เพื่อนถามว่า "สิ่งที่ทำให้เราสบายใจจริงๆท่าจะไม่ใช่ความคิดดีๆ แต่เป็นไม่คิดใช่หรือเปล่า"
ตอบเมลเพื่อนไปว่า:
พอดีเมื่อว่าเราไป retreat กับท่านธีรธัมโมมา 1 วัน ท่านเป็นลูกศิษย์อ.ชาน่ะ
ท่านพูดเรื่องนี้พอดี
ท่านบอกว่าเวลาเจริญสติ ให้ใช้ลมหายใจเป็น point of reference
การที่ความคิดของเรามันฟุ้งซ่านหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเรารู้หรือเปล่าว่าความคิดเรามันมาอีกแล้ว
ให้รู้ว่ามัน off หรือ on ลมหายใจ
ท่านบอกว่าถ้าขณะที่ใจเราจ่อมองดูที่ลมหายใจ
ความรู้สึกที่ลมกระทบจมูกและช่องทางเดินหายใจ
แล้วมีความคิดอะไรฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ไม่ต้องไปห้่ามไปหยุดมัน
ให้รับรู้ว่ามันมา แล้วเราก็เอาใจเรากลับมามองดูลมหายใจอีกครั้ง
ให้ไอ้ความคิดนั้นมันอยู่ใน background ให้เป็น secondary ไป
เอาลมหายใจเป็น primary อยู่ฉากหน้า
แล้วให้คิดว่าลมหายใจคือเพื่อนที่เราพึ่งพาได้เหมือนใครซักคนที่เวลาเรามีปัญหาเราอยากโทรไปคุย
ลมหายใจคือเพื่อนที่เราไว้ใจ เป็นคนที่ always be there for you เป็นเพื่อนที่ให้กำลังใจ support เราเสมอ ก็จริงเหมือนกันเนอะ : )
ทีนี้การที่เรามีสติเนี่ยะ เราจะ"มอง"และ"รับรู้" ไม่คิดไปเองแบบผิวๆ
ถ้าไม่คิดเลย สงบอย่างเดียว (สมถะ) ก็ดีเหมือนกัน แต่มันไม่สุดทาง ปัญหามันยังอยู่ สาเหตุต้นตอที่แท้จริงยังอยู่ ยังไม่ถูกถอนรากถอนโคน
ความสุขที่ได้จากการทำสมถะมีจริง แต่เป็นสุขไม่ยั่งยืนเพราะเดี๋ยวเราก็ต้องออกจากสมาธิ
หรือว่าเราแค่ไม่คิดถึงปัญหา มันก็เลยไม่ทุกข์ ณ ขณะนั้นๆ
ซึ่งมันก็ไม่เลวร้ายนะ มันจำเป็นด้วย ใจต้องสงบถึงระดับหนึ่งอยู่ดี เพียงแต่ว่ามันไม่พอ
ที่นี้ถ้าเราจะถอนรากถอนโคนเหตุแห่งทุกข์เนี่ยะ ไม่ใช่ว่าไม่คิดอะไรเลยนะ เวลาวิปัสสนาเนี่ยะ ไม่ใช่ว่านิ่งอย่างเดียว แต่เราต้องมาระวังคำว่าคิด พระท่านบอกว่า ไม่ใช่ think แบบ intellectual ไม่ใช่ rationalize พยายามหาเหตุผลมาอธิบาย เพราะว่าเวลาเราคิดแบบนี้ เราคิดบนพื้นฐานการมองโลกผ่านเลนส์แบบมี ego ของเราเอง
แต่เวลาวิปัสสนาเราต้อง พิจารณา (investigate) ปัญหาแบบใช้การ "รับรู้" มองดูข้างในว่าเรารู้สึกอย่างไร
มองตรง มองอย่าง objective ให้รู้ว่าไอ้ความรู้สึกนั้นมันคืออะไรกันแน่
แล้วต้นตอของความรู้สึกนั้นคืออะไรกันแน่ มองเข้าในนะ
ไม่ใช่คิดหาเหตุผลออกนอกตัว
เช่น ท่านเคยหงุดหงิด ไม่พอใจที่มีคนมาว่า ท่านเป็นแบบนั้นต่อกัน 2-3 วัน
ทั้งๆที่บวชมาสิบกว่าพรรษาแล้วตอนนั้น
ท่านเลยลองพิจารณาดูจนแตกย่อยไปได้ว่า ที่หงุดหงิด
ไม่พอใจเพราะท่านมีอดีตเรื่องการผิดใจกันมาก่อน
ท่านดูให้เห็นว่าท่านมีมานะคิดว่าตัวเองถูกคนที่ว่าท่าผิดทั้งๆที่จริงๆท่านก็มีส่วนผิด
ท่านพิจารณาไปเรื่อยๆโดยใช้สติขณะนั่งวิปัสสนาแล้วท่านรับรู้ว่าจริงๆ
สิ่งที่อยู่ลึกๆจริงๆคือ ความกลัว ท่านบอกว่าความกลัวนี่แหละ
เป็นต้นตอมากมายของหลายอารมณ์ที่เราปรุงแต่งต่อ แล้วท่านก็เห็นว่า
แม้แต่ไอ้ความกลัวนี้ "มันก็ไม่ใช่ของเรา" มันมีของมันอยู่อย่างนั้น
แล้วเราก็จะเข้าใจ จะเห็นสภาวธรรมอะไรบางอย่างที่อธิบายลำบาก
ต้องลองเป็นประสบการณ์ตรง
ท่านอธิบายว่ามันเหมือนก้อนพลังงานที่ท่านเรียกไปเองว่า life-force หรือ
ชีวะในภาษาบาลี
เราคิดว่าชาตินี้คงไม่ต้องถึงกับปฏิบัติธรรมเพื่อจะเป็นอรหันต์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ปฏิบัติเลยเพราะคิดว่ามันไกล ไปไม่ถึง
ไอ้การรับรู้สภาวะธรรม หรือ จังหวะที่ enlighten นั้น เราๆท่านๆทำได้นะ อาจจะครั้งหนึ่งในชีวิต แค่ไม่กี่นาที แต่ก็คุ้มนะเราว่า
พระท่านเรียนว่า it's a glimpse of (being) buddha : ) ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน