เส้นแบ่งในการที่จะบอกว่า...อะไร อย่างไร แค่ไหนที่ถือว่าเป็นผลงานของใคร อยู่ตรงไหน? และจะทำอย่างไรให้การทำงานร่วมกันของนักวิชาการและท้องถิ่นเป็นไปอย่างเกื้อกูลกันและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและโลกของเรา
ในฐานะที่เป็น “นักวิชาการ”
ซึ่งทำงานเป็นผู้ประสานงานใน “โครงการสรรหาและยกย่องครูภูมิปัญญาไทย”
มาระยะหนึ่ง จึงมีโอกาสทำงานคลุกคลีกับ “ครูภูมิปัญญาไทยและเครือข่าย”
ได้ร่วมเรียนรู้และประทับใจกับครูภูมิปัญญาไทย ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน
ผู้ทรงภูมิปัญญา พ่อใหญ่ แม่อุ้ย
และเครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งมีอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศ
หลายครั้งได้ยินเสียงบ่นจากพื้นที่ว่า...นักวิชาการนำผลงานของภูมิปัญญาท้องถิ่นไปเป็นผลงานของตนเอง
....
ในขณะที่เสียงจากนักวิชาการก็ว่า...
เสียดายมีเนื้อหาดี ๆ ไม่เผยแพร่ ชาวบ้านเขียนไม่เป็น
ต้องไปช่วยเขียนให้
มองเรื่องเดียวกัน แต่จากคนละมุมมอง จนเกิดปัญหาคาใจกันมากนักต่อนักแล้ว
ผู้รู้
ครูภูมิปัญญาไทยในท้องถิ่นก็มองนักวิชาการด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ
นักวิชาการก็มองว่าผู้รู้ ครูภูมิปัญญาไทยหวงวิชา ไม่ถ่ายทอด
ไม่เผยแพร่ต่อสาธารณะ
ล้วนเป็นความรู้สึกที่ชวนให้เกิดความอึดอัด
ไม่สบายใจ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะลองตั้งคำถามขึ้นมาแล้วหาเหตุผลว่า...
เส้นแบ่งในการที่จะบอกว่า...อะไร อย่างไร
แค่ไหนที่ถือว่าเป็นผลงานของใคร อยู่ตรงไหน?
และจะทำอย่างไรให้การทำงานร่วมกันของนักวิชาการและท้องถิ่นเป็นไปอย่างเกื้อกูลกันและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและโลกของเรา
“นักวิชาการ”
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข้าราชการของหน่วยงานรัฐ
บางส่วนเป็นเจ้าหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
ซึ่งได้รับมอบหมายให้ประสานงานและทำงานร่วมกับชุมชนตามโครงการซึ่งโครงการส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุน
ส่งเสริม อนุรักษ์ เผยแพร่
และเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดสืบต่อภูมิปัญญาไทย
แน่นอนว่าการทำงานตามโครงการต้องใช้งบประมาณของรัฐ
และข้าราชการย่อมทราบดีว่า การใช้งบประมาณของรัฐนั้น มีขั้นตอน
รายละเอียด และต้องมีการตั้งงบประมาณเพื่อขออนุมัติเงินงบประมาณ
เพื่อดำเนินงานโครงการตามแผนที่เสนอของบไปนั้น...
เล่าเสียยืดยาว ก็เพื่อที่จะทำให้เข้าใจว่า
การทำงานของข้าราชการ ต้องทำตามโครงการที่วางแผนและเสนอของบประมาณไว้
และที่สำคัญต้องรายงานผลงานเป็นรายเดือน รายไตรมาส รายครึ่งปี รายปี
โดยมีตัวชี้วัดของผลงานตามโครงการที่ได้เสนอ (คล้ายการทำสัญญาไว้ว่า
โครงการนี้จะได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง)
ทั้งในส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
การรายงานผลการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ด้วยลายลักษณ์อักษร ต้องมีหลักฐานเชิงประจักษ์ด้วยการมี
“ตัวชิ้นงาน”
ซึ่งโดยมากก็จะต้องมีการรายงานเป็นเอกสารสรุปโครงการ
เอกสารเนื้อหาเกี่ยวกับที่ได้ทำโครงการไป ....
ปัญหาจึงเริ่มเกิดขึ้น
(ความจริงก็มีมานานแล้วแต่รุนแรงขึ้น) เพราะต้องมีการรวบรวมเนื้อหา
สาระของงานที่ทำ
ถ้าให้ดีต้องมีการพิมพ์เป็นหนังสือเพื่อเผยแพร่เนื้อหาสาระของงานที่ทำนั้น
... ซึ่งแน่นอนว่า ผู้เรียบเรียง ผู้เขียนก็คือ
นักวิชาการที่ไปทำงานร่วมคลุกคลีกับครูภูมิปัญญาไทยและเครือข่ายทั้งหลาย
ตรงนี้เองที่เป็นจุดสำคัญ ที่นักวิชาการจะต้องสำเหนียกและระวังให้มาก
การนำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ การสังเกต
รวมทั้งเอกสารที่ครูภูมิปัญญาไทยรวบรวมเขียนส่งมาให้ มาเขียน
เรียบเรียง ร้อยเรียงใหม่ หลังผ่านการวิเคราะห์
สังเคราะห์เนื้อหาข้อมูลแล้วนั้น
ต้องคำนึงให้มากถึงหลักการสากลในการเขียนงานด้านวิชาการทั่วไปที่ว่า
1.
จะต้องระบุแหล่งที่มาของข้อมูล
มีระบบอ้างอิงในสิ่งที่นำมาเขียนและเรียบเรียงเพื่อเป็นการแสดงการยอมรับและให้เกียรติแก่เจ้าของข้อมูล
2.แยกแยะไว้ให้ชัดเจนว่าส่วนใดเป็นความคิดเห็นและข้อมูลเพิ่มเติม
ส่วนใดที่ข้อมูลที่ได้จากพื้นที่
3.ที่สำคัญ
ควรมีการส่งเอกสารที่สรุปเรียบเรียงแล้ว
ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและได้อ้างถึงในผลงานนั้นได้อ่านและให้ข้อคิดเห็นเสียก่อนที่จะมีการตีพิมพ์
4.
พยายามสนับสนุน ส่งเสริมและช่วยให้ครูภูมิปัญญาไทยและเครือข่ายได้เรียบเรียงเขียนผลงานของตนเองได้อย่างเป็นระบบ
จึงจะเกิดประโยชน์เต็มที่
5.
พึงระลึกและตระหนักอยู่เสมอว่า นักวิชาการ คือ “ข้าราชการ”
เป็นข้าของแผ่นดินที่จะต้องทำหน้าที่รับใช้ “เจ้านาย”
ซึ่งก็คือประชาชน ชาวบ้านทั่วประเทศ
ต้องทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ให้สมกับที่ได้รับโอกาสและความไว้วางใจ
ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว
นักวิชาการอาจกลายเป็น “จำเลยของสังคม”
ที่มีภาพพจน์ว่า ทำงานฉาบฉวย เช้าชามเย็นชาม เอาใจนาย
ตามใจนักการเมือง (ที่เวียนกันเข้ามามีอำนาจ)
และเป็นนักฉกฉวยงานของชาวบ้านมาเป็นผลงานของตน .... สร้างตราบาปให้แก่
“นักวิชาการ” ทั้งหมด
เราคงไม่อยากเป็น
“นักวิชาการที่เป็นจำเลยของสังคม”
ที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ฉกฉวยผลงานของท้องถิ่นมาเป็นของตัวเองกัน...ใช่ไหมคะ
?
ขออนุญาตนำกลอนที่กัลยาณมิตรให้ข้อคิดมาเพิ่มเติมไว้ค่ะ
นักวิชาการหรือผลงานปราชญ์ชาวบ้าน... อยู่ที่ท่านมีส่วนใดในเรื่องนั้น
วิชาการต่อยอดปราชญ์บอกยืนยัน... ช่วยสร้างสรรค์ภูมิปัญญาวิชาการ
แต่ส่วนใหญ่สวมใส่ไม่กล่าวถึง...
ทำทะลึ่งชิงไปใจเหิมหาญ
ประสบการณ์ผ่านมากล้ายืนยัน...
นโยบายที่สร้างสรรค์ฉันถูกลืม
กองทุนหมู่บ้านรัฐสวัสดิการฉันผู้ก่อ...
น่าหัวร่อพอทำไปฉันไม่ปลื้ม
ไม่ย้อนถามไม่เคยชวนหวนขอยืม...
เขาด่ำดื่มเข้าสวมรอยแสนน้อยใจ
*********************************
เพิ่มเตมข้อคิดเห็นจาก ท่านอ.บัญชา ...
ขอบพระคุณค่ะ...
เมื่อ ศ. 05 มิ.ย. 2552 @ 14:00
1331901 [ลบ] [แจ้งลบ]
สวัสดีครับ
1) กรณีในบันทึกนี้ทำให้นึกถึงคำว่า Plagiarism ครับ คือ เป็นการขโมยผลงานของคนอื่นมาเป็นของตน (ไมว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามที)
เรื่องให้ credit อย่างถูกต้องนี่สำคัญทีเดียว เป็นการให้เกียรติผู้สร้างความรู้และผลงานนั้นๆ อีกทั้งยังช่วยให้เขามีกำลังใจสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องด้วย
ในขณะเดียวกัน ผู้ที่นำมาเผยแพร่ หากนำเสนอได้อย่างมีศิลปะ คือ มีสาระ น่าสนใจ และให้ credit อย่างเหมาะสม ก็ย่อมถือได้ว่าเป็นการสร้างสรรค์ผลงานด้วยเช่นกัน
2) ตอนนี้ในวงการวิทยาศาสตร์ มีประเด็นเรื่อง Self-Plagiarism คือ ใช้ข้อมูลของตนเองนั่นแหละ แต่ดัดแปลง เพิ่มเติม ตัดต่อ นิดๆ หน่อยๆ แล้วนำไปตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการหลายที่ ทำให้ดูเหมือนกับว่า มีผลงานตีพิมพ์จำนวนมาก....
เชื่อไหมครับ บางคนถึงขนาดได้เป็น 'นักวิทย์/นักเทคโนโลยีรุ่นใหม่ดีเด่น' ไปเลย!!!
3) มีอีกแง่มุมหนึ่งที่อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง แต่คาบเกี่ยวกัน คือ สื่อสารมวลชนบ้านเราก็นำเอาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น นักวิชาการ หรือผู้ที่ทำงานด้านนั้น ไปนำเสนอเอง
แบบนี้ก็มีปัญหา คือ ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน บิดเบือน หรือไม่ครบ ทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดได้
ในกรณีเช่นนี้ อาจมีสาเหตุมาจาก
- พื้นที่/เวลา ของสื่อหนึ่งๆ มีจำกัด : ทำให้ไม่สามารถระบุรายละเอียดได้ เช่น หนังสือพิมพ์มีพื้นที่จำนวนหนึ่ง โทรทัศน์ก็มีเวลาจำกัดช่วงหนึ่ง ฯลฯ
- ความเป็นมืออาชีพของผู้นำเสนอ : จุดนี้สำคัญ เพราะหากแยกแยะได้อย่าง ข้อ 2 และระบุที่มาอย่างชัดเจนอย่างข้อ 1 ก็ถือได้ว่าทำงานอย่างมืออาชีพ แต่ถ้านำเอาข้อมูลจากแหล่งอื่น หรือความคิดเห็นของตนปนๆ ลงไป (ซึ้งเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง)
- พื้นฐานความรู้/ความเข้าใจของผู้นำเสนอ : คือถ้าไม่มีพื้นฐานดีเพียงพอ ก็อาจจะตีความข้อมูลที่ได้รับไปคนละทิศละทางไปเลย....