ช่วงเย็นของวันอังคารที่ผ่านมา (11 สิงหาคม 2552) ผมนั่งคุยกับทีมงานแบบไม่เครียด-
ย้ำชัดๆ ว่าไม่เครียด โดยหลักๆ คือการติดตามถามข่าวความเป็นไปของกิจกรรมต่างๆ ที่จะมีขึ้นในรอบเดือนนี้
และที่สำคัญเลยก็คือ การไถ่ถามถึงกิจกรรมเนื่องในวันแม่ที่กำลังจะมีขึ้นว่าขยับเคลื่อนกันไปถึงไหนแล้ว
สารภาพตามตรงเลยว่า เจ้าหน้าที่ในทีมงานของผมเกือบทุกคน ไม่มีโอกาสได้กลับไปกราบตักแม่เลยก็ว่าได้ เพราะต่างก็มีภารกิจหลักที่ต้องปฏิบัติร่วมกับนิสิต เป็นต้นว่า การทอดเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติในวัดต่างๆ รวมถึงการนำพานิสิตไปร่วมจุดเทียนชัยถวายพระพรที่จังหวัดและที่ชุมชนท่าขอนยาง...
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมรู้สึกเกรงใจพวกเขาอยู่มากโขเลยทีเดียว จึงได้แต่บอกเล่าอย่างสัตย์จริงในทำนองว่า ...นี่คือสภาพจริงของพวกเราที่ต้องทำความเข้าใจให้หน่วงหนัก การไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้หมายถึงความบกพร่องที่มีต่อแม่ แต่ภารกิจราชการเช่นนี้ คือภารกิจแห่งใจและเป็นภารกิจแห่งสังคมที่เราพึงกระทำและมอบเป็นของขวัญให้กับแม่ของเราไปในตัว
และในขณะเดียวกันนั้น ผมเองก็บอกย้ำอีกรอบว่า ในวันแม่เช่นนี้ หลายปีแล้วที่ผมไม่อาจกลับไปหาแม่ได้ เพราะไม่อาจละวางจากงานเหล่านี้ไปได้เลย แต่อย่างน้อยก็จะบอกให้ท่านได้รับรู้ว่า ผมอยู่ที่ไหน...กำลังทำอะไร...และสิ่งที่ทำนั้นมีความหมายใดกับใครบ้าง...
ดังนั้น ผมจึงไม่ลืมที่จะสรุปความให้ทีมงานได้รับรู้ว่า งาน หรือภารกิจที่หน่วงรั้งให้เราไม่สามารถพกพาหัวใจไปกราบแม่ได้นั้น ถือเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นภารกิจที่เราทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อสังคม...และที่สำคัญ ขอให้ถือว่าภารกิจเหล่านี้ คือกิจกรรมที่เราทำขึ้นเพื่อ “แม่” ของเราเองด้วยเช่นกัน
เช้ารุ่งของวันนี้ (12 สิงหาคม 2552) ผมออกไปร่วมกิจกรรมทอดเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติกับน้องนิสิตคณะเทคโนโลยี ณ วัดบ้านหนองแข้ อากาศในยามเช้าสดชื่นเย็นสบาย ท้องทุ่งริมถนนเขียวงามบ่งบอกถึงการเติบโตอย่างมีชีวิต ทั้งของข้าวกล้าและชีวิตของชาวบ้าน
ผมไปถึงศาลาวัดช้ากว่าคนอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกลับมากมายและน่าเกลียดนัก เพราะทุกอย่างก็เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่ถึงสิบนาที ภายใต้ตัวศาลาวัดอัดแน่นไปด้วยนิสิตจำนวนมาก ประมาณด้วยสายตาน่าจะมีจำนวนเกือบๆ จะ 80 คน ส่วนชาวบ้านนั้นเข้ามาร่วมกระบวนการในศาลาเพียงไม่ถึง 10 คน โดยส่วนหนึ่งกระจายอยู่ตามโรงครัวเพื่อตระเตรียมข้าวปลาอาหาร และอีกส่วนก็เตรียมการต้อนรับคณะทอดเทียนจากหมู่บ้านอื่นๆ ที่กำลังสัญจรมาร่วมทอดเทียนกันในวันนี้
พิธีของการทอดเทียนในเช้านี้เป็นไปอย่างเงียบง่าย ไม่แต่เฉพาะเทียนพรรษาเท่านั้นที่ถูกนำมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ แต่ยังรวมถึงผ้าอาบน้ำฝน ยาสามัญประจำบ้าน และปัจจัยในรูปของการเอาใจนำพา เอาศรัทธานำทางอีก 8,199 บาท ซึ่งผมเองก็นำเงินจำนวนเล็กๆ ที่ได้จากการขายหนังสือ “เรียนนอกฤดู” ของตัวเองต่อยอดเข้าไปกับผ้าป่าในครั้งนี้ด้วย
การทอดเทียนครั้งนี้ ยังคงจะขับเคลื่อนอีกต่อไป โดยนิสิตคณะเทคโนโลยีจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่อลงแรงใจกันหล่อพระพุทธรูปกันอีกหน ซึ่งผมเองก็รับปากว่า จะเป็นอีกแรงของการหนุนนำและเคียงข้างอยู่กับพวกเขา โดยจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างลำพัง เพราะเมื่อผมเป็นเสมือนคนต้นเรื่องของเรื่องนี้ ผมก็ต้องอยู่กับเรื่องนี้ให้จบตอน ไม่ใช่สร้างแรงจูงใจให้กับนิสิตแล้วก็ปล่อยปละให้พวกเขาขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไปกันเองแต่เพียงลำพัง
ถัดจากนั้น ผมและทีมงานก็รีบตะบึงออกจากหมู่บ้านหนองแข้เพื่อไปยังวัดป่าวังเลิง ซึ่งอยู่ห่างกันในราวๆ 10 กิโลเมตรได้
วัดป่าวังเลิง เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่เรายึดมั่นเป็นพื้นที่ของการทอดเทียนพรรษาในครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มนิสิตพรรคชาวดิน ขันอาสาเป็นเจ้าภาพของการทอดเทียนเอง โดยล่าสุดก็พยายามจัดกิจกรรมระดมทุนเพื่อเข้าสู่กระบวนการแห่งการทอดเทียนในวันนี้อย่างน่าชื่นชม เฉพาะปัจจัยที่นำมาถวายเป็นผ้าป่ารวมแล้วก็ได้จำนวน 4,019 บาทพอดิบพอดี
การไปทอดเทียนในแต่ละวัด ผมชัดเจนแล้วตั้งแต่แรกแล้วว่า จำนวนคนและจำนวนเงินจะไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จของกิจกรรมนี้ทั้งหมด เพราะ ณ วันที่ผมคิดและชวนให้เจ้าหน้าที่และนิสิตได้ร่วมใจกันทำกิจกรรมเหล่านี้นั้น หลักๆ คือการอยากให้มหาวิทยาลัยกับชุมชนเกิดกระบวนการเรียนรู้และผูกสัมพันธ์กันให้มากขึ้น และเป็นการเตรียมความพร้อมเข้าสู่วาระแห่งปีที่ผมต้องการที่จะทำกิจกรรมตามแนวคิดโมเดล “หนึ่งคณะต่อหนึ่งหมู่บ้าน” หรือ “ลูกในบ้าน...ว่านในสวน” นั่นเอง
และที่สำคัญก็คือ การผูกโยงแนวคิดความเป็นชาติผ่านความเป็นชุมชน หรือท้องถิ่นไปในตัว ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้น ก็ยังไม่อาจละวางไปจากกรอบแนวคิดหลัก อันหมายถึงจุดประสงค์ในการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และการส่งเสริมให้นิสิตได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นส่วนหนึ่งกับสังคม โดยมุ่งที่จะบอกกล่าวกับเขาว่า “สองมือและหนึ่งสมองอันน้อยนิดของแต่ละคนนั้นมีค่าและมีความหมายเสมอ”
ถึงตรงนี้ ผมคงไม่หาญกล้าที่จะบอกกับพวกเขาว่ากิจกรรมทั้งหมดนี้ คือกิจกรรมที่มีค่าและยิ่งใหญ่ในความเป็นชาติได้ทั้งหมด เพราะมันคือกิจกรรมเล็กๆ ที่เกิดจากวิธีคิดที่ว่า “เอาใจนำพา เอาศรัทธานำทาง” ล้วนๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ กิจกรรมที่ว่านี้ เป็นกิจกรรมในวาระพิเศษที่จัดขึ้นเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาและวันแม่ของเราทุกคนเท่านั้นเอง ส่วนแต่ละคนจะเรียนรู้ความเป็นชุมชนและความเป็นลูกที่ดีผ่านกิจกรรมเหล่านี้ได้แค่ไหนนั้น ผมคงยังไม่ด่วนสรุป หรือบางทีอาจไม่จำเป็นต้องสรุปเลยก็ได้
แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ยังกล้าพอที่จะบอกกับทีมงานและนิสิตอยู่ดีแหละว่า การสร้างสังคม หรือสร้างความเป็นชาตินั้น ล้วนมีรากฐานจากหมู่บ้าน ชุมชน หรือท้องถิ่นเสมอ
ดังนั้น การทำกิจกรรมในทำนองนี้ ก็คงบอกได้บ้างกระมังว่า ความเป็นชาติบ้านเมืองนั้น มีความเป็นครอบครัว หมู่บ้าน หรือชุมชนและท้องถิ่นป็นรากฐาน หรือองค์ประกอบอันสำคัญอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงอยากให้นิสิตและทีมงานได้ตระหนักว่า เราอาจไม่จำเป็นต้องป้องปากประกาศปาวๆ เหมือนใครหลายหลุ่มที่นิยมชอบชอบสร้างภาพด้วยวาทกรรมแสนหรูว่า “รักชาติ” อย่างเหลือหลาย แต่วิธีการของการสมานฉันท์กลับเดินสวนทางอย่างน่าหยิก รวมถึงการไม่เคยลงพื้นที่เพื่อรับรู้ หรือรับฟังถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงที่กำลังเกาะกุมและกัดกร่อนชาวบ้านอยู่อย่างน่าเวทนา...
ไม่รู้สิ...
การหันกลับมาทำอะไรๆ ในระดับชุมชน หรือท้องถิ่นกันให้มากขึ้นก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีและง่ายสุดแล้ว (กระมัง) กระตุ้นให้คนแต่ละคนรักและผูกพันกับท้องถิ่นให้มากที่สุด ชวนให้ทุกคนบอกรักท้องถิ่นของตัวเองด้วยวิธีของตัวเองให้มากขึ้น พร้อมๆ กับการเทใจให้กับการพัฒนาท้องถิ่นกันอย่างจริงจัง บางทีความเป็นชาติของเราก็จะกลับมาเป็นหนึ่งเดียว เข้มแข็งเป็นปึกแผ่นและก้าวไปข้างหน้าได้มากกว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเชื่อและศรัทธา พร้อมๆ กับการเชื่อว่าในบริบทของความเป็นเรา ซึ่งหมายถึง
นิสิตในมหาวิทยาลัยนั้นก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะแบกรับความเป็นชาติในเวลานี้ได้ พวกเขายังต้องเรียนให้จบ และก้าวออกไปสู่ความเป็นพลเมืองของชาติในวันหน้า หากแต่กิจกรรมเหล่านี้ คือกลไกอันสำคัญของการเตรียมความพร้อมให้กับพวกเขา - สอนให้เขารู้ความเป็นชาติผ่านความเป็นท้องถิ่นนี่แหละ...
แน่นอนครับ มันคือการสอนในมุมมองของผมเพราะการเรียนรู้ที่ดีก็น่าจะมาจากเรื่องใกล้ตัวนี่แหละ
การปลูกฝังความเป็นชาติที่ดูเหมือนไกลโพ้นนั้น ก็น่าจะเริ่มต้นจาการสอนให้ผู้คนรักและหวงแหนในท้องถิ่นอย่างจริงจังให้มากขึ้น เพราะผมเชื่อว่า “มันง่ายและใกล้ตัวดี” – บางทีวิธีนี้คงช่วยให้เรามองความเป็น “ชาติ” แจ่มชัดขึ้นได้บ้างกระมัง
มาให้กำลังใจคนทำงาน ไม่เคยไปวัดนี้เข้าใจว่านิสิตคงมีความสุขนะครับ สบายดีไหม
สวัสดีค่ะอาจารย์
สำนึกรักบ้านเกิด...การทุ่มเททำงานเพื่อชุมชนของอาจารย์ ขอยกย่องจากใจ...
การที่ทำให้นิสิตมีความรัก หวงแหนแผ่นดินของตัวเอง....
ขออนุโมทนา...สาธุ...สาธุ...สาธุ...
พี่แดงก็คิดๆ นะคะจะทำอะไรให้บ้านเกิดของตัวเอง....
# ผมเชื่อว่า มมส. มีความแข็งแรงทางวัฒนธรรมประเพณี ซึ่งเป็นทุนเดิมอยู่ น่าปลื่มใจที่นิสิตฯ มีจิตมีใจในการทำกิจกรรมดีๆ และการได้รับการส่งเสริมจากสถาบันเอง ในทางที่สะท้อนความเป็น มหาวิทยาลัยชุมชนได้ดีเสมอมา นีอาจเป็นจุดลงตัวใหม่ของสังคม+สถาบันการศึกษา หรือลงตัวมานานแล้วเพียงแต่เป็นการสร้างการลงตัวให้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและตลอดไป จาก"เรียนนอกฤดู" อาจจะพัฒนาเป็น "เรียนทุกฤดู" ก็ได้นะครับพี่
แก้มเจ้าจุกยังปริ..ย้วย น่าชังเหมือนเดิม
เหน่งครับ
ร่วมชื่นชมความดีเพื่อสังคมค่ะ
เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ
ขอบคุณที่มีหัวใจอย่างนี้
รู้สึกอุ่นใจแทนประเทศไทย
กำลังใจให้คนทำงานสำคัญมากที่สุดต่อกิจการงานที่ทำ พูดจริงและทำจริงครับผม
..มีศรัทธานำใจมาช่วยด้วยคน..ยายธี
บางปีโทรศัพท์มือถือก็ทำให้วันสำคัญต่างๆ ไม่บกพร่องคะคุณแผ่นดิน
ขอบคุณกองกิจการนิสิตของทุกมหาวิทยาลัยที่ช่วยสร้างนักศึกษานิสิตให้เป็นบัณฑิตที่พึงประวงค์ มีรากเหง้าพร้อมใบปริญญา
สำหรับคนนี้เป็นหลานในบ้าน ว่านในสวนหรือเปล่าคะ
ในฐานะที่เป็นคนสารคาม สิริพร มีโปรเจคเขียนบันทึกแนะนำจังหวัดมหาสารคาม ในลักษณะของเมืองน่าอยู่น่าค้นหา..ในวิถีแนะนำที่กิน ที่เที่ยว ที่พักและมุมมองที่แตกต่าง..เชิญชวนร่วมด้วยช่วยกันนะคะ...
ขอชื่นชมกิจกรรมดีๆ แบบนี้นะคะ
สวัสดีค่ะ พี่แผ่นดิน
ขอบคุณค่ะ (อยากอ่านหนังสือของพี่มากๆค่ะ แต่ยังไม่ถึงมือเลย..)
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
วัดที่กล่าวถึงในบันทึกนี้ มีหลายวัด แต่ทุกวัดก็ล้วนเป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยด้วยกันทั้งนั้น...
การทอดเทียนพรรษา คงไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องประเพณีในทางพุทธศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ผมและทีมงานวางโจทย์ให้เป็นการเรียนรู้สถานที่และเรื่องราวของวัดนั้นๆ ไปในตัวด้วยเหมือนกัน
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ สัญญา ผาลี..
มาพบเจอกันอีกครั้งในวันนี้...วันที่น้องจากหายลับกายไปจากโลก
แต่ในความทรงจำ..ยังแจ่มชัด...
สักวัน จะพาทีมงาน ไปทำบุญนะครับ..
...
หลับพักผ่อนให้เป็นสุข นะน้องรัก
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
แท้จริงแล้ว เรารู้ดีว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
กิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ..ในรั้วมหาวิทยาลัย
ล้วนเป็นความหวังของผมและทีมงานว่าจะเป็นกระบวนการหนึ่งของการปลูกฝังทัศนคติแก่นิสิตให้รู้ว่า ตัวเขาเป็นองค์ประกอบของสังคม และมีคามรับผิดชอบต่อสังคม...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ คุณอัญชัน
เช่นกันครับ
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจ
และขอบคุณที่รักเมืองไทยดุจเดียวกัน