเรียงเอกสารอยู่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 (ปัจจุบันท่านเป็นกำนันแล้ว) วิ่งเข้ามาตาม


"หมอ หมอ ไปดูไอ้เหมาให้หน่อย ไอ้เหมาหัวแตก"

ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าเหมาเป็นใครแต่เห็นผู้ใหญ่วิ่งมาตามเอง จึงเดาว่าต้องเป็นญาติผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่พาฉันวิ่งไปด้านข้างของสถานีอนามัยหลังเก่าซึ่งตั้งอยู่ข้างสถานีอนามัยหลังปัจจุบัน แต่ไม่ได้ใช้เนื่องจากชั้นล่างทรุดจมน้ำแล้วเหลือเพียงชั้นบนแต่ก็ปิดไว้ไม่ได้ใช้งาน

ภาพที่ฉันเห็นคือภาพผู้ชายอายุราว 25 ปี ผมยาวกระเซิงไปทั้งศรีษะและพันกันเป็นก้อน ๆ เพราะคงไม่ได้สระผมมาอย่างน้อย 1 ปี รูปร่างผอมดำใส่เสื้อยืดเก่าซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสีอะไรเนื่องจากมันแดงฉานไปด้วยเลือดและกางเกงเก่าๆสีดำ ผู้ชายคนนั้นเอามือกุมหัวไว้บริเวณหน้าผากด้านซ้าย และมีเลือดกำลังไหลออกมาระหว่างนิ้วมือซึ่งเห็นแล้วฉันก็เดาได้ว่าหัวแตก
นอกจากผู้ใหญ่บ้านที่วิ่งไปตามฉันมา ยังมีผู้ชายอีก 4 คนยืนอยู่ ทุกคนพยายามที่จะช่วยกันจับชายหัวแตกคนนั้นไว้เพื่อช่วยกันดูแผล โดยไม่กลัวว่าตัวเองจะเปื้อนเลือด ฉันจำได้ว่าหนึ่งคนในนั้นเป็น อบต.ออด ซึ่งเป็นอบต.หมู่ที่ 3 พอทุกคนหันมาเห็นฉันก็รีบบอกว่า


"หมอ...ไอ้เหมาหัวแตกไม่รู้ใครขว้างมัน หมอทำแผลให้มันที"

ตอนนั้นฉันรู้สึกทึ่งมาก ในความเป็นพยาบาลฉันย่อมมีหน้าที่ดูแลทุกคนไม่ว่าดีว่าบ้าอยู่แล้ว แต่ผู้ชาย 4 คนที่ไปตามฉันมานี่สิ ทุกคนดูเป็นห่วงเป็นใยชายบ้าคนนี้มาก ก่อนหน้านี้เวลามีใครพูดถึงผู้นำชุมชน อบต. กำนัน หรือผู้ใหญ่บ้าน ฉันมักนึกถึงการโกงกิน เพราะฉันไม่เคยสัมผัสพวกเขาอย่างจริงจัง แต่คน 4 คนข้างหน้าฉันนี่ทำให้คำว่า "ผู้นำชุมชน" เป็นรูปธรรมที่สัมผัสได้
ผู้ใหญ่เป็นคนแรกที่เข้าไปจับเหมาเนื่องจากเป็นคนตัวสูงใหญ่ เหมาจึงยอมให้จับแต่โดยดีหลังจากที่ดิ้นรนอยู่พักใหญ่ ฉันกางอุปกรณ์เย็บแผลแล้วก็นั่งคุกเข่าเย็บแผลบนพื้นโคลนข้างอนามัยนั่นเอง
เป็นการเย็บแผลที่ทุลักทุเลและผิดหลักปราศจากเชื้ออย่างยิ่ง แต่เป็น

