ในชั่วโมง assessment practice ซึ่งเป็นการนำเสนอตัวอย่างคนไข้แล้วให้นักเรียนแต่ละคนช่วยออกความเห็นว่าจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์อย่างนั้น มี คุณหมอ Rosalie Shaw หมอชาวออสเตรเลียแต่มาทำงานที่สิงคโปร์เกือบยี่สิบปีแล้ว ปัจจุบันเป็นเลขาธิการของ Asia Pacific Hospice Palliative Care Network เป็นคนดำเนินรายการ
ผู้ป่วยที่ Rosalie นำมาให้เราวิเคราะห์เป็นผู้หญิงอายุ ๔๓ ปี เพิ่งผ่าตัดมะเร็งเต้านมไปแต่ไม่ยอมรับเคมีบำบัด เพราะไม่อยากหยุดงาน ต่อมาผู้ป่วยกลับมาใหม่ด้วยอาการไอ คำถามที่ Rosalie โยนให้พวกเราคิดคือ จะประเมินอย่างไรต่อไป
นักเรียนทุกคนซึ่งประสบการณ์โชกโชน ต่างช่วยกันตั้งคำถามเธอกันใหญ่ว่า เป็นเมื่อไร หนักมั๊ย ใช้ยาอะไรอยู่รึเปล่า มีอการอื่นร่วมด้วยมั๊ย .... เรียกได้ว่าระดมยิงคำถามกันจนตอบแทบไม่ทัน แล้วเราทุกคนก็หยุดกึกกับคำพูดของ Rosalie ที่ว่า คิดหรือเปล่าว่า ผู้ป่วยจะรู้สึกอย่างไร กับคำถามนำแบบนี้
คำตอบของเธอทำเราอึ้งเลย ผู้ป่วยจะต้องพะวงกับการตอบคำถามนำของเรา จนลืมเรื่องสำคัญของตนเอง แล้วเธอก็ยกตัวเลขเด็ดจากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาว่า
รู้มั๊ย เวลามาหาหมอ ผู้ป่วยมีโอกาสพูดตอนเริ่มต้นนานเท่าไร
คำตอบ ค่าเฉลี่ย ๒๒ วินาที เท่านั้น หลังจากนั้นผู้ป่วยจะถูกบรรดาคุณหมอแย่งพูดหมด ไม่มีโอกาสได้เล่าอะไรที่ทุกข์ใจจริงๆเลย มัวแต่พยายามนึกควานหาคำตอบสำหรับคำถามนำสารพัดที่ถล่มเข้าใส่ ที่หมอเราเรียกว่า การซักประวัติทางการแพทย์
คำถามที่ Rosalie แนะนำ ๒ คำถามที่ควรใช้จริงๆ เวลาสอบถามเรื่องอาการสำคัญ คือ
๑. ไหน ลองบอกหมอหน่อยสิว่า ไอ้อาการ... นี้ มันเป็นอย่างไร
๒. มีอะไรอีกมั๊ยที่อยากบอกหมออีก
จบ แค่ ๒ คำถาม
เอาละสิครับ เธอเสนอให้เราเลิกซักประวัติ อาการสำคัญ แบบตั้งคำถามนำ ที่เราถูกสั่งสอนมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์ และเสนอให้เราเก็บคำถามนำพวกนี้เอาไว้ตอนท้ายๆ ที่อยากจะสอบถามผู้ป่วยเพื่อความครบถ้วนทุกระบบ เท่านั้น
๖ ตุลาคม ๒๕๕๐
<< APHN Diploma of Palliative Care ๒๑: รอยต่อระหว่าง curative กับ palliative
สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์
และอยากเข้ามาบอกว่า
จริงอย่างที่อาจารย์บอกค่ะว่าคนไข้ ไม่ค่อยได้มีโอกาสบอกเล่าอะไรมากนัก ส่วนใหญ่คุณหมอจะซักหมด
แต่ส่วนตัวเอง ไปหาหมอทีไร แย่งกันพูดกับคุณหมอค่ะ เพราะช่างถาม รีบชิงถามก่อนอยู่เรื่อยค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะอาจารย์
ดิฉันจะบอกคนไข้ว่า ถ้าหมอมา ให้รีบถามหมอก่อน ก่อนที่หมอจะคุยกันเอง
ถ้ากลัวว่าจะพูดไม่ทัน เขียนคำถามใส่กระดาษไว้ พอหมอมา ให้ยื่นให้หมอก่อนที่หมอจะคุยกันเอง
เพราะถ้าให้หมอคุยกันเองเสร็จ บางทีหมอเดินกลับไปเลย โดยลืมถามคนไข้ค่ะ
สวัสดีปีใหม่ 2551 คะ อาจารย์หมอเต็มศักดิ์
อ่านบันทึกนี้แล้วนึกถึงตอนที่ตัวเองป่วย มันมีความถามมากมายด้วยความสงสัยคะ ก่อนเข้าตรวจนั่งคิดในใจและต้องถามคุณหมอให้ได้ ส่วนมากคุณหมอจะพูดน้อย แต่หนูพูดเยอะกว่าทุกครั้งคะ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเรานึกถึงสิ่งที่อยากรู้ (ส่วนใหญ่จะเป็นอาการทางกาย ) แต่ผู้ป่วยทุกข์ขนาดไหนในช่วงที่หายไป เขาอยู่อย่างไรหลังผ่าตัด แล้วเขาอยากให้เราช่วยอะไรนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยได้คิดกันเท่าไร
บางครั้งวิธีการดูแลที่ดีและสมดุลที่สุดคือ ดูแลต่อเนื่อง ถึงแม้เวลาแต่ละครั้งจะมีจำกัด แต่ความรู้จักที่มีต่อกันจะเพิ่มพูน ลดปัญหาการสื่อสารไปได้มาก
การสื่อสารที่สุมดุล ต้องมีทั้ง ให้และรับสาร เราถูกฝึกให้ซักมากกว่าถูกฝึกให้ (ทน) ฟัง นี่เป้นการหลงทางอย่างใหญ่หลวงในระบบการแพทย์
สวัสดีครับ พี่อุบล
น้องโรจน์ครับ
สวัสดีครับอาจารย์
สื่อสารสองทางนี้น่าสนใจครับ ตอนผมเรียนอาจารย์ชอบสอนว่าซักให้ครบ(เหมือนกับซักผ้าให้สะอาด) ไม่ตกหล่น แต่ไม่ค่อยมีอาจารย์คนไหน(ในเวลานั้น) สอนผมว่า ตั้งใจฟังคนไข้ว่าทุกข์อย่างไร ผมเองก้หลงทางเป็นพักๆถึงแม้ในปัจจุบัน บางครั้งขาดสติก็ตัดบท (เวลาคนไข้มากๆ) บางรคั้งสติดีก็ตั้งใจฟัง
การสื่อสารต้องฝึกฝนมากจริงๆนะครับ
สวัสดีคะ อาจารย์
ขอบพระคุณที่ให้พอลล่าได้เรียนรู้ค่ะ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับคุณหมอเต็มศักดิ์
เกลอคิมไปพบหมอสูตรสำเร็จครับคือ
"ให้คนไข้ แลบลิ้น ปลิ้นตา อ้าปาก สั่งยา ให้กลับบ้าน "(ให้ หรือไล่ ก็ทำนองเดียวกันครับ)
ผมก็เตือนตัวเองและเตือนน้องๆกันอยู่ครับ แต่เดี๋ยวนี้ความจำมันไม่ค่อยจะดี..ข้ออ้างอีกแล้ว.. พอคุยกับคนไข้ได้นิดนึง ก็ต้องรีบหันไปพิมพ์ลงคอมฯกันลืมก่อน หันไปหันมาจนเกิดอาการวิ่นแล้วครับ
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะ
ท่าจะจริงคะอาจารย์
คนไข้ยังไม่ได้ถามเลยคะ
คุณหมอสั่งยาได้เลยคะ
สวัสดีค่ะ
โชคดีที่ไม่ต้องไปแย่งพูดกับหมอค่ะ เพราะไปแต่โรงพยาบาลเอกชน หมออยากให้พูดเยอะๆ บอกเยอะๆ แล้วก็จะได้ส่งไปตรวจหลายๆ อย่างเพื่อความสบายใจของคนไข้ คือใส่ใจมาก หมอตรวจวินิจฉัยเรียบร้อย แต่ถ้าคนไข้ยังไม่สบายใจในสิ่งที่หมอบอก จะลองตรวจเพื่อให้เห็นผลอย่างอื่นก็จัดให้หมด แต่หมายถึงค่าใช้จ่ายตามมาเพียบ เห็นบิลแล้วหายป่วยค่ะ 555 เคยแค่แบบป่วยไร้สาเหตุ ปวดโน่นนี่ (ตอนหลังพบว่าเครียดจัด) หมอเลยเสนอว่าสแกนทั้งตัวเลยมั้ย แบบที่นอนมุดอุโมงค์ จะได้รู้ไปเลยว่าเป็นไรกันแน่ เห็นเราไม่สบายใจหนัก เหอๆๆๆ พอทราบค่าบริการแล้วบอกว่าขอยาแก้ปวดกับยาคลายกล้ามเนื้อ หรือเจลนวดพอ พรุ่งนี้ก็หายแล้วล่ะ ^ ^ หมอขำเลย บอกว่าดี หายง่ายแบบนี้ก็ดี หมอประจำเดี๋ยวนี้ก็คุยเล่นกันบ้างค่ะ สื่อที่หมอใช้ตั้งอยู่บนโต๊ะหรือแปะในห้องก็ฝีมือบริษัทเราเยอะทีเดียว เลยเหมือนคนกันเอง
มาอ่านก่อนไปฟังเรื่องคุณป้าสงบค่ะอาจารย์หมอเต็ม กรณีที่อาจารย์ Rosalie ชี้ให้นักศึกษาเเพทย์เห็นกุ้งว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่กระตุกความคิดของคนที่จะเป้นหมอในอนาคตค่ะ
ว่าให้นึกถึงจิตใจคนไข้ให้มากๆ ในการทำอะไรก็ตาม
เวลาดิฉันเป็นหมอ(รักษาคนไข้)
มีทั้งพูดน้อยกว่าคนไข้(ช่วงแรกของเวรและช่วงจะออกเวร)
พูดมากกว่าและถามนำเพื่อทำเวลา (เวลาคุณพยาบาลมาสะกิดว่า ข้างนอกมีคนไข้อีกเพียบ)
และไม่พูดเลย (เวลามีรายฉุกเฉิน)
แต่เวลาที่ดิฉันไปเป็นคนไข้สิคะ....ไม่ได้พูดเลย โดนคุณหมอทั้งรุ่นน้อง รุ่นพี่แย่งพูดหมด 555
ที่จำได้และประทับใจ คืออาจารย์ประมวล วีรุตมเสน เจ้าพ่อ Infertile และเด็กหลอดแก้ว IVFค่ะ
ท่านอาจารย์ให้เวลาเราสองคน สามี-ภรรยามาก คุณสามีถามเยอะ ดิฉันไม่ค่อยได้ถามนัก เพราะอ่านตำรามาบ้างแล้ว
คำถามยอดฮิตของคนไข้กลุ่มนี้ "ทำไมเราถึงไม่มีลูก หรือมีลูกยาก"
อาจารย์ตอบจนสามี งง และเงียบไปนาน
"ไม่ทราบครับ คือคำตอบแท้จริงทางวิทยาศาสตร์"
แล้วยังแซวกลับเวลาเราสองคนจะกลับเพื่อนัดมา investigate อื่น ๆว่า
"อย่าลืมบนเจ้าพ่อด้วยล่ะ คนไข้ที่เขาได้ลูกกันเขาบนบานกันทั้งนั้น"
สามีดิฉันถามอีก(ถามจัง จนดิฉันเกรงใจอาจารย์)
พออาจารย์ตอบ "เจ้าพ่อชั้นแปดนี่ไง" (ตอนนั้นอาจารย์ท่านออกโอพีดีที่ชั้นแปด)
เราสองจึง ฮา กันลั่น