เรื่องพาหนะคู่ใจของผม สามารถแบ่งออกได้เป็นช่วงชีวิตหลาย ๆ ช่วง ดังนี้
ช่วงเรียน ป.ตรี ที่ พิด'โลก ... เข้าเรียนปี 1 ซื้อจักรยานเฟสสันมือสอง มือสาม หรือมือสี่ ก็ไม่ทราบ จากรุ่นพี่ที่หอ รุ่นพี่กำลังจะเรียนจบ จึงขายต่อให้ผมมาในราคา 400 บาท ซึ่งผมก็ใช้จนถึงปี 4 แล้วมันก็หายตอนผมเรียนจบ
ขึ้นมาเรียน ป.โท ที่จังหวัดช้าง ... ผมก็พัฒนาจาก จักรยานเฟสสัน สีน้ำตาลเข้มที่หายไป กลายเป็น จักรยานเสือภูเขาคันเท่ห์ ราคา 3,900 บาท แทน ผมขี่ไปเรียนในมหาวิทยาลัย ประมาณ 5 ปี (ปี 1 - ปี 5)
ช่วงรอยต่อการเรียนกับการทำงาน ... ผมเริ่มทำงานก่อนเรียนจบ 1 ปี ผมจึงขอสตางค์พ่อกับแม่ บวกกับเงินเดือนมาผ่อนรถมอเตอร์ไซค์คันแรกในชีวิต เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนจากจักรยานเสือภูเขา คือ มันแก่แล้ว อีกประการหนึ่งคือ ผมต้องผูกไทมาทำงาน จากที่พักถึงที่ทำงาน เหงื่อมันไหลเลอะเสื้อ ทำให้เพื่อนร่วมงานไม่อยากเข้าใกล้ เพราะเหม็นเหงื่อมาก
เจ้ามอเตอร์ไซค์คันแรกของผม มีความแรง 110 cc. มีคนตั้งชื่อให้ว่า "หนึ่งเดียว"
เจ้าหนึ่งเดียวอยู่กับผมได้เกือบ 6 ปี ก็หมดอายุ (ตอนนี้ไปขี่อยู่บนดอยแล้ว)
ผมจึงจำเป็นที่ต้องผ่อนคันใหม่อีก ทั้ง ๆ ที่เงินก็ไม่ค่อยจะพอ จึงตัดสินใจใช้เงินเดือนส่วนที่เหลือ ไปผ่อนมอเตอร์ไซค์มือสอง 1 คัน ปัจจุบันยังเหลืออีก 1 ปีกว่า ๆ
มีคนตั้งชื่อไว้ได้น่าเกลียดมาก ชื่อ "ไส้ติ่ง" แรง 125 cc. แรงเพิ่มมานิด
"ไส้ติ่ง" เป็นรถมือสองที่ผมต้องบำรุงรักษาอยู่ทุกเดือน เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เช็คทุกอย่าง ทุก ๆ เดือน
ทุก ๆ วัน ผมจะต้องขี่เจ้าไส้ติ่งมาสอนที่มหาวิทยาลัยทุกวัน ไป-กลับ ประมาณ 40 กิโลเมตร ใช้เวลาเที่ยวละ 30 นาที เป็นอย่างน้อย
ก่อนจะขี่เจ้าไส้ติ่ง ผมต้องหาไอ้โม่ง (หมวกคลุมหัว) และถุงมือกันหิมะ ใส่ทุกครั้ง และเสื้อกันหิมะอีกตัว (มือสอง) เพื่อป้องกัน แดด ฝุ่น ความหนาวเย็นของภาคเหนือ
เวลามาถึงมหาวิทยาลัยทุกครั้ง ผมจะจอดรถไว้ที่หอพัก ดึงไอ้โม่งออก ดึงถุงมือออก ... ถ้านักศึกษามาเห็นลองคิดดูสิครับว่า นักศึกษาจะคิดอย่างไรกับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์มาสอนหนังสือ
อย่าว่าแต่นักศึกษาจะคิดเลยนะครับ อาจารย์ด้วยกันเองที่เอารถยนต์ราคาแพง ๆ มาขับ มาจอด ยังคงอดคิดไม่ได้ และมักจะทักผมว่า ทำไมถึงไม่ซื้อรถยนต์ซักที มันลำบากนะ (อันนี้เค้าคิด ผมไม่ได้คิดตามเขา)
หรือถ้าลูกศิษย์เห็น มันก็ทักผมว่า อาจารย์ลงดอยมาเหรอครับ ผมก็บอกว่า ใช่สิ ลงดอยมา เป้ครูข้างหลังเนี่ย รายงานเธอทั้งนั้น :)
เป็นไงมั้งครับ นี่คือชีวิตจริงนะครับ ไม่ได้เขียนแล้วแต่งให้ดูน่าสงสาร
ผมพอใจในชีวิตของผมแบบนี้
ผมไม่ได้มีความทุกข์ใจใด ๆ เลย กับการที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วไม่มีรถยนต์ขับให้ดูโก้ หรือ สมฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย
ผมเชื่อว่า ถ้ามีคนให้ความเคารพและนับถือผม ไม่ใช่เคารพผมที่ "วัตถุนิยม" ที่แสดงฐานะว่า รวย หรือ จน กรุณาให้เคารพผมที่หัวใจของผม อุดมการณ์ของผม คุณธรรมจริยธรรมที่ผมมีก็พอแล้ว
ครอบครัวผมไม่ได้มีฐานะร่ำรวยจนสามารถให้ผมได้ซื้อรถยนต์ได้ แค่นี้ก็พอใจแล้ว ขนาดตอนเรียนหนังสือ เดินบ้าง ขี่จักรยานไปเรียนบ้าง ตอนนี้ได้เจ้าไส้ติ่งมาขับ ... สุดยอดมากแล้ว
ผมมีความสุขดีครับ ... คุณวิเคราะห์อะไรจากสังคมที่ผมอยู่ได้บ้างไหมครับ
วิเคราะห์นักศึกษาได้อย่างไรบ้าง นักศึกษาเค้ามองผมอย่างไร
วิเคราะห์อาจารย์ (ที่อยากมี) ได้อย่างไรบ้าง เค้ามองผมอย่างไร
ผมขอเป็นกรณีศึกษาให้พวกคุณดูสักบันทึก
ขอบคุณครับ ถ้าแวะมาเยี่ยมเยียน ผมว่า เรื่องนี้ต่อเนื่องกันอีกหลายเรื่องทีเดียว กับมุมมองมากมายของคนหลายสถานะ
"ถ้ามีคนให้ความเคารพและนับถือผม ไม่ใช่เคารพผมที่ "วัตถุนิยม" ที่แสดงฐานะว่า รวย หรือ จน กรุณาให้เคารพผมที่หัวใจของผม อุดมการณ์ของผม คุณธรรมจริยธรรมที่ผมมีก็พอแล้ว"
บทความข้างต้นนี้ช่างกินใจนัก ช่างบาดลึกลงไปในความรู้สึกเหลือเกิน
ผมได้เขียนบันทึกไว้ในบล็อก เรื่อง "การพิจารณาแก้วน้ำ"
ไม่ทราบว่าสอดคล้องหรือปล่าว ได้คัดบางตอนมาให้ดู
"การมองคนอย่ามองแต่เปลือกนอก (กาย) คืออย่าได้ตัดสินว่าเขาดีหรือชั่ว เลวหรือน่ายกย่องนับถือ เพราะถ้ามองเห็นแก้วโดยไม่เห็นน้ำ ก็เท่ากับมองเห็นกระพี้ไม้ มองไม่ถึงแก่น มองเห็นรถยนต์แต่ไม่เห็นเครื่องยนต์ มองเห็นจอมอนิเตอร์+เคส แต่ไม่เห็นสเปก มองเห็นมาดเท่ๆของคนแต่ไม่เห็นจิตใจ มองเห็นกายแต่มองไม่เห็นจิตตัวเอง ขอท่านจงมองแก้วให้เห็นถึงน้ำ จงมองกายให้เห็นถึงจิต จงมองจิตให้เห็นถึงกาย"
ขอบพระคุณ ... คุณ ร่มไม้ใหญ่ใกล้ทาง มากครับ
ที่ได้แวะมาเยี่ยมเยียน
"การมองคนอย่ามองแต่เปลือกนอก (กาย) คืออย่าได้ตัดสินว่าเขาดีหรือชั่ว เลวหรือน่ายกย่องนับถือ เพราะถ้ามองเห็นแก้วโดยไม่เห็นน้ำ ก็เท่ากับมองเห็นกระพี้ไม้ มองไม่ถึงแก่น มองเห็นรถยนต์แต่ไม่เห็นเครื่องยนต์ มองเห็นจอมอนิเตอร์+เคส แต่ไม่เห็นสเปก มองเห็นมาดเท่ๆของคนแต่ไม่เห็นจิตใจ มองเห็นกายแต่มองไม่เห็นจิตตัวเอง ขอท่านจงมองแก้วให้เห็นถึงน้ำ จงมองกายให้เห็นถึงจิต จงมองจิตให้เห็นถึงกาย"
สอดคล้องครับ ... เรื่องนี้ผมเจอกับตัวเองมาบ่อยครับ ใส่เสื้อม่อฮ่อม นักศึกษายังนึกว่า คนตัดหญ้า เลยครับ คงต้องสอนกันอีกเยอะครับ
ขอบคุณด้วยความจริงใจครับ
หรือถ้าลูกศิษย์เห็น มันก็ทักผมว่า อาจารย์ลงดอยมาเหรอครับ ผมก็บอกว่า ใช่สิ ลงดอยมา เป้ครูข้างหลังเนี่ย รายงานเธอทั้งนั้น :)
เป็นไงมั้งครับ นี่คือชีวิตจริงนะครับ ไม่ได้เขียนแล้วแต่งให้ดูน่าสงสาร
ผมพอใจในชีวิตของผมแบบนี้
ผมไม่ได้มีความทุกข์ใจใด ๆ เลย กับการที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แล้วไม่มีรถยนต์ขับให้ดูโก้ หรือ สมฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัย
ผมเชื่อว่า ถ้ามีคนให้ความเคารพและนับถือผม ไม่ใช่เคารพผมที่ "วัตถุนิยม" ที่แสดงฐานะว่า รวย หรือ จน กรุณาให้เคารพผมที่หัวใจของผม อุดมการณ์ของผม คุณธรรมจริยธรรมที่ผมมีก็พอแล้ว
สวัสดีคะอาจารย์หนูก็ตามมาอ่านอีกแล้วค่ะ
"ถ้ามีคนให้ความเคารพและนับถือผม ไม่ใช่เคารพผมที่ "วัตถุนิยม" ที่แสดงฐานะว่า รวย หรือ จน กรุณาให้เคารพผมที่หัวใจของผม อุดมการณ์ของผม คุณธรรมจริยธรรมที่ผมมีก็พอแล้ว"
ขอบคุณข้อคิดดีๆอีกเช่นเคยค่ะ
สวัสดีครับ
ไม่ได้แวะมาบันทึกอาจารย์นานแล้ว
เรื่องนี้คงไม่ต้องวิเคราะห์อะไรมาก
คนส่วนหนึ่ง อาจจะส่วนใหญ่ มองคนที่วัตถุอยู่แล้ว
คนส่วนหนึ่งจึงอยากให้เศรษฐีเป็นนายกฯ (อิๆ เกี่ยวกันไหมนี่)
ถ้ามีคนดูถูก ผมว่าสะใจดี
เพราะเรารู้อยู่ในใจว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด...
ขอบคุณครับ คุณพยาบาล สีตะวัน :)
(เอะ ! ไม่ได้ LOGIN หรือครับ หัวเทาเชียว)
ขอบคุณครับ คุณครูในดวงใจ คุณครู เทียนน้อย ... สู้ว้อย ครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ ธ.วั ช ชั ย :)
อาจารย์สบายดีนะครับ
คิดเช่นนั้นจริง ๆ ครับ "เพราะเรารู้อยู่ในใจว่าเราไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด..."
ขอบคุณมาก ๆ ครับ :)
ผมเห็นเพื่อนครูของผมหลายๆคนครับ
ผ่อนรถมาขับ แล้วเดือดร้อนกันก็เยอะไป ทุกๆอย่างผ่อนหมด สังคมภายในนั้นยอมรับเรื่องการมีหน้ามีตา ความโก้หรู ซึ่งบดบังความทุกข์หลายๆอย่างเอาไว้ บางคนมายืมเงินผม เราก็ต้องให้ไป
ผมเห็นแล้วก็สงสารเขามาก
ผมเองมีชีวิตคล้ายๆคุณเจ้าของบทความครับ
เรียนที่พิษณุโลก
ได้ไปทำงานที่ต่างจังหวัด
เป็นครูวิทยาลัย
เคยมีจักรยานแบบคุณ
ตอนนี้ขับมอเตอร์ไซค์เหมือนคุณ
เคยโดนลูกศิษย์ถามเหมือนคุณ
เคยโดนเพื่อนครูถามเหมือนคุณ
อ่านไป อ่านมา บางครั้งยังนึกว่าเป็นตัวผมเองเลยครับ
และตอนนี้ผมก็ยังมีความสุขกับอาชีพครูของผมด้วยซ้ำไป
อยู่อย่างคนรวยก็จะไม่รู้จักคำว่ารวย มีใครบางคนเคยพูดไว้...
บอกตรงๆเลยครับ
ผมชอบบทความนี้มากๆ ให้ A+
เราเหมือนกันเลยครับอาจารย์ :)
ขอบคุณมาก ๆ ...
แอบมาขุด..
ก็สงสัยอยู่!!!!!..รู้ได้ไงเนอะ...ว่ามีใครเข้ามาแสดงความเห็นในบันทึกหน้าโน้นหน้านี้
บันทึกไว้ซะมากมายหลายเรื่องทั้งบล็อคทั้งอนุทินขยันคิดขยันพิมพ์
ไม่เห็นเหมือนนักเรียนชายที่ครูป้ากายสอนเล๊ยขี้เกียจม๊ากกกก
ปีไหนเจอนร.ชายเยอะนี่ดวงตกเลยล่ะทำอะไรก็ไม่เจริญแล้ว
คุณWasawat .คิดเป็นทำได้และกล้าที่จะทำดีก็เป็นมงคลต่อชีวิตและบุพการีแล้วล่ะ..ฟันทิ้งเอ๊ยฟันธง
ก็หายากอยู่เหมือนกันเนอะอาจารย์หมาวิทยาลัยขับมอเตอร์ไซต๋ไปทำงานนี่น่ะ
ขนาดครูในโรงเรียนเล็กๆยังพยายามหาป้ายแดงขับกู้กันสนุกสนาน
แต่ไม่ได้รวมถึงครูเตี้ยอึดนะเพราะตัวเตี้ยนี่แหละจึงมิบังอาจคิดที่จะหารถยนต์มาขับ
555ชาติหน้าขอเกิดเป็นยีราฟแร๊ะกัน
ได้แต่ฝึกฝนการขับมอเตอร์ไซต์ให้เชี่ยวชาญกับการขับมอเตอร์ไซต์
พอปี47 ทางไปโรงเรียนมีกลุ่มโจรใต้เที่ยวไล่ฆ่าครูไทยพุทธฆ่าชาวบ้าน
ก็จำเป็นต้องซื้อรถยนต์มิร่ามือสองสีเหลืองมาขับเนอะ
แต่ก็ไม่ชำนาญหรอกชนโน่นชนนี่ตลอด
แต่ส่วนมากจะชนของที่ไม่ต้องเสียเงินเช่นต้นไม้ถังขยะรถนี่บุบหน้าบุบหลัง
พอเห็นว่าแม้แต่คนขับรถยนต์ถ้าโจรใต้จะดักฆ่าก็ไม่เคยรอดสักราย
จึงขายรถมิร่ามาขับมอเตอร์ไซต์ฮ่างต่อจะเป็นจะตายก็แล้วแต่ขะตาฟ้าลิขิต...
ก็บ้านกับโรงเรียนไปแค่25 นาทีก็ถึง( เข็มไมล์อยู่ที่เลข 60 ถ้าเร็วกว่านั้น 15 นาทีถึง)รถก็ไม่ติด
ประหยัดอีกด้วยคุณพ่อครูป้ากายนะคะท่านพึ่งซื้อรถยนต์ตอนที่ลาออกจากราชการตำรวจแล้ว
เพราะลูกๆไปทำงานต่างจังหวัดกันหมดเอาไว้ขับไปหาลูกคนโน้นคนนี้เพราะลูกไม่มีเวลาได้ไปหาท่าน
ท่านไม่จำเป็นต้องกู้มาซื้อรถเพราะพยายามเก็บเงินไว้
คุณพ่อครูเป็นตำรวจตระเวณชายแดนต้องไปอยู่ตามป่าตามเขาอยู่อย่างเรียบง่ายสบายๆ
ชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆชราอย่างมีคุณค่าและมีความสุข555
555ขออภัยพิมพ์อาจารย์มะหาวิดทะยาลัยเป็นอาจารย์จุดๆๆ
สงสัยมันจะติดอยู่ในสมอง..เจ๊ย..มือไวไปนิ๊ดนึงน่ะคะลืมพิสูจน์อักษรก่อนบันทึก
สวัสดีค่ะอาจารย์'Wasawat Deemarn'
ขอชื่นชมอาจารย์มากๆค่ะ
อาจารย์โชคดีที่มีโอกาสได้ทำเป็นตัวอย่างที่น่ายกย่องมากๆค่ะ
...พฤติกรรมของทุกคนย่อมมีความแตกต่างและมีสาเหตุแห่งพฤติกรรมนั้นเสมอ...
ขอบคุณครับ คุณครู เตี้ยอึด สำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ :)
ขอบคุณมากครับ ท่านอาจารย์ ดร. พจนา - แย้มนัยนา ;)...
พฤติกรรมของทุกคน ย่อมมีความแตกต่าง และมีสาเหตุแห่งพฤติกรรมนั้นเสมอ
5 5 5 ถูกใจความเห็นท่านบก.
คนส่วนหนึ่ง อาจจะส่วนใหญ่ มองคนที่วัตถุอยู่แล้ว
คนส่วนหนึ่งจึงอยากให้เศรษฐีเป็นนายกฯ (อิๆ เกี่ยวกันไหมนี่)
น่าสงสารคนที่คิดเช่นนั้น ตอนนี้เราเลยต้องมานั่งลุ้น ๆ รอๆ หวังๆ ว่า เื่ืมื่อไหร่ การเมืองไทยจะ ใสสะอาด
สงสัยคงต้องรอให้ คนส่วนใหญ่ คิด และ มองเรื่อง นี้ ให้ถูกต้องก่อนกระมัง :)
ว้า แล้วมิต้องรอ ไปจน เหงือกแห้ง ผมขาว รึเจ้า :)
ปล. แบบว่าปูก็ใช้ รถถีบ อยู่นะ 5 5 กำลังมองหามอไซค์ห้าง อยู่เลย :)
ใช้สิ่งใดก็ได้ หากสิ่งนั้นตอบสนองเราด้วยความเต็มใจและความสุขใจของเรา
ขอบคุณมากครับ คุณ Poo ;)...
พรวนบันทึกเหมือนจะบอกว่า ไม่เขียนเรื่องใหม่บ้างหรือ ใช่ม่ะเนี่ย ;)...
- เท่ห์มากครับ
- เพราะเคยใกล้เคียงกันครับ จึงมาอ่าน :-)
- ขณะที่อาจารย์ทั้งหลายมีรถยนตร์ใช้ สะดวก สบาย (บางคนสบายบางคนไม่สบาย) แต่ มีอาจารย์บางคนปั่นจักรยาน ใช้จักรยานยนต์เก่าๆ
- เงินประจำเดือนตั้ง แสนห้า น่าจะซื้อรถได้นะ (ฮาฮา แซวเล่นครับ)
- เดินดีกว่าปั่นจักรยาน (ถ้าทำได้) ปั่นจักรยานดีกว่า ขับจักรยานยนตร์ (ถ้าทำได้) ขับเจ้าสองล้อ น่าจะดีกว่าขับเจ้าสี่ล้อ กับสถานะของ "อาจารย์"
- ชื่นชมครับ
ขอบคุณมากครับ ท่าน nmintra ;)...
ด้วยความพอมี พอเพียง น่ะครับ ;)...
แหม แฮ่ม อ.เสือ ทำเป็นเหมือนรู้ใจ อิ อิ
แต่อีกนัยยะ มองแฟนแทะ ในแง่ตามจิก ทวง เลยน่ะเนี่ย
อิ อิ แต่ก็ จริงๆ กลายๆ วัดครึ่ง กรรมการครึ่ง :) ฝันดีเจ้า
555
ฝันดีครับ คุณ Poo ;)...