เมื่อพ่อผมเอ่ยจะเขียน blog ด้วย
เมื่อพ่อผมเอ่ยจะเขียน blog #2
วันนี้ตั้งใจว่าจะไปหาพ่อเพื่อเอาบันทึกที่พ่อเขียนตามที่ได้กล่าวถึงไว้เมื่อวันก่อน
เรื่อง ...เมื่อพ่อผมเอ่ยจะเขียน blog
ด้วย... พอไปถึงก็จัดการเปิดโน้ตบุคต่ออินเตอร์เน็ต
แล้วเปิด gotoknow.org ให้พ่ออ่าน
เสร็จแล้วก็ไปทักทายน้องสาวเสียหน่อย (บ้านข้าง ๆ)
น้องคนนี้คนเดียวที่ได้อยู่ดูแลพ่อ พี่และน้องคนอื่นไม่มีใครอยู่ใกล้
ๆ เลย (รวมถึงผมด้วยแฮะ) เห็นต้นไม้พ่อได้น้ำฝนเมื่อหลายวันมานี้
เขียวงามจัง ได้ความคิดทันที แบบคนชอบต้นไม้ แต่ไม่ค่อยได้ทะนุถนอมเลย
ทำไงได้ (ไม่มีเวลา เป็นข้ออ้างเก่า ๆ ที่คลาสสิกมาก) เลือก ๆ
แล้วก็ตัดสินใจ สัก 2 ต้น เดี่ยวอาทิตย์หน้าค่อยซื้อกระถางมาทดแทน
(มั่นใจมากว่าต้องขอได้ ฮ่า) ไม่ชง(ลังเล)เลย
วันนี้ต้องรีบกลับ
เพราะยังปั่นรายงานวิจัยเรื่อง “วิจัยประเมินผลโครงการพัฒนานักวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินและผลลัพธ์บริการสาธารณสุขระดับเครือข่ายหน่วยบริการ
(CUP) จังหวัดพัทลุง ปีงบประมาณ 2548” ไม่เสร็จ
ต้องอภิปรายผลให้ได้วันนี้
(ผมว่ายากที่สุดเวลาเขียนส่วนนี้นะในการทำวิจัย
แต่เคยได้ยินบางคนบอกว่ายากที่สุดคือหาคำถามวิจัย
ก็แล้วแต่มุมมองนะ)
เกือบลืมไปที่ได้มา 2 ต้น (พ่อไม่ปฏิเสธเลย
ไม่ทราบทำไม ฮ่า ๆ) คือ “ยอ หรือพญายอในภาษากลาง” กับ “ต้นยุม
หรือมะยมในภาษากลาง” ที่อยู่ในกระถางขนาดพอเหมาะ 2
ต้นนี้มีความเป็นมงคลเมื่อปลูกในบริเวณบ้าน และนิยมให้ปลูกหน้าบ้าน
มะยมได้ต้องกล่าวคงรู้จัก แต่พญายอ
นี่ดูจากรูป (เห็นแต่ลูก) เคล็ดลับอยู่ที่ชื่อ คือ”ยอ เท่ากับ
สรรเสริญเยินยอ” ซึ่งก็เป็นความหมายว่าให้เป็นที่รักมีแต่คนสรรเสริญ
นับหน้าถือตา ประมาณนั้น สำหรับผมแล้วผมชอบใบขนาดไม่แก่ไม่อ่อนเกินไป
กินเป็นผักสด มื้อที่มีแกงส้มหรือแกงเผ็ด สัก 1-2 ใบ (อย่ามากนัก
เพราะจะทำให้เจริญอาหาร เดี่ยวอ้วนเกิน)
นี่เป็นผักเหนาะชั้นยอดสำหรับผม ส่วนต้นยุม หรือ “มะยม” นั้น
ก็เท่ากับ นิยมชมชอบ หรือให้เป็นที่นิยมชื่นชมของคนในสังคม ประมาณนั้น
สำหรับผมอีกเช่นเคย ลูกยุมต้มไกใส่กะทิ (อย่านะ รู้นะ
กำลังคิดอะไรอยู่)
เอาล๊ะ
ขอเอาบันทึกที่พ่อเขียนไว้ลงให้ก่อนนะ เดี่ยวจะโดนทวงต้น “ยอ” และ
“ยม” คืน
พ่อบันทึกเป็นเรื่องย่อจากหนังสือที่ผมได้รับเป็นของขวัญของฝากมา (จาก
น้องโหน่ง อำเภอป่าบอน ก็ขอได้รับพรแห่งความสุขกลับไปด้วย)
แล้วให้พ่ออ่าน เมื่อหลายเดือนก่อน คือ “จริต 6 ศาสตร์ในการอ่านใจคน”
ที่เขียนโดย “อนุสร จันทพันธ์ และบุญชัย โกศลธนากุล”
หนังสือเล่มนี้ในมือผมพิมพ์ครั้งที่ 8 แล้ว พ่อบันทึกไว้ว่า
แค่อ่านหน้าปก (หลัง) ก็ชอบแล้ว คือ
เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ด้วนความรักและความเข้าใจ
เปิดมุมมองใหม่แก่ชีวิตให้แสงสว่างแห่งความรู้และความเข้าใจ
นำทางไปสู่ความถูกต้องและเบิกบาน
ราคะจริต--> หลงในรส กลิ่น เสียง สัมผัส
จนเป็นอารมณ์มากเกินไป
โทสะจริต--> โกรธง่าย ฉุนเฉียวง่าย
เป็นอันตราย
โมหะจริต--> ง่วง ๆ ซึม ๆ
ไม่ร่าเริงแจ่มใส
วิตกจริต--> สับสน วุ่นวาย
ฟุ้งซ่านบ่อย
ศรัทธาจริต--> มีปรัชญา
หรือหลักการของตัวเอง อุดมการณ์
และพุทธิจริต--> ใช้ปัญญา หาเหตุผลมาแสดง
พยายามที่จะยกระดับจิตวิญญาณ
พิเคราะห์แล้ว คนทุกคนน่าจะมีทั้ง 6
จริตอยู่ในตัว แต่เพียงจะมีอะไรมากกว่าอะไรเท่านั้น ทั้ง 6
จริตนี่มีความเป็นเอกลักษณ์ ที่พอจะเห็นได้ด้วยการปฏิบัติ การวางตัว
แต่ก็สามารถหลอกสายตาได้เหมือนกัน ถ้าคน ๆ นั้นรู้วิธีปกปิด
เราเรียนรู้เรื่องนี้แล้วจึงมีวิธีปฏิบัติสำหรับตนเองในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง
ที่ธรรมดา ๆ คือ พยายามมุ่งสู่จริตที่สมดุล และลดจริตที่ไม่ดีเสีย
เพิ่มจริตที่เป็นศรัทธาจริต และพุทธิจริตให้มากขึ้น
ในขณะเดียวกันก็เรียนรู้เขาเสีย คนรอบข้างของเรา
ว่าเขามีจริตโน้มเอียงไปทางใดมาก เราก็จะหาจุดอ่อน
จุดแข็งของเขาได้ง่าย แต่ที่สำคัญ หาเจอแล้วไว้เพื่อให้อยู่กับเขาได้
ไม่ใช่ไว้ทำร้ายเขา เพียงเพราะเรารู้จักจุดอ่อนเขา... 4 ก.ย. 48
พอเริ่มค่ำ
คิดเหมือนผมไหม
ว่าผมน่าจะโดนพ่อเตือนอะไรสักอย่าง แต่พ่อเห็นโต ๆ กันแล้ว
ก็เลยต้องสอนแบบนี้ สงสัยผมต้องเอาไปให้น้อง 2 คน
และพี่สาวอ่านด้วยแล้ว
ใหญ่ บันทึกไว้เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2548
สวัสดีค่ะคุณชายขอบ
แวะเข้ามาอ่าน ที่บ้านก็ปลูกยอ(แม่ปลูก
ให้ แต่ไม่งามเลย ยังไม่ออกลูกเลย)