การเย็บแผลที่เต็มไปด้วยภาพของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ที่งดงามที่สุดสำหรับฉัน
พอเย็บแผลเสร็จผู้ใหญ่บ้านและอบต.ก็ช่วยกันอาบน้ำโกนผมให้เหมา และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กว่าจะเสร็จก็บ่าย2 โมง ก่อนแยกย้ายกันไปอาบน้ำ เนื่องจากตอนนี้พวกเราสกปรกกว่าเหมาเสียอีก
วันนั้นฉันกลับบ้านด้วยชุดพยาบาลที่ขะมุกขะมอมจนสามีถามว่าไปฟัดกับอะไรมา แต่ภายในใจฉันรู้สึกถึงจิตใจที่สะอาดและเบาสบายนอนหลับสนิททั้งคืน

ตอนเช้าเมื่อไปทำงานฉันเห็นเหมาเดินผ่านหน้าสถานีอนามัยมีผ้าก็อซพันรอบหัวที่ถูกโกนเกลี้ยงเกลา ใส่เสื้อสีแดงสดตัวใหม่และกางเกงสีกากีสวยงาม ซึ่งคงเป็นกางเกงเก่าของผู้ใหญ่บ้าน ฉันก็อดยิ้มไม่ได้

คนในครอบครัวปุ้ยคนต่อมาที่ฉันได้เจอคือ "ยายภู" แม่ของปุ้ย ยายภูเดินมาที่สถานีอนามัยในเช้าวันหนึ่งพร้อมสมบัติของแกคือถุงผ้าใบใหญ่ ซึ่งข้างในใส่สมบัติของแกอันประกอบด้วยเสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงจำนวนหนึ่ง

ยายภูใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวที่แก่ไปทางดำ ผ้าถุงสีแดงสดยังดูใหม่คงเพิ่งมีใครให้มา พอมาถึงหน้าสถานีอนามัย ยายภูก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของสถานีอนามัยพร้อมกับวางสมบัติทุกอย่างลงตรงระเบียงแล้วหันมามองหน้าฉันที่วิ่งตามขึ้นมาดูพร้อมกับบอกสั้น ๆ ว่า
"มานอนนี่" ว่าแล้วยายภูก็ใช้ระเบียงสถานีอนามัยเป็นที่นอนพักอย่างดีอยู่ 2 อาทิตย์ ฉันซึ่งหมดปัญญาว่าจะทำอย่างไรดี ก็เลยได้แต่

ปลงว่าก็ดีกลางคืนมีเพื่อนอยู่เวร ส่วนเรื่องอาหารนั้นยายภูมีอาหารกินอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะปุ้ยจะไปขอข้าวที่วัดมาให้แม่ทุกวัน และถ้ายายภูอยากกินอะไรพิเศษก็จะไปยืนหน้าร้านขายอาหารในหมู่บ้าน แล้วบอกสิ่งที่ต้องการแม่ค้าก็จะให้ของที่แกอยากกินเพราะคนในหมู่บ้านทุกคนสงสารแก

บางครั้งฉันก็ซื้อขนมหวานให้แกกินซึ่งแกชอบมากการที่ยายภูมานอนที่สถานีอนามัย ทำให้ฉันได้รู้จักปุ้ยมากขึ้น เพราะปุ้ยจะเอาข้าวที่วัดมาให้แม่ทุกวัน เมื่อคนไข้ที่มาหาฉันที่สถานีอนามัยเห็นปุ้ย ก็จะทักทายปุ้ยและประวัติของปุ้ยก็ได้รับการบอกเล่ามากขึ้น ปุ้ยในตอนที่ฉันเห็นคือหญิงสาวอายุ 22 ปี อ้วนน้ำหนัก 65 กิโลกรัมใบหน้าเต็มไปด้วยสิว ผมตัดสั้น ใส่เสื้อยืดสีสดที่มีคนให้มาและนุ่งผ้าถุงเก่า ๆ มีกลิ่นตัวแรงของคนที่ไม่อาบน้ำ

คนในหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตอนอายุ 14 – 15 ปี ปุ้ยเป็นเด็กหน้าตาดีคนหนึ่งผิวขาวใบหน้าเกลี้ยงเกลา แต่ที่ปุ้ยเป็นอย่างนี้ เพราะเมื่อปุ้ยอายุได้ประมาณ 12 ปี ยายภูก็เริ่มมีอาการผิดปกติทางจิต เพราะโดนตาหลวยพ่อของปุ้ยทุบตี พอปุ้ยอายุ 14 ปี ยายภูก็แบกสมบัติของแกออกจากบ้าน แล้วเริ่มเร่ร่อนไปนอนตามที่ต่างๆ พี่ชายทั้ง 2 คนของปุ้ยก็เริ่มมีอาการผิดปกติทางจิต พี่ชายคนโตนั้นอาการรุนแรงมาก จนถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญาและไม่ได้กลับมาอีกเลย หลังจากนั้นเหมาก็ออกจากบ้านมาเร่ร่อน เหลือปุ้ยกับพี่สาวอยู่บ้านกับตาหลวย 2 คน

แล้วอีก 2 เดือนต่อมาพี่สาวของปุ้ยก็ต้องหนีออกจากบ้าน เพราะโดนตาหลวยที่เป็นพ่อแท้ ๆ ข่มขืน มีคนบอกว่าตอนนี้พี่สาวปุ้ยไปเป็นหญิงขายบริการที่พัทยา เมื่อเหลือปุ้ยเพียงคนเดียวในบ้าน เหตุการณ์ที่เกิดกับพี่สาวปุ้ยจึงเกิดขึ้นซ้ำรอยกับปุ้ยอีก แต่ปุ้ยไม่ได้หนีไปไหน มีคนบอกว่าปุ้ยมันไม่ไปไหนหรอกมันห่วงแม่มัน แล้วมันก็ยังห่วงพ่อมันด้วย

ปุ้ยจะนอนที่บ้านบ้างหรือตามไปนอนเฝ้าแม่ตามที่ต่าง ๆ ที่ยายภูเร่ร่อนไปนอนบ้างโชคดีที่ยายภูไม่เคยออกจากหมู่บ้าน ดังนั้นทุกที่ ๆ ปุ้ยตามไปนอนเฝ้าแม่ จึงไม่มีใครตามมาทำร้ายซ้ำเติมเธออีก

ด้วยโศกนาฏกรรมในชีวิตปุ้ยที่ผ่านมา จึงเปลี่ยนเด็กสาวหน้าตาสดใสให้กลายเป็นหญิงอ้วนสติไม่ดีที่คอยดูแลแม่ที่สติไม่ดีที่เร่ร่อนไปนอนตามที่ต่าง ๆ จนมานอนที่สถานีอนามัย

เมื่อรู้เรื่องของปุ้ยฉันรู้สึกว่าใครที่ชอบคิดว่าชีวิตของตัวเองลำบาก โชคไม่ดี น่าจะคิดได้ว่าตนเองโชคดีกว่าปุ้ยแค่ไหน
วันต่อมาหลังจากฉันรู้เรื่องของปุ้ย พอปุ้ยเอาข้าวมาส่งให้แม่ ฉันจึงตามไปคุยกับปุ้ยเพื่อชวนให้ปุ้ยฉีดยาคุมกำเนิด ฉันอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดกับปุ้ยอย่างไรดี พูดจาอ้อมค้อม อยู่นานกว่าจะเข้าประเด็นที่อยากพูด เมื่อพูดออกไปแล้วฉันกลับรู้สึกเสียใจ เพราะเมื่อรู้จุดประสงค์ของฉัน ปุ้ยก็ยิ้มอย่างอาย ๆ แล้วบอกว่า

"ปุ้ยไม่ท้องหรอกหมอ พ่อไม่ได้เอาปุ้ยแล้ว"


ฉันรู้สึกสลดใจมากที่ผ่านมาฉันพยายามคิดว่าที่ชาวบ้านเล่าเป็นเรื่องไม่จริง แต่พอได้ยินจากปากปุ้ยเอง ฉันถึงรู้ว่าเรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นจริงจากการสังเกตปุ้ยฉันจึงรู้ได้ว่าปุ้ยนั้นมีอาการทางจิตอยู่แต่ไม่มาก บางครั้งปุ้ยอาจยิ้มหรือหัวเราะคนเดียว แต่ส่วนใหญ่ปุ้ยจะพูดรู้เรื่อง เมื่อฉันชวนปุ้ยว่าจะทำเรื่องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลปุ้ยบอกว่า


