innovation for sustainable นวตกรรมเพื่อความยั่งยืนและพอเพียง


มาที่ "ชายขอบ" จึงก่อกำเนิด paradigm ใหม่

วันนี้ ได้รับเกียรติไป ทาน Dim sum  ที่ห้อง dynasty รร Central Plaza   คุณหมอธงชัย ทวิชาชาติ   ท่านเลี้ยงผม

ท่านเป็นคนเก่งมาก   ลูกน้องก็เก่งๆหลายคน

ท่านทำ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย Thailand Center of Excellence for Life Sciences  ย่อว่า TCELS (ที เซล)

 

ผมก็ได้ เกลียวความรู้กับท่านหลายเรื่อง  โดยเฉพาะ เรื่อง การทำนวตกรรม  ที่หลายคน มุ่งไปที่ High tech 

จริงๆแล้ว  ระดับ basic tech เรายังทำไม่เป็นเลย    แต่ ถ้าจะไป high tech จริงๆ  เราก็ น่าจะทำ high tech ไปเพื่อ "ความยั่งยืน" และ "พอเพียง"

High tech เพื่อ "ความพอเพียงและยั่งยืน"  ก็ใช้ นวตกรรมได้

ใครคิดนึก นวตกรรมเพื่อความพอเพียงและยั่งยืน  ไม่ได้ ก็ขอให้นึกถึง ในหลวงฯ ของเราให้มากๆไว้  พระองค์ทรงเมตตาสอนพวกพสกนิกรอย่างเราๆไว้ 

เรา เสพ "ความรู้" ที่ต่างชาติ เคี้ยวและคายให้  ด้วยทุน ด้วยเงินมหาศาล (ยืมมาอีกต่างหาก)   

แต่ ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว  และ เขาก็ขาย และ คายให้เรา แบบหมกเม็ดมาแล้ว   เราก็เอามา "ต่อยอด"หรือ ทำ วิศกรรมย้อนรอย (reverse engineering) หรือ copy & development 

แต่เชื่อเถอะ   การเอามาต่อยอด มาลอกเลียน ฯลฯ  โดยพื้นฐาน basic tech ไม่แน่น  เราก็ ลอกไม่เป็น  ต่อยอดไม่ได้

ตัวอย่าง basic tech เช่น  

เราทำแม่พิมพ์โลหะ และ พลาสติก สู้ ฮ่องกงไม่ได้

เรารู้จัก การชุบโลหะ การหล่อโลหะ ฯลฯ  สู้อินเดีย ไม่ได้

เรา ประกอบรถยนต์  ดาวเทียม คอม ฯ   แข่งสร้างหุ่นยนต์  ฯลฯ ได้   ซึ่งมันฟังดูดี เก่งจังเลย ทำได้มากมาย เด็กไทยทำได้       แต่ ถ้าดูให้ดีๆ จะพบว่า "เศร้า"  เราทำไม่เป็น เราแค่ "ประกอบ"เป็น   

 ดังนั้น   เราก็ควรเรียนรู้ตั้งแต่ basic knowledge ให้แน่นๆ  เพราะ ตามหลักของทำนวตกรรม เน้นเรื่อง paradigm shift  (PD)   และ PD ก็เน้นว่า  ทุกครั้งที่จะออกนอก Paradigm ต้องมาเริ่มที่ ศูนย์ ครับ

มาที่ "ชายขอบ"  จึงก่อกำเนิด paradigm ใหม่

(คำว่า "ชายขอบ" น่าจะมาจาก คำว่า paradigm boundary)

 

การทำ นวตกรรม แบบต่อยอด  มักจะได้ นวตกรรมที่ไม่ยั่งยืน  และ หลงอยู่ใน paradigm เดิมๆ

ออกนอกกรอบไม่ได้สักที

หมายเลขบันทึก: 53165เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2006 21:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 22:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

ขออนุญาตขอคำแนะนำครับ

- เราจะวัด หรือเพิ่ม Basic Knowledge เราได้อย่างไรครับ จะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่ต้องรู้ไปหมดทุก ๆอย่าง ถ้าเราเริ่มจากงานที่เราทำ และวิชาเอกที่เราจบมา แล้วเสริมเรื่องการพยายามเติมในสิ่งที่ขาด จากการทำงานจะพอไหวไหมครับ ปัจจุบัน จะติดว่าต่อยอด แต่ก็เหมือนซื้อเขามา ยืมจมูกเขาหายใจอีกต่อ

- งานประจำที่มีอยู่ทุก ๆวันยุ่งมาก บางครั้งก็คุมสติอยู่ บางครั้งก็แทบแย่ไปเหมือนกัน บริหารเวลายังไม่กลมกลืน ลงตัว และทำในสิ่งที่สำคัญ เกิดความสับสน

- การไปให้ถึงชายขอบ ต้องทำให้สิ่งที่เราไม่เคยทำหรือเปล่าครับ และพอไม่เคยทำแล้วเราจะเริ่มอย่างไรครับ

ขอบคุณมากครับ

การบริหารภายใต้  เวลาจำกัด  ทรัพยากรน้อย ลูกน้องไม่มีคุณภาพ  ฯลฯ   เป็นอะไรที่ ตามแนว ทฤษฎีใหม่  อยู่อย่างพอเพียงและยั่งยืนทั้งสิ้น

(ก) เราจะวัด หรือเพิ่ม Basic Knowledge เราได้อย่างไรครับ ?

-  คงต้อง มาทำ Mind map เพื่อดู "ความรู้" ที่จำเป็น ตัวอย่าง เช่น  ผมทำ เซรามิกส์ เคลือบใบพัดไอพ่น   ผมก็ต้องกลับไปที่ ศูนย์  โยน paradigm ออก   กลับไป "ทำ" เรื่อง การเคลือบแบบง่ายๆ  จนเห็น การแตก การร่อน การโก่ง การงอตัว ฯลฯ สารพัดแบบของเซรามิกเคลือบ    

- โยน อัตตาตัวตนเอง  ลงไป ทำงานระดับล่าง ของการวิจัย  ออกไป เจอ ชุมชน  ไปทำนาจริงๆ  ไปปั้นหม้อ 

- ใหม่ๆ เราจะไม่กล้า ลงไป "คลุกฝุ่น ติดดิน" เพราะ เคยชินกับ การศึกษาที่มีคนมาป้อน ฝันเอา จินตนาการเอา จำเอา ตามตำรา ฯลฯ  เรียนจบมหา ฯ ที่ อาจารย์ปิ้งแผ่นใส พ่นๆ น้ำลายเต็มห้อง   เสพความรู้  ทดสอบว่าคิดparadigm เหมือนอาจารย์ไหม  ฯลฯ 

- ผู้บริหาร องค์กรทำวิจัย  คงต้อง สละเวลา ให้ ลูกน้อง ได้ ออกไปเข้าค่าย  เช่น ในนอร์เว  มีค่าย ชื่อ "Team academy"   เป็นค่าย ลงไปพื้นฐาน  ไปฝึก ดีดparadigm ก่อน

- ผู้บริหารงานวิจัยไทย เป็นอดีตอาจารย์ อดีตผู้บริหาร อดีตข้าราชการ เยอะ   ก็มีข้อเสีย คือ ฉลาดเกินไป  เป็นคุณอำนาจจนเคยตัว  ขาดความเข้าถึง"ใจ"  มองภาพรวมแบบกว้างๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  ติดนิสัยราชการ จุกจุก จู้จี้  ระแวง

ในหลายๆองค์กร  ผู้บริหารระดับ ผอ md ไม่ค่อยเท่าไร  แต่   พวก บอร์ด  นี่ "บอด" กว่าครับ

เอา paradigm เดิม เติมฝันใหม่  เก่งเมื่อ สิบก่อนมาสร้างอนาคตใหม่ 

 

(ข) งานประจำที่มีอยู่ทุก ๆวันยุ่งมาก บางครั้งก็คุมสติอยู่ ?

