อินเดียวันละเรื่อง=การขับรถในเดลี ตื่นเต้นทุกวัน


ลื่นไหล ไปได้ด้วยดวง

อยู่นิวเดลีมา 1 เดือนเต็ม สิ่งที่น่าเสียวใส้และยังตื่นเต้นทุกวันก็คือการขับรถของคนอินเดีย ยิ่งกว่าบ้านเราหลายเท่า โดยเฉพาะการเข้าวงเวียน เรียกว่าต้องวัดดวงกัน แม้จะมีป้ายบอกให้รถในวงเวียนไปก่อนแต่ ไม่เคยมีใครสนใจ จึงวัดกันด้วยความเร็วที่เข้ามา ใครหัวรถนำเข้ามาก่อนก็จะมีความรู้สึกว่ามีสิทธิ์ไปก่อน ผมนั่งดูการขับรถและเข้าวงเวียนทุกวันๆ จนชักเริ่มชินและคิดว่าหากเราขับเองก็คงต้องใช้หลักเดียวกันคือ เอาความเร็วในการเข้าวงเวียนเป็นหลัก คนไทยหลายคนหัวเสียมากเวลาขับรถเข้าวงเวียน แต่ผมเห็นว่าทำให้การจราจรลื่นไหลดีเหมือนกัน ทุกคนทำเหมือนกันหมด ไม่มีใครต่อว่าใคร และบางครั้งเกิดการปาดหน้ากัน ด้วยความเร็วรถต่างกัน อย่างมากก้แค่มองหน้า ยกไม้ยกมือแล้วก็ต่างคนต่างไป

การขับรถตามถนน ถือว่าไม่มีเส้นแบ่งเลนถนน เพราะไม่มีใครขับอยู่นเส้นเลย คร่อมกันหมด และวิ่งเบียดกันชิดมาก เรียกว่าเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันดีจัง ถนนมีสองเลนแต่พ่อเจ้าพระคุณวิ่งเบียดกันจนเป็นสี่เลนเรียกว่าวัดใจกันเช่นกัน รถส่วนมากจึงเอากระจกข้างพับไว้เลย ไม่ใช่กลัวกระจกไปโดนรถอื่นแต่เพื่อจะได้แทรกเข้าไปได้และชิงไหวชิพริบในท้องถนน

ทุกวันๆ จึงเป็นเรื่องที่ตื่นเต้น ชิงไหวชิพริบกันในเรื่องเล็กๆ น้อยและหากใครผ่านการจราจรบนท้องถนนไปได้ก็จะทำให้ภูมิใจ สมดังคำที่ว่า ต้อง ได้อย่างเดียว (take) ไม่ยอมเสีย(give) นี่ละคนอินเดีย

อ้อ นอกจากต้องสูกันระหว่างคนขับรถแล้ว บางถนนก็จะมีวัวของพระเจ้ามาร่วมวงด้วย

ก็ครับ ตื่นเต้นทุกวันเลยครับ อยู่อินเดีย

คำสำคัญ (Tags): #จราจรในอินเดีย
หมายเลขบันทึก: 119838เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2007 20:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มิถุนายน 2012 16:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (240)

อ่านไป หวาดเสียวไป ที่สุดก็ได้รับความภาคภูมิใจทุกวันใช่ไหมคะ

  กำลังศึกษาและฝึกสมาธิเหมือนกัน คิดว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องพิสูจน์ได้ มีเวลาก็แลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ สวัสดีค่ะ

P
ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่าน
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่ได้เห็นสังคมอินเดียและได้มีโอกาสพิจารณาสังคมไทยของตัวเอง จึงได้เห็นความเหมือนและความต่างกันชัดเจนขึ้น
ได้เห็นสิ่งดีในความไม่ดี ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงของชีวิตที่เราต้องหยุดดู เพื่อจะได้นำมาคิดพิจารณา ก็จะเป็นการปฏิบัติธรรมได้เหมือนกันครับ
อินเดียมีคนพันล้าน ใครไม่มีปัญญา ไม่มีสติที่จะคิดและเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว ก็จะอยู่ไปอย่างนั้น ไหลไปตามกระแส แต่ใครมีปัญญา ก็จะมองได้ลึกกว่านั้น คือการเห้นชาวในดำ เห็นดำในขาว แล้วเอามาพิจารณา ก็จะเห็นตัวเอง เห็นจิตใจตัวเองและก็จะรู้ว่าจะเดินปทางใดดี
ชีวิตจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ การได้หรือเสียครับ แต่เป็นการรู้หรือไม่รู้
ขออนุโมทนาครับที่สนใจศึกษาสมาธิ เป็นทางเดินที่ถูกต้องแล้วครับ เดินไปเรื่อยๆ จะได้เห็น ได้รู้อะไรอีกมาก
ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้กันครับ
ด้วยความปรารถนาดี
ดิฉันเองสนใจศึกษาธรรมะ มานับ 10 ปี แต่ก็ได้จากการอ่าน ฝึกปฎิบัติบ้างแต่ไม่ได้ลึกซึ้ง ต้องเรียกว่าแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย ไม่เข้าใจแม้คำว่าสมถะ/วิปัสนา คิดว่าการทำสมาธิคือการนิ่งๆ คิดอะไรให้ช้าลง ไม่ด่วนตัดสินใจ และคิดเชิงบวก ประมาณนี้ แต่วันหนึ่งก็ได้พบกัลยาณมิตร จากการโพส เรื่องกฏแห่งกรรม ที่ดิฉันได้อ่าน แล้ววาบซึ้ง จึงอยากเผยแผ่ กัลยาณมิตรท่านนั้น ก็เข้ามาต่อกระทู้ และเป็นผู้จุดประกายให้ฝึกปฎิบัติสมาธิอย่างจริงจัง แก้จะคอยแก้ไขปัญหาให้วันต่อวัน ทำให้รู้หลัก และวิธีปฎิบัติที่ก้าวหน้าขึ้น และมีส่วนทำให้ดิฉันตั้งใจนั่งสมาธิทุกวัน เป็นต้นมา แต่ถ้าคุณทราบระยะเวลา ก็คงจะประมาณผลของสมาธิดิฉันอย่างคร่าวๆได้ คือ ประมาณ 2 เดือนเศษ สุดท้ายเมื่อปลายเดือนก่อน ดิฉันก็มีความรู้สึก อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น เลยปลีกวิเวก 5 วัน ก็ได้ประสบการณ์มาพอประมาณ ดังที่ได้บันทึกไว้เป็นบางส่วนแล้ว แต่เมื่อกลับมาจากปลีกวิเวก ดิฉันก็ไม่สามารถติดต่อคุณกัลยาณมิตรได้อีก เพราะ WEB ขัดข้องมาจนถึงวันนี้ และเป็นWEB ที่เปิดเสรี จึงดิฉันก็ไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร รู้สึกเสียดายมาก ปัจจุบัน ดิฉัน ก็ยังตั้งใจฝึกตัวเองทุกวัน อยากจะขอความกรุณาให้คำแนะนำในการปฎิบัติต่อไปด้วย เพื่อให้มีความก้าวหน้าต่อไป ขณะนี้ ได้เรียนรู้แค่การตั้งสติ  ในการบริกรรมได้นานขึ้น นั่งได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ค่ะ ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าค่ะ
P
อยากแนะนำให้หาเวลาไปปฏิบัติที่ยุวพุทธิกสมาคมครับ เพราะการปฏิบัติธรรมสำหรับปุถุชนนั้นจำเป็นต้องมีผู้แนะนำหรือกัลยาณมิตรครับ มิฉะนั้นอาจเกิดความล่าช้า ไม่ถูกทาง ฯลฯ
อย่างไรก็ดี เท่าที่เล่าให้ฟังก็ถือว่าทำดีแล้ว ฝึกสตินั้นสำคัญมาก ถือเป็นวิปัสสนา พยายามฝึกในชีวิตประจำวันครับ จะได้ประโยชน์เต็มที่ ผมเห็นว่าการฝึกสติคือการฝึกพื้นฐานที่ดีมาก หากพื้นฐานดีแล้ว เวลาไปฝึกอะไรต่อก็จะง่ายขึ้น
ฝึกง่ายๆ คือการทำอะไรก็ให้รู้ตัว ทั่วพร้อมอยู่กับสิง่ที่ทำในขณะนั้นๆ แค่นั้นเองครับ ไม่ต้องไปคิดมากว่าแค่นี้เองหรือ แต่แค่นี้น่ะสำคัญที่สุดเพราะคืออารมณ์ปัจจุบัน ถ้าอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด จิตก็จะไม่มีโอกาสไปทางลบได้ครับ ฝึกสติ จิตต้องว่องไว ซึ่งจะต่างจากสมาธิ บางครั้งนั่งสมาธินานๆ จิตจะตื้อและช้าได้ นั่งสมาธินั่งแต่พอควรครับเพราะชีวิตจริงไม่ใช่การนั่งสมาธินานแต่อยู่ที่สติกับปัจจุบัน
ผมยังคิดว่าหัวใจพุทธศาสนา 3 ประการสำคัญสำหรับคนในสังคม คือ อย่าทำชั่ว ทำแต่ความดีและทำใจให้ผ่องใส เพียงแค่นี้ ถือว่าได้เดินเข้าสู่ทางธรรมแล้วครับ
ด้วยความปรารถนาดี

กราบขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำที่มีคุณค่ามาก บางครั้งการเริ่มต้นเป็นความยากมาก โดยเฉพาะกับการไม่รู้อะไรมาก่อน มีเพียงแต่ใจอย่างเดียว หรือรู้มาอย่างไม่ประติดประต่อ แค่คำว่าสติ ยังตีความกันไปเสียยืดยาว และเมื่อฝึกปฎิบัติ จึงได้ทราบว่า เมื่อมีสติ ก็เหมือนมีพลังอยู่ในตัว พลังในการยับยั้ง หรือระมัดระวัง แต่การจะเจริญสติให้ได้ทั้งวัน ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี ก็จะตั้งใจฝึกไป แล้วการทำสมาธิมีความสำคัญอย่างไรหรือคะ

   ขอบคุณค่ะ

สมาธิมีความสำคัญครับ โดยเป็นฐานที่จะให้สติเกิด ลองนึกถึงการเล่นแบบหนึ่งซึ่งเราเคยเล่นกันตั้งแต่เด็ก เช่น การต่อตัวเพื่อจะหยิบของที่ผูกไว้ในที่สูง ต้องต่อตัวเพื่อที่จะเอื้อมมือหยิบถึง เราต้องให้อีกคนหนี่งยืนแล้วเราขี่คอเพื่อจะได้ไปยังจุดที่จะเอื้อมมือหยิบของได้ คนที่เรายืนขี่คอก็คือสมาธิครับ หากสมาธินิ่ง ก็จะทำให้เราสามารถเอื้อมมือหยิบของได้ง่ายขึ้น ถ้าสมาธิไม่นิ่ง ก็ยากที่จะหยิบครับ

ทุกอย่างมีจุดพอดี การทำสมาธิเพื่อที่จะให้จิตนิ่งเป็นฐานที่จะทำให้สติเกิดเพื่อนำไปพิจารณาธรรมได้ ดังนั้น ความหมายของผมคือ หากสมาธิมากไป ก็สติเกิดไม่ได้ ถ้าน้อยไป ก็จิตไม่นิ่ง ดังนั้นสมาธิจำเป็นครับ แต่ต้องพอดี

ความพอดีนี้ จำเป็นสำหรับการรู้ธรรมครับ ในทางโลกก้มีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงครับ ที่เป็นแนวทางที่ให้คนอยู่กับความพอดี พอเพียง ทางสายกลาง มีเหตุมีผล ไม่เสี่ยง มีความรู้คู่คุณธรรม ซึ่ง สิ่งเหล่านี้คือธรรมชั้นยอดครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

เข้าไปอ่านWEB ของคุณพลเดช เรื่อง ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย รู้สึก ใจมันปล่อยวางอย่างประหลาด บางข้อความเหมือนตัวเองก็เคยคิดแบบนั้น ในโลกนี้ ไม่มีเราไม่มีใครเลย มีเพื่อนคนหนึ่ง บอกว่าเขาเขียนบันทึกมรณะ เป็นประจำ ประมาณนี้ ต่อมาดิฉันเอง ก็เริ่มเขียนไป เป็นปีแล้ว เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่จะสั่งคนข้างหลัง จะบันทึกไว้ การคิดถึงความตาย ทำให้ใจเราสงบมาก และเมื่อจะคิดอะไร ก็เป็นไปแค่ชั่วขณะ จะขอนำบทความไปเผยแพร่บ้างจะได้ไหมคะ บางครั้งก็ต้องมีหน้าที่ อบรมคนอยู่ประจำ จะได้ช่วยกันขยายธรรมะต่อไป และก่อนเข้านอนคืนนี้ จะคิดว่า เป็นคืนสุดท้ายดู

P
ยินดีครับ ผมเผยแพร่เป็นธรรมทานครับ เรื่อง"ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย" นี้มีผู้ขอไปพิมพ์แจกงานศพมาหลายรายแล้วครับ
ขออนุโมทนาบุญกับคุณตันติราพันธ์รับที่ได้ทำบุญกับคน
ขอให้เจริญสุขครับ
ก็ต้องขออนุโมทนาบุญ ในกุศลจิตที่คุณพลเดชอนุญาต ให้เผยแผ่ข้อความ ที่ผู้ได้อ่าน แล้ว น่าจะบังเกิดความรู้สึก และการเปลี่ยนแปลง แห่งจิต ของตน ได้มากทีเดียว เช่นดิฉันเอง เมื่อเช้ามืด ที่ได้นั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรม ตามปกติ ก็ได้น้อมนำ อารมณ์ ที่เกิดจากการอ่านบทความของคุณพลเดช ได้ผลดีค่ะ อยากจะบอกว่า ที่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนไม่ให้ยึดถือ ตนนั้น ดิฉันเอง ก็ไม่เคยมีความรู้สึก แจ้งในใจ เหมือนที่คุณพลเดช เขียนเลย บางคนอาจคิดว่า การพูดถึงความตาย เป็นอัปมงคล แต่สำหรับดิฉัน ถือว่าได้อ่านสิ่งที่เป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง ก็ขอให้ได้บุญกุศลที่ได้เกิด จาก การปฎิบัติธรรมเช้าวันนี้ อันเป็นผลจากการได้ น้อ้มนำข้อความของคุณ ที่เขียนได้อย่าง ถึงจิตใจ ของปุถุชนคนหนึ่งค่ะ สาธุ

คุณพลเดชคะ

วันนี้ดิฉันเลยนำเรื่องที่คุณอนุญาต เผยแพร่บทความได้ ไปปรึกษา เพื่อน เนื่องจาก เรามีการตั้งชมรมเล็กๆ ขึ้นมาทำงานให้สังคม เรื่องสุขภาพกายและใจ บางครั้งมีไปช่วยภัยพิบัติเป็นบ้าง สิ่งหนึ่งที่เราทำเสมอมา คือ การหาบทความดีๆ พิมพ์เผยแพร่ ตามกำลังปัจจัย ที่ช่วยกันออก หรือบอกบุญมาได้ แจ้งให้ทราบว่า พวกเราดีใจ ที่จะนำบทความของคุณพลเดชไปพิมพ์ และแจกในวันเสาร์หน้าคือวันที่ 25 สิงหาคม 2550 นี้ เพราะชมรมของดิฉันร่วมกับ ชมรมเพื่อนแพทย์ไร้พรมแดน พุทธสมาคม และอีกหลายกลุ่ม จะได้รับบุญ จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพ พระภิกษุ ทั้งหมดของอำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรี ประมาณ 500 รูป เราจะร่วมกันรักษาผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาค่ะ

พุดถึงชมรมของเราก็มีคนหลายอาชีพ เช่นข้าราชการสาธารณสุข ข้าราชการครูบำนาญ ช่างตัดเสื้อ ครูสอนภาษาไทย(ให้ฝรั่ง) สนุกดีค่ะ บางครั้งไปเป็นวิทยากรให้ชาวบ้าน ได้ค่าตอบแทนเป็นขนม เต็มกระจาดเลย เรื่องราวที่พวกเราทำก็เน้นการดูแลร่างกาย และจิตใจเป็นสำคัญ ถ้าตรงวันหยุดก็จะมีสมาชิกไปช่วยกันมากหน่อย(ที่จริงมีราวๆ 10 คน) ไปคั้นน้ำผักให้ชาวบ้นรับประทานกัน เป็นความสุข ของคนอยากทำงานที่ไม่ต้องขึ้น กับคำสั่ง ระเบียบ กฏเกณฑ์ต่างๆ เป็นอิสระดี อยากจะเชิญชวนคุณพลเดชมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ สักท่านหนึ่ง ถึงจะอยู่ไกล มาร่วมงานกับเราไม่ได้ แค่เขียนบทความหรือให้คำแนะนำแก่พวกเราบ้างก็ยินดีค่ะ