"ไปไม่ได้หรอกหมอห่วงแม่" แต่ประโยคที่ทำให้ฉันพูดไม่ออกคือ
"ห่วงพ่อด้วยเดี่ยวไม่มีคนดูแล พ่อแก่แล้ว"


2 วันต่อมายายภูก็หอบสมบัติย้ายจากสถานีอนามัยไปนอนที่วัดแทนโดยให้เหตุผลว่า
"เบื่อสุขศาลาแล้ว"


ยายภูหอบสมบัติไปวันเดียว ปุ้ยก็หน้าตาตื่นมาตามฉันให้ไปดูแม่ ฉันฟังไม่ถนัดว่ายายภูเป็นอะไร ได้แต่วิ่งตามปุ้ยไปพร้อมกับน้องนิภาพรรณซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อีกคน เมื่อถึงวัดปุ้ยเรียกให้ฉันวิ่งตามไปที่ศาลาด้านหลังของวัด ซึ่งแต่ก่อนศาลาหลังนี้ใต้ถุนสูงจนเดินรอดได้ แต่ปัจจุบันด้วยสภาพดินชายฝั่งที่ทรุดลงเรื่อย ๆ ใต้ถุนศาลานี้จึงต้องย่อตัวเกือบคุกเข่าเพื่อมุดเข้าไป


ปุ้ยมุดเข้าไปก่อน พอเห็นปุ้ยมุดเข้าไปฉันจึงมุดตามเข้าไปพร้อมด้วยน้องนิ เราคลานเข่าเข้าไปประมาณ 3 เมตร จึงเห็นภาพยายภูนอนอยู่บนกองผ้าเก่าๆ เนื้อตัวเขียวช้ำเหมือนโดนทุบตีฉันเขย่าตัวยายภูแล้วรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงยายภูตอบมาว่า


"เบา ๆ หน่อยหมอ...เจ็บ"
ฉันค่อย ๆ ตรวจดูร่างกายของยายภูแล้วก็รู้สึกโล่งอกที่สภาพยายภูไม่แย่อย่างที่คิดไว้ มีเพียงรอยฟกช้ำดำเขียวบริเวณแขนและขาแต่ไม่มากนัก ฉันกับนิจึงค่อย ๆ คลานถอยหลังออกมาพร้อมกับช่วยกันลากยายภูออกมาจากใต้ถุนศาลา เจอพระ4-5 รูปกำลังก้มมองดูว่าหมออนามัย 2 คนมามุดหาอะไรเล่นใต้ศาลา พอลากยายภูออกมาได้ฉันก็ทายาที่รอยฟกช้ำดำเขียวและเอายาให้กิน


ถามปุ้ยว่าแม่ไปโดนอะไรมา ปุ้ยบอกว่าแม่ตกสะพาน ฉันบอกปุ้ยว่าเดี๋ยวจะกลับไปที่สถานีอนามัยไปเอายามาให้ยายภูเพิ่ม พอพ้นประตูวัดก็พบกับรองเจ้าอาวาสกวาดลานวัดท่านถามว่าหมอมาทำอะไร ฉันตอบว่ามาดูยายภู ท่านจึงว่า


"ดีแล้วโยมช่วย ๆ กัน ตาหลวยก็ไม่น่ามาเตะเมียที่นี่ เขตวัดแท้ ๆ" พอฉันได้ยินจึงรู้ว่าปุ้ยโกหก ฉันโมโหมากหันหลังเดินกลับไปที่ศาลาแล้วถามปุ้ยว่า
"ปุ้ย ตกลงแม่โดนอะไรมาอย่าโกหกหมอนะ" ปุ้ยมองหน้าฉันแล้วร้องไห้โฮออกมาแล้วบอกว่า


