คิดถึงแม่(1)


เอี้ยวตัวหาภรรยา ซึ่งหลับอยู่ข้างๆ พร้อมออกเสียงเรียก เธองัวเงียตื่น เสียงถอนหายใจผม ปลุกเธอให้รู้สึกตัวมากขึ้น    

"เป็นไร?" เสียงแผ่วเธอ ประโลมผมในที 

น้ำตาไหลผ่านหางตารินริน เปียกถึงแขนซึ่งก่ายหน้าผาก ไม่มีเสียงร้องไห้ มีแต่เสียงถอนหายใจ กิริยาแปลกที่ตื่นขึ้นมาพบกลางดึก เธอถึงกับผุดลุกนั่ง จับแขนและมือผมเขย่าเต็มแรง  

"เป็นอะไร?" เสียงเธอสูง เพ่งผมเขม็ง   

"เป็นอะไร?" คำถามซ้ำๆ เผยความอาทรชัด  

เช้าวันนั้น สายตาเพลียๆ เพราะผ่านการเดินทางมาครึ่งค่อนคืน ทอดผ่านหน้าต่างอาคารสูงลงไปเบื้องล่าง ลมบางโบยแผ่ว ความสดชื่นวาบในใจผมแปลบหนึ่ง ภาพผู้คนกระจิริดเคลื่อนไหวเหนือลำน้ำสายหลักของแผ่นดิน เป็นภาพชีวิต ซึ่งถักทอด้วยแสงแรกแห่งวัน  

เสียงฝีเท้าคนตรงเข้ามา ปลุกผมจากภวังค์แห่งความอ่อนเปลี้ย   

"แม่..นั่นเอง" แต่ไม่เหมือนทุกครั้ง สีหน้าแม่เรียบเฉย แววตาแกร่งแม่จางไป ความปิติยินดียามได้พบลูกๆ หายไปไหนแล้ว  

แม่สวมเสื้อผ้าดิบสีขาว คอกลม แบบเชือกผูก เหมือนโรงพยาบาลทั่วไปใช้ ขนาดที่หลวมโพรก ทำให้ต้องทบแขนขึ้น สวมผ้าถุงสูงคลุมเข่าสีเดียวกับเสื้อ นอกจากนั้น ยังสวมหมวกไหมพรมสีเลือดหมู ซ่อนผม ซึ่งไร้ความดกดำไว้ภายใน   

ที่นี่ไม่ใช่บ้าน แต่เป็นโรงพยาบาลมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ผมต้องเดินทางไกลกว่าทุกครั้งเพื่อมาหาแม่ ไม่มีพ่อ ไม่มีน้องๆเหมือนที่บ้าน แม่อยู่อย่างไร้ญาติกับแพทย์ พยาบาล และคนไข้คนอื่น แม่ไม่สบายมาก ผมสะกดน้ำตาไม่ให้ไหลยามนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้   

"แม่เหมือนเดิม ไม่ผอมเลย ว่ากินไม่ได้ไม่ใช่หรือ นึกว่าผอมแล้ว น้ำหนักลดหรือเปล่า" พยายามชวนพูดคุย พร้อมบีบแขนแม่เบาๆ ใช่สิ! ผิวแม่ซีด ไม่เปล่งปลั่ง เลือดฝาดที่เล็บไม่แดงเหมือนเคย  

"หมอบอกในปอดก็เป็นเหมือนข้างนอก แม่คงไม่หายแล้ว" แม่เอ่ย พร้อมเบือนหน้าหลบ ความหม่นหมองเคลื่อนเข้ามาเคลือบแม่ทั้งร่าง เหลือแต่ความเงียบ เสียงลมลอดหน้าต่างเข้ามาดังฮือฮือ  

"หายสิ สู้สิแม่ ร่างกายจะดีขึ้น ถ้าใจเราเข้มแข็ง" ผมหาถ้อยคำปลอบแม่กระท่อนกระแท่น เพราะปกติแม่จะเป็นเจ้าของถ้อยคำเหล่านี้ ยามปัญหารุมเร้าลูกๆของแม่ต่างหาก  

"ดูเหมือนร่างกายแม่จะไม่ไหว" เสียงแม่แผ่วลง หายใจคล้ายหอบ ร่องรอยต่อกระดูกไหปลาร้าบุ๋มลึกเห็นชัด จังหวะหายใจก็กระชั้น ผมเพิ่งสังเกต พร้อมแม่พูด  

"ไหวสิแม่ กินข้าวมากๆ จะได้มีแรง พยายามกินนะ นึกว่าเป็นยา ต้องกินทุกมื้อ ห้ามท้อ ท้อไม่ได้ นะแม่นะ" ผมเน้นทุกถ้อยคำ เพราะเกรงบางคำ จะไม่ให้กำลังใจแม่  

"เขาหายกันทั้งนั้น แม่ของครูที่โรงเรียนเขาก็หาย หมอและโรงพยาบาลนี้แหละ วิธีการรักษาก็วิธีอย่างนี้ เมียภารโรงโรงเรียนแม่ หายดีแล้วไม่ใช่หรือ ฉีดยาไม่ครบคอร์สด้วยซ้ำ" ผมไม่คิดแม้แต่น้อยเลยว่า มะเร็งเต้านม ซึ่งกำลังเล่นงานแม่อยู่เดี๋ยวนี้ จะร้ายกาจขนาดนั้น  

จะหกโมงครึ่งแล้ว ทั้งที่เยี่ยมไข้ได้แค่หกโมงเย็น ผมทุรังอยู่จนเลยเวลา พยาบาลและแพทย์ประจำตึกไม่เข้มงวดนัก ขณะเตรียมข้าวของกลับ เอ่ยกับแม่ว่าแล้วจะมาอีก รถที่หมอชิตมี 2 ทุ่ม นั่งแท็กซี่เกือบชั่วโมง เผื่อเวลาบ้างคงพอดี  

แม่กินส้มที่เหลือให้หมดนะ ท้องจะได้ไม่ผูก ผลไม้มีวิตามิน มีเกลือแร่มาก" คะยั้นคะยอ เพราะแม่ไม่ถ่ายมา 2-3 วันแล้ว  

ใกล้เวลาผมกลับจริง ดูแม่เครียดขึ้นมาอีก เอากระโถนให้แม่ก่อน คราวนี้แม่ถ่ายแน่ผมหยิบกระโถนวางบนเก้าอี้ข้างเตียงให้ พร้อมรูดม่านปิด ตลอดวันที่ผ่านมา แม่เหมือนจะถ่าย 2-3 ครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็คงไม่ถ่ายอีก เพราะท้องผูก อาหารกินไม่ได้ ความกังวลต่างหาก ที่ทำให้แม่รู้สึกจะถ่ายอยู่เรื่อย  

แม่เหงาหน่อยนะ ต้องไปทำงาน แล้วผมจะกลับมาอีก ไม่กี่วันนี้แหละผมยืนพึมพำในคอ ขณะจับชายผ้าม่านให้แนบชิดกัน ความสงสารแม่ แผ่ซ่านเข้ามาจับใจ  

รู้สึกสบายท้องแทน เพราะแม่ถ่ายออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ จากนั้น แม่ให้ตามพยาบาลมา "ถ่ายแล้วค่ะ" แม่บอก ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก พร้อมชี้ไปยังกระโถนที่ปลายเตียง ผมคิดเอาเองว่า แพทย์คงสั่งให้เก็บอุจจาระตรวจ ท่าทางพยาบาลไม่ค่อยพอใจนัก ขณะถือกระโถนออกไป ชั่วครู่จึงนำกระโถนซึ่งล้างสะอาดแล้วมาเก็บไว้ที่เดิม สีหน้าแม่ยิ่งดูไม่ดี ผมเข้าใจบางอย่างแล้ว เมื่อปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แม่! ทำไมไม่ให้ผมไปล้าง ตามพยาบาลทำไม เกรงใจเขาเสียงขุ่นผม ทำเอาหน้าแม่ที่ไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งเลวร้าย ท่าทางอิหลักอิเหลื่อ หูตาแดง เบือนหน้าหนี ผิดวิสัยไม่ยอมคน กิริยาแม่ต่างไปจากที่คุ้นเคย กระตุกสัมปชัญญะเต็มแรง หลากหลายคำถาม กระหน่ำเข้าที่หัวผมติดๆกัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว 

ผมกำลังทำอะไร?”  

หญิงหน้าปูเลี่ยนๆ ท่ากระอักกระอ่วน หลบสายตาคนคนนี้ คือ แม่ผู้ให้กำเนิด ไม่ใช่หรือ? 

แม่กำลังป่วยหนักด้วยมะเร็งเต้านม ซึ่งกระจายไปปอดแล้ว ไม่ใช่หรือ?  

แม้แต่ครั้งเดียวในชีวิต เราเองก็ไม่เคยล้างกระโถนถ่ายให้แม่เลย ไม่ใช่หรือ? 

แม่ไม่หันมาหรือเอ่ยคำใดๆกับผมอีกเลย รอยยิ้มที่มีอยู่บ้างเมื่อบ่ายนี้ ถูกลูกชายไร้สติขยำทิ้งไปหมดแล้ว 

ผมและแม่ต่างนิ่งเนิ่นนาน  

คิดถึงแม่(2) (3) (4)

หมายเลขบันทึก: 382723เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2010 21:58 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (18)

แว๊บมาดูภาพสวยๆ ก่อน ยังไม่คุยนะคะ หนูปวดหัวอีกแล้ว  แล้วจะมาใหม่ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

 

อาจารย์ครับ...

ผมก็เคยทำพลาดทำนองนี้กับแม่เหมือนกัน

ยังเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ

อาการคุณแม่เป็นอย่างไรบ้างแล้วครับ

มากรุงเทพฯ โทรหากันบ้างนะครับ

คุณครูค่ะ ซึ้งและเข้าใจเพราะเคยพลาดค่ะ ความผิดพลาดบางสิ่งต่อคนที่เรารักจะติดอยู่ใจได้เนิ่นนาน แม้จริงๆแล้วเราต่างเข้าใจกันเสมอว่าเรารักกันมากเพียงใด เป็นกำลังใจให้แม่ครูค่ะ  ... ครูเขียนเรื่องได้เรียกอารมณ์และดึงความรู้สึกผู้อ่านมากๆ ขอบพระคุณค่ะ

สวัสดีค่ะ

  • อ่านเรื่องราวจบลง
  • นิ่งเงียบไปชั่วขณะ
  • นึกขึ้นมาได้ว่า..
  • นี่คือความห่วงใย
  • ที่ทั้งคุณแม่และคุณครูธนิตย์
  • มีต่อกันกระมังคะ
  • ขอให้คุณแม่หายไวๆค่ะ.

สวัสดีค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ  ขอให้คุณแม่สบายขึ้นนะคะ  อ่านแล้วรู้สึกสงสารคุณแม่  เห็นใจน้องธนิตย์และครอบครัวค่ะ

เข้าใจความรู้สึกของคนที่เป็นแม่  แต่ก็เห็นใจและเข้าใจคนที่เป็นลูกชายค่ะ

ยามนี้  คงต้องให้กำลังใจและใกล้ชิดท่านมากๆ

ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์ด้วยนะคะ

สวัสดีค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ของอาจารย์ และตัวอาจารย์เองด้วยนะคะ

สวัสดีค่ะอาจารย์ธนิตย์อ่านแล้วทำให้อยากอยู่ใกล้ๆแม่ทุกวันค่ะ ออกบ้าน ห่างท่าน ไปอยู่หอพักตั้งแต่ ม. 3 จน บัดนี้ก็ยังห่างไกลเช่นเดิม เวลาก็ผ่านมามากมาย แต่..แม่ยังก็ห่วงใยลูกเสมอทุกวัน .. ขอเป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์นะคะ

อย่าเสียดายเวลาที่ผ่านไป

ให้ตั้งใจ..ใช้เวลาที่มีอยู่

แก้ไข..ในสิ่งที่ควรเป็น ควรทำ

แต่อย่าลืม..ใช้ข้อมูลที่จดจำ..เป็นบทเรียน

อ่านแล้ว คิดถึงแม่บ้าง แงๆๆๆๆๆ

โลกรอดได้เพราะความกตัญญูครับ

สวัสดีค่ะ

         พบคุณแม่ท่าน เอ่ยปาก "ขอโทษ "ท่านนะคะ ที่ไปว่าท่าน เรื่อง ที่เรียกพยาบาลทำไม ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ท่านต้องคิดอยู่เสมอในภาวะที่ท่านไปปรกติ เอ่ยปากกราบขอโทษท่านแล้วคุณครูธนิตย์ก็จะสบายใจ ขึ้น รวมทั้งคุณแม่ก็จะรู้สึกดีขึ้น ที่เหมือน มีความผิดลูกชายจึงดุ  ท่านไม่สบายมากร่างกายไม่ปรกติมากๆอย่างนั้น นิดเดียวท่านก็น้อยใจไปนานละค่ะ พี่ดาฝากให้อ่าน มรดกกรรม ที่พี่ดาลงบันทึกนะคะ  มีลูกทีตีแม่ จากการที่อุ้มแม่แล้วแม่หยิก    

               ไปอยู่กับคุณแม่บ่อยๆนะคะ หาก ลางานได้ลาหยุด เป็นระยะๆได้ ไปอยู่กับท่าน  พี่ดาขอเป็นกำลังใจนะคะ และขอตั้งจิตอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย อวยพร ดลบันดาล ให้คุณแม่คุณครูธนิตย์ ร่างกายแข็งแรงขึ้นทุกวันและหายไวๆนะคะ

       ว่างๆเชิญที่   http://gotoknow.org/blog/kanda11 

                เผื่อมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติ ให้คุณแม่นะคะ

               

มาเยี่ยมและ...คิดถึงแม่ด้วยค่ะ

ไม่เข้ามาเยี่ยมนานแล้ว

อ่านแล้วน้ำตาซึมเลยค่ะ

เพราะเคยเป็นอย่างนี้เหมือนหัน

ต้องขอขอบคุณอาจารย์ P ที่ทำให้ไม่ลืมสำนึกนี้

พี่ธนิตย์คะ วันนี้หนูต้องใจว่าจะเข้ามาเม้นท์บันทึกนี้ เพราะเมื่อคืนติดค้างไว้  แต่เห็นตอนที่ 2 เสียก่อน

* อย่าถามว่า.. พี่ได้กราบขอโทษคุณแม่หรือยังคะ.... หนูไม่ได้ติหนิเพี่ธนิตย์นะคะ หนูเข้าใจดีในสถานการณ์แบบนั้น  แต่เมื่อเราคิดได้ว่าเราไม่ควรที่จะพูดกับแม่แบบนั้น... ก็ควรที่จะแก้ตัว เพื่อความสบายใจของเราเอง จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด  หนูเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า คุณแม่ของพี่ธนิตย์ท่านคงไม่โกรธ และพร้อมที่จะให้อภัยพี่ธนิตย์เสมอ ไม่มีแม่คนไหนที่จะโกรธลูกของตัวเองได้ลงหรอกค่ะ..... ใช้โอกาสเนื่องในวันแม่นี้เลยนะคะ นำพวงมาลัยดอกมะลิไม่กราบท่าน กอดท่าน หอมแก้มท่าน ขอโทษท่านและบอกว่าพี่รักท่านมากแค่ไหน  วันหยุดหลายวันพี่ธนิตย์จะได้มีโอกาสดูแลท่านให้ดีที่สุดท่านที่จะทำได้นะคะ

* หนูต้องขออภัยด้วย หาก เห็นว่าคำพูดของหนูเป็นการมิสมควรที่บังอาจเตือนหรือแนะนำพี่ธนิตย์ ซึ่งวัยวุฒิน้อยและอ่อนด้อยกว่ามากมาย  แต่หนูมีความจริงใจค่ะ อยากให้พี่ธนิตย์และคุณแม่ของพี่สบายใจ ไม่มีสิ่งใดค้างคาในใจอีก

* หนูจำได้ว่า ในชีวิตของหนูเคยทำไม่ดีกับแม่ครั้งเดียว คือหนูไม่พูดกับแม่เกือบเดือนที่แม่ไม่อนุญาตให้ไปเรียน มช. ทั้งๆ ที่ไม่ได้เถียงแม่แม้แต่คำเดียว แต่หนุก็รู้สึกผิด จึงกราบขอโทษแม่  แล้วทุกๆ อย่างก็ดีขึ้น  ไม่ทราบว่าพี่ธนิตย์จำได้หรือเปล่า  ที่หนูเคยเขียนบันทึกไว้..

* หากไม่เป็นที่พอใจของขอโทษเป็นอย่างสูง  และลบเม้นท์นี้ทิ้งไปนะคะ

* ด้วยความเคารพไม่เปลี่ยนแปลง

 

คุณครูคะ....

อย่ากังวลมากไปเลยค่ะ  คนเป็นแม่ไม่มีวันโกรธลูกหรอกค่ะ  แม่มีแต่จะให้อภัยลูกเสมอ  แต่...คนเป็นลูกต่างหากที่รู้สึกผิดอยู่ในใจ  ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือ ถูกพระเจ้าลงโทษนั่นเอง

คนที่ทำผิดแล้วรู้จักสำนึกผิด  เป็นสิ่งที่น่ายกย่องไม่ใช่หรือ...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท