สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์คือ “การไม่รู้ไม่เห็นตามจริง” ไม่รู้เท่าทันในการเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบในสังสารวัฏนี้
นี่...ไม่รู้สักเรื่องจะได้ไหม?
... เป็นเสียงของสาวใดสาวหนึ่งในสามใบเถา หลานสาวเจ้าหัวใจของคนไม่มีราก ที่บ่นเจ้าสามใบเถาคนเล็กที่ถามทุกอย่างที่ขวางหน้า...
ฟังแล้วอดจะยิ้มอย่างอารมณ์ดีไม่ได้ เจ้าสามสาวใบเถานี้ ต่อล้อต่อเถียง พูดคุยกันได้ทั้งวัน คุณยายน้อยอย่างคนไม่มีรากฟังเพลิน ชอบฟัง และมีความสุขกับความคิดใส ๆ ไม่ปรุงแต่งของสามใบเถานี้อย่างยิ่ง
เพราะยิ่งฟัง ก็ยิ่งได้ข้อคิดสะกิดเตือนใจทุกครั้ง ....^__^….
ขอบคุณภาพหวาน ๆ จากกัลยาณมิตร...
มาพิจารณาดูตัวเอง ...วันทั้งวัน จิตคอยแต่จะส่อส่าย อยากรู้นั่นรู้นี่ ใจฟูใจแฟบ คิดไตร่ตรองใคร่ครวญ หาคำตอบอยู่จนสับสน เวียนวน บางวันยังไม่ทันทำงานก็....เหนื่อยเสียแล้ว...
นั่นสิ...บางเรื่องไม่เห็นจะต้องไปรู้สักหน่อย สู้ไปหาความรู้เรื่องที่ควรรู้ น่าจะดีกว่ากันเยอะ
สองวันที่ผ่านมา คนไม่มีรากได้มีโอกาสไปทำบุญ ฟังธรรม และนั่งสมาธิที่วัดปทุมวนาราม จึงขอนำเรื่องราวน่ารู้จากท่าน พระอาจารย์ถาวร จิตตถาวโร มาฝากเป็น “ธรรมบรรณาการ” กับกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ
พระอาจารย์ถาวร จิตวโร ให้ธรรมะหลายข้อ ตอนหนึ่งท่านสอนว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเกิดเป็นมนุษย์คือ “การไม่รู้ไม่เห็นตามจริง” ไม่รู้เท่าทันในการเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบในสังสารวัฏนี้
วิธีการพื้นฐานง่าย ๆ ที่จะเข้าสู่มิติของ “การรู้เห็นตามจริง” ก็คือ การตามรู้อยู่กับลมหายใจ ซึ่งเป็นการพัฒนา “สติ” เมื่อสติสัมปัญชัญญะสมบูรณ์แล้ว จะก่อให้เกิด “ปัญญา” ในการที่จะ “รู้เห็นตามจริง” นั่นเอง
ดร.สนอง วรอุไร ได้กล่าวถึง ความจริงที่เราควรรู้ แต่ไม่ค่อยยอมรับรู้ จึงทำให้เรา “หลง” ติดในโลกธรรมทั้งหลาย ทำให้เกิดทุกข์เวียนวนไม่จบสิ้น นั่นคือ เราไม่รู้ว่า...
1.ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือ อริยสัจสี่ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อไม่รู้ไม่ตระหนักถึงอริยสัจสี่ จึงทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงเวียนแห่งทุกข์
2. เรื่องของตัวเอง เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน กำลังจะไปไหน และเกิดมาเพื่ออะไร จึงปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ไม่มีทิศทาง ไม่มีเป้าหมาย ใช้ชีวิตอย่างประมาท
3. มนุษย์เป็นภพภูมิที่ประเสริฐสุด เพราะมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมที่สุด ในการที่จะทำให้ชีวิตของเราต่ำสุดก็ได้ หรือจะให้สูงสุดจนขั้นไปสู่นิพพานก็ทำได้เช่นกัน
4. กรรมที่สั่งสมไว้ในดวงจิตจะเป็นตัวกำหนดที่มาที่ไปของเรา ทำกรรมดีก็ไปดี ทำกรรมไม่ดีก็ลงต่ำ
5. เราต้องรู้ให้เท่าทันอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะได้ไม่ตกเป็นทาสของโลกธรรม
6. หลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งหมายถึงเหตุที่อิงอาศัยกันนั้น มีสิ่งนี้เหตุนี้ จึงเกิดเหตุนี้ เป็นตัวขับเคลื่อนชีวิตและโลก
เมื่อได้รู้ความจริงแท้เช่นนี้แล้ว เราจะได้เร่งทำความดี ความคิดให้ถูกต้องเที่ยงตรง เพื่อจะได้หลุดพ้นจากความน่ากลัวที่ว่า “ไม่รู้ไม่เห็นตามจริง”
ขอให้เราทุกคนเจริญในธรรมนะคะ…
(^___^)
อ้างอิง
* สารานุกรมเสรี วิกิพีเดีย
* http://www.tumsrivichai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538726624&Ntype=56