"แม่ด่าพ่อ แล้วพ่อก็เตะแม่" ฉันจึงรู้เรื่องราวว่า ยายภูเดินมาเจอตาหลวยที่วัด ด้วยจิตใต้สำนึกที่แกคงรู้สึกว่าไม่สามารถปกป้องปุ้ยได้ จึงตะโกนด่าตาหลวยกลางลานวัด ตาหลวยได้ยินจึงโกรธวิ่งเข้ามาทำร้ายแก พอฟังจบฉันโมโหมากบอกปุ้ยว่า


"ไป...ปุ้ย หมอจะพาไปแจ้งความต้องเอาตาหลวยเข้าคุกให้ได้" แต่ปุ้ยสั่นหน้าร้องไห้ยกมือไหว้ฉันแล้วบอกว่า
"อย่าหมอ อย่าทำอะไรพ่อปุ้ย พ่อปุ้ยแก่แล้ว"
ฉันมองใบหน้าของผู้หญิงสติไม่ดีตรงหน้าแล้วรู้ว่าใต้ใบหน้าที่ดูเหมือนคนสติไม่ดีนี้ข้างในหัวใจของเธอเป็นทอง เธอไม่รู้จักโกรธแค้นใครหรือมันเป็นเพราะกรงขังของความกตัญญูที่ขังเธอไว้ไม่ให้เธอลุกขึ้นมาต่อสู้กับการทำร้ายเหล่านี้ฉันจึงได้แต่ยืนอึ้งแล้วบอกว่า
"ก็ได้ปุ้ย หมอไม่เอาเรื่องพ่อปุ้ยแล้ว"


สิ่งที่ฉันทำได้ดีที่สุดก็คือ บอกกับทุกคนที่เจอโดยหวังว่าจะถึงหูตาหลวยว่า ถ้ามีการรังแกปุ้ยหรือยายภูอีก ฉันจะเอาตาหลวยเข้าตารางให้ได้ มีคนเตือนฉันว่าไม่กลัวตาหลวยโมโหฉันหรือ ฉันได้แต่บอกว่าสิ่งที่ฉันทำ มันน้อยเหลือเกินกับสิ่งที่ฉันควรจะทำเพื่อมนุษย์สักคนที่โดนรังแก มนุษย์เราเกิดมาเพื่อช่วยเหลือกัน เพื่อให้คนที่มีโอกาสดีกว่าได้เอื้อเฟื้อแก่คนที่มีโอกาสดีน้อยกว่า ฉันก็แค่พยายามจะปกป้องคนที่โดนรังแกมาตลอดชีวิตเท่านั้น


ทุกวันนี้ตาหลวยไม่เคยทำร้ายยายภูอีก ฉันยังคงเห็นยายภูเดินหอบสมบัติของแกไปนอนตามที่ต่าง ๆ โดยมีปุ้ยเดินตามและเห็นเหมาเดินเล่นอยู่ริมถนน และปุ้ยยังคงเดินไปวัดและหิ้วข้าวกลับมา 2 ถุง ถุงหนึ่งเพื่อแม่ของเธอ และอีกถุงให้พ่อของเธอ บางครั้งเธอก็แวะเข้ามาที่สถานีอนามัยยิ้มอาย ๆ แล้วขอยาแก้ปวด ยาลดไข้ หรือยาแก้ไข้หวัดไปให้พ่อหรือแม่เธอเสมอบางครั้งยายภูก็แวะมานอนที่สถานีอนามัยและถอนหญ้ารอบ ๆ สถานีอนามัยให้โดยแกบอกว่า


"หญ้ายาว เดี๋ยวงูกัดหมอ หมอมีบุญคุณ"
ฉันได้แต่ขอบคุณยายภูที่เป็นห่วง ทั้งที่ฉันรู้สึกเสมอว่าฉันไม่ได้ให้อะไรกับยายภูหรือปุ้ยเลย
แต่ปุ้ยกับยายภูต่างหากที่เป็นผู้ทำให้ฉันได้เรียนรู้โลกในแง่มุมใหม่ ๆ เคารพในความเป็นตัวตนที่แตกต่างของแต่ละคน และมีความสุขที่ได้ทำงานในสถานที่เล็ก ๆ


ฉันยังเรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ จึงจะแสดงบทบาทพยาบาลได้ แต่ฉันสามารถเป็นเพียงแสงหิ่งห้อยเล็กๆ ที่ภาคภูมิใจในวิชาชีพได้
เพราะในที่ ๆ มืดที่สุดที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงนั้น ขอเพียงแสงหิ่งห้อยเล็กๆ ส่องให้แก่ผู้ที่อยู่ในความมืดมิดมาตลอดชีวิต ก็คงพอทำให้ผู้คนเหล่านั้นมีความสุขกับแสงสว่างบ้าง...

#####

##เชิญชวนทุกท่าน...ร่วมประกวดเรื่องเล่า "งาน... บันดาลใจ" ชิงรางวัล "ปากกาแก้ว แวววรรณศิลป์" (ภายใน 31 พฤษภาคม 2558)..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/588003

##ตึกกรอสส์- เรื่องเล่าเร้าพลังเรื่องแรกที่ครูให้ผมอ่าน........ อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/589245

## https://www.facebook.com/pages/%E0%B9%80%E0%B8%A3%...

หมายเลขบันทึก: 590468เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2015 12:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2015 12:40 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

"ให้ฟังเรื่องที่เขาอยากเล่า...อย่าถามเรื่องที่เราอยากรู้"

ต้องขอบคุณพี่ดู๋...สัญญา ที่กล่าวคำนี้ไว้...เป็นข้อเตือนใจสำหรับผมอย่างดี ในส่วนที่ผมทำงานเก็บข้อมูล เราอยากจะได้ยินเสียงที่เราคิดไว้ แต่หารู้ไม่ว่าในโลกมีสิ่งมากมายที่เราไม่รู้ และเขาอยากเล่าให้เราได้ฟัง...

เรื่องที่งดงาม เยียวยาจิตวิญญาณที่อ่อนล้า

เอาใจช่วยให้ได้รับรางวัล...นะคะ :)

เป็นเรื่องที่งดงามมากค่ะ อ่านแล้วต้องอ่านซ้ำอีก อันความกรุณาปราณี จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ .. รู้สึกประทับใจมากที่ได้อ่านเรื่องนี้ ขอบคุณค่ะคุณหมอทิมดาบ

ความจริงกับความฝันนั้นต่างกันมาก ผู้ที่คิดถึงค่าจ้างก็เป็นลูกจ้าง ผู้ที่ภาคภูมิใจในงานสุจริตย่อมมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิ ผู้ยังมีความต้องการย่อมเป็นคนจนเสมอแม้มีทรัพย์สมบัติมหาศาล และสุดท้ายก็ต้องทิ้งไว้ในโลก และไปตามยถากรรม

เป็นเรื่องเล่าที่งดงามมากค่ะ ทั้งจิตใจของผู้เล่าและเรื่องราวที่เกิดขึ้น ประกอบกับมุมมองต่างๆของผู้เล่า

ขอบคุณนะคะที่นำเรื่องดีๆ มาให้ได้อ่าน งดงามน่าประทับใจ บ่งบอกถึงจิตใจของพี่แมวผู้เล่า

หากไม่ได้อ่านคงน่าเสียดาย

การเยียวยา ดีจริงๆๆค่ะโดยเฉพาะ เยียวยาใจ นะคะ

ภาพที่ฉันเห็นคือภาพผู้ชายอายุราว 25 ปี ผมยาวกระเซิงไปทั้งศรีษะและพันกันเป็นก้อน ๆ เพราะคงไม่ได้สระผมมาอย่างน้อย 1 ปี รูปร่างผอมดำใส่เสื้อยืดเก่าซึ่งไม่รู้ว่าเป็นสีอะไรเนื่องจากมันแดงฉานไปด้วยเลือดและกางเกงเก่าๆสีดำ ผู้ชายคนนั้นเอามือกุมหัวไว้บริเวณหน้าผากด้านซ้าย และมีเลือดกำลังไหลออกมาระหว่างนิ้วมือซึ่งเห็นแล้วฉันก็เดาได้ว่าหัวแตก ..


...

เป็นการเล่าที่ทรงพลัง มากๆ ครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท