ให้ดูผู้เห็น..


“ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง”

ยังอ่านหนังสือหลวงปู่ฝากไว้*อยู่เช่นเดิม จริงๆ อ่านหลายรอบแล้ว วันนี้อ่านแล้วสะดุดใจคำแนะนำของหลวงปู่ดูลย์เกี่ยวกับนิมิตของผู้ที่ปฏิบัติแล้วเห็นนิมิต ท่านว่า

ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง

ตัวเองเคยนั่งสมาธิ แล้วเกิดนิมิตก็มี แต่ก็ไม่ได้ยึดอะไร ดูตามเฉยๆ ไม่ว่าจะเห็นอะไร เพราะตัวเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นเรียกว่านิมิตหรือไม่ เพียงแ่ต่เมื่อเห็น ก็ตามดู ว่ามันจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนดูภาพยนตร์นั่นเอง จริงๆ แล้วที่หลวงปู่บอกไว้ก็เทียบเคียงแบบง่ายๆ ได้กับภาพยนตร์เหมือนกัน เวลาดูหนัง ดูละคร ถ้าเราดูจริงๆ ไม่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของละคร.. เราก็จะดูด้วยความที่รู้ว่า..สิ่งที่เกิดนั้นเป็นเพียงละคร เป็นเรื่องที่สร้างขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องจริง..อารมณ์ก็จะไม่ผันไปตามละคร หรือปล่อยให้ละครชักจูงไป

มองออกมาอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเรามองละครโรงใหญ่ หรือชีวิตของคนต่างๆ เวลาที่เรามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนรอบๆ ตัว หรือสิ่งรอบๆ ตัว.. เราก็ยังเห็นจริง.. แต่สิ่งที่เราเห็นน่ะ..มันก็อาจจะไม่จริงเหมือนกับที่หลวงปู่ว่าไว้เช่นเดียวกัน

เพราะเหตุใดหรือ..ก็เพราะว่าสิ่งที่เราเห็น..มันเป็นมุมที่เราเห็น..เราไม่รู้อะไรอีกมากมายที่เกิดขึ้นกับเขาก่อนหน้านี้..แถมบางครั้งเมื่อเราเห็นแล้ว.. เราก็จะเอาประสบการณ์หรืออดีตของเราไปปรุงกับเรื่องที่เราเห็นอีกต่างหาก..

เห็นเด็กถูกตี..ร้องไห้.... เราอาจจะคิดว่าเด็กเจ็บ..คนตีใจร้าย..คิดไปคิดมา..อาจจะลามปามไปโกรธคนตี หรือคิดติเตียนคนตีก็ได้...

แต่จริงๆ แล้ว เราจะรู้ได้จริงๆ ไหม ว่าเด็กเจ็บ หรือเด็กตกใจจนร้องไห้..

เราจะรู้ไหมว่าผู้ใหญ่ใจร้าย หรือผู้ใหญ่หวังดี..

สำหรับตัวเองแล้วเห็นชัดเลย..ว่าสิ่งที่เห็นนั้น..มันไม่จริงเหมือนที่หลวงปู่ว่า..

ก็เลยนึกถึงคำสอนในอีกตอนหนึ่งหลวงปู่ที่ท่านแนะนำวิธีการละนิมิตแ่ก่ผู้ที่ภาวนาแล้วเกิดนิมิตเป็นประำจำว่า..

เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆ ก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง

สรุปแล้ว..เราน้อมกลับมาดูเราดีกว่า ว่ามีสติไหม เหมือนกับที่หลวงปู่ท่านว่า.."ให้ดูผู้เห็น"

แล้วก็ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ไม่ดำเนินชีวิตตามอารมณ์ หรือการปรุงแต่งของความคิดค่ะ 

-----------------------------------------------

*หนังสือ "หลวงปู่ฝากไว้" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล รวบรวมโดยพระครูนันทปัญญาภรณ์ ๒๕๒๘

หมายเลขบันทึก: 189731เขียนเมื่อ 23 มิถุนายน 2008 05:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (22)

สวัสดีค่ะอาจารย์

แวะมาอ่านธรรมะดี ๆ ก่อนเข้านอนค่ะ (ตามเวลาที่นี่ อิอิ) อ่านแล้วนึกถึง fact กับ bias ดูแล้วไม่ค่อยเกี่ยวกับธรรมะสักเท่าไหร่ เพียงแต่นึกขึ้นมาว่า จะมี fact สักกี่อันที่ไม่ได้ถูกแต่งเติมด้วย bias

ขอบคุณมากค่ะ ^_^

สวัสดีค่ะน้องณิช

อีกสักสามชั่วโมงพี่ก็คงเข้านอนตามไปเหมือนกัน ^ ^

สำหรับพี่ คิดว่าทั้ง fact ทั้ง bias เกี่ยวกับธรรม(ชาติ)ทั้งนั้นแหละ อิอิ

จริงแล้วตอนอ่านหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ ท่านพูดถึงนิมิตอย่างเดียว...แต่พี่เอามาโยงกับเรื่องประำจำวันเองแหละ เพราะรู้สึกว่าการปรุงแต่งของจิตมีอยู่มากทีเดียว บางทีดูไม่ทันก็หลงไปกับมัน เหมือนร้องไห้ไปกับละครน่ะ (เป็นประจำ อิอิ)

ในแง่ของธรรมะ"ความจริง"ที่ว่านี้มันไม่มีจริงๆ

เพราะสิ่งที่เรากำลังดูนั้นมันเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง.. เมื่อกี้อาจจะเป็นอย่างที่เห็น..อีกแป็บ ก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว..ความจริงที่ว่า..มันเลยดิ้นได้ยังไงไม่รู้ ^ ^

สวัสดีครับ

หลวงปู่สอนไว้ดีจริง "สิ่งที่เห็นนั้น ไม่จริง"
ผมเองก็เคยถูกครูบาอาจารย์เตือนอยู่บ่อยๆ ว่าอย่าไปหลงปิติกับนิมิตร (แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแม้แต่นิมิตร สงสัยต้องไปฝึกสมาธิใหม่) ผมว่านิมิตรที่เกิด เปรียบเหมือนสารแอดดินารีลที่หลั่งตอนที่ออกกำลังกายครับ หลายคนเจริญภาวนา แล้วติดอยู่ที่ตรงนี้ พระสายปฏิบัติท่านถึงต้องอยู่กับครูอาจารย์เพราะให้ก้าวพ้นภาวะนี้ไปก่อนจึงจะออกธุดงค์ลำพังได้
แต่ อ.ตุ๋ยแน่นอนกว่าที่ปรับคำสอนเรื่องการสมาธิของหลวงปู่ มาใช้กับทางโลกได้

สวัสดีค่ะ ดร.กมลวัลย์  ดิฉันมาจากรากหญ้าค่ะ แต่มีความเชื่อว่าทุกคนเกิดมาตามกรรมลิขิต  ทรัพย์ 2 อย่างที่พวกเรากำลังหา ต่างมาจากมูลเก่ามูลเดิม  "สิ่งที่เห็นนั้นเชื่อว่าเห็นจริง  แต่ จิตปรุงแต่งจนเกินความจริงก็ได้  อย่าเชื่อตนเองจนสติไม่อยู่กับตัว อันตราย" เพราะเห็นบางคนเชื่อความฝันของตัวเองจนลืมความจริง

สวัสดีค่ะพี่ตุ๋ย...^__^ ครูบาอาจารย์ท่านจะเมตตาสอนเสมอว่า อย่าติดนิมิตร แต่จิตกะปุ๋มมันหยาบติดอยู่นานเหมือนกัน 5555 เอาไว้เจอกันแบบ F2F จะขออนุญาตนำเล่าแลกเปลี่ยน สนุกสนานต่อเส้นทางการปฏิบัติ โดนครูเฆี่ยนลงไปในจิตบ่อยครั้งค่ะ  พอหลุดออกมาได้ ... ปัญญาวิ่งฉลุยเลยเจ้าค่ะ...

ครั้งสุดท้ายที่ไปกราบท่าน ท่านบอกเป็นนัยว่า "ให้เล่นไปตามบทบาทสมมติอย่างรู้ตัว"...

เรื่องเด็กถูกตี...ทำให้กะปุ๋มนึกถึงพี่ท่านหนึ่ง เป็นพี่ชายที่นับถืออีกท่านหนึ่ง ตอนนั้นท่านตีลูกชายและก็สอนว่าทำไมถึงได้ตี เพราะเจ้าลูกชายขโมยเงิน แม่มารู้เข้าพ่อกับแม่เกิดทะเลาะกัน...จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เรารวมถึงลูกน้องพี่เขาเข้าใจพี่เขาผิด ว่าเขาโหดเกินไปไม่เหมาะสมกับที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเลย ทำให้เราเข้าใจพี่ท่านบิดเบือนไป พร้อมมีใจตำหนิติเตียนท่านด้วย (ใจเราชั่วค่ะ)

พอนานผ่านไป กะปุ๋มได้เข้าใจเหตุผลนั้นแล้ว การทำโทษครั้งนั้นของพี่ชายนั้น เพราะพี่ท่านต้องการให้ลูกกลัวความชั่ว เพราะนอกจากขโมยแล้ว เด็กยังโกหกด้วย และไปเล่าให้แม่ฟังด้วยความน้อยใจ(ลูกสมุนของความโกรธ) ด้วยหัวใจคนเป็นแม่ที่รักลูกได้รับเรื่องราวที่บิดเบือนจึงได้ไปทะเลาะกับพ่อ เป็นความโกรธเกิดขึ้น แต่เด็กไม่ได้ตั้งใจจะให้บิดเบือนเพราะเด็กไม่รู้หรอกว่าบิดเบือนคืออะไร แต่มันเป็นกลไกในจิตที่ทำไปทำให้กระทำไปโดยประมาท...

พี่ตุ๋ยพิจารณาดูเถอะค่ะว่าเด็ก...เขาทำผิดศีลไปกี่ข้อ ด้วยความเมตตาพ่อจึงได้เฆี่ยนลูกไป ... เพราะอยากให้ลูกกลัวความชั่ว เพราะหากไม่รีบชี้ทางตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปอบรมสั่งสอนกันเมื่อไรนะคะ ผลจากการทำผิดศีลและกระทำสิ่งที่เป็นอกุศลกรรมนี่น่าเป็นห่วงและสงสารผู้กระทำนั้นนะคะ...

นึกไปแล้วก็รู้สึกกลัวในการกระทำความชั่วของตนเองนะคะ ทั้งที่เจตนาและไม่เจตนา...เพราะจะต้องไปรับผลกรรมนั้น คิดแล้วก็ต้องกำหนดสติแนบใจเพื่อไม่ให้ทำผิดพลาด

(^___^)

ขอบพระคุณนะคะสำหรับเรื่องเล่าดีดีนี้ ทำให้ททวภายในตนเองค่ะ

  • เราเห็นนิมิตร
  • แต่เรามักติดกับมันครับ
  • บางทีเจอภาพน่ากลัว จิตตก
  • เลยต้องออกสมาธิ
  • ต่อไปจะลองฝึกใหม่แบบที่พี่ตุ๋ยแนะนำครับ
  • เข้าใจแล้วว่า
  • เรียนสมาธิบางครั้ง
  • ทำไมต้องมีอาจารย์ที่คอยชี้แนะหรือตรวจสอบอารมณ์

น้องตุ๋ยคะ เวลานั่งสมาธิ..ไม่เคยเห็นนิมิตรเลยค่ะ ...สงสัยจิตจะว่างไป..ซึ่งก็เคยได้ยินเหมือนกันค่ะว่าอย่ายึดติดกับสิ่งที่เห็น..

เวลาดูหนังยังอินมากๆอยู่เลยค่ะ..สมาธิดีเหลือเกิน สงสัยกิเลสเยอะ อาจเป็นเพราะเราตั้งใจให้หนังพาเราไป แต่พอจบก็จะบอกว่ามันเป็นแค่การแสดง..อย่างหนังเรื่อง "ชินเลอร์ส ลิส" แค่ได้ยินเสียงดนตรีประกอบ ก็น้ำตาไหลแล้ว เป็นเอามากๆ ..ขำตัวเองเหมือนกัน..ต้องหยุดดูมาปลอบตัวเอง..ว่าผู้แต่งดนตรีประกอบเก่งจริงๆ...5555

ขอบคุณค่ะ ..โดนใจอีกแล้วค่ะ

สวัสดีค่ะคุณpaleeyon

ไม่เห็นนิมิตก็ดีแล้วล่ะค่ะ ^ ^ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายส่วนใหญ่จะบอกว่าอย่ามีนิมิตจะดีกว่า เพราะนิมิตก็พาให้เราหลงว่าเราเป็นโน่น เ็ป็นนี่ได้เยอะนะคะ serotonin พาสนุกค่ะ อิอิ

ตัวเองถ้านั่งสมาธิ มักจะมีภาพยนตร์มาฉายให้ดู แต่ไม่รู้เรียกนิมิตหรือเปล่า ^ ^ นั่งอยู่ในโบสถ์ที่หนึ่งอยู่ดีๆ ไหงเห็นว่าตัวเองไปนั่งอยู่ที่อีกโบสถ์ได้ ฮ่าๆๆๆ ก็ได้แต่ดู เห็นอะไรสวยงามก็ชื่นชม แล้วก็วาง เพราะรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

ครูบาอาจารย์เคยบอกให้ฟังเกี่ยวกับสมาธิระดับต่างๆ ท่านว่าไม่ควรเข้าลึกจนนิ่ง สงบเกินไป ท่านว่ามันเหมือนกับกลายเป็นก้อนหิน คิดไม่เป็น ติดอยู่กับความสงบ (แต่ดีถ้าเข้าสมาธิแบบนี้ได้ตอนที่เหนื่อยๆ และต้องการพักผ่อน) แต่ระดับสมาธิที่ควรเข้าถึง คือระดับที่ยังรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่..อาจมีสิ่งต่างๆ ให้เห็น..แต่เราดูเพื่อให้เกิดปัญญาเท่านั้น ^ ^

ตัวเองเรียนปริยัติน้อยมากๆ แต่เน้นปฏิบัติให้ชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นจะชอบอ่านที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านมอบไว้เป็นธรรมทานแบบง่ายๆ แล้วปรับใช้เอาค่ะ

ขอบคุณที่แวะมา ลปรร นะคะ ^ ^

สวัสดีค่ะคุณนิ่มนวล

เรียกกมลวัลย์เฉยๆ ก็ได้ค่ะ งงๆ เรื่องเกี่ยวกับรากหญ้าอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เป็นไร ใครๆ ก็สามารถปฏิบัติธรรมได้ ไม่แบ่งอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ก็พยายามลดอัตตา ลดทิฏฐิลงไปเรื่อยๆ ยิ่งวางได้ ก็ยิ่งรู้สึกเบาค่ะ ^ ^

เรื่องที่เชื่อตัวเองจนหลงนั้น ก็เคยเห็นและสัมผัสมาบ้างเหมือนกันค่ะ แต่ก่อนก็เคยเถึยงกับคนกลุ่มนี้ แล้วก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เชื่อตัวเองและยึดมั่นในตัวเองเหมือนกัน...ตอนนี้ตาสว่างขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องไตรลักษณ์ แล้วก็นำมาปรับใช้ไม่ให้หลงไปเช่นเดิม.. ชีวิตดีขึ้นมากค่ะ แต่ก็ยังต้องคอยสำรวจตัวเองไม่ให้ประมาทอยู่เสมอ การมีสติเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ค่ะ

ขอบคุณมากนะคะที่แวะมา ลปรร ค่ะ

สวัสดีค่ะน้องกะปุ๋ม

^ ^ พี่เองมีนิมิตไม่มากนักค่ะ ที่เห็นก็ไม่รู้เรียกว่านิมิตหรือเปล่า อิิอิ ส่วนใหญ่จะเห็นว่าไปนั่งอยู่อีกที่หนึ่ง หรือเห็นพระประธานในโบสถ์อีกที่หนึ่ง เคยเห็นตัวเองตัวใหญ่คับโบสถ์ก็มี แต่ก็ดูไปเรื่อยๆ ค่ะ ไม่ได้ตื่นเต้นตกใจอะไร ไม่รู้แบบนี้เรียกนิมิตหรือเปล่า แต่ก็เห็นประมาณแบบนี้ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นภาพยนตร์ความคิดค่ะ ฮ่าๆๆๆ ไม่ค่อยมีอะไรแฟนซีนัก ไว้ถ้าเจอกันแล้วจะรอฟังของน้องกะปุ๋มนะคะ

พี่เองก็คิดเหมือนที่พระอาจารย์ของน้องกะปุ๋มบอกค่ะ ว่าวันนี้ก็ต้องทำงานไปตามสมมติก่อน ตราบใดที่ยังรู้สึกว่ายังทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อยู่ค่ะ ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นสมมติและอยากละสมมติเหล่านี้มากๆ ... คิดในอีกแง่หนึ่ง การอยู่ในสิ่งสมมติก็เป็นเวทีให้เราฝึกปฏิบัติได้ดีทีเดียว จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเห็นสมมติ และเราละได้จริงๆ ไหม เรายังโดนสมมติครอบงำได้ไหม..และถ้าสิงที่ทำเกิดประโยชน์ด้วย ก็ถึือเป็นโชคสองชั้น ได้ปฏิบัติและได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย ^ ^

ตัวอย่างที่พี่ยกเรื่องเด็ก เป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับที่กะปุ๋มเล่าพอดีเลยนะ.. ครูบาอาจารย์ของพี่ท่านเคยพูดว่า..เด็กบริสุทธิ์ ยังไม่มีกิเลส แต่ทำไมเด็กจึงเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ยาก ก็เพราะเด็กยังขาดปัญญา ยังไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกหรือธรรม ยังแยกแยะไม่ได้ กระทำตามสัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องสอนกันแบบนี้แหละค่ะ ^ ^

การมีสติเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ อย่างน้อยก็สามารถประคองตนให้ดำรงอยู่โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือตนเอง..การมีสติจะทำให้เราค่อยๆ ละสิ่งต่างๆ ออกไปเรื่อยๆ เพราะมีสติแล้วปัญญามันจะเกิด คิดออกว่าอะไรเป็นอะไร(อันนี้จากประสบการณ์) แต่ก็ต้องระวัง เพราะความคิดปรุงแต่งของตัวเองก็มีมากจริงๆ เผลอเป็นไม่ไ้ด้เลย ^ ^

พี่นั่งสมาธิมาพอควร เห็นิมิตรมาบ้าง แต่ผ่านไป ไม่เอาใจใส่ มีเป้าหมายแค่ ให้ใจหยุด ใจนิ่ง ซึ่ง จะต้องค่อยๆประคองใจ อย่างแผ่วเบา อย่าให้ใจกระเพื่อม
เวลา พี่นั่งสมาธิ ชอบนั่งคนเดียวค่ะ แต่ถ้า จำเป็นนั่งกันหลายๆคนก็ได้ แต่ ใครอย่าทำเสียงดังเท่านั้น

เรื่องการนั่งสมาธินี่ เท่ากับเป็นการพักจิตจริงๆนะคะ 

สวัสดีครับ

  • เคยแต่ได้อ่าน ไม่เคยเห็นจริง
  • นอกจากลูกนิมิต เห็นบ่อยมากเลย ;)
  • ทฤษฎีน้อยๆ ปฏิบัติมากๆ ผมว่าใช้ได้กับหลายๆ เรื่องเลย
  • เจอนักเรียนส่วนมาก อ่านตำรามาก จำมาก แต่ไม่ค่อยได้คิดได้ลงมือ ขาดประสบการณ์

สวัสดีค่ะอ.ขจิต

ไปเห็นนิมิตอะไรมา ถึงได้จิตตก อิอิ

ถ้าเห็นอะไรก็ไม่ต้องกลัว ถึงเห็นอะไรไม่สวยงามก็ไม่ต้องคิดอะไรมากค่ะ ดูเฉยๆ คิดเสียว่าดูหนังอยู่..ตามดู ตามทันความเข้าใจก็พอ.. จริงๆ แล้ว ของไม่งามรอบๆ ตัวมีมากมายนะคะ (ไม่ต้องนั่งสมาธิก็เห็นได้) เช่น ความโลภ ความไม่รู้จักพอ หรือขยะ หรือซากศพ .. จริงๆ พี่มองไปรอบๆ ตัว..พี่เห็นความไม่งามที่ทำให้จิตตกได้เยอะเลย .. แต่ส่วนใหญ่พี่จะใช้วิธีการดูให้เห็นธรรมชาติของสิ่งนั้นๆ เช่น ถ้าเห็นซากศพสัตว์ หรือคน ก็คิดเสียว่า สังขารเราในวันหนึ่งก็ต้องเน่าเปื่อยสิ้นไปเหมือนอย่างนี้ บางทีย้อนกลับมาดูผิวหนังที่ลอกออก เล็บ ผมที่ต้องตัดประจำ..ดูไปดูมาแล้วก็เห็นเหมือนกันว่าไม่ต่างอะไรจากซากของอื่นๆ ที่เราเห็น..อันนี้ทำให้ละอัตตาได้ดีทีเดียว

ถ้าไปเจอสิ่งที่ไม่งามเช่นความโลภ โกรธ หลง.. เห็นพฤติกรรมอะไรแปลกๆ ก็ไม่ต้องไปเป็นตาม..แค่ดูพฤติกรรมแล้วย้อนมาดูตัวเรา ว่าเราเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า..แบบนี้น่าทำไหม เป็นต้น สรุปแล้ว..ย้อนมาดูตัวเองให้มากที่สุด..เจริญสติเข้าไว้ค่ะ ^ ^

สวัสดีค่ะพี่อุ๊

ไม่เห็นนิมิตก็ดีแล้วค่ะ ^ ^ แต่ก็พยายามอย่าเข้าลึกจนนิ่งหายเข้าไปเลยทั้งหมด ครูบาอาจารย์ท่านว่านิ่งมากๆ ก็ดี (พักผ่อนดี) แต่มันไม่เกิดปัญญาค่ะ คือไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นเอง

เรื่องดูหนังตุ๋ยก็ยังเป็นค่ะพี่..โดยเฉพาะหนังชีวิตเศร้าๆ ที่เห็นการตายแบบไร้เหตุผลอย่าง Schindler's list น่ะ ดูทีไรก็น้ำตาซึมได้ทุกทีเหมือนกัน..มันเป็นปฏิกิริยาเลยค่ะ..มานั่งคิดดู..สงสัยมันเป็นพฤติกรรมของจิตเรา..คล้ายๆ กับที่ถ้าเราโดนน้ำร้อนลวก เราก็ร้องโอ๊ยเป็น reflect นั่นแหละค่ะ แต่ถ้าเราถอยกลับออกมาเป็นผู้ดูได้หลังจากหนังจบ ก็คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วก็สอบอารมณ์หลังจากหนังจบด้วย เหมือนกับโดนน้ำร้อนลวก แล้วก็หลบเป็น reflect หลังจากโดนลวกก็ต้องไม่โกรธน้ำร้อน ไม่โกรธสถานการณ์ หรือโกรธคนทำหกใส่เรา หรือโกรธโชคชะตาความโชคร้ายของเรา ฯลฯ แต่มารักษาแผลน้ำร้อนลวกต่อไป ประมาณนั้นน่ะค่ะ ^ ^

สวัสดีค่ะคุณพี่ศศินันท์

การนั่งสมาธิเป็นการพักผ่อนจิตอย่างหนึ่งเลยค่ะ เหมือนหลบร้อนแดด ลมหนาว หรือเปียกฝน เข้ามาในบ้านอย่างนั้นเลย

ตัวเองก็นั่งสมาธิไม่ค่อยบ่อยหรอกค่ะ ส่วนใหญ่จะนั่งตอนไปวัด..บางทีไปวัดใกล้ๆ ที่ทำงานตอน Lunch break ค่ะ คนไม่เยอะ ไม่ชอบไปวัดตอนคนเยอะ เพราะไม่ค่อยสงบ อิอิ ชอบเข้าไปในโบสถ์เพราะร่มเย็นดี..แค่เข้าไปก็เย็นใจแล้ว..ได้นั่งสักครึ่งชั่วโมงก็สบายแล้วค่ะ ^ ^

สวัสดีค่ะคุณ ธ.วั ช ชั ย

สำหรับตัวเอง..ได้เคยเห็นลูกนิมิตจริงๆ แค่ครั้งเดียวเองค่ะ แต่เห็นทีเดียวเก้าลูก ได้ปิดทองด้วย ^ ^

การปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติธรรมหรือการงานค่ะ ทางธรรมะท่านถึงได้มีคำกล่าวเกี่ยวกับปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธไว้น่ะค่ะ

ขอบคุณที่แวะมา ลปรร นะคะ

หนังสือหลวงปู่ฝากไว้นี่เป็นหนังสือธรรมะเล่มโปรดอีกเล่มค่ะ นอกจากจะชอบอ่านสาระวิเศษข้างใน ที่ไม่เบื่อ อ่านแต่ละครั้งก็จะเกิดจุดคิดที่ต่างหัวข้อไปเรื่อย แล้วเล่มยังเล็กกระทัดรัดมากๆเหมาะติดกระเป๋าไปไหนๆ มีเพื่อนให้หนังสือนี้พี่มาทั้งห่อราวห้าสิบเล่ม แจกไปจนเหลือสักสิบเล่ม ใครที่ยังไม่มีแล้วอยากได้ อีเมลไปบอกที่อยู่ได้นะคะ จะส่งไปให้

พี่ไม่เคยเจอนิมิตเลยค่ะ เวลานั่งสมาธิเพื่อพักจากการเดินจงกรมยาวนาน พี่จะนั่งราวสามสิบ ถึง สี่สิบห้านาทีเป็นอย่างมาก ได้พักทั้งกาย และจิต เคยเกิดความรู้สึกเงียบสงบนิ่งอย่างยิ่ง ราวอยู่ผู้เดียว แต่ที่จริงในห้องนั้นมีผู้ร่วมปฏิบัติอยู่เกือบสิบคน ตอนเย็นสอบอารมณ์ ท่านอาจารย์(อาจารย์สมลักษณ์ วัดท่ามะโอ)ท่านบอกว่าเป็นสมาธิชนิดอะไรสักอย่าง คำพระ อิ อิ พี่ก็ไม่มีหัวจำ ได้แค่การปฏิบัติ หมู่นี้ชักห่างไปนาน

พูดถึงการดูหนังแล้วอิน เมื่อก่อนพี่เป็นมากเหมือนกัน แต่หลังจากดูจิต(พอจะ)เป็น มันมีสติ เห็นจิตที่กำลังอินไปกับเนื้อเรื่อง เดี๋ยวนี้การดูหนังไม่เหมือนเดิมอีกแล้วค่ะ คือเหมือนดูหนังไป พิจารณาตามหลักธรรมไปด้วย เช่น ความดีชั่ว ศีลธรรม แถมดูจิตไปเวลามีอารมณ์ที่แล่นไปตามหนัง สนุกดีค่ะ ได้ดูทั้งหนัง ได้เห็นทั้งจิต

 

สวัสดีค่ะพี่นุช

ตอนหลังตัวเองก็ห่างหายไปจากการนั่งสมาธิไปบ้างเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าได้วิปัสสนาในชีวิตประจำวันเสียมากกว่า อาจจะไม่ได้เดินจงกรม แต่เวลาไปออกกำลัง วิ่ง จิตจะอยู่กับเท้า กับลมหายใจ พอสมควร เพราะฉะนั้นเรื่องชื่อสมาธิแบบต่างๆ จะไ่ม่ค่อยรู้เท่าไหร่ จำได้ว่ามีคำว่าอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อะไรทำนองนี้ อาจารย์เคยเล่าให้ฟัง แต่ตัวเองก็ไม่ค่อยจำเท่าไหร่ ว่าแบบไหนเป็นอย่างไร.. ^ ^

เรื่องนิมิต ตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจค่ะ แต่ถ้าเห็นภาพต่างๆ ละก็ .. เคยเห็นตอนนั่งสมาธิแน่ๆ แต่ดูตามเหมือนดูวีดีโอ ดูหนัง แต่ไม่มีอารมณ์ตามเลย .. ที่แปลกคือเวลาดูหนังจริงๆ ยังเกิดอารมณ์อยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นภาพพระกรณียกิจของในหลวงของเรา จะเกิดปิติมากๆ ทั้งๆ ที่เคยดูแล้ว และรู้แล้ว แต่มันรู้สึกล้นมากๆ จริงๆ ^ ^

มาอ่าน,ศึกษาค่ะ

เคยหัดนั่งโดยมีพีเลี้ยง นั่งได้นาน เห็นจุดสว่างวาบ ๆ เห็นเหตุการณ์จิ๋ว ๆ (ปรุงแต่งเองด้วยหรือเปล่า???)

นั่งคนเดียว ได้ความสงบ พัก แต่มักหลับ
คุณครูพี่เลี้ยงแนะว่า อย่าติดการหลับ

ยังทำไม่ได้ค่ะ

 

บันทึกนี้ไม่มีผมแว่บ ๆ มาได้ไง :)

"สิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่คิด

สิ่งที่คิด อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เห็น"

ขอบคุณครับอาจารย์ :)

สวัสดีค่ะคุณหมอจริยา

ช่วงหลังนี้ไม่ได้นั่งเลยค่ะ ^ ^ เน้นแต่การมีสติ เจริญสติในชีวิตประจำวันไปอย่างเดียวเท่านั้น

เคยนั่งแล้วนิ่งแบบไร้ตัวตน ไม่เห็นอะไรเลยบ้างเป็นบางครั้ง หรือบางครั้งเห็นแสงแว่บๆ เป็นวูบๆ หรือบางครั้งเห็นตัวเองใหญ่มากกับอุโบสถ หรือบางครั้งนั่งที่หนึ่งกลับเห็นว่าตัวเองอยู่อีกวัดหนึ่งก็มีค่ะ.. ก็ได้แต่ดูตามไป ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เห็นมากนัก เน้นย้อนกลับมาดูที่ตัวเองเสียมากกว่าค่ะ ให้รู้ตัวอยู่เสมอ..เห็นนิมิตก็รู้ว่านี่คือนิมิต ไม่ตกใจเฉยๆ เดี๋ยวที่เห็นก็หายไปค่ะ แต่บางครั้งเห็นแสงแว่บๆ ก็ดูมันกระพริบวูบๆๆ เป็นระยะไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นการให้จังหวะลมหายใจก็มีค่ะ.. ไปเรื่อยเปื่อยค่ะ ถ้าได้นั่งนะคะ แต่อย่างที่บอก ช่วงหลังไม่ได้นั่งเลยค่ะ ^ ^

สวัสดีค่ะอ.วสวัตฯ

นั่นนะสิ ^ ^ พลาดได้ไงกัน อิอิ

ดีใจที่อาจารย์มาเยี่ยมและ ลปรร นะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท