ในช่วงปลายทศวรรษที่ ๒๐ บนพื้นพิภพโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจในการวัดการพัฒนาของประเทศที่ไม่ได้เน้นตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic product : GDP) แต่เพียงอย่างเดียว แต่หันกลับมาเน้นทางด้าน “ความสุข”
- ในเดือนตุลาคมปี พ.ศ. ๒๕๔๑ การประชุมระหว่างประเทศเอเชียแปซิฟิก ซึ่งจัดโดยโครงการพัฒนาแห่งองค์การสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) ที่กรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี โดยมีการอภิปรายและหยิบยก “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” (Gross Domestic Happiness : GDH) ขึ้นมาสัมมนาในครั้งนั้นอย่างจริงจัง
- ในช่วงเดือนมีนาคมปี พ.ศ. ๒๕๔๒ การประชุมเชิงปฏิบัติการ ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการวางแผนงาน เพื่อพิจารณาแนวคิดเรื่องความสุขมวลรวมประชาชาติจะสามารถเชื่อมโยงกับดัชนีชี้วัดการพัฒนาของมนุษย์ (Human Development Index : HDI) ซึ่งโครงการพัฒนาแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNDP) พัฒนาขึ้นได้หรือไม่
นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกประเด็น “ความสุขมวลรวมประชาชาติ” ขึ้นมาเป็นหัวข้อในการเสวนาในหมู่แวดวงของนักวิชาการทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก อีกหลายต่อหลายครั้ง
ความสุขมวลรวมประชาชาติ ถือได้ว่าเป็นแนวความคิดทางปรัชญาที่ริเริ่มโดยพระราชาธิบดีจิกเม ซิงเก วังชุก (Jigme Singge Wangchuck) กษัตริย์แห่งภูฐาน เมื่อกว่า ๓ ทศวรรษที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงประกาศว่าวัตถุประสงค์สูงสุดของรัฐบาลภูฐานก็คือ การส่งเสริมความสุขของประชาชน ดังพระราชดำรัสที่ว่า “ความสุขมวลรวมประชาชาติสำคัญยิ่งกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ” พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับความสุขมากกว่าความอุดมมั่งคั่งของวัตถุในทางเศรษฐกิจ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสวนกระแสกับแนวคิดของเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
ความสุขมวลรวมประชาชาติในทางเศรษฐธรรม
ความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) คือ ความสุขโดยรวมของคนในชาติทั้งหมดที่เกิดจากการดำเนินชีวิตตามวิถีทางแห่งทฤษฎีใหม่ หรือ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่มุ่งเน้นให้บรรลุความสุขร่วมกันของคนในสังคม ตามแบบฉบับของเศรษฐกิจที่มีความพอประมาณทำอะไรไม่เกินตัว กินพอดี อยู่พอดี ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นรวมทั้งไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม ใช้หลักความสมเหตุสมผลในการจัดลำดับความสำคัญ วิธีการ รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านต่าง ๆ จากการดำเนินเศรษฐกิจ และเป็นการสร้างความสมดุลให้เกิดขึ้นทุกภาคส่วนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสามารถสร้างภูมิคุ้มกันเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
โดยการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ ๑ จะได้ว่า
ความสุขมวลรวมประชาชาติ = ความสุขบนวิถีของความพอประมาณ, ความสุขบนวิถีของความสมเหตุ
สมผล, ความสุขบนวิถีของความสมดุลของความสัมพันธ์ในมิติด้านต่าง ๆ
และความสุขบนวิถีของการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ
๑. ความสุขบนวิถีของความพอประมาณ
ความพอประมาณ คือ เป็นความพอดีที่ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป หรือ ไม่สุดโต่งทั้งสองด้าน และที่สำคัญในความพอดีที่มีอยู่หรือได้มานั้นต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น เป็นความพอดีที่ตั้งอยู่บนหลักของศีลธรรมและคุณธรรมเป็นสำคัญ หรือถ้ามองอีกมิติหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความพอประมาณ เป็นการดำเนินชีวิติเพื่อให้บรรลุสู่ความสุขที่เนื่องกับ “สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)” เป็นไปในลักษณะของการประกอบอาชีพที่สุจริตรวมทั้งมีการบริหารจัดการรายรับ รายจ่ายและหนี้สินอย่างมีความเหมาะสมตามสภาวะฐานะของตน
๒. ความสุขบนวิถีของความสมเหตุสมผล
ความสมเหตุสมผล เป็นหลักของการใช้หลักเหตุผลที่ก่อให้เกิดความเป็นประโยชน์ในทุก ๆ มิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงความเหมาะสมขององค์ประกอบเหล่านั้นเป็นสำคัญ หรือ “ความสมเหตุสมผล” นั่นเอง ซึ่งประกอบไปด้วย
- ความสมเหตุสมผลในการจัดลำดับความสำคัญ เป็นการจัดลำดับความสำคัญในการตัดสินใจของทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ในประเด็นที่มองถึงความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยมี ผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
- ความสมเหตุสมผลในกระบวนการดำเนินการ เป็นการคำนึงถึงความเหมาะสมของวิธีการและขั้นตอนของการดำเนินการต้องโปร่งใส ไม่เอื้อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตนเองและที่สำคัญต้องยึดหลักธรรมาภิบาล
- ความสมเหตุสมผลในด้านผลกระทบหรือต้นทุนทางสังคม เป็นการคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมโดยรวม ตลอดจนสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักของความสมดุลและดุลยภาพโดยรวมของมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมเป็นที่ตั้ง
หลักของการใช้เหตุผลในการตัดสินใจไปในทิศทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์โดยรวมในทุกมิติของสังคม โดยต้องคำนึงถึงความสมเหตุสมผลเป็นที่ตั้งนั้น ถ้าหากพิจารณาแล้วจะเห็นว่าเป็นกระบวนการของขั้นตอนการตัดสินใจที่จะกระทำและจะส่งผลกระทบในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมในอนาคต หรือเป็นการตัดสินใจและกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาแล้วและส่งผลกระทบในด้านเป็นประโยชน์ของสังคมในปัจจุบัน เป็นไปในลักษณะที่เกี่ยวเนื่องกับ “สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ) สัมมาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ)” นั่นเอง
๓. ความสุขบนวิถีของความสมดุลของความสัมพันธ์ในมิติด้านต่าง ๆ
ความสมดุลของความสัมพันธ์ในมิติด้านต่าง ๆ คือ เป็นความสมดุลทางหลักความคิด ความสมดุลทางหลักการพูด ความสมดุลทางหลักกาปฏิบัติ รวมถึงความสมดุลในมิติ อื่น ๆ ซึ่งเมื่อความพอเพียงเป็นการไม่ไปเบียดเบียดตัวเองและคนอื่น รวมทั้งการไม่ไปเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมด้วยแล้ว ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในลักษณะดังกล่าวเป็นความสัมพันธ์ในเชิงอุดหนุน ส่งเสริม เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เป็นการดำเนินความสัมพันธ์ที่แสวงหาประโยชน์ส่วนรวม ไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นเป้าหมายหลัก เพื่อนำไปสู่จุดสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง แทนการนำไปสู่จุดวิกฤติเป็นไปในลักษณะของความสมดุลที่เกี่ยวเนื่องกับ “สัมมาวายามะ (พยายามชอบ)” นั่นเอง
๔. ความสุขบนวิถีของการสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ
การสร้างภูมิคุ้มกัน คือ ความสามารถในการรองรับหรือรับมือกับสภาวการณ์ ความผันผวน และการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก ความพอเพียง ทำให้เกิดความสมดุลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น จึงได้รับผลกระทบไม่มาก และสามารถกลับสู่จุดสมดุลได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปในลักษณะที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ “สัมมาสติ (ระลึกชอบ)” นั่นเอง
ความสุขมวลรวมประชาชาติในทัศนะแห่งเศรษฐธรรมก็คือ การดำรงชีวิตที่ประยุกต์ใช้ในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่มุ่งเน้นในความพอประมาณ ความสมเหตุสมผล ความสมดุล และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตนเองและสังคม โดยที่ในสภาวะแห่งความพอเพียงดังกล่าวก็เนื่องกับอริยมรรคมีองค์ ๘ (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ) ที่ถือเป็นทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ซึ่งเป็นมรรคานำพาไปสู่ความศานติสุขในสังคม
ในองค์ประกอบของความสุขมวลรวมประชาชาติที่เกี่ยวเนื่องกับอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้นสิ่งสำคัญคือ เป็นการอธิบายเพื่อให้เห็นถึงตัวเด่นที่ชัดเจนในแต่ละสภาวะของความพอเพียง (พอประมาณ สมเหตุสมผล สมดุล และภูมิคุ้มกัน) แต่สาระสำคัญอยู่ที่ ในทุกองค์ประกอบล้วนต้องมี สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) และสัมมาสติ (ระลึกชอบ)มาเป็นกรอบใช้ควบไปในองค์มรรคทั้งหลาย กล่าวคือ ความเพียรพยายามคอยเกื้อหนุนปลุกเร้าไม่ให้ย่อท้อในการพิจารณาและกระทำในแนวทางที่ถูกต้องแห่งสภาวะ (ธรรม) ตามจริง รวมทั้งต้องมีสติกำกับดูแลทำให้ไม่ลืมเลือนหรือสับสนหลงทางในการบริหารกระบวนการของความพอประมาณ ความสมเหตุสมผล ความสมดุล และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งในกระบวนการแห่งความสุขมวลรวมประชาชาติ อาจกล่าวโดยสรุปลงไปดังภาพได้ว่า
๑ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
๓ ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุผล และ มีภูมิคุ้มกันในตัว
๒ เงื่อนไข คือ เงื่อนไขความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรม
.... ดีใจที่ได้อ่านผลงาน ... บันทึกดีดีนี้ ค่ะ ..... ขอบคุณค่ะ
ได้อ่านธรรมมะบวกเศรษฐศาสตร์เลยครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณที่ช่วยกันเผยแพร่หลักปฏิบัติดีๆเช่นนี้ค่ะ
...มุมมอง..ของ..สิทธารถะ...สมัยใหม่..เสมอ..(จริงๆ)..นะเจ้าคะ...ยายธีค่ะ
ขอบคุณ : อาจารย์P'Ple อาจารย์ขจิต อาจารย์พี่ใหญ่ อาจารย์พจนา และคุณยายธี มากครับ ที่แวะมาให้กำลังใจ
ขอบคุณ : กำลังใจจากทุกท่านที่มอบผ่านดอกไม้นะครับ
พอจะเข้าใจบ้าง ขอบคุณมากค่ะ