- เรียนเป็นทีม   สุมหัวกันทำ   แบบไทยๆ คือ ตัวใครตัวมัน  one man one project    แย่งงานวิจัยกัน   หยิ่งไม่ ล้อมวงคุยกัน  ติดขัดก็เงียบ ก้มตาก้มตา อ่านๆๆๆๆๆๆๆๆๆ   

- ทำผิด นายก็ด่า   หาว่าช้า หาว่าขี้เกียจ

- เจอ ระบบ ISO ระบบต่างๆ มากมาย จน ทำวิจัยแบบ กดๆ  เครียดๆ  กติกามากไป

- ผู้บริหารไม่สนับสนุน    ต้อง ดูตัวอย่างที่ดี  ของ นพ ธงชัยสิครับ   ท่าน คุณเอื้อ คนหนึ่งเลยนะครับ  และ มี การคุยกันทุกเช้าด้วย

- จัด ลำดับความสำคัญของงาน

- การแบ่งเวลาไปทำสมาธิ = การทำ defragment ของสมอง    ที เครื่องคอมฯ ยัง defrag แต่ สมองกลับไป "ไม่จัดระเบียบ"

- การเข้าค่าย EQ  สำคัญมากๆ  ที่ ปูนฯ เน้น เรื่อง "สติ" 

- ที่ nasa ผม  ให้ อจ มหา ฯ สาม สี่แห่ง เอกชน และ ผมในนาม nasa    วิจัยเรื่องเดียวกันครับ  ซ้ำกันก็ได้  แล้ว ประชุม ลปรร ทุก หกเดือน   โดยหัวข้อวิจัย  มาจากการวิจัยพบว่า เร่งด่วนที่สุด ต่อแผ่นดิน  หรือ  ใช้ ความสมัครใจ ว่า ใครจะเข้าวิจัยใน กลุ่มสาขา หัวข้ออะไร  เช่น  ค่า gravity เป็นศูนย์    โลหะแบบcomposite เป็นต้น 

(ค)  การจะไปชายขอบ  

- ต้อง กล้า ลอกคราบ  กลับมา เป็นคนโง่   ไม่รู้อะไร  มาที่ พื้นฐาน   ทำบ่อยๆ  จะต่อยอดได้เอง

- นักวิจัย  ต้องมีมาด เล่นๆ จี้ๆ สนุกๆ   ล้อมวงคุย  ทำกิจกรรมกลุ่มทางวิชาการบ่อยๆ    ไปเดินในป่า ในหน้างาน ฯ  ไม่ใช่  มาดราชการ มาดคุณนาย  มาดเด็กห้อง lab   แบบที่เราเป็นกันอยู่

- การทำผิดบ่อยๆ   นี่แหละ  กระบวนการเรียนรู้ 

- ทำ ๆๆๆๆๆๆๆๆ  อย่าหยิ่ง เชิญคนอื่นๆ มาคิด  เชิญ ช่าง  เชิญลูกค้า   ชาวบ้าน คนแก่  ฯลฯ

 

 

ขออนุญาตปรึกษาอาจารย์เรื่องปัญหาเสริมที่ติดในใจคือ

ระหว่าง Leadership และ Management คือ Leadershp พยายาม Empowerment ดึงศักยภาพของการทำงานออกมา เกิดแนวคิดใหม่ ๆ (เขาว่าใช้สมองขวา) แต่ Management จะเน้นการควบคุม KPI (ใช้สมองซ้าย) แล้วสงสัยว่าข

-เราจะรักษาสมดุลย์อย่างไร ในเชิงหมวกดำคือ ถ้า Empowerment มาก ๆอาจเกิดการทุจริต หรือมองในเชิงลบ จากทางตรวจสอบ ซึ่งอาจจริง หรือไม่จริง (ยังไม่รู้) และตัว FA อาจจะเดือดร้อนด้วย จึงเกิดความระแวง

-การเป็น FA บางครั้งเจอทีมงานรู้ว่าจิตตก คงต้องฝึกต่อไป มีตัวแปล เช่น หัวหน้ากลุ่ม กับทีมเหมือนมีอคติฝังใจบางอย่างในเชิงลบกันในงาน พูดมากกว่ารับฟัง และไม่ Trust และตัว FA เองก็ไม่ Firm ทั้งด้าน Knowledge และ Sill และเจอรุมด้วยกระสุนหลายนัด กิจกรรมต่าง ๆที่จัด มักจะโดดกัน หรือเข้าร่วมช่วง 1-3 วัน พอกลับมาก็เหมือนเดิม

ด้วยความเคารพครับ

ระหว่าง Leadership และ Management ?

- Leadership (L)  เป็นหัวข้อ ที่ ผู้บริหารสอบตกครับ

- L เป็นเรื่อง คำพูด ท่าทาง กิริยา ภาษากาย จิตใจ วิธีคิด ฯลฯ  ที่ ผู้บริหาร ขาด skill อย่างแรง และ ไม่ยอมรับ

- Management (M) เป็น เรื่องที่เรามัก ซื้อ ฝรั่ง ซื้อ ญ๊ปุ่น  มา เข้าใจเอง เอออเอง  จ้างที่ปรึกษา  ฯลฯ  พูดง่ายๆ คือ ผิดๆ ถูกๆ   เช่น  TQM TPM 5S QCC ฯลฯ    ซึ่ง M ไม่เอาไหน  ก็เพราะ L  อีกนั้นแหละ

- Empowermwnt (E) ก็อยู่ที่ L อีกเช่นกัน   ผู้บริหารต้องสร้าง "วิธีคิด" "บรรยากาศ" "วัฒนธรรม"  ซึ่งมันขัดกับ กระบสนทัศน์เดิมๆ (Paradigm) ของพวกเขา 

ถ้าอ่านใน good to great จะพบว่า  การจะ E เราก็ต้อง ให้ พนักงาน( พนง) ลองทำ ใน "ขอบเขต" (tolerance) ที่จำกัดก่อน  หัดค้นหา "ใจ" ก่อน  สร้าง "กำลังใจ" ก่อน   ค่อยๆ ทำ จากง่ายไปยาก   (อย่างที่ "ครูสมพรสอนลิง" สอนไว้)   เช่น  ทำ โครงงานนำร่อง / ทำ  OK do it  / ทำ Quick win reward / เป็นต้น

การทำ E ไม่ใช่ โยนให้ พนง ทำทั้งหมด  ต้องค่อยๆ โยน ค่อยใส่ ค่อยป้อน  ไม่งั้น สำลักตาย

การทำ E เป็น art นะ   ส่วนเรื่อง การโกงนั้น ก็ไม่ยากอะไร  มีการกำหนด งบ ฯ  มีการตรวจสอบบัญชี 

จะทำ E ก็ต้อง วางแผนให้รอบคอบ   ไม่ว่าจะเป็น เลือกคนให้ถูกกับงาน   เลือกคนให้เหมาะกับนาย เลือกนายให้เหมาะกับลูกน้อง  ระบบการจัดการที่ดี 

โดยทั่วไป เราใช้ คำว่า Enable  มากกว่า Empowerment  และ ไปวัด กันที่ Ownership (O)

ตัว O นี่แหละ ที่วัดบ่อยๆ  วัดที่พฤติกรรม   

เจ้านาย บ้า results ก็  พังครับ

เจ้านาย เจ้า อารมณ์  ก็พัง

เจ้านาย ไม่เอานิสัย ชั่วๆ  ในตัวออกไป ก็เซ็ง พัง กันหมด

หา เจ้านาย ที่กล้า hansei ยอมรับว่า ตนเองผิด

หา เจ้านาย ที่กล้า เปลี่ยนแปลงตนเอง  กล้าปฏิบัติธรรมควบคู่ปฏิบัติงาน 

 

หัวหน้ากลุ่ม กับทีมเหมือนมีอคติฝังใจ ?

-  แสดงว่า ผู้บริหาร ไม่เก่งพอ  คือ ไม่ลงมาดู พฤติกรรม ของ Fa กับ ลูกน้อง

 - แสดงว่า ผู้บริหาร ไม่ได้ ทำกิจกรรม ละลายพฤติกรรมบ่อยๆ ให้พอเพียง

- ขาดการทำ reflection ที่ สะท้อน "ใจ" ออกมา  นี่แหละ  ผมถึงเน้นนักหนาว่า ฝึกสติ ฝึกธรรมะ    .... พวก หัวไม่เอาธรรมะทั้งหลาย  ก็ต่อต้านผม  บอกว่า รำคาญธรรมะ  ... ผลมันก็ออกมาแบบเดิม  ใช้ Paradigm เดิมๆ แก้ปัญหา

- การเข้าค่าย C-Cement   ช่วยได้มาก  เพราะ เป็นการ "เรียนรู้วิธีเรียน"  เป็น action learning เป็น constionism learning  ซึ่งต้องใช้เวลา เข้าค่ายอย่างต่อเนื่องเป็นเดือน (ออกมาจากงานประจำ อย่างสิ้นเชิง)  ... ซึ่ง จะมีสัก กี่องค์กร  กล้าทำ ค่าย ฯ นี้   แต่ ใน USA / norway / SIngapore/ ทำกันตลอด   ....

- เข้าค่าย EQ camp (ตั้งชื่อ ให้ ไม่เป็นแนวธรรมะ เพราะ เหล่า เกลียดธรรมะ มีมาก  จะ ต่อต้าน  และ ที่แสบคือ ผู้บริหาร นั่นเอง ที่ ห่างไกลธรรมะ

- เขาต้องทำ FA camp ครับ   และ ต้องมี Fa of Fa 

- พวก Fa เอง ก็ต้อง เจอกัน   show &share กัน บ่อยๆ   เดือนละครั้งก็ยังดี  หรือ chat กันทาง MSN ก็ได้    มี webboard ของ ชาว Fa จะได้ ลปรร กัน

- ผู้บริหารระดับสูง กับ Fa นี่แทบจะ เป็นพี่น้องกันเลย คุยกันบ่อยๆ  chat กันสมำเสมอ 

- ผู้บริหารระดับสูง ต้อง ลงมา คลุกคลี กับ Fa  มิฉะนั้น จะเป็น นายพลแบบหอคอยงาช้าง   ถ้าเราอ่านในประวัติศาตร์ จะพบว่า นายพลแบบสั่งๆๆๆ แล้ว นึกเอาเองว่า ลูกน้องเข้าใจ   หรือ ด่าว่า ทำไมลูกน้องโง่จัง  ....  นายพลแบบนี้ แพ้ หัวขาด ในทุกสนามรบครับ

 

เราขาด รร สอนผู้บริหารครับ

ผู้บริหารของเรา มี paradigm ;

(ก) ต้องให้ฝรั่งสอน

(ข) คนสอนต้องเก่งกว่าข้าฯ   (นี่แหละ พวก มีอัตตา ก็ตายเพราะอัตตา)

(ค) ไม่มีเวลา

(ง) ง่ายๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย

(จ) เรื่องผลงานมาก่อน ใครไม่ดี  ไล่ออก หาใหม่

(ฉ) เงินเดือนสูง โบนัสงามๆ   ใครก็ทำให้ขาดใจ

นี่แหละ  ที่ทำให้ ประเทศนี้ โดน กลืน โดนซื้อ ไปจนสิ้นชาติ  ฮ่าๆๆๆ  

 

Constructionism learning = การที่เราฝึก จนผู้เรียน  เรียนรู้ที่จะเรียนเองเป็น  สร้างคำถาม หาโจทย์  กล้าคิด กล้าทำ กล้าถาม กล้าลอง 

เป็นการสร้างองค์ความรู้ จากใน "ใจ" ออกมา  รู้ใจตนเองก่อน  เจอ "ธรรม"ที่ใจก่อน   แล้ว เรื่อง ภายนอก ก็จะเรียนได้โดยง่าย

ไตรสิกขา = เรียนรู้  อธิจิต อธิศีล อธิปัญญา  (อธิ = ใหญ่  สำคัญ  เป็นmajor เป็น necessary )

ไล่เรียงไป เป็น step ดังนี้

  1. อธิจิต  = จะเรียนรู้ "จิต" ได้  ก็ต้องมี สติ   ดังนั้น ฝึกสติก่อน
  2. อธิศีล  = คือเป็นปกติที่ใจ    จะทำใจให้ปกติได้ ก็ต้อง รู้จิต  และ จะรู้จิตได้ก็ต้องมีสติ
  3. อธิปัญญา = ความคิดที่ออกมาตอนจิตเป็นปกติ  จะทำจิตให้ปกติ เป็นศีล( ศีล แปลว่า ปกติ) ก็ต้องหาใจเจอ  ซึ่งจะหาใจเจอได้ ก็ต้องมีสติ

 

เรียนท่านไร้กรอบ

 เห็นด้วยครับ บางท่าน บางหน่วยงาน สนใจแต่ Result

 เหมือน "เข้าป่า ไม่เห็น ต้นไม้"

  • มาเก็บเกี่ยวครับอาจารย์
  • "เข้าป่า มองเห็น แค่ต้นไม้ ยังไม่พอ ต้องสามารถมองเห็น ป่าด้วย"  ครับ
  • ลปรร.

ขอเสริม เชิง เกลียวความรู้ นะครับ 

  • ในทางธรรม  "เมื่อเห็นป่า แล้วก็เห็น  "จิต" ของเราด้วย"  
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท