เบนจามิน แฟรงคลิน ยอดนักคิดในศตวรรษที่ 18 เป็นนักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ นักดนตรี เป็นฑูต ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในบิดาแห่งสหรัฐอเมริกา เขาเป็นหนึ่งในห้าของคณะกรรมการที่ร่างคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา
บันทึกนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะมาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์อเมริกันหรอกครับ คือว่าคืนนี้ ค้นไปค้นมา ไปพบบทความของแฟรงคลินเข้าอันหนึ่ง ชื่อ The Way to Wealth อยากให้อ่านถ้าอ่านไหวครับ
ในหนังสือนี้ มี quotes ที่น่าสนใจหลายอัน และหลายอันที่เราคุ้นเคย แต่ไม่เคยรู้ว่ามาจากหนังสือที่อายุ 250 ปีเล่มนี้
สวัสดีค่ะ
เคยผ่านตาหนังสือนี้ ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่เคยอ่าน จึงขอบคุณที่นำ Quotesดีๆมาฝากันหลายอันค่ะ
อ่านแล้ว ดีทุกอันค่ะ น่านำไปใช้ได้ดี มีอยู่ข้อสุดท้าย ที่ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่าย ในชีวิตจริง....
ตรงนี้ คงหมายถึงการเป็น เถ้าแก่ หรือ เจ้าของกิจการ นะคะ
เพราะมีปัจจัยหลายอย่างมากมาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่เริ่มต้นจะตั้งกิจการ จนการรักษาไว้ ให้อยู่รอดปลอดภัย และเราก็มีรายได้ จากการนี้ มากิน มาใช้อยู่ทุกวัน
เพราะการแข่งขันที่สูงในธุรกิจหนึ่งๆ ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย สามารถเลือกที่จะซื้อสินค้า หรือบริการจากร้านค้าหรือตัวแทนจำหน่ายใดๆ ได้ตามความพอใจ
ดังนั้น การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าของเราอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพื่อทำให้เกิดการรักษาลูกค้าเก่า และกลายเป็นลูกค้าประจำ
ถ้ากิจการใด มีลูกค้าประจำมาก ก็ไม่ค่อยเหนื่อย แต่ถ้า มีแต่ลูกค้าขาจร เป็นส่วนใหญ่ ก็เหนื่อยแน่ และคงต้องหันกลับมาดูตัวเอง อย่างรีบด่วนแล้วว่า นี่เรากำลังทำอะไรผิด สักอย่าง หรือหลายอย่าง แน่ๆแล้ว
การจะเป็นเถ้าแก่ ที่สามารถรักษา ร้าน ของเรา ให้รอดปลอดภัย คงมีเรื่องต้องทำมากเลยค่ะ
ต้องปรับตัว และใส่ใจกับร้านของเราอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้น กิจการคงมีปัญหาแน่ การมีทักษะและประสบการณ์ในธุรกิจของเรามานานๆ ไม่ได้รับประกันว่า เราจะอยู่รอดปลอดภัย ได้ตลอดไป
สวัสดีค่ะคุณ conductor
พอดีเห็นว่า bullet ที่ ๔ กับbullet อันที่ ๒ จากท้ายค่้อนข้างจะซ้ำกัน เลยแจ้งให้ทราบค่ะ
สำหรับ quote อันที่ชอบคือ "Creditors have better memories than debtors" เบนจามิน แฟรงคลินนี้เป็นคนช่างสังเกตจริงๆ นะคะ ^ ^
ขอบคุณที่นำมาฝากกันนะคะ
พี่ศศินันท์: ขอบคุณครับพี่ ที่จริงควรแปลแบบที่พี่ว่าครับ แต่ผมเห็นว่าบริบทของสภาพสังคมในขณะนั้น แตกต่างกับสภาพสังคมในปัจจุบันมาก ปี พ.ศ. 2301 ที่ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เป็นเวลา 9 ปีก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองและเป็นเวลา 18 ปีก่อนที่สหรัฐจะประกาศอิสรภาพครับ
สังคมอเมริกาในสมัยนั้น เป็นสังคมอาณานิคมเกษตรกรรม แม้มีเมืองมีร้านค้าขาย ก็เป็นร้านเล็กๆ ไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก อาจจะแตกต่างกับบริบทของสังคมปัจจุบันมาก ผมเกรงว่าจะ relate ไม่ได้ จึงใช้คำว่ากิจการซึ่งเป็นคำที่กว้างกว่าครับ ถ้าทำให้งงมากขึ้น ก็ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่ง
เชื่อว่าความหมายที่ลึกซึ้งกว่าคือการพึ่งพากัน คนต้องพึ่งกิจการ (ส่วนตัว/สังคมแวดล้อม) และแต่ละคนก็เป็นส่วนของกิจการเช่นกันครับ แบบน้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า
อาจารย์กมลวัลย์: เรื่องซ้ำ แก้ไขแล้วครับ มีคำเตือนมาจากสหรัฐเมื่อตอนเช้ามืดเช่นกัน เขียนบล็อกก็ดีอย่างนี้ล่ะครับ ผิดแล้วมีผู้รู้ช่วยกันเตือนและแก้ไขได้ ขอบคุณครับ
ผมคิดว่าสังคมสหรัฐ ไม่ได้ "พยายาม" จะเป็นสังคมอุตสาหกรรมจนช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ครับ
สมัยสงครามกลางเมือง (เลิกทาส) นั้น ความขัดแย้งก็ยังเกิดจากแรงงานในภาคการเกษตร ฝ่ายเหนือมีอุตสาหกรรมมากกว่าฝ่ายใต้ แต่สหรัฐในขณะนั้น ก็ไม่ได้จัดเป็นประเทศอุตสาหกรรมในความหมายของปัจจุบันนะครับ การผลิตเป็นไปเพื่อการใช้งานในประเทศเพราะว่าการเดินทางข้ามมหาสมุทรมีความเสี่ยงสูงและยาวนาน
ในยุคอาณานิคมนั้น บรรดาผู้นำทางความคิดเหล่านี้ น่ายกย่องอยู่อย่างหนึ่งครับ คือเขาคิดและทำเพื่อส่วนรวม เพื่อความอยู่รอดของคน ไม่ทำแบบนักการเมือง และไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นผู้ปกครองประชาชนครับ (ที่เป็นเหตุผลหลักเพื่อปลดแอกจากอาณาจักรของผู้ปกครอง)
ขอบคุณคุณอ๊อดครับ รอบนี้แอบหนีมาเที่ยวแุถวบันทึกผมเสียหลายบันทึกเลย
วันนี้พยายามดูแล้วแต่ไม่เห็นครับ ที่แท้ก็ผิดวัน! ถึงว่าซิ วันนี้หนีมาเที่ยวได้ยังไง
-A life of leisure and a life of laziness are two things
ไม่เข้าใจประโยคนี้ครับ รบกวนพี่ช่วยขยายความหน่อยครับ
ผมลองค้นดูเจอประโยคนี้ ดังนี้ครับ
-A life of leisure and a life of laziness are two different things.
-A life of leisure and a life of laziness are two things. There will be sleeping enough in the grave.
ref: http://www.brainyquote.com/quotes/quotes/b/benjaminfr151635.html
ref:http://www.worldofquotes.com/author/Benjamin-Franklin/2/index.html
ref:http://www.altavista.com/web/results?itag=ody&q=%22A+life+of+leisure+and+a+life+of+laziness+are+two+things%22&kgs=0&kls=0
ปล. วันนี้เข้ากูเกิ้ลไม่ได้ เลยได้ใช้search ของ altavista อีกครั้ง ปกติใช้แต่ตัวแปลภาษา(babelfish)
ดังที่เล่าไว้ในบันทึก "A life of leisure and a life of laziness are two things." เป็นภาษาโบราณอายุ 250 ปี แล้วครับ ถ้าเป็นสำนวนปัจจุบัน ก็จะใช้อย่างที่คุณรุ่งเขียนมา
ประโยคนี้ แปลตรงตัวได้เลยครับ ชีวิตสบายๆ กับชีวิตที่ขี้เกียจนั้น เป็นคนละอย่างกัน
อย่างใน GotoKnow นี้ ก็เป็นตัวอย่างอันหนึ่ง -- เราแต่ละคนทำงานทำการกัน และใช้เวลาว่าง (สบายๆ ชิลชิล) มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แทนที่จะอยู่เฉยๆ ปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไม่ได้อะไรขึ้นมาครับ
ขอบคุณครับพี่Conductor ^_^
-เป็นสองสิ่ง(อย่าง) หมายความได้ว่า เป็นคนละอย่างกัน (ผมอ่านแล้วคิดมากไปเองว่า เป็นสองอย่างที่อะไร เป็นสองอย่างยังไง)
ผมเดินผ่านหน้าวัดเสมียรฯ เห็นข้อความที่ป้ายLED โดนใจมาก เค้าเขียน(แสดงไว้)ว่า
"คนโง่ใช้ความสันโดษบำรุงความเกียจคร้าน"
อ่านแล้วเหมือนโดนแทงใจดัง ..จึ๊ก..เลย ^_^!!
คิดว่าความสันโดษในความหมายนี้ เพียงแต่ถูกใช้เป็นข้ออ้าง (ซึ่งบางทีเราใช้สลับสับสนกับคำว่าเหตุผล) ที่จะขี้เกียจ
โดนครับ เพียงแต่มันไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของความขี้เกียจ