ในตอนแรกนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าเพลงนี้จะเป็นที่รู้จักกันในคุนหมิงขนาดนี้...เพราะที่เลือกใช้"ยินดีที่ไม่รู้จัก"ก็ด้วยเหตุที่มันเป็นเพลงจากภาพยนตร์เรื่องล่าสุด...ที่"เรา"ได้ไปดูด้วยกัน ก่อนที่ผมจะมาสอนที่คุนหมิง...เพลงนี้จึงมีไว้เพื่อให้ได้ระลึกถึงวันคืนดีๆในยามที่ต้องอยู่ห่างไกลกัน... (อย่าเพิ่งอ้วกกันนะครับ...ฮ่าๆ) แต่ภาพฝันมักหอมหวานเกินความเป็นจริง เมื่อผมต้องคอยรับโทรศัพท์ในยามวิกาล...เสียงเพลงที่คิดว่าจะทำให้นึกถึงใครบางคนกลับกลายเป็นเสียงที่ทำให้"เม้งแตก"อย่างที่สุด ด้วยเพราะเวลาที่ต้องรับสายนั้นมักอยู่ในช่วงสองทุ่มถึงห้าทุ่ม และหลายครั้งที่มันแหกปากดังในช่วงเที่ยงคืน...กว่าจะเรียนรู้กันจนเป็นที่เข้าใจ ก็ล่วงเลยไปเกือบจะหมดเทอมแรกทีเดียว...มาทราบจากเด็กๆในภายหลังว่า หากต้องการติดต่อกับพวกอาจารย์หรืออยากคุยธุระจะต้องคุยในช่วงเวลานี้ครับ ส่วนช่วงเวลาว่างตอนกลางวันนั้นเป็นเวลาพักผ่อน(12.00 น.-14.30 น.) พวกอาจารย์ชาวจีนมักไม่รับโทรศัพท์กัน...
ตามปกติแล้ว เบอร์ที่โทรฯเข้ามานั้นหากเป็นกลุ่มเด็กๆ(ทั้งไทยและจีน)ก็จะชวนไปกิน-เที่ยว-ตีแบดฯ-ซื้อของ หรือหากเป็นกลุ่มอาจารย์ก็จะไม่พ้นเรื่อง"ทวงงาน" (ที่ซือต้าจะทวงคะแนนสอบ ส่วนที่ม.ชนชาติและม.ซือต้าธุรกิจจะทวงตำรา ...ฮ่าๆ) แต่วันนี้กลับมีเรื่องที่ทำให้ต้องประหลาดใจ...ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมิได้คาดการณ์ไว้ถูกนิยามด้วยคำว่า "บังเอิญ" วันนี้ก็เป็นวันที่ผมบังเอิญได้รับโทรศัพท์เชื้อเชิญให้ไป"กินข้าว"จากเพื่อนอาจารย์และพวกเด็กๆพร้อมๆกัน...และบรรยากาศเช่นนี้เองทำให้หวนนึกถึงครั้งเมื่อแรกมา
จำได้ว่าผมถึงกับต้องออกปากบอกให้เขาหยุดสั่งอาหาร แต่ผลตอบรับที่ได้มีเพียงเสียงปรามจากเจ้าภาพว่า เป็นธรรมเนียมจีนที่ต้องเลี้ยงต้อนรับแขกหรือเพื่อนจากต่างแดนให้เป็นอย่างดี...สำหรับวิธีการสั่งอาหารของชาวจีนนั้น ผมได้รับความรู้จากอ.ลู่เซิน (Prof.Dr.Lu Shen) ม.ชนชาติ ว่า ต้องมีอาหารครบทั้งทางน้ำ (ปลา อาหารทะเล สาหร่าย ฯลฯ) ทางบก (ผัก หมู วัว ฯลฯ) และทางอากาศ (นก ห่าน เป็ด ไก่ ฯลฯ) ฉะนั้นจึงมิต้องสงสัยว่าทำไมบนโต๊ะอาหารของชาวจีนจึงเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายชนิด (ก็เล่นยกมากันครบทั้งสามเหล่าทัพนี่ครับ...ฮ่าๆ) แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เชื่อไหมครับว่า ผมไม่เคยเห็นอาหารประดามีที่อยู่จนเต็มโต๊ะจะเหลือรอดให้ใครได้เสียดาย...เรื่องกินนี้ ต้องขอยอมแพ้ให้ชาวจีนเขาจริงๆครับ
หลังจากที่ผมได้จัดคิว"กินเลี้ยง"เรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งคิดครับว่าทำไมจะต้องไปตามที่เขานัดด้วยหนอ... อย่างพวกเด็กๆนี่ยังดีหน่อยที่ให้เขามาทำอาหารกินกันที่ห้องของผม จะได้ไม่เปลืองเงิน แต่พวกอาจารย์นี่สิหลายคนก็ใช่ว่าจะคุ้นเคยกันมากขนาดที่ต้องพาไปเลี้ยงกันครั้งแล้วครั้งเล่า... ถามตัวเองว่า "เห็นแก่กินรึ"...อาหารจีนก็ใช่จะถูกปากตัวเองสักเท่าไหร่ "เกรงใจหรือ"...แต่ก็เคยปฏิเสธเขาได้นี่นา แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ตกปากรับคำเขาไปอย่างไม่ทัน"ชั่งใจ"...นึกไปนึกมา แล้วคำว่า"เพื่อน"ก็แว้บเข้ามาในหัวทันที
ใช่แล้วครับ วันนี้ผมรับโทรศัพท์จากอาจารย์หลายคนและให้บังเอิญเหลือเกินที่ทุกคน...ขอเลี้ยงส่ง"เพื่อน"ก่อนกลับบ้าน... ผมเองไม่เคยคิดว่าตัวจะไปเป็นเพื่อนกับชาวจีนคนใดได้หรอกด้วยเหตุเพราะ"ภาษา"ไม่อำนวย แต่กลุ่มอาจารย์ที่ชักชวนกันอยู่นี้ ต่างก็เป็นกลุ่มที่ใช้ภาษาไทยพูดกับผมได้นี่นา ...ผมจึงต้องถามกับตัวเองอีกครั้งว่า"แค่สื่อสารกันเข้าใจ เราก็เป็นเพื่อนกันได้จริงหรือ...?"
อย่างกลุ่มแรกที่รับปาก คือ คณาจารย์จากโรงเรียนการท่องเที่ยวคุนหมิง กลุ่มนี้มีอ.Gao Shuang Lian (อ.สิขรินทร์) เพียงคนเดียวที่พูดภาษาไทยได้ อีก 3 ท่านคือ อ.Feng Mei อ.Wang Di (รองผอ.) อ.Sun Lang tao (เลขาฯพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำโรงเรียน) ไม่สามารถสื่อสารกับผมได้ แต่ทุกครั้งที่ไปกินข้าวด้วยกัน ทุกคนจะคอยให้อ.สิขรินทร์ เป็นล่ามให้ ...กลุ่มนี้ที่ผมได้รู้จักก็เพราะเขาส่งเด็กมาเรียนที่มร.ลป. ผมจึงต้องไปสอบคัดเด็กที่นี่ในเทอมสุดท้าย แต่ก่อนหน้านั้นล่ะเราได้ทำอะไรร่วมกันหรือ...จึงมาลงท้ายด้วยคำว่าเพื่อนเช่นนี้ เหตุการณ์ที่พอนึกออกก็มี...ผมไปช่วยเขาแก้ไขความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการประสานงานระหว่างหน่วยงาน...แล้วก็ช่วยประสานงานให้เขาได้คุยและตกลงพัฒนา MOU กับทางมร.ลป.อีกครั้งแค่นั้นเอง
กลุ่มที่สอง คือ คณาจารย์จากมหาวิทยาลัยซือต้าธุรกิจ กลุ่มนี้เป็นอาจารย์ชาวจีนที่สอนภาษาไทยทั้งหมด มีอยู่ด้วยกัน 4 ท่าน คือ อ.แก้ม อ.ฟ้า อ.หญิง และอ.อ้อย ...แต่ก็นั่นแหละ ผมไปที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เพียงไม่กี่ครั้งหรอกครับ จำได้ว่าครั้งแรกไปช่วยอ่านหนังสือให้เขา เพราะช่วงนั้นผมไม่มีอะไรทำ... ต่อมาไปบรรยายการไหว้ของคนไทยให้เด็กๆเอกภาษาไทยชั้นปีที่ 1 ...เพราะรู้สึกทึ่งครับที่เห็นคนจีนเรียนวิชาเอกภาษาไทย ดังนั้นอะไรที่พอจะช่วยได้ผมก็พร้อมเต็มใจช่วย...หลังจากนั้นก็มีตอนที่พาเด็กๆคนไทยไปแสดงรำสี่ภาคในงานรดน้ำดำหัวอาจารย์ผู้ใหญ่ เพราะอยากทำให้ที่นี่มีบรรยากาศการเรียนการสอนภาษาไทยที่ดี เด็กๆและคุณครูจะได้มีกำลังใจพัฒนาภาษาไทยให้ดียิ่งๆขึ้นไป (ยอมรับเลยครับว่าช่วงนั้นมีใจและมีไฟจะทุ่มให้กับเด็กๆที่นี่มาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก..อีกส่วนคือ เหมือนเราเป็นฑูตทางวัฒนธรรม เขาอยากรู้อะไรหากผมทำได้ ผมก็จะทำให้ครับ) ...และครั้งสุดท้ายคือตอนที่เขาสนใจคุยกับทางผู้บริหารของมร.ลป.เพื่อพัฒนา MOU ทางวิชาการระหว่างกัน
กลุ่มที่สาม คือ อาจารย์จากม.ชือต้าที่ผมสอนอยู่มีอ.หลี่และอ.หู ผมไม่แน่ใจว่าทั้งคู่รู้จักกันหรือไม่ ทั้งนี้เพราะผมได้รู้จักกับทั้งคู่ต่างกาลต่างกรรมกันครับผม เริ่มที่อ.หลี่(Dr.Li) อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์จีน ผมได้รู้จักกับท่านเพราะขึ้นรถไปสอนที่วิทยาเขตเฉิงก้งคันเดียวกัน ...เหตุการณ์เริ่มจากที่มีนักศึกษาคนหนึ่งโทรเข้ามาหาผมเพื่อขอลาหยุดเรียนเนื่องจากเขาไม่สบาย...อาจารย์หลี่ได้ยินเสียงเรียกเข้าและได้ยินผมพูดภาษาไทย...เลยเข้ามาแนะนำตัวให้ผมได้รู้จัก... และได้ทราบว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว อ.หลี่เคยไปสอนภาษาจีนให้กับโรงเรียนมัธยมในจ.ลำปางและจ.เชียงใหม่ ท่านรู้สึกรักและประทับใจประเทศไทยเป็นอย่างมาก และหลังจากกลับมาอยู่คุนหมิง หากมีโอกาสก็จะพาครอบครัวไปเที่ยวที่ประเทศไทยทุกครั้งหรืออาจเรียกได้ว่า ท่านไปเที่ยวประเทศไทยทุกปีก็ได้ครับ ส่วนอีกท่านคือ อ.หู (Prof.Dr.Hu Deying) ท่านนี้เป็นเจ้านายผมเองครับ เรารู้จักกันเพราะระบบงาน กล่าวคือ ในวันแรกที่ผมมาถึง อ.หูเป็นผู้แนะนำงานทุกอย่างที่ผมจะต้องเจอตลอด 2 ภาคการศึกษา บุคลิกของอ.หู จะค่อนข้างเงียบขรึม ผมเองไม่สนิทกับท่านเลยก็ว่าได้ และหากเป็นเมื่อก่อนที่ได้รู้จักในครั้งแรกๆ...ผมคงคิดว่าการนัดเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นนี้ ก็คงไม่พ้นเพราะบทบาทหน้าที่ที่ท่านได้รับมากกว่า...หากแต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นานนี้ ทำให้ผมต้องมองท่านใหม่ เพราะได้ทราบจากน้องๆที่ช่วยประสานงานระหว่างผมกับอ.หูว่า ท่านกล่าวชมเชยผมต่อท่านรองอธิการบดีมร.ลป.ที่เดินทางมาทำ MOU ในงานเลี้ยงที่ม.ซือต้าจัดให้ นอกจากนี้ท่านยังเป็นธุระไถ่ถามไปยังคณะวิชาต่างๆว่าได้ให้ค่าตอบแทนผมสำหรับการสอนล่วงเวลาหรือยัง...แต่ที่ทำให้ผมต้องอึ้งกว่านั้นคือ ท่านว่าเวลาที่เห็นนักศึกษาคุยกับผม...พวกเขาดูมีความสุข (คาดว่าอ.หูคงบังเอิญเห็นผมตอนอารมณ์ดีน่ะ...ช่างโชคดีจริงๆตัวฉัน... ฮ่าๆ)
แต่โลกมักมีสองด้านเสมอ คำพูดที่สวยหรูอาจเคลือบแฝงไปด้วยยาพิษก็ได้ ใจผมเริ่มคิดไปไกลว่าเขาเห็นเราเป็นเพื่อนเพราะ"หน้าที่"หรือ"ผลประโยชน์"หรือไม่...แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้ระหว่างกันตลอด 2 เทอมที่ผ่านมา มันมีมากกว่านั้น มันไม่ใช่เรื่องของกำไร-ขาดทุน ไม่ใช่การยื่นหมูยื่นแมว...ความจริงใจที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องโกหก...อะไรกันนะที่ทำให้ผมสุขใจที่จะทำ ยิ่งเมื่อได้ตรองถึงสิ่งสำคัญบางอย่าง ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงต้นเหตุของผลทั้งมวลที่ทำให้เกิดเรื่องราวมากมายนี้ ...ก็ใครล่ะที่ทำให้ต้องตื่นแต่เช้า ใครล่ะที่ทำให้ตื้นตันเพียงแค่เขาและเธอกล่าวคำว่า"คิดถึง" ใครล่ะที่ทำให้ท้อและต้องเตรียมตัวสอนใหม่ทั้งหมด...ใครล่ะที่ทำโรงเรียนการท่องเที่ยวคุนหมิงต้องขอร้องให้ผมไปพบ ใครล่ะที่ทำให้อาจารย์ที่ม.ซือต้าธุรกิจขอให้ผมไปสอน... แน่นอน คงเป็นใครไม่ได้หากไม่ใช่เธอ...เหล่า"ลูกศิษย์"ของพวกเรา
มาถึงตรงนี้ คงไม่ต้องเอ่ยถึง"ความจริงแท้ของมิตรภาพ"ที่เราต่างก็ทุ่มเทตามบทบาทที่ได้รับ นั่นเพราะสิ่งสำคัญร่วมกันของเราคือสิ่งเดียวกันนั่นคือ ลูกศิษย์ ในบางครั้งจึงอาจกระทบกระทั่งกันบ้าง หากแต่ก็เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อลูกศิษย์ของเราไม่ใช่หรือ และคงไม่ต้องย้อนถามตัวเองว่าผมคิดกับเขาอย่างเพื่อนหรือไม่ เพราะคำตอบนั้นผมได้เฉลยไปแล้วนับตั้งแต่ตอบรับโทรศัพท์
พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ
Kunming 11-07-01
ปล. พี่มนัญยาครับ บันทึกนี้ไม่เกี่ยวกะเรื่องอาหาร จริงๆนะครับ (ฮ่าๆ)
- ชื่อบันทึกเหมือนภาพยนตร์รักจังเลยค่ัะ
- แต่เนื้อหาสะท้อนความเป็นครู ความเป็นตัวตนของอาจารย์หนานวัฒน์ได้ชัดเจนมากค่ะ ชื่นชม
สวัสดีครับครูอัมพร
ขอบคุณครับที่แวะมาให้กำลังใจเป็นคนแรกเลย...ช่วงนี้แม้จะใกล้กลับแล้ว แต่ผมยังปั่นตำราไม่เสร็จเลย ช่วงเย็นต้องไปกินฟรี...
เอ้ย ...ไปตามนัดเลี้ยงส่งน่ะครับ กว่าจะมาถึงห้องพักแล้วกลับมาเขียนบันทึก ...แทบไม่มีแรง เพราะหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน
ครับ (ฮ่าๆ)
"พบ-พราก-จาก-เจอ เพื่อจดจำ
ศิษย์-เพื่อน-พ้อง-น้อง-พี่ ช่วยหนุนนำ
จำ-จาก-พราก-ไป-เพื่อ ศึกษา
เห็น-คิด-กลั่น-เขียน-บอก-เล่ามา แบ่ง-ปัน-แลก-เปลี่ยน-เรียน-รู้"
กลับมาเมืองไทยเมื่อไร
อย่าลืมให้พี่..เลี้ยงตอนรับด้วยนะ
จะได้มี "พบ-พราก-จาก-เจอ "
ตอนต่อๆไป...555
ขอบคุณท่านผู้เฒ่าและคุณครูนงค์เยาว์มากครับที่แวะเข้ามาแลกเปลี่ยน เช้านี้ที่คุนหมิงอากาศอึมครึม เหมือนฝนจะตก ...เพี้ยงงงง ขอให้ตกจริงๆเห้อออ ผมจะได้ไม่ต้องออกไปไหน...ตอนนี้ยังไม่ได้เก็บของเลยครับ แต่งานผมยังไม่เสร็จนี่น่ะสิ...เห้อ
ยินดีด้วยค่ะอาจารย์ภานุวัฒน์ ที่ได้ไปพบสิ่งที่ดีๆ
สวัสดีค่ะ
ได้รับความรู้เรื่องการจัดอาหารบนโต๊ะ แต่ทำไมคนจีนไม่ค่อยอ้วน
สวัสดีค่ะ อาจารย์
อรุณสวัสดิ์ครับพี่ๆทุกคน ขอบคุณมากครับที่แวะมาแบ่งปันเรื่องราวของผมเสมอมา...ได้กำลังใจเพียบเลยครับ
ขอบคุณครับอ.ลำดวน โดยเฉพาะคำว่า"ปลอดภัย" (ฮ่าๆ) พอดีว่าช่วงนี้ที่คุนหมิงมีฝนตก...ลมก็น่าจะแรง...คราวก่อนที่กลับมา(ประมาณ มี.ค.) เครื่องส่ายไปมาน่าหวาดเสียวมากครับ จำได้ว่าจะถึงพื้นอยู่แล้ว(เทียบกับยอดตึกประมาณ20ชั้นที่เห็นอยู่นอกหน้าต่าง) มันยังเอียงไปมา...สาธุ ขอให้ปลอดภัยแบบไม่ต้องมีเรื่องตื่นเต้นด้วยครับผม
มายินดีต้อนรับกลับมาเมืองไทย กรุณามาคนเดียว ถ้ามาสองคน เดี๋ยวคนแถวๆพิษณุโลกมีเคือง ฮ่าๆๆ
สวัสดีค่ะ
ขออภัยที่มาช้าค่ะ พอเข้าใจกับวัฒนธรรมอาหารการกินของชาวจีนอยู่บ้าง มีตำนานเกี่ยวกับสุขภาพและความมีพลัง เทพยดาฟ้าดินมาเกี่ยวข้องค่ะ
พี่คิมไม่มองโลกหรือคนที่อยู่ด้านหน้าเพียงด้านเดียวค่ะ เชื่อว่าทุกคนมีความดีอยู่ในตัวเอง หากเขาไม่ดีมาก็ถือว่ายังไม่ใช่โอกาสค่ะ และต้องขอบคุณโอกาสที่ให้บทเรียนค่ะ
เป็นบันทึกที่เขียนขึ้นด้วยความภาคภูมิใจจริง ๆ เพราะสามารถสื่อให้คนอ่านที่มีจิตวิญญาณครู ได้ปลื้มแลภาคภูมิใจไปด้วย
คนพิดโลก ยินดีต้อนรับค่ะ
ขอให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
แล้วกลับบ้านเราด้วยความปลอดภัย...รักรออยู่ค่ะ
อรุณสวัสดิ์ครับทุกท่าน ขอบพระคุณทุกท่านครับที่แวะมาต้อนรับกลับบ้าน ตอนนี้ผมถึงลำปางเรียบร้อยแล้วครับผม
"ยินดีที่ไม่รู้จัก ไม่รู้จัก แค่...รู้ว่ารักก็พอใจ...แค่คำว่าไม่รู้จัก ไม่รู้จัก...รักเราก็ไม่ได้น้อยลงจริงไหม...แค่มีเธอใกล้ๆ มันก็ใช่ ที่สุดแล้ว" ...เสียงแหบสูงที่จู่ๆก็ร้องดังประสานกับท่วงทำนองดนตรี..มาดกวนๆนี้ คือ เพลงประกอบภาพยนตร์สุดฮิต "กวน มึน โฮ" ที่เด็กจีนในคุนหมิงต้องเหลียวหลังมองทุกครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ...ใช่แล้วครับ เพลง"ยินดีที่ไม่รู้จัก"นี้ ผมใช้เป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของผมเอง...
..........................
โอโย๊ะโหย่ว
หุหุ
***************ป๊าด
สวัสดีค่ะ
อาจารย์กวนมีนโฮ
อิอิ
สวัสดีครับคุณครู.กาย เปลี่ยนทั้งภาษาทั้งรูปภาพ จนจำไม่ได้ นี่ถ้าไม่เอะใจถึงลีลาภาษา ผมคงเดาไม่ถูกแน่ครับว่าใคร...
อรุณสวัสดิ์ครับท่านอ.jj
รูปหลวงพ่อพระพยอมที่นำมาฝากนั้น...สะท้อนให้เห็นถึงคำว่า"ศิษย์"ได้เยี่ยมเชียวครับผม
จากพราก เพื่อพบกันใหม่
เช่นนี้แหละใจ...
มิทันไร ย่อมพบพาน
อาจารย์สบายดีนะครับ
สวัสดีค่ะ
คิดถึงเช่นกัน เมื่อครู่นี้ "คิดว่าหายไปไหน"
โทรจิต กระแสแรงเชียวนะคะ
พี่คิมสบายดีค่ะ ขอขอบคุณในความห่วงใยค่ะ
ระยะหลังห่างหายไป
วันนี้เลยมาตามว่า
ยังอยู่ดีมีสุขเช่นไรครับผม
- ตามอาจารย์โสภณมาติดๆ ค่ะ
- ด้วยความเป็นระลึกถึงว่าน้องอาจารย์หายไปไหน ทุกข์สุขเช่นไรหนอ
ทักทายแม้ไม่รู้จักคะ
สบายดีนะครับ
คิดถึงนะ...ตอนนี้อยู่ที่ไหน?? ครับ
"...........ตั้งแต่ครั้งที่เราจากกันแสนไกล
เหตุและผลมากมายไม่เคยสำคัญ
เท่ากับความรู้สึกที่ใจของฉันนั้นเก็บให้เธอ
แต่ละครั้งที่เราผ่านมาพบกัน
อาจบังเอิญได้ยินข่าวคราวของเธอ
นั่นคือความรู้สึกที่ใจของฉันคอยอยู่เสมอ
ขอบฟ้าที่เรานั่งบอกคราวนั้นยังมีความหมาย
ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย
ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป
แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ
หยิบเอาภาพที่เรากอดคอด้วยกัน
ได้แต่ยิ้มกับมันด้วยความชื่นใจ
และก็ยังเสียดายกับการสูญเสียเธออยู่เรื่อยมา
ได้ยินเสียงบทเพลงที่เธอชอบฟัง
และทุกครั้งยังแอบมีน้ำตา
ยิ่งเวลารู้สึกไม่มีไม่เหลือใครอยู่ตรงนี้
ขอบฟ้าที่เรานั่งบอกคราวนั้นยังมีความหมาย
ต้นไม้ลำธารยิ่งมองยิ่งคิดถึงเธอมากมาย
ชีวิตที่มันขาดเธอวันนี้ยังเดินต่อไป
แค่ได้คิดถึงก็เป็นสุขใจ
และจะคิดถึงเธอตลอดไป...."
ด้วยความระลึกถึงครับ...
ด้วยความระลึกถึงเช่นกันค่ะ
จึงแวะมาติดตามความเคลื่อนไหว
รออ่านบันทึกใหม่ด้วยค่ะ
เหตุการณ์ไม่ต่างจากที่อาจารย์เคยมาเจอผมนั่นล่ะครับ... "ยุ่ง"
แต่เช้านี้พอมีเวลาครับ เพราะฝนตกเด็กๆเลยเลื่อนเวลาอ่านงานวิจัยไป...(เลยแอบอธิษฐานให้ฝนตกทั้งวัน 555)
ปล. เห็นอาจารย์ขจิตทีไร ก็สะท้อนใจ ไปนั่นนี่แต่ก็ยังให้เวลากับการเขียนบล็อกได้... ข้าน้อยขอคารวะ
Happy New Year 2013
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก
จงดลบันดาลให้ท่านและครอบครัวจงประสบความสุขด้วยอายุ วรรณะ สุข พละ
คิดหวังสิ่งใดขอให้และสมปรารถนาทุกประการ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
อาจารย์มาอีกแล้ว มาบ่อยๆๆนะครับ รออ่านเรื่องเขียนของอาจารย์อยู่ครับ
ปล.มีเด็กน้อยหรือยัง
อันที่จริงก็มาเป็นพักๆครับ แต่เข้ามาอ่านเติมแบตให้ตัวเองพอมีแรง... ^^
ปล. ยังไม่มีความคิดเรื่องเด็กน้อยเลยครับผม
อาจารย์ครับ ทำงานประกันอย่าหักโหมมากนักนะครับ
สู้ๆครับ
อาจารย์สบายดีนะครับ