ช่วงหนึ่งของชีวิตเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้ว ผมได้เป็นอาจารย์พิเศษของโรงเรียนศิลปะเอกชนแห่งหนึ่ง เป็นการทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย มีความประทับใจอย่างหนึ่งที่ไม่เคยลืม ซึ่งได้รับจากลูกศิษย์...ลูกศิษย์ให้การเรียนรู้และความทรงจำแก่ผมมากอย่างยิ่ง อยากเก็บมาเล่าเป็นแรงบันดาลใจเพื่อการมีความสุขศานติร่วมกัน
กลุ่มที่ผมสอนนี้ เป็นนักศึกษาภาคพิเศษ จำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวผู้มีฐานะดี อีกทั้งเป็นกลุ่มมาเรียนกวดฝีมือและเพิ่มพูนทักษะตนเอง ในจำนวนนักศึกษากว่า 20 คนนั้น มีลูกศิษย์ที่เป็นไบ้มาเรียนอยู่ด้วย 4 คน เป็นชายทั้งหมด บุคลิกภายนอกดูร่าเริง ปราดเปรียว และสง่า หากไม่สังเกตคงไม่สามารถรู้ว่าทำไมเขาไม่ค่อยพูด
จะโดยที่เขามีข้อจำกัด หรือตรงกับความถนัดเป็นพิเศษของพวกเขาหรืออย่างไรก็แล้วแต่ ทั้ง 4 คนแสดงออกทางการเรียนดีกว่าเด็กปรกติ ทั้งโดยความสนใจ ฝีมือ และความมุมานะต่อการเคี่ยวกรำตนเอง หลังจากมอบหมายโจทย์เพื่อการเรียนรู้จากการปฏิบัติแล้ว ผมจำเป็นต้องปลีกตัวประกบให้การแนะนำเป็นรายบุคคลแก่พวกเขา บางครั้ง ผมใช้วิธีแบบครูที่เคยสอนผมคือ ใช้วิธีพาทำ...ผมมักนั่งวาดคู่กับเขา หรือเขียนเพื่อการสาธิตและสื่อสารกับเขาโดยตรงอย่างเป็นการจำเพาะ พวกเขามีความคืบหน้าได้เร็ว ไม่ดีมาก แต่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดว่าเขาสามารถจับหลักขึ้นมาได้ด้วยตนเอง ก็ไม่แปลกใจมากไปกว่าชื่นชมว่าดีใจที่พวกเขาสอนขึ้น...หมายถึงฝึกหัดได้ดีมาก
เวลาพักเที่ยง พวกเขาก็เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้ว ก็มักมานั่งฝึกเขียนเอง มีเพียงอาการแสดงออกเท่านั้น ที่พวกเขาจะเล่นหัวกันพร้อมกับเขียนรูปอย่างจริงจัง ทว่า ทั้งห้องเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ หลายครั้งผมจะรีบกินข้าวและกลับมานั่งในห้องเรียน เขียนรูปไปกับพวกเขา
วันหนึ่ง หลังวันหยุดของปลายเทอม ผมก็พานักศึกษาเรียนและฝึกเขียนรูปตามปรกติ ทว่า หลังพักเที่ยง เมื่อเพื่อนๆไม่อยู่แล้ว ลูกศิษย์ 1 ในลูกศิษย์ไบ้ ได้เดินมาไหว้ผม เราสื่อสารกันด้วยวิธีเดิมดังเช่นทุกวันคือ สลับกันเขียนบนกระดานเสก๊ตช์ เขาบอกว่าพ่อแม่พาเขาไปเที่ยวภูกระดึงมา เขาเอากระดานเสก๊ตช์และเครื่องมือติดไปเขียนรูปด้วย เขามีความสุขมากที่ได้ไปเที่ยว โดยเฉพาะไปกับทั้งพ่อ-แม่ เสร็จแล้วเขาก็ล้วงไปในอกเสื้อ เป็นใบเมเปิ้ล 1 ใบยื่นให้ผมแล้วก็ไหว้
เขาบอกว่า เขาคิดถึงอาจารย์ของเขาที่ทำให้เขามีเครื่องมือเข้าถึงตนเองคือการวาดรูป เป็นความคิดถึงในขณะที่เขาอยู่กับพ่อ-แม่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ภูกระดึง.....แทนห้วงความรู้สึกนั้น เขาบอกว่าเขาจึงเก็บใบเมเปิ้ลนี้มาฝากผม
มันปลิดจากขั้วหล่นอยู่กลางดินแล้ว ทว่าเขากลัวมาก เพราะเขาเห็นป้ายประกาศว่า การเก็บอะไรออกมาจากภูกระดึง เป็นการผิดกฏหมาย เขาจึงเก็บมาใบเดียวและซ่อนไว้ในเสื้อ ไม่ได้บอกพ่อแม่ให้กังวลใจตาม อีกด้วย ตลอดเส้นทางขากลับกว่า 700 กิโลเมตรจนถึงบ้าน เขาไม่สามารถนั่งหลับได้เลย ทั้งกลัวและหวงแหนสิ่งซึ่งดูเหมือนไร้ค่า
เขาเขียนปิดท้ายบอกว่า....แต่เขาอยากเก็บมาขอบคุณอาจารย์ ภาษาการบอกความมีคุณค่าต่อเขานั้น มีพลังอย่างยิ่ง
ผมเก็บใบเมเปิ้ลของเขานี้ไว้กับตนเองตลอด ไม่ว่าจะย้ายตนเองไปที่ไหน กว่า 20 ปี ซึ่งมันเป็นความทรงจำที่ให้ปัญญาอย่างยิ่งแก่ผมเสมอว่า โลกใบงดงามที่อยู่ในตัวเขานั้น มันเข้าไปได้อย่างไร เขาสามารถเรียนรู้และบ่มเพาะให้มันเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่สามารถพูด ไม่สามารถได้ยิน...เหมือนคนผู้ปรกติ
ความเข้าอกเข้าใจ ความรัก ความผูกพัน ความรู้สึกเอื้ออาทร ความเคารพนับถือกัน รวมไปถึงการรู้จักซาบซึ้งกับโลกรอบข้างนั้น สามารถส่งผ่านผิวสัมผัส สายตา จมูก และปาก หรือเครื่องมือการรับรู้ที่เหลือ โดยปราศจากถ้อยภาษาได้อย่างไรละหรือ....นอกเสียจาก การสัมผัสด้วยหัวใจ.
"ให้กำลังใจ..อาจารย์ครับ บนโลกใบนี้ยังมีคนดี ๆ อีกเยอะครับที่จะอยากทำเหมือนอาจารย์ครับ
อ่านบันทึกของของอาจารย์อย่างมีสุขครับ
การสื่อภาษาด้วยใจ ด้วยสายตาม บางทีก็ลึกซึ้งมากเกินกว่าจะเขียนเป็นคำพูดได้
ใบเมเปิล นั้นมีคุณค่ามากทางใจ เป็นสิ่งหนึ่งที่แทนความรู้สึกดีๆ ของคนหนึ่งคนมีให้
ขอบคุณอาจารย์ครับ
มีกลุ่มนักวิจัยน้องๆ และกลุ่มสหวิชาชีพทางสุขภาพ มาชวนหารือกันว่าอยากจะพัฒนารูปแบบการฟื้นฟูหลังการผ่าตัดผู้พิการปากแหว่ง เพดานโหว่ กลุ่มเด็กและเยาวชน เลยแวะเข้ามาทบทวนดู เลยก็ขออัพบล๊อกและขอขอบคุณคุณสรชาย้อนหลังนะครับ คิดว่าไม่มีใครเข้ามาโพสต์แล้วนอกจากเข้ามาอ่าน เลยไม่ทันได้สังเกต ขอให้มีความสุขนะครับ
ซาบซึ้งจังค่ะอาจารย์ ทุกสิ่งสัมผัสรับรู้ได้ด้วยหัวใจ ขอบคุณค่ะ :)
อ้าว สวัสดีครับคุณแสงแห่งความดีและคุณปูครับ
ขอบคุณรูปใบเปิ้ลของทั้งสองท่านมากนะครับ นอกจากสวยงามแล้ว ทำให้ผมได้มีโอกาสรำลึกถึงสิ่งดีๆที่สืบเนื่องกับบันทึกนี้ มันมีเรื่องที่แปลกมากที่อยากทำบันทึกและหมายเหตุต่อเนื่องไว้ ซึ่งก็เกี่ยวข้องกับใบเมเปิ้ลและบันทึกนี้อีกด้วยครับ
มีอยู่ปีหนึ่ง พวกเราหมู่คนทำงานแนวประชาคมและคนที่สนใจเรื่องสังคมวิถีประชา ซึ่งบางคนก็สนใจการเมืองภาคประชาชน บางคนก็สนใจเรื่องสื่อภาคพลเมือง บางคนก็สนใจวิถีธุรกิจที่ถือเอาความเป็นมนุษย์และความเป็นสังคมที่ยั่งยืนเป็นตัวนำ ผมเองนั้นก็สนใจการวิจัยและพัฒนาการเรียนรู้ในวิถีประชา
คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มสนใจเล็กๆนิดเดียวแต่เป็นขุมความคิดของประเทศ และจะว่าไป บางคนความรู้ทันความเปลี่ยนแปลงของโลกแบบจ่อท้ายทอยกันเลย ผมนี้ประสบการณ์เป็นนักเรียนน้อยๆมาก แต่ผมชอบทำงานกับคนที่คิดอย่างมีจิตใหญ่ เรื่องลำบากตรากตรำเพราะเป็นกลุ่มเล็กๆหรือไม่ค่อยมีพวกเยอะจึงเรื่องเล็ก
ปีหนึ่งพวกเรานัดเจอกันที่บ้านของสมาชิกในกลุ่ม ไปกินข้าวและคุยเรื่องสังคม บ้านเมือง และช่วยกัน Scan โลกรอบข้าง แล้วก็นัดแนะกันเพื่อมีกิจกรรมพูดคุย แบ่งปันตัวตน และสร้างความเป็นชุมชนที่อยู่กันด้วยการคุยและฟังกันไปด้วย โดยให้แต่ละคนเตรียมนำเอาสิ่งของไปแลกกัน ขอให้เป็นของที่มีค่ามากที่สุด ณ เวลานั้น แต่อาจจะมีราคาน้อยที่สุด
ผมเลือกเอาใบเมเปิ้ลที่เขียนถึงนี้ไป เมื่อถึงเวลาทำกิจกรรม พวกเราก็คุยและแลกของกันไปเรื่อยๆ ผมนั้นคิดมากเหมือนกัน เพราะแง่หนึ่ง ก็เกรงจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนอื่นๆมากจริงๆ และอีกแง่หนึ่งก็เป็นของที่ผู้อื่นให้ด้วยใจแก่ผมซึ่งผมหวงแหนหอบติดตัวมากว่า ๒๐ ปี แล้วก็ช่างอัศจรรย์ คนที่แลกเปลี่ยนและจับได้ของผมนั้น ก็กลายเป็นคนที่ผมถือเป็นครูและเป็นผู้ที่ผมให้ความเคารพมากท่านหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นท่านเป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล คือ ท่านศาสตราจารย์ ดร.วีระพงศ์ ปรัชญาสิทธิกุล ปัจจุบันท่านเป็นคณบดีคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และต่อมา ผมเคยไปเยี่ยมคารวะท่าน ผมก็เห็นท่านนำเอาใบเมเปิ้ลของลูกศิษย์ผมนี้ไปติดไว้ที่ผนังห้องทำงานของท่าน แปลกจริงๆ มันกลายเป็นสื่อแสดงความเคารพกันในห้วงเวลาที่ห่างกันถึง ๒๐ กว่าปี