ปรึกษาอีกเรื่องค่ะ หน้าปกจะใช้เป็นรูปอะไรดีคะ ที่จะสื่อว่าความตายเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงไม่พ้น และไม่น่ากลัว ส่วนนามผู้เขียนบทความจะให้ใช้ว่าอะไร ลงชื่อจริงได้ไหม

รบกวนเสียหลายเรื่อง จะรีบไปสั่งพิมพ์ กลัวไม่ทันเวลา ก็ขอให้คุณพลเดช มีส่วนของบุญกุศลที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกประการ ค่ะ

P
ขออนุโมทนาครับ สิ่งใดที่เป็นกุศลในจิตขอให้ส่งผลบุญให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ
ใช้ชื่อจริงได้ครับ ปรกติผมไม่ค่อยได้ใช้ชื่อจริงนักแต่ก็ไม่ได้ปิดบังครับ เพราะถือว่าบริสุทธิ์ใจ จะมีก็แต่ในเว็บบล๊อคนี้ละครับที่เริ่มใช้ชื่อจริงและเปิดเผยตัวเพราะนับถือในแนวคิดของ G2K
ภาพหน้าปก อาจจะหาภาพรุ่งอรุณ ที่มีความหมายว่าพรุ่งนี้.....ที่กำลังจะมาถึง หรือจะมีภาพเทียนไขที่กำลังจะมอดอยู่ด้วย ก็น่าจะได้นะครับ
ขอบุญเกิดจากกุศลจิตที่ดีงามนี้ จงส่งผลให้คุณตันติราพันธ์เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมครับ และเมื่อถึงเวลา ได้รู้แจ้งในธรรมชาติโดยพลันครับ
ด้วยความปรารถนาดี
 เมื่อคืนนี้ กว่าจะเข้านอน ก็ 2 นาฬิกา ของวันใหม่ ตั้งใจหาภาพปก ที่คุณพลเดชแนะนำ ซึ่งก็สื่อความหมายที่ดี รุ่งอรุณคือวันพรุ่งนี้ เทียนที่ใกล้จะดับ...ความตาย แต่เมื่อค้นหาภาพนับ พัน นับหมื่น ก็ได้ข้อคิด หรือความสับสนของตัวเองก็ไม่ทราบได้ บางครั้งเห็นภาพ บางภาพ แล้วแยกไม่ออกว่า นี่มัน เวลาเช้า หรือเวลาเย็นกันแน่ หากไม่มีคำกำกับ ก็ต้องมีการเข้าใจผิดกันบ้าง และบางครั้งดูโดยไม่อ่านคำบรรยาย เราเองก็เดาผิด ไปหลายภาพ มุมมองของแต่ละคน มีอิทธิพลต่อการสร้างความเชื่อให้แก่ตนเอง และคนอื่นได้ไม่น้อย แต่หากภาพนั้นถูกต้อง และคนบรรยายก็ถูกต้อง ก็สร้างประโยชน์มหาศาล อีกอยางที่ค้นพบ คือ คุณพลเดชเชื่อไหม คนในโลกนี้ ส่วนมาก เขาใข้เทียน แทนความสว่าง ความมีชีวืตกัน เกือบจะทั้งหมด แต่คุณพลเดช สามารถมองอีกแบบหนึ่งได้ ในขณะแทนเกิด ก็แทนตายได้ แล้วโจทย์ข้อนี้ ก็ทำให้ต้องนอนดึก เพราะหายากมาก เทียนกำลังจะดับ แต่ก็พอหาได้ และเช้านี้ก็จะลองนำมาวางตามจินตนาการ อยากให้หนังสือนี้ เป็นหนังสือที่ทำมาจาก ความตั้งใจทั้งหมด ซึ่งคาดว่าผู้รับก็จะรับกระแสนี้ได้เช่นกัน

สาธุครับ

ทุกอย่างในโลกนี้มีมากกว่า 1 ด้านเสมอครับ เช่นคำว่า จุติ คนทั่วไปจะเข้าใจว่าคือการเกิด แต่จุติคือความดับครับ   ในภพภูมิหนึ่ง เมื่อจิตถึงเวลาที่จะดับ ก็จะแปรเปลี่ยนไปเกิดในภพภูมิอื่น เรียกว่าจุติ คือดับจากภพภูมินั้นครับ ไปปฏิสนธิในภพอื่น

ขออนุโมทนาสาธุกับกุศลจิตที่ตั้งมั่นด้วยดีแล้วครับ..... เพียงแค่ผ่านไปแล้ว ก็จะมีสิ่งใหม่เข้ามาในปัจจุบันอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆไปครับ 

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ คุณพลเดช

  วันนี้ที่ประเทศไทย ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นวันหยุด เวลาของอินเดียต่างกับประเทศไทยกี่ชั่วโมงคะ เคยไปแต่ที่ญี่ปุ่น ต้องตื่นก่อนจริงทุกวัน คือเขา 6 โมงเช้า แต่จริงๆคือ ตี4 บ้านเรา

  เมื่อวานได้นำบทความถ้าพรุ่งนี้ ....ต้องตาย ไปหาโรงพิมพ์มาค่ะ ร้านแรก เป็นร้านคอมฯ ไม่ใหญ่เท่าไหร่ พอสอบถามถึงการทำปกสี เขาเรียกเล่มละตั้ง 40 บาทค่ะ มันค่อนข้างแพง แต่เมื่อคำนวนกับการเราปริ้นเอง ค่าใช้จ่ายก็พอกัน และที่สำคัญจำนวนมากด้วย พอเขาเห็นดิฉันอึ้ง เขาก็รีบโน้มน้าวว่า "ของแจกฟรี ปกขาวดำก็พอ ไม่เห็นต้องลงทุนมากเลย" ฟังจบดิฉันก็ตัดสินใจได้ทันที คืออกจากร้านไป และต่อมาก็ได้ไปที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่ง เขาก็เอาแบบหนังสือมาให้ดู  ปกกระดาษอาร์ทเนื้อมัน มีสีสรรของภาพสวยงามตามจริง ถ้าสั่ง 1,000 เล่ม ราคาจะถูกลงมาก และเมื่อเทียบกับร้านแรก ราคาห่างกันเกือบ 4 เท่า จึงขอแจ้งให้ทราบว่า ดิฉันยินดี จะได้ทำหน้าที่ แจกจ่ายหนังสือที่คุณพลเดช ตั้งใจเขียน เป็นธรรมทานครั้งนี้ ถึง 1.000 เล่ม ดิฉันอยากให้คนทั่วไป เขาได้หยิบเลือกสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อชีวิตเขาขึ้นมา จึงอยากให้สิ่งเหล่านั้นปราณีต น่าจับต้องตั้งแต่แรกเห็น คุณคนแรกที่ดิฉันพบ เขาคงไม่เข้าใจถึงการให้อย่างมีคุณค่า "ของแจกฟรี ไม่เห็นต้องลงทุนเลย" บางครั้ง บางเวลาที่เราอยากจะแจกของ แล้วคนไม่อยากรับเมื่อนั้น เราจะซาบซึ้ง ถึงความปิติ ที่ควรจะเกิด หรือสูญเสียไปเลยโดยไม่มีโอกาสสัมผ้ส

  วันนี้คงได้ภาพปกที่ให้ช่างศิลป์ ของเขาจัดวางให้ โดยใช้ภาพที่ดิฉันค้นหามาประกอบ ถ้าอย่างไรจะส่งไปให้ชม เกือบลืมค่ะ โรงพิมพ์ถามว่า พื้นกระดาษปก อยากได้สีอะไร รบกวนคุณพลเดชช่วยเลือกด้วย ทบทวนภาพของเราจะมี แสงเทียน มีรูปอรุณรุ่ง สีออกทางฟ้าๆ สว่าง ๆและพระอาทิตย์สีส้มอ่อนมากๆ แถมด้วยรูปมือที่สัมผัสกันครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันสีขาวดำ รบกวนเท่านี้ก่อน สายๆจะไปโรงพิมพ์ค่ะ มีอะไรจะเพิ่มเติม ก็เชิญเลยค่ะ

ด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน

P
สาธุครับ ทุกขั้นตอนเป็นโจทย์แห่งชีวิต มีกุศลจิตนำ แค่จิตเหล่านี้เกิด ก็เป็นบุญแล้วครับ ความสำคัญอยู่ที่จิตเหล่านี้ครับ มิใช่หนังสือของใคร หรือเรื่องอะไร ขณะเดียวกันเมื่อได้ทำสิ่งดีๆ แล้ว ให้วางลงครับแล้วดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็จะเห็นว่า เป็นโจทย์แห่งชีวิตทุกขณะ ที่ต้องนำให้จิตเกิด ตามแนวหัวใจพุทธ คือทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่วและทำจิตให้ผ่องใส
คุณตันติราพันธ์ ได้นำหัวใจพุทธมาใช้แล้วครับ....ประโยชน์ของการทำกุศลที่ประทับใจคือสามารถเอามาเป็นกำลังใจในเวลาที่ต้องการเพื่อกั้นมิให้อกุศลเกิดครับ
สาธุอีกครั้งหนึ่งครับ
ปล.สำหรับสีของกระดาษปกตามสีต้องโฉลกของผู้พิมพ์ครับโดยเป็นโทนสีอ่อน
ด้วยความปรารถนาดี
P
สวัสดีค่ะ
ที่เล่าถึงเรื่องการขับรถที่อินเดีย เห็นภาพเลยค่ะ เพราะเคยไปอยู่มาเกือบเดือน คิดถึงบ้าน อยากกลับค่ะ
อินเดีย เขามีของดีๆเยอะนะคะ พวกความเก่าแก่ของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ว่ากันเป็นพันปีค่ะ
และอินเดียรอดพ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ก้เพราะ การมีวรรณะ เขาพอใจตรงนี้ค่ะ ถูกไหมคะ
อยากให้เล่าให้ฟังค่ะ
P
สวัสดีครับ
ครับ ผมอยู่มาเดือนกว่าแล้ว ตื่นใจทุกวันเพราะมีเรื่องให้นั่งคิดได้ทุกวันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมสิ่งต่างๆ ขาวดำ จึงอยู่ด้วยกันได้อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ วรรณะมีส่วนสำคัญที่ทำให้คนไม่ปรับตัวครับและคงใช้เวลาอีกนานกว่าโลกาภิวัฒน์จะซึมเข้าไปสู่อินเดีย
ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในอินเดียว่าเริ่มมีสูงและเร็วมาก มีการก่อสร้างตึกใหม่ๆ ใหญ่ มากมายโดยเฉพาะเมืองรอบด้านกับเดลี เช่น Noida ที่ผมไปสัมผัสมา อีกไม่กี่ปีจะเป็นเหมือนกรุงเทพฯ
คนรุ่นเก่าดูจะพอใจในชีวิต จริงครับ แต่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีการศึกษาจบแล้วมีงานทำในบริษัทสมัยใหม่เริ่มเข้าสุ่วงเวียนชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการเงินเพื่อซื้อความทันสมัย คนหนุ่มสาวรุ่ใหม่นี้จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมอินเดียครับ และเนื่องจากอินเดียมีพลเมืองมากการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปอย่างช้า
อินเดียมีอิสระภาพมา 60 ปีแล้ว หลายด้านประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นวิทยาการแพทย์ วิศวะ ไอที ธุรกิจ แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาก็ยังเป็นเรื่องสังคม โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานและการศึกษา ถ้าอินเดียเปิดประเทศมากกว่านี้โดยเฉพาะให้ต่างชาติเข้าไปให้สะดวกมากกว่านี้ จะช่วยให้การพัฒนาเป็นไปได้เร็วครับ
สำหรับคนไทย ควรจะไปอินเดียให้มากกว่านี้เพราะมีโอกาสมากเหลือเกิน อะไรที่เป็นลบ หากมองในสายตาของนักธุรกิจนั่นคือโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล แต่คนไทยก็ยังไม่สนใจแขก ยังคงมีทัศนคติที่ลบ
ผมกำลังเฝ้าดูว่าการที่สังคมอินเดียเป็นเช่นที่เป็นคือไม่รับความทันสมัยนักนอกจากจะเพราะเรื่องวรรณะแล้วยังเป็นเพราะคนมีความพอเพียงในจิตใจของเขาหรือไม่ ซึ่งก็อาจเพราะเขาคิดว่ามีศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ชอบพึงพาใคร อยู่ด้วยตัวเองซึ่งก็อยู่ได้  
ในนิวเดลี รัฐบาลจะดับไฟ 2 ครั้ง(หรือมากกว่า) ต่อวันเพื่อประหยัดพลังงาน ในด้านหนึ่งดูเหมือนแย่จังแต่อีกด้านหนึ่ง ผมกลับเห็นข้อดี ทำให้คนตระหนักและประหยัดในชีวิตประจำวัน ส่วนธุรกิจนั้นก็หาทางออกโดยมีเครืองปั้นไฟ ซึ่งก็ทำให้ไม่กระทบต่อธุรกิจมากนัก
ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีแต่เรื่องให้รู้จักพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน กับ 2 เลือนไขความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเดียใช้อยุ่ทุกวันนะครับ....น่าคิดนะครับ
ด้วยความปรารถนาดี

ขอเข้ามารบกวนรอบสองนะคะ

 เพื่อนให้ถามว่า ถ้าจะเขียนตำแหน่งของคุณพลเดข จะเขียนว่าอย่างไรจึงจะถูกต้อง

สาธุกับคำอนุโมทนาทั้งหมดที่แจ้งมา รู้สึกเบิกบาน แจ่มใส และมีกำลังใจ แก้โจทย์แห่งชีวิตต่อไป คือการบอกบุญ เพื่อให้ญาติสนิท มิตรสหาย ได้ร่วมค่าจัดทำหนังสือเผยแผ่ธรรมะและบุญกับเราค่ะ เพื่อขยายเครือข่ายแห่งธรรมะ และบุญไปให้สุดทีกำลังเราจะทำได้ ขอให้ได้รับกระแสแห่งบุญด้วยกันตลอดไป

จะใส่คำว่า "นักเดินทาง" ก็ได้ครับ เพราะตำแหน่งทางโลกนั้นไม่ยั่งยืนครับ ตามกลอนที่ผมเขียนเขียนไว้ "อันความตายหมายไม่ได้ว่าเมื่อไหร่" นักเดินทางใช้ได้ครับจนกว่าจะรู้แจ้ง

อนุโมทนาครับ

สวัสดีค่ะ คุณพลเดช

   วันนี้เดินทางไปโน่นนี่ ทั้งวัน เพิ่งจะกลับมา รวมทั้งเรื่องการทำหนังสือ และบอกบุญด้วย ก็ได้มาครึ่งทางแล้วค่ะ อีกไม่กี่วัน บุญทุกอย่างก็จะสำเร็จลงด้วยดี หวังไว้อย่างนั้น

   เมื่อวานเข้าไปอ่านบทความเรื่องหอมกลิ่นดอกบัว ได้ความรู้เรื่องวิปัสสนา จากคุณมาก และจะนำไปฝึกปฎิบัติ ให้เห็นจริง แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง ทีคุณพลเดชกล่าวว่า การทำสมาธิให้ทำพอประมาณ พอมีกำลังมาใช้ในการทำวิปัสสนา ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ขนาดไหน กรุณาอธิบายเป็นธรรมทานด้วย และการทำวิปัสสนา ต้องตามรู้ทุกอิริยาบถ หรือคะ จึงจะเป็นผล แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ทัน อยางไม่ฝืนวิถีการดำเนินชีวิต คือถ้าทำอย่างช้าๆ พอได้ แต่ พอทำตัวปกติ ก็ตามไม่ทันอีก รบกวนแค่นี้ก่อนนะคะ ขออนุโมทนาบุญทุกคำตอบค่ะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

สาธุครับกับธรรมนำจิต ถ้าเป้นการลงทุนก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลค้มค่าครับเพราะธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้รู้แจ้งและหลุดพ้น ตามรอยพระพุทธองค์

เรื่องการทำสมาธิ ที่เกินพอดีนั้น ดูตามประวัติพระพุทธองค์จะเห็นชัดครับว่าถ้าเพียรมากเกินไปจะเกินพอดี จะไม่ได้อะไร ถ้าย่อหย่อนเกินไปก็ไมใด้ผล ต้องพอดีๆ ดังการเปรียนเทียบเรื่องสายพิณ ถ้าตึงเกินไป ดีดไปสายก็จะขาด สายอ่อนเกินไป ดีดไปก็ไม่เป็นเพลง ต้องตึงพอดีๆ จึงจะบรรเลงได้ไพเราะ

สมาธิที่ทำมากไปเกินพอดี จะทำให้จิตนิ่งอย่างเดียว หรือบางครั้งจิตตื้อไปหมด เพราะนั่งนานเกินไป และบางครั้งการนั่งหลับตาก็ไม่ใช่ว่าสมาธิจะเกิดตลอดไป ถ้าฝืนนั่งโดยไม่มีสมาธิอาจทำให้เสียสุขภาพก็เป็นได้  ตามหลักวิปัสสนาจึงให้เดินกับนั่งเสมอกัน คือถ้านั่ง1 ชม.ก็เดิน 1 ชม เพื่อจะได้สมดุลย์

สมาธิมี 3 ระดับครับ ระดับที่แนบแน่นที่สุด จะนิ่งลึกมาก จนสติเกิดไม่ได้ ดังนั้นหากจะให้สติเกิดเพื่อสามารถพิจารณาธรรมได้ ต้องถอยจากสมาธิที่ลึกนั้นให้คลายขึ้นมาในระดับที่พอดีครับ ส่วนระดับพอดีอยู่ที่ไหน เมื่อปฏิบัติจะรู้เองครับ(พอดีคือไม่ตึงไม่หย่อน)

ง่ายๆ ก็คือ ความพอดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำทุกสิ่งทุกอย่างครับ ผมถึงได้เรียนว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงนั้นลึกซึ้งมาก เป็นการปฏิบัติธรรมโดยแท้ครับ ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วยจะได้ประโยชน์เช่นกันครับ

ด้วยความปรารถนาดี

คุณพลเดชคะ

อย่างนี้นะคะ ทุกวันนี้ นั่งสมาธิเช้ามืดทุกวัน โดยการบริกรรมคาถาสั้นๆบทหนึ่ง แล้วใช้สติควบคุม ให้คำนั้นต่อเนื่อง บางครั้งก็มีเรื่องเข้ามาแทรก ก็ตามไป แล้วก็ค่อยๆ น้อมกลับมาใหม่ ไม่ฝีน และบางครั้งจะเกิดอาการ นิ่ง คล้ายคนหูอื้อ แปลกๆ พอถึงตรงนี้จะทำอย่างไรต่อไป และเหล่านี้คืออะไร ขอโทษนะคะ ถามแบบไม่รู้จริงๆ มันจะถูกผิดยังไง ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะ

เห็นด้วยอย่างที่คุณพลเดชว่า อินเดียมีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ในการรับสิ่งใหม่ๆจากทางตะวันตกมากขึ้น

มีหลายอย่างที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นวิทยาการแพทย์ วิศวะ ไอที ธุรกิจ  แต่การจะเปลี่ยนความเชื่อเรื่องวรรณะ น่าจะอีกนาน

คนอินเดีย ฉลาด เป็นนักคิด นักพูด นักปรัชญา ภาษาอังกฤษก็เก่ง แบบคนอังกฤษ อเมริกัน เขียนแล้ว ต้องวานมให้เกลาให้อีกรอบ

อาหารการกิน ก็รับได้ค่ะ เพียงแต่น้ำมัน มากไปนิด

ในความเห็นของคุณพลเดช........คนอินเดียรุ่นเก่าดูจะพอใจในชีวิต  แต่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีการศึกษาจบแล้วมีงานทำในบริษัทสมัยใหม่กำลังเริ่มเข้าสุ่ชีวิตยุคใหม่  ความพอเพียงจะยังมีอยู่ไหม

เทียบกับคนแพร่ บ้านเรา ความรู้สึกพอเพียงอย่างตอนนี้ จะสู้กระแสของทุนนิยมไปได้อีกนานไหม

ช่วยให้ความเห็นหน่อยค่ะ

P
พลเดช วรฉัตร
สวัสดีค่ะ
ขออนุญาตินำบล็อกเข้า Planet ของต้านะคะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

ตอนที่ผมฝึกสมาธิแบบสมถะใหม่ ก็จะมีอาการแบบเดียวกันครับ เป็นสภาพจิตที่มีสมาธิระดับหนึ่งครับ สมาธิแบบสมถะนั้นถ้าทำได้ดี จะเกิดปรากฏการณ์หลายอย่าง มักโน้มนำไปสุ่เรื่องอิทธิปาฏิหารย์ ซึ่งผมเห็นว่ามีทั้งดีและอันตราย เป็นดาบสองคม โดยเฉพาะจะหลงเข้าไปในมิติอื่นได้ง่าย..........อยากจะแนะนำให้เดินจงกรมด้วยครับ การเดินจงกรมก็เป็นการสร้างสมาธิอย่างหนึ่งแต่ได้สติด้วย รวมทั้งเป้นการเสริสุขภาพให้ดีขึ้นด้วย

ทำวิปัสสนาแล้วจิตและสติจะว่องไวขึ้นครับ แต่นั่งสมาธิอย่างเดียวบางครั้งจิตซึมและช้าลงครับ(ถ้าเกินพอดี) จึงแนะนำให้เดินจงกรมให้สมดุลย์กับการนั้งสมาธิครับ

วิธีเดินจงกรมก็คือเดินเป็นแนวตรงประมาณ 7 ก้าวไปมา เดินไป 7 ก้าว กลับเดิน 7 ก้าว วนไปมาเช่นนี้ครับ ระหว่างเดิน(มือกุมกันวางข้างหน้า)จิตจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย(โดยเฉพาะขาและเท้า)ทุกขณะครับโดยกำหนดตัวรู้ให้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้น เช่นกำลังก้าวเท้าซ้าย ก็กำหนดในใจว่าซ้ายก้าวหนอ หรือซ้ายย่างหนอ ขาวย่างหนอ พอครบ 7 ก้าวก็หยุดกำหนดยืนหนอ 3 ครั้งแล้วกำหนดกลับตัวหนอ เมื่อหันกลับมาอยู่ในแนวเดินก็กำหนดยืนหนอ 3 ครั้งแล้วกำหนดเดินหรือย่างต่อไปครับ..........รายละเอียดของการเดินจงกรมมีละเอียดมากกว่านี้ แต่ขอสรุปสั้นๆแค่นี้ครับ หลักสำคัญที่ต้องเข้าใจคือต้องกำหนดพร้อมกับอาการที่เคลื่อนไหว จึงจะเป็นปัจจุบันครับ........และหากฝึกทำในชีวิตประจำวันได้ ก็จะได้ประโยชน์เต็มที่ครับ

หลังจากเดินจงกรมต่อจากนั่งสมาธิแล้วลองสังเกตุความเปลี่ยนแปลงในจิตใจดูครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

 

กราบขอบพระคุณมากเลยค่ะ ดิฉันสนใจในการปฎิบัติจริงๆ แต่มันรู้น้อย ที่กล้าถามคุณ เพราะดิฉันมีความมั่นใจว่าคุณจะช่วยชี้แนะได้ ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จะขอปฎิบัติไปตามแนวทางที่แนะนำค่ะ และจะรายงานผลป็นลำดับๆไป รู้ตัวว่ารบกวนเหมือนกัน แต่ก็อยากจะสอบถามด้วย ต้องขออภัยไว้ก่อนนะคะ สาธุกับความกรุณาที่มีให้ค่ะ
P
ครับ
ธรรมชาติของจิตมนุษย์ ท่านว่าเหมือนนำที่พอเทลงไปบนพื้นแล้วจะไหลลงต่ำเสมอ
เป็นเรื่องที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เลยครับว่าน้ำเป็นเช่นนั้น สำหรับจิตมนุษย์ส่วนมาก ก็มักจะเป็นเช่นนั้นครับ แต่หากมีเครื่องมือบางอย่างก้สามารถจะยับยั้งไม่ให้ไหลต่ำได้ครับ นั่นก็คือธรรมะ ศีล การฝึกจิตต่างๆ .......จึงต้องดูว่าคนในสังคมนั้นมีเครื่อง
มือฝึกจิตที่ดีหรือไม่อย่างไร คนอินเดียรุ่นใหม่กำลังตกอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ครับ อย่างที่ผมเรียน เดลีกำลังมีห้างที่ทันสมัยที่สุดและกำลังผุดขึ้นอีกหลายแห่งพร้อมกันในเมืองรอบข้าง ความทันสมัยเหล่านี้จะเข้ามาเกาะกุมจิตใจของคนรุ่นใหม่ทีละน้อยและสร้างความพึ่งพาที่ทำให้รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีของที่ทันสมัย ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะโลกนี้กลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อคนรู้ช่องทางว่าเงินคือสิ่งที่จะทำให้ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา.....นิทานไม่ต่างกันครับ
อย่างไรก็ดี คนรุ่นใหม่ของอินเดียก็ยังเป็นส่วนน้อยครับ คนส่วนมากยังยึดวรรณะและยอมรับชะตากรรมที่จะอยู่อย่างพอเพียงแบบติดดิน ซึ่งผมยังต้องค้นหาต่อไปว่า คนจนอินเดียอยู่อย่างยากจนเพราะเป็นความเชื่อตามที่เทพต่างสั่งสอนหรือไม่อย่างไร ถ้าเขาอยู่อย่างจนและไม่ได้ทำความาชั่วอะไรเลย ก็น่านับถือครับ (เราเห็นคนรวยที่ทำชั่วมากมาย)
ความเห็นของผมก็คือถ้าอยู่แบบไม่มีเครื่องมือตั้งรับ ก็จะตกในกระแสโลกาภิวัฒน์แน่นอนและเมื่อนั้นคำว่าพอเพียงก็จะไม่มีครับ
การจะเรียนรู้คำว่าพอเพียงหากได้ไปอินเดียจะรู้ซึ้งครับเพราะของเขาเป็นแบบติดดินจริงๆ
ผมเห็นว่าพื้นฐานคนไทยนั้นดั่งเดิมอยู่กันอย่างพอเพียงอยู่แล้วครับโดยเฉพาะในต่างจังหวัด จะมีก็เฉพาะเมืองใหญ่ๆ ที่หลงไปกับทุนนิยมมากไปหน่อย หากได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กันมากๆ น่าจะต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ได้สบายมากครับ
ด้วยความปรารถนาดี

 

 P

ยินดีครับ เข้ามาสนทนากันต่อไปนะครับ

ขออภัยนะคะ ที่กลับเข้ามาอีกรอบ

  จะเรียนให้ทราบว่า เมื่อเย็นนี้ ที่ดิฉันถามเรื่องวิปัสสนา เพราะยังไม่ได้อ่าน หอมกลิ่นดอกบัว 2 ค่ะ แต่เมื่อสักครู่นี้ ได้อ่านจนจบแล้ว และได้ตั้งใจพร้อมกับทำอาการทางจิตตามคำบรรยายของคุณพลเดชไปด้วย แปลกมากเลยค่ะ อยากจะบอกว่า เกิดความรู้สึก จะใช้คำว่าอะไรดีคะ บอกจริงๆว่า ใช้คำว่า อิน เข้าไปเลย  เหมือนกับ น่าจะใช้ว่าเข้าใจ เกิดปิติใจ เหมือนเกิดขณะที่นั่งสมาธิเลย และแจ่มแจ้งถึงคำว่าอารมณ์เดียวเป็นอย่างไร คงคล้ายกับงานบุญ ที่ดิฉันกำลังมุ่งมั่นทำหนังสือแจก มันเกิดความตั้งอกตั้งใจ เห็นภาพตั้งแต่ต้น จนจบพร้อมกับเกิดอาการเป็นสุขไปด้วย ไม่มีสิ่งใดเลยที่ดิฉันจะคิดว่าเป็นอุปสรรคเลย แม้ค่าหนังสือเป็นจำนวนหมื่น ก็ไม่รู้สึกกังวล เอ่ยปากกับใคร ก็ไม่มีใครปฎิเสธ เหมือนคุณพลเดชบอกว่า ทรัพย์หยาบหาง่าย ดิฉันตั้งใจจริงๆค่ะ หวังว่าโพสสุดท้ายของวันนี้ คงสร้างความรู้สึกดีๆให้กับคุณพลเดชบ้าง ส่วนดิฉัน ก็จะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนเอง ขอกราบอนุโมทนาบุญ กับหอมกลิ่นดอกบัว 2 ค่ะ 

เรียนคุณตันติราพันธ์

รับทราบความรู้สึกปีติแล้วครับ อนุโมทนาสาธุครับ รับรู้ เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปครับ กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญครับ ดูแลตัวเองครับเพราะจะช่วยผู้อื่นได้อีกมากครับ

ในปีมหามงคลนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำความดีถวายในหลวงครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีอีกทีค่ะ
P
ความเห็นของผมก็คือถ้าอยู่แบบไม่มีเครื่องมือตั้งรับ ก็จะตกในกระแสโลกาภิวัฒน์แน่นอนและเมื่อนั้นคำว่าพอเพียงก็จะไม่มีครับ
แล้วคุณพลเดชว่า คนอินเดียมีเครื่องมืออะไรคะ
ศรัทธา ความเชื่อ หรือคะ
อย่างไรก็ตาม เรื่อง วรรณะนี่ น่าสนใจมาก เพราะ ทำให้อินเดียรอดพ้นจากการถูกครอบงำจากลัทธิอื่นมาได้
แสดงว่า คนเรานี่ต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวนะคะ และที่มีพลังสูงสุด ก็จะเป็นเรื่องของSpiritual ล้วนๆ
ดิฉันเอง ก็ยึดถือธรรมะมากค่ะ และจะมุ่งที่ภาคปฏิบัติก่อน เพราะเมื่อพอจะรู้ ในภาคปฏิบัติแล้ว  การเรียนถามธรรมะเบื้องลึกขึ้นไป จะเข้าใจแจ่มแจ้งค่ะ
ตอนนี้ ทำบุญกฐินไป 1 กอง
เอาบุญมาฝากด้วยค่ะ
P
สวัสดีและเจริญสุขครับ
คนอินเดียมีเทพเจ้าครับ และต้องด้วยศรัทธาแน่นอนครับที่ทำให้คนอินเดียอยู่กับเทพและตัวแทน บริวารของเทพได้อย่างสนิทใจอย่างที่ไม่มีที่ใดในโลกทำได้ เช่นวัวของพระเจ้า หนุมานหรือลิง หนู(ซึ่งเป็นพาหนะของเทพ) หรือแม้แต่พิธีกรรมต่างๆ ที่เราเคยทราบกันก็เพราะความศรัทธาจริงๆ ที่ทำให้ทำอะไรก็เป็นการบูชาไปหมด รวมทั้งความเชื่อที่ฝังลึกว่าประเทศอินเดียเป็นอู่อารยธรรมของโลกที่ยิ่งใหญ่ กอร์ปกับคนอินเดียถูกปกครองอย่างกดขี่และโหดร้ายและได้ต่อสู้จนได้อิสระภาพมา 60 ปีแล้ว จึงน่าจะทำให้คนอินเดียมีความรู้สึกว่าการชนะเป็นเรื่องที่ดีของชีวิต....
วรรณะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในความปรกติของวิถีของสังคมได้ครับ....ยังมีหลายสิ่งที่น่าสนใจที่ผมจะต้องค้นหาเกี่ยวกับคนอินเดียต่อไปครับ การได้มาอยู่ที่อินเดีย ต้องสู้รบตบมือกับคนแขก ก็คงเหมือนกับการเรียนรู้ธรรมะที่เริ่มจากการปฏิบัติน่ะครับ ที่ต้องค้นคว้าทดลองด้วยตัวเองเพื่อที่จะรู้ผลว่าเป็นอย่างไร
เป็นที่น่าดีใจที่ว่าธรรมะของพระพุทธองค์เป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสุดยอดที่พิสูจน์แล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นจริงเสมอ
อนุโมทนาครับที่ยึดถือธรรมะและเข้าถึงธรรมชาตินั้น คงช่วยแนะนำผู้อื่นได้มากครับและขอโมทนากับกฐิน 1 กองนั้นด้วยครับ

  สวัสดียามค่ำค่ะ

    ขณะนี้เมืองไทย 19.06 น.ค่ะ เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน วันนี้เข้าหมู่บ้าน เพื่อไปแจ้งข่าวว่า สโมสรโรตารี่ศรีราชา และโรงพยาบาลบ้านแพ้ว สมุทรสาคร ได้มีจิตเป็นกุศล รับเป็นเจ้าภาพผ่าตัด ต้อตา ชนิดต่างๆ และผ่าตัดโรคข้อเข่าเสื่อม แก่ประชาชน โดยไม่เลือกเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ และไม่จำกัดจำนวน เป็นโอกาส ได้สนองโครงการพระราชดำริ ที่ทรงให้สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ60 พรรษา นวมินทราชินี ทุกแห่ง ดูแลราษฏร ที่ยากจน ให้ดีที่สุด(มีจังหวัดละ  1 แห่ง)ซึ่งทรงรับเข้ามาอยู่ในมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ชาวบ้านเรียกง่ายๆ ว่า สถานีอนามัยพระราชินี และดิฉันได้มารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารอยู่ในปัจจุบันนี้ นับเป็นโอกาสอันดี เพราะคนที่นี่ อยู่ห่างไกลตัวเมืองมาก อาชีพทำไร่ ค่อนข้างยากจน การที่จะต้องผ่าตัด โดยเฉพาะเข่าเสื่อมมีราคาแพง ต้องทำกับโรงพยาบาลเอกชน ถ้าโรงพยาบาลของรัฐ ก็เข้าคิว จนบางคนเสียชีวิตไปก่อนก็มี เมื่อเดือนก่อน รัฐบาลให้เงินลงมาในหมู่บ้าน เรียกโครงการอยู่ดีมีสุข ก็ได้เขียนโครงการแจกแว่นสายตา ทั้งสั้น ยาว แก่ผู้ด้อยโอกาส คนแก่ และเด็ก ได้ไป 550 อัน คนแก่บางคน อายุ 70 ปีแล้ว เพิ่งมีแว่นเป็นอันแรก วันแจกแว่น ดิฉันก็ทำหนังสือแจกไปด้วย 500 เล่ม พอได้แว่น ก็พากันอ่านใหญ่เลย ยังจำภาพแห่งความสุขของเขาได้ไม่ลืม การทำงานกับผู้ด้อยโอกาส แต่เรากลับได้โอกาส แห่งการสร้างบารมี ค่ะ มีความสุขทุกวัน กับงานที่นี่ แต่หาเจ้าหน้าที่มาอยู่ยากจังเลยค่ะ เล่าเรื่องเมืองไทยอีกมุมหนึ่ง เผื่อคุณพลเดชจะได้หายคิดถึงบ้านค่ะ

P
ขอบคุณครับ ที่เล่าเรื่องดีๆ ให้ฟัง ทำให้รู้ว่ายังมีคนดีศรีรัตนโกสินทร์อยู่ อันธรรมชาติของพลังนั้นคือบวกโน้มนำให้เกิดพลังบวกต่อๆไป ในลักษณะเช่นเดียวกันพลังลบก็โน้มนำให้เกิดพลังลบ ในช่วงที่เราสนทนาเรื่องชีวิตและธรรมะกันนั้นมีแต่พลังบวกครับ ซึ่งจะโน้มนำให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ต่อไปอีกมากมาย
อนุโมทนาบุญและขอบคุณกับคนดีที่ยังคงช่วยเหลือคนอื่น ในขณะที่คนอื่นไม่ค่อยสนใจจะไปอยู่กัน เป็นตัวอย่างของการเห็นสิ่งที่ดีงามที่แฝงอยู่ในธรรมชาติครับ
ขอให้เจริญสุขยิ่งขึ้นไปนะครับ
ด้วยความปรารถนาดีเสมอ

สวัสดีค่ะคุณพลเดช 

วันนี้เดินทางทั้งวัน รวมทั้งไปงานเลี้ยงมาด้วย เพิ่งจะกลับถึงบ้าน ดึกไปหน่อยนะคะ เลยแวะมาเข้ากระทู้ วันนี้ โยคี น้อย ขอส่งการบ้านคุณครูค่ะ

  ผลการปฎิบัติธรรม เมื่อ2 วันมานี้ ได้ลงมือฝึก ทั้งสมถะและวิปัสสนาโดยการลงมาเดินจงกรม และพิจารณาอิริยาบถ ขอรายงานว่า การนั่งปฎิบัติธรรมวันนี้ ได้ความรู้สึกที่(เวลาเขียนอธิบายอารมณ์ในการปฎิบัติธรรม เขียนยากทุกที) เป็นว่าเหมือนตัวเองเกิดพลังแม่เหล็ก คือเมื่อตั้งสติให้แจ่มใส แล้วใช้การบริกรรม เมื่อมีอารมณ์แทรกเข้ามา ก็ตามรู้ไปจนทัน และจบ แต่พอเราน้อมอารมณ์กลับมาบริกรรมใหม่ มันเหมือน มีแม่เหล็กดูดกลับมารวดเร็วและดำเนินต่อไป อย่างมั่นคง สุดท้ายคล้ายอยู่ในความสว่าง กว้างๆ สะอาด สดชื่น สบาย เมื่อมีเสียงดัง น่าจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง กระทบหลังคา ปกติต้องตกใจ แต่นี่ เหมือนรับรู้ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ตกใจ หรือใจหาย เมื่อเลิกนั่งออกมาเดินจงกรม ตามที่คุณพลเดชแนะนำ อารมณ์ ความรู้สึกนิ่งๆ ยังอยู่ต่อเลย แต่ก่อนมีความคิดว่า ถ้าเราเดิน สมาธิน่าจะเคลื่อน แต่แปลก กลับต่อเนื่อง และดูจะมีสมาธิตั้งมั่นกว่าอีก คิดว่าเราจะคิดทันเดินไหม ปรากฎว่า จิตทำท่าจะเร็วกว่า กาย เสียอีก ต้องระลึกว่า ให้ทำเท่าที่ปัจจุบันเท่านั้น เก็บมารายงานได้เท่านี้ค่ะ มันเขียนยากมาก แต่รู้สึกว่าพบประสบการณ์แปลกใหม่ แต่ทั้งหมดทำได้ดี เฉพาะขณะปฎิบัติ แต่พอดำเนินไปในวิถีชีวิตประจำวัน ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้างค่ะ

         โยคีน้อย

สวัสดีครับโยคีน้อย

ผมคิดว่าพื้นฐานนั้นแน่นอยู่แล้ว สมาธิดี พร้อมที่จะทำวิปปัสสนาได้ก้าวหน้า ขั้นตอนช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สำคัญ ต้องการอาจารย์ที่แนะนำครับ จึงคิดว่าอย่าโหมทำมากไปครับ ทำแต่พอดีและเช่นที่ผมปฏิบัติมา ทุกครั้งก่อนจะปฏิบัติธรรมจะไหว้พระและครูบาอาจารย์ ขอท่านช่วยคุ้มครองการปกิบัติธรรมอย่าได้มีอุปสรรคหรืออะไรมารบกวน

ผมจึงคิดว่าหากมีเวลา ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวันหรือกับคุณแม่ศิริ กรินชัยหรือกับพระสงฆ์ที่คุณตันติราพันธ์นับถือและสะดวกก็ได้ครับ

ตามประสบการณ์ของผม เมื่อปฏิบัติได้ดี จิตมีพลัง มักจะต้องผ่านนิมิตต่างๆ ค่อนข้างมาก อาจจะดีหรือไม่ดี อาจจะอันตราย จึงขอให้มีอาจารย์แนะนำอย่างใกล้ชิดครับ เหมือนการเรียนปริญญาโท เอก เน้นการปฏิบัติและค้นคว้าข้อมูลภาคสนามเอง จึงต้องไม่ประมาทครับ

แต่ผมก็เชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า ถ้าตั้งมั่นในกุศลธรรม ยึดคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้ว ย่อมจะฝ่าฟันภยันตรายทั้งหลายได้แน่นอนครับ แต่ไม่ประมาทย่อมดีกว่านะครับ

จิตที่เป้นสมาธินั้นดีแล้วครับแต่พยายามให้อยุ่กับปัจจุบันครับ ปัจจุบันนั้นสำคัญที่สุด เพราะจิตเกิดขึ้น รับรู้อารมณืได้ที่ละหนึ่งเท่านั้นครับ ถ้าจิตรู้ปัจจุบัน อกุศลก็เกิดไม่ได้ครับ และถ้าฝึกจนชำนาญ ก็จะสามารถนำมาใช้ในทุกขณะของชีวิตประจำวันครับ ตรงนี้สำคัญเพราะเราอยู่ในสังคม มีชีวิตอยุ่ในสังคมประมาณ 18 ชม.ใน 24 ชม. ถ้าสติว่องไว ก็จะทำให้ไม่หลงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ครับ

ถ้าสติอยู่กับปัจจุบันมากเท่าใด อกุศลจิตก็จะเกิดน้อยลงทุกวันครับ

ทำพอดีๆ ทำอย่างต่อเนื่องและสมำเสมอ เมื่อถึงเวลา ก็เมื่อนั้นครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

นะมัสเต้ ค่ะ

   ขอเรียนให้ทราบว่า ทุกวันก็ได้สวดมนต์ ทำวัตร เช้า - เย็น เป็นประจำค่ะ แผ่เมตตา และก่อนนั่งสมาธิ ก็ได้ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย คุ้มครองค่ะ จากนั้นก็จะระลึก ถึงคำสอน คำแนะนำต่างๆ ที่ท่านผู้รู้ได้ ให้ความเมตตาแนะนำ และปฎิบัติตาม หลังจากเลิกปฎิบัติ ก็จะอธิษฐานจิต ส่งบุญไปให้ท่านทั้งหลาย หวังว่าคุณพลเดชเอง คงได้รับทุกวันเช่นกัน

  ในความรู้สึกของตัวเอง ท่าจะเทียบเป็นการเรียน ก็แค่ชั้นอนุบาลเท่านั้น มาได้รับคำสอนดีๆ ก็พอจะรู้เรื่องบ้าง เคยเข้าคอร์ส สมาธิ มาหลายแห่ง แล้วก็มีความติดค้าง ไปต่อไม่ได้ เพราะ ครูบาอาจารย์ ท่านต้องดูแลคนมาก แล้วเราเองก็ไม่รู้จะถามอะไรด้วย เพราะมันงง ๆ กลัวครูบาอาจารยื จะระอาเสียก่อน ดิฉันว่าความรู้ขนาดดิฉันนี้ คงยังไม่ต้องถึง พระอาจารย์ตามที่คุณบอก น่าจะฝีกให้มากก่อน แต่จริงๆแล้ว ดิฉันก็ยังมีครูที่เคยเมตตาสอน ให้ดิฉันเข้าใจง่ายๆ เหมือนกัน และคำสอนของท่านก็ดูจะถูกจริต คงเคยสอนกันมา เพียงแต่ขณะนี้ ท่านมีภาระกิจมาก คงไม่ค่อยจะมีเวลา หรือยุ่งยากที่จะสอนดิฉันเสียแล้ว ดิฉันเองก็รู้สึกเกรงใจ และไม่กล้าถามท่านด้วยว่าสะดวกไหม ท่านมีหน้าที่สำคัญต่อบ้านเมืองค่ะ และอยู่ต่างประเทศ ชื่อประเทสอินเดีย ท่านชื่อ พลเดช วรฉัตรค่ะ ถ้าพบเจอช่วยสอบถามให้ด้วย ว่าจะมีเวลา ดูแลโยคีน้อยต่อไหม  ขอบพระคุณค่ะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

สาธุครับกับการปฏิบัติที่ดีและที่ชอบแล้ว ถือว่าไม่ใช่ชั้นอนุบาลหรอกครับ ส่วนที่ผมแนะนำนั้นเพื่อจะได้มีครูบาอาจารย์เป็นหลักยึดครับ ซึ่งจำเป็นในขั้นที่จะก้าวต่อไปเรื่อยๆ  เพราะดังที่เคยเรียนไว้ว่าตามประสบการณ์ของผม เมื่อปฏิบัติจิตก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จะมีประสบการณ์ทางจิตมากมาย ซึ่งมีทั้งสองด้าน หากได้มีอาจารย์ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็จะช่วยคุ้มครองให้ผ่านไปได้

สำหรับผมนั้นถือเป็นกัลยาณมิตรที่พร้อมที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เสมอ ส่วนใหญ่จะบริหารเวลาได้ครับเพราะแม้จะมีงานมากแต่ก็มักจะหาเวลาเขียนเผยแพร่และสนทนาได้เสมอครับ แต่ด้วยความเป็นห่วงเพราะเคยเดินผ่านทางนี้มาแล้ว บางครั้งในอดีตผมก็ปฏิบัติตามหนังสือโดยไม่มีอาจารย์ด้วยซ้ำไป ซึ่งอันตรายมาก แต่ก็โชคดีที่อาจจะมีบุญเก่ามั้งครับ จึงมีครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจนผ่านมาได้.........

เราต่างเป็นลูกโยคีด้วยกันครับ คุณแม่สิริเป็นแม่โยคี ผู้อบรมเป็นลูกโยคีทั้งนั้น เอาเป็นว่าผมเป็นรุ่นพี่ก็แล้วกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากการปฏิบัติธรรมมานาน ก็คือความพอดีในทุกๆ สิ่งครับ ซึ่งต่อมาก็มาได้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ที่ผมเห็นว่าทรงพระอัจฉริยะมาก เพราะเป็นปรัชญาและแนวทางในการปฏิบัติธรรมด้วย ถ้ารู้จักพอประมาณ มีเหตุมีผลและมีภูมิคุ้มกัน กับมีเงื่อนไนเรื่องความรู้คู่คุณธรรม นั่นคือทางสายกลางในทุกๆ เรื่องครับ ซึ่งผมก็ใช้แนวทางนี้กับชีวิตรวมทั้งการปฏิบัติธรรมด้วย

การกำมือกับการแบมือปล่อยออกไป อันไหนสบายกว่ากันครับ พลังการให้ที่แผ่ออกไปคือการปล่อยความเป็นตัวตนออกไปด้วยครับ ถ้าจิตอยู่กับปัจจุบัน ตัวตนก็ไม่มีครับ มีแต่จิตรู้กับสิ่งที่ถูกรู้

สาธุครับกับโยคีน้อย

อันความตาย หมายไม่ได้ ว่าเมื่อไหร่

เกิดกับใคร ได้ทั้งนั้น หมั่นท่องหนา

ทารกเด็ก เล็กผู้ใหญ่ วัยชรา

มรณา มาเยือนได้ ทุกวัยวัน

เมื่อไม่รู้ ก็จงอยู่ อย่าประมาท

คนฉลาด สร้างบุญไว้ ไม่โศกสันต์

ยิ่งบุญมาก สุขมาก รับประกัน

ตามไม่พรั่น มั่นในสุข ตลอดไป ........

ด้วยความปรารถนาดี

  

สวัสดีค่ะท่านนักเดินทาง

   ถ้าพรุ่งนี้ไม่ใช่วันตายฉัน

คงบุกบั่นสร้างความดีที่มุ่งมั่น

เก็บทุกบุญทุกความดีทุกวี่วัน

วันตายฉันวันไหนไม่สนเลย.

 อยากจะแต่งกลอนกับเขาบ้าง แทบแย่ค่ะ เลยได้มาบทเดียว จริงๆอยากบอกว่า ถ้าพรุ่งนี่ ดิฉันยังไม่ตาย สิ่งที่กำหนดไว้ ก็คงสำเร็จ ตามปรารถนา แต่ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปมิใช่หรือคะ

  พรุ่งนี้ต้องออกไปตรวจสุขภาพพระตั้งแต่เช้า อำเภอศรีราชา กับพนัสนิคม นี่คนละมุมของจังหวัดชลบุรีเลย แต่ทางสายไหนก็ไม่ยาวไกลเท่าทาง              สายวัฎฎสงสารหรอกนะคะ ไปรับหนังสือมาจากโรงพิมพ์แล้ว ดูดีมาก น่าหยิบอ่าน ภาพที่ใช้ทำปก จะเล็กไปหน่อยเพราะภาพจากเน็ต ขยายไม่ค่อยได้ คราวหน้า ถ่ายภาพเองจะดีกว่า แต่ก็ โอเค ค่ะ ใช้สีม่วงอมน้ำเงิน ไล่สีอ่อนแก่น่าดู ตัวหนังสือข้างในใช้สีกรมท่า ชัดเจนดี ส่วนงบประมาณ บอกบุญจนได้เกินเลยค่ะ เรื่องของเจ้าของบุญนี่ก็แปลก บางทีแค่เล่าให้ฟังผ่านๆ ก็ควักเงินออกมาร่วมบุญกัน คนใจบุญยังมีอีกมากค่ะ เมื่อเตรียมการเสร็จ รู้สึกเบิกบาน อยากจะเล่าให้           คุณพลเดชรับรู้ด้วย  จะได้มีกำลังใจเขียนบทความมาให้ดิฉัน เผยแผ่อีก ตามเก็บบุญกันอีก พรุ่งนี้ค่ะ พรุ่งนี้ จะเก็บความปิติมาฝาก

  มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมไหมคะ ส่งมาได้เลย

ขอบพระคุณค่ะ

สาธุครับ กับกุศลและผลบุญที่ได้ทำและได้รับ กุศลที่เป็นบวกนี้จะโน้มนำให้เกิดสิ่งที่ดีงามต่อไปครับ ผู้บอกบุญเองก็ต้องมีบุญมากโขครับ คนจึงศรัทธาทำบุญด้วย นี่ละ เขาเรียกว่า บุญต่อบุญครับ

อย่างนี้ต้องจบด้วยคำว่า "ปีติวันละนิด จิตแจ่มใส" ครับ

เจริญสุขครับ

 

สวัสดีค่ะท่านพลเดช

   วันนี้มีอาการจามบ้างหรือเปล่าคะ คนเขาพูดถึงหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย กันทั้งวัน ไปเอามาจากไหน คัดมาได้อย่างไร ต้องมาอธิบายกัน และให้ web ของคุณไป บอกแล้วว่าหนังสือเล่มนี้ ทำด้วยใจ และผู้รับต่างก็ประทับใจ ถึงขนาดขอไปฝากกัน เลยแจกทั้งพระ ทั้งโยม คุณพลเดชเชื่อไหม 1,000 เล่ม เหลือกลับมา ไม่ถึง 50 เล่ม แบบต้องหวงเอาไว้ เพราะดิฉันเอง ก้ยังไม่ได้ให้คนสำคัญๆของดิฉันเลย

มีคุณหมอที่มาออกหน่วยท่านหนึ่ง อายุไม่น่าเกิน 30 แต่ดูเด็กมาก เห็นว่าปฎิบัติธรรม และเป็นอาจารย์หมอ อยู่ศิริราช เดินเข้ามาอย่างเกรงใจ หลังจาก ได้อ่านหนังสือแล้ว มาบอกว่า จะขอไปให้เจ้าหน้าที่ที่แผนก สัก 30 เล่ม ดิฉันก็รีบอนุญาต แต่พอนับครบ 30 เล่ม คุณหมอก็มองหน้าแล้วพูดยิ้มๆว่า ผมเองต้องสอนลูกศิษย์ อีกอยากเอาไปให้เขาได้อ่านกัน ถามว่ามีสักเท่าไหร่ล่ะคะ คุณหมอบอกว่า เอาเป็นว่าขอสัก 80 เล่มนะครับ ผมอ่านแล้วรู้สึกดีมากครับ ก็เลยต้องหาถุงให้คุณหมอด้วยความปิติใจ ยังมีพิธีกรหญิง ท่านหนึ่ง ทำงานอยู่สำนักงานสาธารรสุขจังหวัด บอกว่าพรุ่งนี้ จะต้องเดินทางไปสอน อาสาสมัคร ตำรวจ ประมาณ100 คน จะขอนำหนังสือไปแจก ผู้เข้ารับการอบรม และซักถามถึงเจ้าของบทความ ดิฉันเลย ให้web เขาไป คนนี้ร่วมปัจจัยค่าหนังสือ มาจำนวนหนึ่ง และขอสมัครเข้าชมรม สุขภาพกายและใจของดิฉันด้วย ยังมีเจ้าหน้าที่ต่างๆที่มาทำงาน ขอไป และร่วมทำบุญอีก ส่วนพระนั้น นอกจากจะแจกเป็นรายบุคคลแล้ว ก็ได้จัด ใส่ ในไทยธรรม ไปรวม 90 วัด

คุณพลเดชค่ะ วันนี้ถึงแม้ดิฉันจะเหนื่อยมาก เพราะต้องวัดความดัน พระ นับ ร้อยๆรูป แทบขับรถกลับบ้านไม่ไหว ถึงบ้าน เมื่อ 19.30 น. แต่ต้องรีบอาบน้ำ ใช้นำราดศรีษะมากๆ จะได้สดชื่น และจะได้ข่าวดีและนำบุญมากฝากคุณพลเดชก่อน การนำสิ่งดีๆ มาให้เจ้าของ ควรรีบทำ ไม่ควรข้ามวัน ส่วนเรื่องอื่นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ขอให้คุณพลเดชได้อานิสงส์ผลบุญ จากธรรมทาน ในครั้งนี้ อย่างสุดประมาณ และให้มีกำลังใจที่จะสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่โลกต่อๆไป สาธุค่ะ 

คุณตันติราพันธ์ครับ

สาธุครับ พระพุทธองค์ทรงให้คำเตือนสุดท้ายก็คืออย่าประมาท การคิดถึงความตายและเตรียมตัวให้ดีที่สุดคือการไม่ประมาทครับ

ขออนุโมทนากับกุศลกรรมและกุศลจิตที่เกิดขึ้นครับ ขอพวกเราจงอยู่ในความไม่ประมาทครับและจงเป็นผู้ให้ให้มากที่สุดครับ เหมือนเช่นที่โยคีน้อยได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว

เจริญสุขครับ

นักเดินทาง

สวัสดีค่ะนักเดินทาง(จนกว่าจะรู้แจ้ง)

     เมื่อเช้านี้ โยคีน้อยมีอาการงอแงนิดหน่อย คือตามปกติ ตี 4 ของทุกวันจะลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรม แต่เช้านี้ พอรู้สึกตัวปุ๊บ ร่างกายก็ปิดสวิท ตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำให้ตื่นสายมาก 07.30 น. แต่เมื่ออาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็ปฏิบัติธรรมได้ตามปกติค่ะ ทำให้รู้เลยว่า การที่ร่างกายไม่พร้อมนี้ จิตใจก็พลอยอ่อนแอไปด้วย นี่ขนาด ยังไม่ได้อยู่ในภาวะใกล้ตายนะคะ

    หลังจากเสร็จงานบุญ ทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ สุขภาพพระมากค่ะ พบหลายโรค ทั้งโรคเรื้อรัง ,โรคติดต่อ และได้ให้การบำบัดรักษา พร้อมส่งต่อ ให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลกันต่อไป ถีอว่าพวกเราได้มีส่วนในการสืบทอดพระพุทธศาสนาทีเดียว

นอกจากนี้ ยังได้เห็นพลังของญาติโยม ที่มาคอย ดูแล อุปัถฐาก พระเณร กันนับร้อย ส่วนเจ้าหน้าที่ทีอาสามาตรวจสุขภาพพระ ก็ร่วมร้อยเช่นกัน คิดแล้วทั้งพระ ทั้งโยมก็เกือบพันคน ศาลาที่รองรับ แคบไปถนัด มีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย แม่ครัวประมาณการหุงข้าวไม่พอกินกัน ดิฉันเองก็กินกับข้าว และผลไม้เท่านั้น เมื่อวาน กว่าจะได้เจอข้าว ก็เย็นมากๆแล้ว แต่ในขณะทำงาน รู้สึกมีความสุข จนลืมหิวเหมือนกันนึ่

   คุณพลเดชไม่ต้องกังลนะคะ พวกเราอยู่ในประเทศ จะเฝ้าดูแลพระพุทธศาสนา จะตอบแทนคุณแผ่นดิน และจะทำความดี ถวายพ่อหลวงขอเราให้ยิ่งๆขึ้นไป คุณพลเดชเองที่เสียสละมากกว่าเรา แม้งานจะมีจุดประสงค์ใกล้เคียงกัน แต่ต้องไปอยู่ต่างถิ่น ลำบากกว่าหลายร้อยเท่า ขอให้อดทน และมีกำลังใจที่เข้มแข็งยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

      ในขณะที่ดิฉันเอง ได้สัมผัส ถึงผลบุญ เป็นความสุขใจ ยิ่งได้มานั่งรวบรวมข้อมูล ดูภาพถ่าย ก็ยิ่งรู้สึกดี และอยากจะทำสิ่งดีๆ ให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก คงเป็นพลังบุญ ที่หนุนเนื่องกันต่อไป

  คุณพลเดชเอง ป่านนี้ก็คงได้รับกระแสบุญ อยู่ไม่ขาดสาย ถ้ามีการขึ้นตัวเลข เหมือน เวบนี้ ก็คงขึ้นจำนวนคนอ่านหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้.....ต้องตาย หลายร้อย หลายพันคน และยังส่งผ่านให้กันอ่านอีก นับไมถ้วน ถ้าความสว่างเหมือนการจุดเทียนมารวมกัน ก็คงสว่างหลายพันแรงเทียน แต่ถ้าเราเอาเทียนแต่ละเล่มนั้นมาเรียงกัน โดยให้ยืนต่อกัน จากจุด หมดสว่าง ต่อไปเรื่อย มิให้เหลือจุดมืด ก็คงได้ระยะทางไกลมากทีเดียว ต้องรีบขออนุโมทนาก่อนเลย แจ้งให้ทราบว่า เดื่อนธันวาเรานัดหมายกัน จะไปออกหน่วยที่เชียงใหม่ ตามดอย คุณพลเดชเตรียมบทความที่จะเผยแผ่ธรรมทานได้เลย จะไปราวๆ 7,8,9,10 ธันวาคมคนที่คิดทำดี ยังมีอีกมากค่ะ

                          ขอให้พี่โยคีมีความเจริญสุขเช่นกัน 

                                      โยคีน้อย

 

โยคีน้อยครับ

แวะเข้ามาสาธุก่อนจะราตรีสวัสดิ์ครับ เป็นบุญของแผ่นดินครับที่มีคนดีๆ ร่วมใจกันทำความดีถวายในหลวงและแผ่นดินเกิด เป็นงานที่ผมคิดว่าสำคัญไม่น้อยไปกว่างานของผมเลย

ในหลวงทรงบอกว่าทำความดีให้ปิดทองหลังพระ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่เห็น ไม่ว่าจะมีคนชมหรือไม่ ก็ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งทองจะไหลออกมาข้างหน้าเอง........

ขอให้กำลังใจแก่โยคีน้อยและผู้ร่วมงานทุกคนครับที่เสียสละชีวิตทำความดีเพื่อบ้านเมือง  ความลำบากและอุปสรรคต่างๆ ที่มี ขอให้กลายเป็นพลังให้มีกำลังใจสู้ต่อไปครับ ขอบคุณครับที่เข้าใจว่าอยู่ต่างแดนลำบากกว่า ผมไปมาหลายประเทศ หลายทวีป แต่..ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเราหรอกครับ เมืองไทยเรานั้นแสนดีนักหนา

สำหรับกระแสบุญนั้นผมได้รับตลอดเวลาครับและก็เป็นกำลังใจให้สำหรับการมุ่งทำความดีต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาครับ

ด้วยความปรารถนาดีและราตรีสวัสดิ์ครับ

สวัสดียามเช้าค่ะ

   ได้อ่านข้อความจากกระทู้แล้ว ก็มีความสุขใจ เหมือนที่คุณพลเดชกล่าว ถูกต้องแล้ว เราทำความดี ไม่ได้เพื่อคำชม แต่เราทำเพราะใจอยากทำ เสียดายเวลา เสียดายโอกาส ที่นับวัน ก็จะหมดไปเรื่อยๆ ไม่ตาย ก็ถดถอยกำลังไปทุกที ถ้าใครอยากทำอะไร ต้องทำเลย มีคนอายุ 60 ไปแล้วก็หลายคนที่มาร่วมกันทำงาน ประธานชมรมของดิฉัน ชื่อเบญจภัทร์ เคยเป็นครู เป็นผู้หญิง และยังเป็นมะเร็งอีก สุดท้ายที่เฝ้ารักษา มานับปี ผมร่วง ผอม มาก ดิฉันจำได้ และสวดมนต์ให้เธอทุกคืน ในที่สุดหมอก็ยังบอกว่ามะเร็ง ก็ยังอยู่ในร่างกาย นับแต่นั้น เธอก็ยอม หยุดรักษาทางแพทย์ทุกชนิด กินอาหารชีวจิต และปฎิบัติธรรม ซึ่งปัจจุบัน เธอก็ออกหน่วยกัยเราอย่างกับคนดีๆ ร่างกายแข็งแรงผิดตา นี่ใช่ไหม ที่เขาเรียกบุญรักษา

  วันนี้ขอส่งการบ้านพี่โยคีด้วยค่ะ หมู่นี้โยคีน้อยมีอาการแปลกๆ บางครั้งนั่งทำงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ จะเกิดอาการเหมือนตอนนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม เกิดแบบฉับพลัน มันนิ่งๆ มีพลังในตัว และอีกอย่างคือ จะมีความรู้สึกว่ามีคนส่งกระแสจิตถึงเรา         ( บางครั้ง) ที่จับได้บ้าง 2 ครั้ง ครั้งแรกมีคุณลุงท่านหนึ่ง สนทนาธรรมกันบ่อยๆ ระยะหลังดิฉันไม่ได้ไปเยี่ยม วันหนึ่งก็มีอาการอย่างนี้ และนึกถึงลุง ก็เลยขับรถไปหา คุณลุงเลยบอกว่า อธิฐานจิต ให้มา เพราะจะให้พระธาตุ ไปบูชา แล้วคุณลุง ก็เล่าว่า ได้บูชา และมีพระธาตุเสด็จมากมย ว่าแล้ว คุณลุงก็ตัก พระธาตุ ใส่ตลับ ให้ดิฉันโดยไม่นับ มาถึงบ้านจึงรู้ว่า 18 องค์ คุณลุงบอกว่าที่ให้นี้ ไม่ใช่ เพื่อการยึดติดอะไร แต่ให้เพราะเพื่อเสริมกำลังใจ ที่ ดิฉันศรัทธา ในพระพุทธศาสนาค่ะ

  อีกรายเป็นแม่ชีที่ดิฉันไปปลีกวิเวก แล้วพบท่าน และได้ให้กำลังใจ เพราะท่านอยากทอดกฐิน โดยวันนั้น เริ่มต้นบุญกับท่านเพียง 200 บาท ต่อมาดิฉันได้แวะไปส่ง่คนปฏิบัติธรรม พอเห็นหน้าก็บอกว่า รู้แล้วเดี๋ยวต้องมา เพราะอธิษฐานจิตไป ท่านจะให้ช่วยเรื่องทำใบฎืกา เพราะท่านไปไหน มาไหน ไม่สะดวก และยิ่งปลื้มใจ เมื่อท่านบอกว่า ได้แรงบันดาลใจ จากดิฉัน ตอนนี้ มีต้นบุญ 40 คนแล้ว สาธุ

  การใช้พลังจิตได้ก็ดีเหมือนกัน ส่วนดิฉันเองก้ไม่รู้ว่าส่งถึงใครได้ไหม ไม่เห็นมีใครส่งข่าวกลับมาสักคน

    วันนี้ขอรายงานความคืบหน้าเท่านี้ค่ะ อ้อ! เมื่อเช้ามืดนี้ มีอาการอีกอย่าง เหมือนตกจากที่สูง ตกใจนิดหน่อย แต่สติดีอยู่ และมีเสียงภายในใจบอกว่า อยู่กับปัจจุบันๆค่ะ

      วันนี้ขออธิษฐานจิตตั้งใจส่งบุญข้ามประเทศไปให้พี่โยคีค่ะ

สาธุกับบุญกุศลที่ตั้งใจทำด้วยดีแล้วครับ

อยู่กับปัจจุบันนั้นก็คือ รู้แล้วก็ผ่านไปครับ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี รู้แล้วก็ละวางและผ่านไปครับ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในกฏธรรมชาติ คืออนิจจัง ทุกขังและอนัตตาครับ ไม่มีอะไรเที่ยงครับ ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นของธรรมดา

เราได้มีโอกาสเรียนและรู้ ดู เห็นแล้ว ก็แค่นั้นครับ ผมเคยเปรียบการปฏิบัติธรรมเหมือนทางเดินไกลแสนไกล ระหว่างทางที่มีบ้านริมทางอยู่หลายหลัง นักเดินทางชอบแวะ แล้วก็อาจจะไม่สนใจเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย แวะได้ครับแต่เมื่อรู้แล้ว พอสมควรแล้ว ก็ต้องจากไปเพื่อเรียนรู้ต่อไปครับ ความดีหรือกุศลนั้นไม่หายไปไหน แม้ไม่มีคนรู้ พลังเหล่านั้นก็ไม่หายไปไหน

คือเมื่อได้เรียนรู้ขาวและดำ ที่มีอยุ่ทั่วไปในธรรมชาติแล้ว ในที่สุดก็ต้องละทิ้งทั้งสองอย่างครับ จึงจะถึงสันติสุขที่ถาวร

ด้วยความปรารถนาดีครับ

  ขอถามเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยนะคะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ให้เฝ้าดูเฉยๆหรือคะ หรือว่าให้มองไป พิจารณาไป อันนี้ยังไม่ทราบเลย แล้วเสียงที่บอกจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหน ถูกผิด บางทีเหมือนมีเสียงคอยกำกับ จะว่าเราคิดขึ้นเอง ก็ไม่เคยคิดแบบนี้นี่นา

รบกวนเท่านี้ก่อนค่ะ  ขอบพระคุณค่ะพี่โยคี

โยคีน้อยครับ

ดูด้วยสติครับ เห็นสักแต่เห็นครับ และธรรมชาติ ในเมื่อทุกอย่างไม่จีรัง ยั่งยืน ก็ต้องเปลี่ยน เราจึงมีหน้าที่ดูแล้วสักแต่เห็นครับ คือเห็นที่เป็น เห็นที่เปลี่ยน

การดูด้วยสติจะปลอดภัยที่สุดครับ แต่ในช่วงแรกที่ผมเคยปฏิบัติ บางครั้งเราก็อยาก   จะเห็นแต่ดีๆ ไม่อยากจะเห็นสิ่งไม่ดี ต่อมาจึงรู้ว่า ถ้าเรามีสติ จะดูและสักแต่เห็นเท่านั้นครับ

ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

แวะมาเขียนต่อ

ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่บุญญฤทธิ์ จันทรสมบูรณ์ด้วยครับ ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นลูกศิษยหลวงปู่ชอบ สายหลวงปู่มั่น ปัจจุบันหลวงปู่บุญญฤทธิ์จำวัดอยู่ที่สวนทิพย์เมืองนนท์ครับ ท่านอายุ 86 แล้ว แต่ยังสอนปฏิบัติได้ดี ท่านสอนผมว่าให้ สักแต่ในทุกสิ่ง..........หากโยคีน้อยมีเวลาไปกราบท่านนะครับ มีคำเทศนาของท่านที่ผมได้ถอดเทปเอาไว้เมื่อครั้งที่ท่านไปเยี่ยมผมและครอบครัวที่เบลเยียม 12 ปีมาแล้ว จะลงในเว็บ polpage ต่อไปครับ จะได้อ่านทั่วกัน

ด้วยความปรารถนาดี

 พี่โยคีพลเดชคะ

  การปฏิบัติธรรม นี่คือการต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติเองตลอด เหมือนครั้งที่ พี่โยคีสอนการเดินจงกรม โยคีน้อยก็นึกไม่ออก ต่อเมื่อ ลงมือปฏิบัติ จึงได้เรียนรู้ บางสื่ง บางอย่าง ก็อธิบายกันยาก คำว่าสักแต่ว่า นี่ก็อีก จะเหมือนการมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่เอาอารมณ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไปค้นหาสืบต่อ ใช่ไหม หรือดูด้วยการวางเฉย เอาเถอะค่ะ เป็นว่า ถ้าโยคีน้อย พบเจออะไร แล้วทำอย่างไร ผลแบบไหน ก็จะมาบอกพี่โยคีอีกทีนะคะ

                การปฏิบัติธรรมนี่ เป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย เกินจะเดาได้ ขอบพระคุณสำหรับความกรุณาค่ะ

  เสียงธรรมจากนรัสเซลส์   

อ่านจบแล้ว ขอบคุณมากค่ะ ได้เกิดปัญญาขึ้นมาบ้าง เฉพาะในส่วนรับรู้ได้ ยังมีอีกหลายส่วน ที่จะต้องใช้เป็นแนวทางในการศึกษาธรรมะต่อไป คำของครูบาอาจารย์นี้มีฤทธิ์ ต้องตั้งใจอ่านหลายรอบ และใช้สติอย่างมาก จึงจะทำให้เข้าใจ ลำดับนี้ก็ช่วยให้ไม่ต้องถาม พี่โยคีไปอีกหลายคำถามค่ะ

       ขออนุโมทนาสาธุ

สวัสดียามเช้ามากๆ (ที่อินเดีย)

     วันนี้โยคีน้อยมีประชุมครึ่งวัน เลยส่งการบ้านแต่เช้าเลย วันนี้ มีประสบการณ์ที่น่าสนใจ และอาการที่เกิดขึ้นใหม่ ของโยคีน้อย มาเล่าให้ฟัง ดังนี้

เช้านี้นั่งสมาธิตั้งแต่ ตี 4 เมื่อนั่งได้จิตรวมระดับหนึ่ง (เป็นอาการที่เคยเล่าให้ฟัง) เมื่อมีสิ่งใด เข้ามาในจิต ส่วนมากเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ไม่ใช่ภาพ ก็ตามดูไป ด้วยใจวางเฉย เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย อาการเหล่านั้น ก็ค่อยหายไป เป็นเช่นนี้ อยู่พักใหญ่ จิตก็เริ่มนิ่งได้นานขึ้น และเหมือนเราค่อยๆไปเปลี่ยนภาพ สไลด์ เป็นเปลี่ยนครั้งหนึ่งก็นิ่งมากขึ้นครั้งหนึ่ง เพิ่มขึ้นๆเหมือนเหลือใจดวงเดียว ไม่มีอาการปวดเมือ่ยทางกายใดๆทั้งสิ้น สรุป เช้านี้นั่งสมาธินานถึง 2 ชั่วโมงครี่ง ไม่เคยนั่งนานเท่านี้มาก่อน แต่ปรากฎว่า เมื่อมาเดินจงกรม กลับมีความรู้สึก ไม่เหมือนเดิม คือ เดินแล้วไม่มีสติหนักแน่นเหมือนเดิม เหมือนใจมันนิ่งเกินไป เลยหยุดพิจารณา สมาธิคงจะเกินไป สติเกิดน้อย ตามที่คุณพี่โยคีเคยบอกใช่ไหมคคะ

   เป็นว่าโยคีน้อยสอบถามเท่านี้ก่อนนะคะ

                                    อนุโมทนาบุญค่ะ

  อ่านจบแล้ว กราบอนุโมทนาสาธุค่ะพี่โยคี

  เกิดแรงบันดาลใจอย่างแรง

โยคีน้อยครับ

หากมีโอกาสแวะเข้ากรุงเทพฯ โทร.ไปถามที่สวนทิพย์ครับ 02-5833748 หลวงปู่ตามปรกติจะจำพรรษาที่นั่นและช่วงบ่าย 3 โมงจะสอนนั่งสมาธิแก่ญาติโยม วิธีการสอนของท่านจะให้เรานั่งสมาธิหลับตาโดยท่านจะเทศน์แนะนำไปด้วย บรรยากาศดีมากครับ หากมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมก็ถามท่านได้ครับ

โชคดีนะครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   โยคีน้อยอยากไปค่ะ และกำลังศึกษาแผนที่เส้นทางอยู่ ประมาณว่าบ้านนอกเข้ากรุง เดี๋ยวไปได้ แต่กลับไม่ถูกอีก ก็จะเปลืองข้าววัดด้วย ถ้าพี่โยคีตั้งใจขนาดนี้ อย่างไร ก็ต้องไปให้ถึงค่ะ

  เมื่อเช้าไปรับบุญตรวจสุขภาพพระมาค่ะ คราวนี้ไม่มาก แค่ 1 วัด 18 รูป แจ้งให้ทราบว่า  ได้มีการเห็นแบบอย่างและเริ่มมีการขยายเครือข่าย ดูแลสุขภาพพระกันเพิ่มขึ้น คราวนี้ ชาวบ้านเป็นเจ้าภาพกันเอง ในเรื่องค่า lab ส่วนการเจาะเลือด ทำEKG และตรวจพื้นฐานอื่นๆ เราช่วยกันรับบุญจัดเตรียมและทำในสิ่งที่ทำได้ เช่น เจาะเลือดเป็นต้น ก็ดีค่ะ ได้เห็นอีกรูปแบบ คือ การพึ่งพาตนเอง เมื่อวันเสาร์ เป็นการรวมกลุ่มใหญ่ 90 วัด 500 รูป ได้นำทรัพยากรมารวมกัน แต่นี่ เป็นกลุ่มเฉพาะ ดีใจที่ตัวเองมีส่วนในการดำเนินงานทั้ง 2 รูปแบบ ถ้าข่าวสารแบบนี้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ให้แต่ละชุมชนดูแลกันเอง ก็จะง่ายในการพัฒนาประเทศ ที่เริ่มจากวัด เพราะคนไทยอยากได้บุญอยู่แล้ว

  วันนี้ พูดเหมือนนักพัฒนาประเทศเลย แต่ความป็นจริงคือ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยสร้างศรัทธา และทุกอย่างต้องไม่ฝืนวิถีชีวิตของเขาค่ะ เทียบได้กับการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีใจใฝ่ศึกษา ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งสนุก ไม่รู้เบื่อเลยค่ะท่านทูต ให้ได้บุญร่วมกันค่ะ

         สวัสดีค่ะ

 

สาธุ สาธุ สาธุ ครับโยคีน้อย

โยคีน้อยครับ

วันนี้ช่วงเย็นกลับมาจากไปงานข้างนอก พบกล่องกระดาษส่งมาจากเมืองไทย ด้วยความแปลกใจจึงรีบเปิดดูพบหนังสือ "ถ้าพรุ่งนี้...ต้องตาย" จำนวน 20 เล่ม ปกสีน้ำเงินอมม่วงดูสวยงามและทันสมัย ภาพประกอบ 4 ภาพวางลดหลั่นกัน สื่อความหมายได้ดี เพราะเลข 4 หมายถึงหลายสิ่ง จนที่สุดคือ อริยสัจจ์สี่

นอกจากหนังสือแล้วยังมีแผ่นซีดี 1 แผ่น เขียนว่า ที่ระลึก ซึ่งยังไม่ได้เปิดูครับ

ขอบคุณมากครับโยคีน้อย (คุณบุญรุ่ง ตันติราพันธ์) ขออภัยที่ต้องเอ่ยชื่อ ขอได้รับความขอบคุณจากผมในกุศลจิตที่ได้ทำด้วยดีแล้ว

ในวันพรุ่งนี้ ผมจะไปเยี่ยมชมรมพระนักศึกษาไทยในนิวเดลี ก็ถือว่าได้จังหวะพอดี จะได้นำหนังสือที่จัดพิมพ์โดยชมรมสุขภาพกายและใจนี้ไปแจกด้วยครับ ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

ผมชมสไลด์โชว์แล้วครับ 32 แผ่นสไลด์ ต้องบอกว่าประทับใจมาก เพลงก็ไพเราะ ขอบคุณมากสำหรับของขวัญวันเกิดที่มอบให้ สำหรับโยคีผู้พี่ต้องกำหนด ปีติหนอๆ ให้ทัน

สิ่งดีงามที่เกิดนั้น สะท้อนให้เห็นจิตที่ใสสะอาดของคนที่สร้างความดีงามนั้นให้เกิดขึ้นครับ คือน้ำใจของผู้เสียสละทุกคน ที่ผมเห็นในสไลด์โชว์ ช่างสร้างสรรค์และกล้าหาญกันมาก ทำให้อยากไปร่วมสร้างความดีแบบนั้นบ้าง

ในนามของนักการทูตคนหนึ่ง ขอปรบมือให้กับโยคีน้อยและคณะที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่สร้างสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นและสำเร็จ สาธุ สาธุ สาธุ และเดินหน้าต่อไปครับกับการเรียน รู้ ดูจิตและทำประโยชน์แก่ส่วนรวม เพื่อถวายแด่ในหลวง ในโอกาสมหามงคลในปี 2550นี้

ด้วยความปรารถนาดีครับ

พลเดช วรฉัตร

นิวเดลี อินเดีย

อนุโมทนากับจิตที่พี่โยคีก่อเกิดกุศล

  วันนี้โยคีน้อย ตั้งใจปฏิบัติธรรม ทั้งนั่งสมาธิ และวิปัสสนาจงกรม จากนั้น ได้เดินออกไปใส่บาตรพระ 5 รูป เป็นสังฆทาน  โยคีน้อยตั้งใจส่งบุญให้พี่โยคี ในวาระพิเศษ ก็ตามที่ได้สมมติบัญญัติกัน แต่ทีสุดคือ ตอบแทนคุณ ที่พี่โยคี สอนให้รู้จัก การทำวิปัสสนาครั้งแรกในชีวิต จากการเดิน 7 ก้าว ในวันนั้น

  นึกเห็นภาพความปิติที่เกิดขึ้นแล้ว โยคีน้อยก็ชื่นใจ กลัวแต่จะชมแล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่องมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีความสามารถเท่าไหร่ แต่ตั้งใจทุกสไลด์ ส่วนบทเพลงเป็นของคุณสุ บุญเลี้ยง ชื่อหวังดีค่ะ

ขออนุโมทนาที่วันนี้ หนังสือที่เราร่วมกันสร้างมา จะไปอยู่ในมือผู้มีบุญอีกหลายท่าน ถือว่า ได้ทำบุญร่วมกันอีกครั้ง ในชาตินี้นะคะ

         ขอบุญจงรักษาพี่โยคีตลอดไป

Happy birthday ค่ะ

สวัสดีค่ะ

  เมื่อวานนี้เข้าไปแสดงความคิดเห็นของเจ้าของกระทู้หนึ่ง และท่านได้แจ้งว่า ติดตามการสนทนาธรรมของเราอยู่ ต่อไปนี้ โยคีน้อย จะตั้งใจฝึกฝนจิต ให้มากขึ้น จะได้นำเรื่องที่เป็นประโยชน์ มาแลกเลี่ยน ต่อผู้อื่นด้วยต่อไปค่ะ

  หวังว่าพี่โยคีคงให้ความเมตตาให้คำแนะนำเหมือนเดิม

โยคีน้อย......

ดีครับ ที่มีผู้สนใจติดตามอ่านกระทู้นี้ ผมมีประสบการณ์ว่าในที่นี้หรือที่ไหนก็ตามในโลกนี้ มีสิ่งต่างๆ ที่วิจิตร รอบตัวเรา ด้วยความละเอียดระดับต่างๆ กัน เป็นกลไก เป็นระบบ ที่เรียกว่าธรรมชาติ มนุษย์เรียนรู้ธรรมชาติเหล่านี้ตามลำดับและตามระดับจิตและปัญญาและตามกรอบที่ตนเข้าถึง

พระพุทธองค์ทรงผ่านกรอบเหล่านี้มาและสามารถออกนอกกรอบได้จนรู้แจ้งแทงตลอด เหตุกับผลจึงเปิดเผยออกมา จนถึงทุกวันนี้

ทุกวันนี้ สิ่งต่างๆ ธรรมชาติก็ยังมิได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ยังคงวิจิตรเหมือนเดิม อยู่ที่เราจะเข้าถึงเพียงใด

สาธุกับผู้ที่ติดตามทุกท่านครับและขอเรียนเชิญเข้ามาร่วมสนทนากับด้วยครับ จะได้เพิ่มประโยชน์ยิ่งขึ้นไป

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ

  วันนี้โยคีน้อยมีเรื่องมาสารภาพ เมื่อวานนี้ มีเรื่องที่รู้สึกดีมาก และไม่ดีเข้ามาในจิตเวลาไล่เรี่ยกัน โยคีน้อยกำหนดรู้ไม่ทัน เลยเกิดอาการเหมือนหลุดไปตามกระแสความคิดเลย เรียกสติให้กลับมาหาปัจจุบันไม่ได้ ต้องปล่อยตามเลยไประยะหนึ่ง นานเกือบทั้งวัน เพิ่งรู้ว่า การที่เราเผลออะไรให้มันสุดโต่งมากๆ จะเป็นอุปสรรค ในการปฎิบัติธรรมอย่างยิ่ง พี่โยคีสอนน้องหน่อยนะ ถ้าอาการแบบนี้ต้องกลับมาอีก

     ขอบพระคุณค่ะ

โยคีน้อยครับ

ไม่ยากครับ (เริ่มต้นทำอะไร ให้บอกว่าไม่ยากเอาไว้ก่อน)

รู้ปัจจุบันคือรู้ เรื่องดี รู้เรื่องไม่ดี รู้ขาว รู้ดำ.....แล้วก็วาง กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ

เช่นที่บอก กว่าจะเรียกสติกลับมาก็ตั้ง 1 วัน นั่นถือว่าดีแล้วนะครับ พยายามลดระยะตรงนี้โดยเอาการกำหนดสติอยู่กับอิริยาบทปัจจุบันมาแทน

 เมื่อใดที่จิตอยุ่กับปัจจุบัน อย่างอื่นก็เข้ามาแทรกไม่ได้

การกำหนดอิริยาบทนั้นก็อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ผมเองเป็นปรกติที่จะกำหนดลมหายใจเข้าออกทุกครั้งที่ระลึกได้ตลอดเวลา รวมทั้งตามอิริยาบทของตนเองให้มากที่สุด ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำบ่อยๆ ก็จะชินและเป็นไปอัตโนมัติครับ

ผมพบว่า (รวมทั้งตัวเอง) คนส่วนใหญ่มักจะใจอ่อนโดยเฉพาะกับกิเลส สงสารตัวตน ไม่อยากจะฝืนจากความเป็นปุถุชน  ทำนองรักษากิเลสต่างๆ เอาไว้เพื่อหล่อเลี้ยงตัวตน ซึ่งก็เป็นการตามกระแสสังคม........แต่จากประสบการณ์ การทำจิตให้อยู่กลางๆ พอดีๆ พอเพียง เพียงพอ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ถ้ามีเรื่องดีใจมาก แทนที่จะปล่อยให้ดีใจมาก ก็ปรับลงมาพอดีๆ พอมีความปีติ หากเป็นเรื่องไม่ดี ก็ปรับให้จิตขึ้นมาพอดีๆ ไม่ทุกข์มากนัก โดยมีสติรับรู้ทุกอารมณ์ ก็จะเป็นผู้ที่พร้อมที่จะละสุขทุกข์เหล่านี้ได้เมื่อถึงเวลา

สิ่งหนึ่งที่อยากจะเรียนก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าจะรู้ทันก็ต้องอดทนรอ อดทนดูสิ่งที่จะเปลี่ยแปลงนั้น เปรียบเหมือนกับว่าเราเอาก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่แกะสลักสวยงามมาตั้งต่อหน้าเรา...

ถ้าดูตอนนี้ก็จะเห็นปฏิมากรรมที่ล้ำเลิศ ก่อให้เกิดจินตนาการกว้างไกล  108 อย่าง และถ้าดูแต่ช่วงนี้ก็จะเจอแต่ความสวยงามเช่นนี้จนซาบซึ้ง แต่ถ้าฝืนใจทนดูไปเรื่อยๆ ปฏิมากรรมน้ำแข็งนั้นก็จะแปรเปลี่ยนไป จากความสวยงามก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูป (ตามธรรมชาติ ซึ่งเราก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร) เปลี้ยนไปเรื่อยๆ ถามว่าใจเราจะเปลี่ยนไหม ใจที่คิดว่าปฏิมากรรมนี้สวยจะเปลี่ยนไหม .......ในที่สุด ปฏิมากรรมน้ำแข็ง กับน้ำเปล่าที่นองอยู่กับพื้น ต่างกันหรือไม่ หรือเป็นสิ่งเดียวกัน....ถ้าเห็นว่าน้ำกับปฏิมากรรมน้ำแข็งก็คืออันเดียวกัน ก็ใช้ได้ ก็คือ H2O

 ทั้งนั้น......

ถ้าเช่นนั้นอะไรล่ะที่เหลือในจิตเรา....ก็คือความรู้ ความรู้และกระบวนการเกิดขึ้นของการรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ก็แค่นั้นเอง ไม่มีแม้กระทั่งผู้รู้เป็นใคร........ขณะที่รู้นั่นนะครับคือพุทธะ

สาธุกับทุกท่านที่ใฝ่รู้ในธรรมชาติครับ

ช่วงนี้มีคณะระดับสูงของไทยเยือนอินเดีย จึงขออนุญาตแวะมาตอบเพียงแค่นี้ก่อนครับ 

ด้วยความปรารถนาดี

 

ขออนุโมทนาที่ได้ตอบข้อข้องใจให้ค่ะ

    อ่านและพิจารณาทุกตัวอัษร อยู่หลายรอบ ก็เกิดอาการที่มี น้ำตาซึมที่ขอบตา คงไม่มากไปกับความ ปิติที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบทเรียนเสมอ ประสบการณ์ เวลา และความมุ่งมั่น เป็นตัวกำกับ ทำไมโยคีน้อยจึงยังทำไม่ได้ เพราะการแก้โจทย์ของโยคีน้อย ยังมีน้อยไป อย่างประติมากรรมน้ำแข็ง ช่างชัดเจน และเข้าถึงใจ เมื่ออ่านตามพร้อมกับกำกับความรู้สึก ตามเหตุที่เกิดจนจบ

    นี่อาจไม่ใข่การจุดความสว่างให้แก่โยคีน้อย เพียงคนเดียว แต่พี่โยคี กำลังสร้างความสว่างไสวแก่จิตดวงอื่นไปด้วย ขณะเดียวกัน อาจจะมีผู้รู้อีกมากมาย ก็ส่งกำลังใจให้โยคีน้อยด้วยเช่นกัน

        ขอจงได้รับความขอบคุณโดยเฉพาะพี่โยคีค่ะ

                    สาธุ    โยคีน้อย

สวัสดีค่ะพี่โยคี

     วันนี้โยคีน้อยส่งการบ้านค่ะ วันหยุดคงมีเวลาตรวจการบ้านนะคะ

  เมื่อเช้านี้ โยคีน้อยได้ปรับปรุงคุณภาพใจ ให้ได้เหมือนเดิมแล้ว ตื่นแต่เช้ามืดและนั่งสมาธิ จนใจนิ่งเหมือนที่เคยเป็น จากนั้นกำหนดออกไปเดินจงกรมที่นอกบ้าน

  การเดินจงกรมวันนี้มีประสบการณ์แปลก ถึงแม้ว่าช่วงนี้ จะเป็นเวลาข้างแรมต้นๆ แต่พระจันทร์สว่างมากเลยค่ะ จึงดับไฟฟ้าภายนอกทั้งหมด ให้มีแต่แสงจันทร์ส่อง ความที่อยากให้ได้ความสงบมากขึ้น จึงถอดรองเท้าเดิน เพราะบางครั้งเสียงรองเท้ากระทบพื้นก็เป็นเสียงรบกวน  เมื่อเท้าสัมผัสพื้นหลังจากกำหนดยืน แล้วเริ่มก้าวหนอ บังเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาด เหมือนโยคีน้อยกลับไปเดินอยู่ที่ใดสักแห่ง มันนึกไม่ออก แต่เหมือนเคยทำอย่างนี้มาแล้ว ซ้ำยังเหมือนมีพี่เลี้ยงมาเดินข้างๆ คอยกำกับ ก้าวต่อก้าว ว่าให้เอาจิตไว้ที่เท้าแบบไหน เมื่อถึงจุดยืน ก็บอกให้กำหนดซ้ำๆ จนรู้ตัวจริง จึงให้เดิน โยคีน้อยมีความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กหัดเดินใหม่ ไม่กล้าว่อกแว่ก กลัวล้มอย่างนั้นเลย ส่วนรายละเอียดโยคีน้อย มีมากกว่านี้ แต่ขอบันทึกไว้ในบันทึกมรณะส่วนตัวของตัวเองก็แล้วกัน

  หลังจากผ่านการเดินจงกรมมาได้เวลาหนึ่ง ก็หยุดและนั่งสมาธิกับพื้นนั้น แต่ไม่ได้หลับตา นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำให้เห็นเงาตัวเองทอดมาข้างหน้า เพราะพระจันทร์อยู่ฝั่งทิศตะวันตก โยคีน้อย เลยนั่งมองเงาตัวเองไปเรื่อยๆ จนฟ้าสาง แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า เงาของโยคีน้อยก็ค่อยๆเลือนหายไป ๆ ๆและหายไปในที่สุด ใจโยคีน้อยหวนกลับไปถึงประติมากรรมน้ำแข็งของพี่โยคีทันที อย่างนี้นี่เอง ประสบการณ์จริงสร้างความรู้สึก(บอกไม่ถูก) มากกว่าหลายร้อยพันเท่า

        ประสบการณ์ทั้งหมดมีทั้งคำถามและหมดคำถามที่เกิดขึ้นมาในใจ สุดแท้แต่พี่โยคีจะเลือกตอบเถอะค่ะ

             ขอให้ได้มีส่วนในทุกบุญที่เกิดขึ้นนี้

                                 โยคีน้อย

                                  2 กันยายน 2550

โยคีน้อยครับ

การเป็นนักการทูตอยุ่ในต่างประเทศ ไม่มีวันหยุดครับ เป็นผู้แทนความเป็นประเทศตลอดเวลาทั้ง 24 ชม. แต่ก็เต็มใจครับ.......

ตื่นแต่เช้า นั่งสมาธิและเดินจงกรม ดีแล้วครับ เช้ามืดเป็นช่วงที่เหมาะในการเรียนรู้ พิจารณา อย่างไรก็ดี ถ้าจะลองดูนะครับ ท่านว่าให้เดินจงกรมก่อนแล้วค่อยนั่งสมาธิ จะทำให้สุขภาพสมดุลย์ นั่งสมาธิได้นิ่งและหนักแน่นมากขึ้น แต่ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนนะครับ ที่โยคีน้อยทำก็ดีแล้วครับ นั่งเดินและนั่ง

การถอดรองเท้าโดยเดินจงกรมเท้าเปล่านั้นดีที่สุดแล้วครับ เพราะจะได้รับพลังของแผ่นดินโดยตรง ซึ่งพลังแผ่นดินนั้นยิ่งใหญ่มาก สมควรจะใช้ประโยชน์

ผมยังเน้นเรื่องสติกับการอยู่กับปัจจุบันครับ และอย่าเชื่อในสิ่งที่จะเกิด จะเห็น กำหนดปัจจุบันให้มากครับ เพราะช่างแกะสลักมีฝีมือชั้นเซียน สวยงามเก่งกาจกันทุกคน  ก็ในเมื่อมีความละเอียดต่างระดับกันแต่อยู่ร่วมกัน ทุกขณะจึงมีช่องทางติดต่อสื่อสารกันหมด ขึ้นอยู่กับเราจะใช้เครื่องมือสารแบบใด มีประสิทธิภาพเพียงใด (ไม่ต่างจากเทคโนโลยีมือถือในปัจจุบันเลยครับ ที่มีการพัฒนาไปเร็วมาก)

ถ้าจิตเราถึงระดับความละเอียดหนึ่งก็จะรับรู้สิ่งที่อยู่ในระดับนั้น จากประสบการณ์ของผม มีอยู่รอบตัวเราครับไม่ได้ห่างไกลเลย เปรียบเหมือนเราคลิ๊กเข้าอินเตอร์เน็ต ก็อยุ่ในโลกอินเตอร์เน็ตนั่นแหละครับ ที่สำคัญก็คือมีชื่อ user และพาสเวริ์ดถูกต้องใช่ไหมครับ......

แต่ดังที่เรียนเอาไว้ ทางช่วงนี้จะเข้มข้นขึ้น มีอะไรให้เรียนรู้มากขึ้น ผจญภัยมากขึ้น จึงต้องไม่ประมาท อาราธณาสิ่งคุ้มครองทุกครั้ง และเพื่อรู้เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น เพราะยังมีทางเดินไปข้างหน้าอีกยาวไกล นอกจากนั้น การปฏิบัติธรรมของพวกเราปุถุชน ผมยังยึดหลักปรัชญาของในหลวงครับ ทางสายกลาง จิตที่พอเพียง จะทำให้ยั่งยืนกว่าครับ

เปรียบนะครับว่าเหมือนวงล้อที่ตั้งตรงและหมุนไปแล้วข้างหน้า ด้วยแรงผลักที่เกิดด้วยบุญก็หมุนไปได้.........ถ้าหมนุไปตรงๆ ก็เชื่อว่าจะไปได้นานเท่านาน แต่ถ้าเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะเกิดแรงที่หักเห ไม่สมดุลย์และไปในทิศทางที่เปลี่ยนไป....และอาจล้มหยุดลงได้ทุกขณะ.........

หลวงปู่ หลวงพ่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายถึงไม่ได้สอนรายละเอียดมากนัก แต่ให้ปฏิบัติครับ อยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้ ดูจิตของตนเอง เพราะข้อเท็จจริงอยู่ที่นั่น คำตอบอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ใครและอะไรแต่เป็นกระบวนการความรู้มากกว่าที่อยู่ที่นั่น

ผมเคยปฏิบัติสมาธิแบบธิเบต 7 วัน 7 คืน ก็ปรากฏว่ามีมาแอบดูระหว่างที่นอนทำตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ แต่เมื่อจิตถึงระดับที่จะรู้ ก็สัมผัสเอง รู้เอง............แต่ในที่สุดก็รู้เพื่อเป็นความรู้ ก็เท่านั้นเองไม่สาวต่อให้เป็นเรื่องราว

ก็ยังต้องถอยกลับมาอยู่กับปัจจุบันจะดีที่สุดครับ ละทิ้งสิ่งที่มาเชิญชวนทั้งหมด มีเกร็ดเล็กน้อยมาเล่าให้ฟังก่อนจบก็คือ ผมมักจะฝึกละความอยากของตนเองบ่อยๆในสมัยหนึ่ง ตอนเป็นนักเรียน อยากทานขนมอร่อยๆ และในกระเป๋าก็มีเงินด้วย ใจที่เร็วก็วิ่งไปเพื่อที่จะซื้อขนมทาน แต่สติก็มาคิดได้ว่า ลองดูซิว่าจิตจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้ทาน ดูจิตตัวเองขณะยืนหน้าร้านขนม ก็แค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นครับ ไม่ได้ทาน ก็ไม่เห็นเป็นอะไร......เป็นความรู้ที่มีค่ามากกว่าความสุขที่จะได้ทานด้วยซ้ำไป ฝึกบ่อยๆ ละบ่อยๆก็คือการที่จะสามารถปรับใจในสิ่งที่จะเกิดในชีวิตในได้.......โดยมีสติและปัญญานำ

มีชีวิตที่สมดุลย์ ทำงานให้ดีที่สุด ก็คือการปฏิบัติธรรมครับ H2O ก็อาจบอกอีกความหมายหนึ่งว่าได้ว่า คือhappiness ทั้งทางโลกและทางธรรม และ O ก็คือค่าศูนย์ตรงกลางระหว่าง  1 กับ ลบ 1

ผมเองก็เพิ่งทราบว่า ตัวเลข O (ศูนย์) นี้ คนอินเดียเป็นคนค้นพบ ทำให้เกิดประโยชน์กับวงการคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก น่าสนใจมาก ผู้รู้ท่านใดจะเข้ามาบอกเล่ากันในเรื่องนี้ ก็จักขอบคุณมากครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

  รับทราบปฏิบัติเจ้าค่ะ

      ขอบพระคุณค่ะพี่โยคี

สวัสดีค่ะ

  ทราบว่าคงเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน กับภารกิจของชาติ สำหรับผู้ได้รับเกียรติสูงส่ง เช่นท่านทูตพลเดช แต่คนเราถ้ามีหัวใจในการกระทำ สิ่งอื่นใดก็ไม่มีความหมายมาขวางกั้นได้ มุ่งมั่น มั่นคง สำเร็จ

    วันนี้โยคีน้อยมาให้กำลังใจพี่โยคีก่อน เพราะตัวเองรู้สึกมีความสุขมาก เมื่อเช้า ได้เริ่มปฏิบัติตามคำชี้แนะคือ ฝึกเดินจงกรม ก่อนค่อยนั่งสมาธิ ปรากฏว่า ได้เรียนรู้ อีกสภาวะที่เกิดขึ้น ในขณะที่เดินนั้น มีสติ และสมาธิต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนเลย เป็นเวลาเชื่อมต่อกันนาน ธรรมดา สติจะพร่องบ้างขณะกลับตัว แต่วันนี้ เหมือนเชื่อมต่อเป็นสายเดียว อาการที่เกิด ก็พลอยแตกต่างไปด้วย เหมือนอิ่มอกอิ่มใจ เหมือน......จากนั้น ก็ลงนั่งสมาธิกับพื้นดินเลย จริงด้วยค่ะ การนั่งคราวนี้ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอีกเช่นกัน แต่เดิมจะต้องนั่งเก็บความฟุ้ง หรือเรียกว่า ตั้งสติ กันเป็นพัก แต่วันนี้ โยคีน้อย รวมสติต่อจากเดินจงกรมได้เลย เป็นอัศจรรย์ เขามีชี่อเรียกอาการอย่างนี้ไหมคะ หลังจากเลิกปฏิบัติ จิตใจแจ่มใสมาก และมีความคิดอยากจะทำสิ่งที่ดีๆอีกแล้ว แต่ขออุบไว้ก่อน เย็นนี้ โยคีน้อยถึงจะบอก รับรองพี่โยคี ได้อนุโมทนาแน่ และอาจต้องมีส่วนร่วมด้วยนะ เช้านี้ขอแจ้งให้ทราบเพียงเท่านี้ และขอส่งบุญกุศลที่เกิดขึ้นต่อพี่โยคีตลอดไป

  โยคีน้อย

3 กันยายน 2550

อนุโมทนาสาธุล่วงหน้าครับ

 

ด้วยความปรารถนาดั

พี่โยคีคะ

   พี่โยคีเคยบริจาคโลหิตบ้างไหม และเคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของการได้รับโลหิตบ้างไหมคะ

  โยคีน้อยมีประสบการณ์ได้รับรู้เห็นทั้ง 2 เหตุการณ์เลยค่ะ

  การเป็นผู้ให้

 โยคีน้อยบริจาคโลหิตมา 26 ครั้งแล้ว เป็นการสร้างทานบารมีที่ทรหดที่สุด เพราะ เส้นเลือดจะหายากมาก ต้องใช้ระบบสัมผัสเท่านั้น มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเส้นเลือดเลย เคยมีสถิติ การถูกแทงเข็มสูงสุด ถึง 6 ครั้งกว่าจะได้บริจาค โดยไม่ได้พ่นยาชา บางครั้งบางคราว ต้องแทงเข็มข้างซ้ายได้เลือดไปจำนวนหนึ่ง เลือดก็หยุด ต้องมาแทงอีกข้างหนึ่งกว่าจะครบ 350 CC. เดี๋ยวพี่โยคีจะทราบว่า ทำไมโยคีน้อยถึงศรัทธาการทำทานด้วยเลือดถึงขนาดนี้

การเป็นผู้รับ

 ในขณะที่เป็นนักเรียนผดุงครรภ์ มีโทรศัพท์ในยามค่ำคืนของวันหนึ่ง ให้ตามนักเรียนไปตรวจเลือด หาเลือดกรุ๊ปหนึ่ง ที่ต้องการให้คนไข้ด่วน เพราะหาเลือดไม่ได้ โยคีน้อย เป็นผู้นำพาเพื่อนๆไปบริจาค และได้เลือดของเพื่อนคนหนึ่งที่ตรงกับคนไข้ เป็นการให้เลือดแบบสดๆ เพราะคนไข้ ตกเลือดจากการคลอดบุตร สิ้นสติ และกำลังจะสิ้นชีวิต พวกเราเฝ้ารอดูอาการคนไข้ จนได้รับเลือดไปครึ่งขวด ปรากฏว่า คนไข้รู้สึกตัว พูดคุยได้เลย น่าอัศจรรย์จริงๆ และเป็นภาพจำตั้งแต่บัดนั้นว่า ตัวเองจะต้องบริจาคเลือดไว้ช่วยผู้คน นี่คือแรงบันดาลใจของโยคีน้อย

  วันนี้ได้คิดโครงการขึ้นมาโครงการหนึ่งคือโยคีน้อย อยากตั้งธนาคารเลือดในหมู่บ้าน ทั้ง10 หมู่ ที่อยู่ในความดูแลของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่ได้ก่อสร้างอาคารห้องเก็บเลือดให้เปลืองงบประมาณหรอกค่ะ แต่โยคีน้อยจะให้ร่างกายคนเรานี่แหละ เป็นธนาคารเก็บเลือดโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ใดๆ    พื้นที่ที่โยคีน้อยดูแล มีถนนระหว่างจังหวัดผ่าน เกิดอุบัติเหตบ่อย มีผู้ประสบเหตุต้องใช้เลือดปีละไม่ใช่น้อย และยังมีผู้ป่วยที่ต้องการเลือดประจำ เช่นต้องถ่ายเลือดก็มาก และเมื่อเร็วๆนี่ แม้แต่คุณพ่อของ โยคีน้อยเองป่วยและต้องการเลือดเพราะซีด โรงพยาบาลเขาก็ยังไม่ให้เลือด อ้างว่ากรุ๊ปนี้กำลังขาดแคลน มีสำรองแค่คนหนักๆเท่านั้น นอกจากต้องหาเลือดกรุ๊ปนี้มาทดแทน ซึ่งเสียเวลามากกว่าจะได้เลือด 

   ถ้าหมู่บ้านเรา มีอาสาสมัครยินดีบริจาคเลือด กรุ๊ปต่างๆ อยู่สัก 100 คน ที่ติดต่อได้ทันที ใครต้องการเลือดเรามีทันที แม้จะเกิดภัยภิบัติ ที่ใดๆ เราก็พร้อมรวมตัวช่วยเหลือ  คนที่บริจาคเลือดทุก 3 เดือน ก็จะได้รับการตรวจเช็คสุขภาพและโรคอันตรายหลายโรค อย่างสม่ำเสมอ เราก็จะมีคนที่แข็งแรง เป็นกำลังในหมู่บ้านเราจำนวนหนึ่ง

   วันนี้ได้หารือกับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านแล้ว ทุกคนก็ยินดี และเราจะจัดโครงการนี้ เป็นการทำความดีถวายในหลวงในปีมหามงคลนี้ ทั้งยังส่งเสริมการสร้างคุณธรรม การมีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์   การเสียสละ ความสามัคคี และจิตอาสา สังคมนี้คงน่าอยู่มากขึ้น

  นี่แหละค่ะคือเรื่องที่ตั้งใจจะทำ และขอปรึกษาพี่โยคี ว่าเราจะตั้งชี่อโครงการนี้ว่าอะไรดีคะ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการ เดือนธันวาคมนี้ โยคีน้อยก็จะได้ทำบุญใหญ่อีกแล้ว คงได้พบเห็นผู้เสียสละ ร่วมอุดมการณ์นอนบริจาคเลือดไม่น้อยกว่า 100 คนค่ะ(กำลังเริ่มรับสมัคร)

   พี่โยคีช่วยคิดช่วยแนะนำและเป็นกำลังใจเพื่อเอาบุญกับโยคีน้อยด้วยนะคะ

   สวัสดีค่ะ

 

  • สวัสดีค่ะ...
  • เป็นบันทึกที่อบอุ่นจังเลยค่ะ
  • ตอนแรกกะจะเข้ามาอ่านเฉยๆ
  • แต่เห็นสิ่งที่คุณ ตันติราพันธ์ ทำแล้ว  ขอเข้ามาชื่นชมค่ะ
  • หว้าบริจาคเลือดมาตั้งแต่สมัยเรียน   ตั้งแต่น้ำหนักยังน้อย  หมอบอกว่าน้ำหนักน้อยเกินไปบริจาคไม่ได้
  • เทียวไปจนกระทั่งบริจาคได้(น้ำหนักเพิ่มขึ้น)  ปกติเวลาบริจาคเลือด  จะเป็นปัญหามากเพราะหาเส้นเลือดไม่เจอ     โดนเจาะแล้วเจาะอีก จนแขนเป็นรอยช้ำสีม่วงไปหมด  จนต้องเปลี่ยนไปเจาะแขนอีกข้างหนึ่ง
  • จนนักศึกษาก็ถามว่า "ทำไมอาจารย์เจอขนาดนี้ยังมาบริจาคเลือดเป็นประจำอีก"  ตอนนี้ทุกสามเดือน ก็จะบริจาคเลือดที่มหาวิทยาลัย   โดนกาชาดจะมาตั้งอยู่ใต้อาคารเรียน  เราสอนเสร็จก็มาบริจาคเลย  ชวนเด็กมาด้วย
  • รู้สึกดีใจ และภูมิใจทุกครั้งที่ได้ทำความดี  และเห็นผู้อื่นทำความดีค่ะ   อย่างน้อยก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่โดดเดี่ยว
  • ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณ ตันติราพันธ์ และคุณพลเดช...คงไม่ว่ากันนะคะที่แอบเข้ามาร่วมแจมด้วย

สวัสดีค่ะ อาจารย์ลูกหว้า

  เห็นหน้าอาจารย์บ่อยมาก และติดตามอ่านของอาจารย์เหมือนกัน ขออนุญาต ต้อนรับก่อนเจ้าของ  บลอกตัวจริงจะเข้ามานะคะ และคงจะไม่ว่าอะไรที่รับแขกให้ท่าน กำลังจะทำโครงการทำความดีถวายในหลวงโดยชวนชาวบ้านด้วย วันงานอาจารย์จะพาลูกศิษย์มาร่วมบริจาคโลหิตด้วย ก็จะทำให้งานสมบูรณ์แบบขึ้นนะคะ 

  ยินดีต้อนรับค่ะ

P
อ.ลูกหว้า
เรียน อาจารย์ลูกหว้าครับ
ยินดีต้อนรับครับ ขออนุญาตตอบก่อน
พลังจิตนั้นมีบวกลบ ตามธรรมชาติ พลังบวกดึงดูดให้เกิดพลังบวกต่อไปเรื่อยๆ ครับ คุณตันติราพันธ์ก็กำลังทำความดีถวายในหลวงครับ ซึ่งเธอทำได้ดัมาก ต้องชื่นชมเธอเช่นกันครับ
G2K นี้เป็นเว็บแรกที่ผมตัดสินใจเปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการเพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของผู้จัดการความรู้...ซึ่งก็เป็นที่มาของบล๊อคเรียนรู้ ดู เล่นในโลกกว้างกับนักการทูต...ขอให้คิดว่าเป็นที่สำหรับทุกท่านนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ
ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

สถานทูต ณ กรุงนิวเดลีจัดโครงการบวชเฉลิมพระเกียรติ์ 80 พรรษาของในหลวง โดยรับสมัครคนไทย 80 คน และจะไปบวชพระที่วัดไทยพุทธคยาและไปสึกที่วัดไทยกุสินารา ระหว่างวันที่ 29 ตค-7 พย. 2550 ปรากฏว่ามีคนสมัครเกิน 100 คนแล้ว (ปิดรับสมัครไปแล้ว) ผมเองก็จะร่วมบวชด้วยในโอกาสดังกล่าวด้วย

เมื่อโยคีน้อยถามถึงเรื่องโครงการบริจาคเลือดเพื่อเฉลิมพระเกียรติ์ในหลวงเช่นกัน จึงนึกถึงโครงการดังกล่าวของสถานทูต

จึงขอเสนอว่าอาจจะใช้ชื่อทำนอง...."โครงการธนาคารเลือดเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา" โดยรับสมัครอาสาสมัครจำนวน 80 คน เป็นหลักของธนาคารเลือดดังกล่าว เพื่อให้ตรงกับตัวเลข 80 พรรษา  (ทั้งนี้จริงๆ อาจจะเกินร้อยก็ได้)

เป็นกุศลจิตที่น่าชื่นชมครับ อย่าลืมกำหนดปัจจุบัน ปีติหนอๆ ด้วย นะครับ

ขอร่วมต้อนรับอาจารย์ลูกหว้าเข้ามาแจมด้วยนะครับ

ขออนุโมทนาบุญกุศลที่ทำด้วยดีแล้วครับ

ด้วยความปรารถนาดี

ในที่สุด พี่โยคี ก็มีใจเป็นมหากุศล นอกจากจะเป็นต้นบุญให้คนอื่นได้บวช ได้ทำความดีแล้ว  ก็ยังสร้างมหากุศลให้ตนเองอีก ด้วยการบวชเอง ถึงตรงนี้ โยคีน้อย ก็ได้แต่ยกมือไหว้อนุโมทนาสาธุ กับบุญที่โยคีน้อยไม่มีวาสนาได้ทำในชาตินี้ แต่จะสาธุทุกวินาที ตลอดแห่งการบวชบำเพ็ญบุญของพี่โยคี และนำมหากุศลทั้งหลายที่ต่างก็มีส่วนร่วมในบุญซึ่งกันและกัน ถวายแด่พ่อหลวงของเราตลอดไปนะคะ นิพพา นะ ปัจจะโยโหตุ

  สาธุ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   วันนี้โยคีน้อยลองนึกๆดูแล้ว โจทย์ของโยคีน้อยคราวนี้ เรื่องการตั้งธนาคารเลือดฯ ก็คงจะไม่ง่ายสักเท่าไหร่ เรื่องการมีใจอยากทำความดีถวายในหลวงของเราไม่ห่วงเลย ดูแต่โครงการบวชที่อินเดีย ยังมีคนสมัครล้นหลาม และปิดรับสมัครอย่างรวดเร็ว สำหรับกิจกรรมบริจาคโลหิตนี่ต่างหาก                   อาจจะหาสมาชิกยากหน่อย คนทั่วไปมักจะกลัวเข็มกัน ต้องให้กำลังใจขนาดไหน เขาจึงจะยอมเจ็บกัน ความกลัวนี่ มันไม่มีเหตุผลเสียด้วย พี่โยคีกลัวเข็มไหม ถ้าสมมุติว่าโยคีน้อยชวน พี่โยคีจะกล้าบริจาคไหม หรือต้องพูดขนาดไหน จึงจะเต็มใจมาร่วมกิจกรรมกับเรา  ถ้าผ่านพ้นขั้นตอนนี้ได้ โยคีน้อยก็ไม่ห่วงเลย พอจะมีถ้อยคำยกใจ หรือวิธีการใดที่จะแนะนำบ้าง เชื่อว่าแกนนำที่ออกไปเชิญชวน จะต้องมาขอคำปรึกษาแน่ๆเลยค่ะ แต่ก็เชื่ออย่างหนึ่งว่า           "ยโต ธรฺมสตฺโต ชยะ" ใช่ไหมคะ

   ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ใช้ประโยคเดียวครับ "ทำความดีถวายในหลวง"

แล้วอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด กำหนดหนอ และอย่าลืมดูปัจจุบันครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะ

  วันนี้มีเรื่องถามพี่โยคีสักหน่อย และรายงานผลการปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ

โยคีน้อยนั่งสมาธิแล้วเหมือนมี จุดสว่าง เท่าปลายนิ้วก้อย เป็นแสงวิ่งวน ไม่อยู่กับที่ จะให้กำหนดเห็นหนอ หรือ จะทำอย่างไร มันไม่ยอมไป จะไม่สนใจ มันก็โผล่ เหมือนมาล้อ รบกวนถามนิดเดียว เกรงใจจังค่ะ

  ขอบพระคุณค่ะ

โยคีน้อยครับ

กำหนดเห็นหนอ ไปเรื่อยๆ ครับ แล้วจะได้เรียนรู้จากการเห็นนั้น เหมือนกับการดูสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่มีผลประโยชน์อะไร ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร สิ่งนั้นจะเป็นอะไร จะทำอย่างไร ก็กำหนดเห็นไปเรื่อยๆ ก็แค่เห็นเพราะไม่เกี่ยวกับเรา

ความรู้จะเกิดขึ้นเอง จะทำให้เราได้ข้อสรุปเอง

ที่สำคัญอยู่กับปัจจุบันนะครับ อย่าไปอยากรู้ อยากเห็น และเมื่อถึงเวลา ก็ออกจากสมาธิตามปรกติ ด้วยใจที่ปรกติ 

โชคดีครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   โยคีน้อยมีเรื่องดีๆ จะเล่าให้ฟังค่ะ พี่โยคีจำเรื่องที่โยคีน้อยเล่าได้ไหม ว่ามีคุณลุงคนหนึ่งได้ให้พระธาตุมา 18 องค์ วันนี้โยคีน้อยเข้าหมู่บ้าน หมู่ที่ 8 แล้วเลยแวะเยี่ยมคุณลุง สนทนาธรรมกัน ประมาณ 2 ชั่วโมง ได้เรื่องราวน่าสนใจ ทั้งการปฏิบัติธรรม ท่านก็ให้คำแนะนำไม่ผิดไปจากพี่โยคีหรอกค่ะ แต่มันรู้สึกเข้าใจ แจ้งใจ เหมือนเวลาถาม แล้วพี่โยคีตอบ สั้นๆ แต่เข้าใจนั่นแหละค่ะ มีบางอย่างทีคุณลุงแนะนำว่า บางวัน เราก็อาจปฏิบัติธรรม ไม่ได้ดีก็ได้ เพราะสิ่งแวดล้อม สิ่งที่มากรทบระหว่างวัน รวมถึงอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ ก็ส่งผลด้วยเช่นกัน มิน่า บางวันโยคีน้อยปฏิบัติ แล้วมันเหมือน อย่างไรก็ไม่ใช่ ไม่ลื่นไหลเหมือนบางวันเลย คุณลุงห้ามฝืน ถามคุณลุงว่าทำไมแค่การเราอ่านข้อเขียนทางธรรม เราจึงบังเกิดความรู้สึกตาม เข้าใจทั้งๆที่สื่อความหมายทางเดียว คุณลุงว่า เกิดจากผู้เขียน ได้ใช้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นๆเขียน แล้วเราเองก็สามารถทำจิตตามเขาทันด้วย และมีอีกหลายเรื่อง ก็ทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจกันทั้ง สองฝ่าย

     จากนั้น โยคีน้อยก็ได้พูดถึงความตั้งใจ ในการจะชักชวนคนในหมู่บ้าน ทำความดีถวายในหลวงกัน โดยตั้งธนาคารเลือด และอธิบายตามนั้น ปรากฏว่า คุณลุงก็อนุโมทนา และกล่าวถึงว่าคนเราทุกคน อยากทำความดีทั้งนั้น แต่ไม่มีผู้ริเริ่มมากกว่า ลืมบอกไป คุณลุงอายุ 71 ปี สุขภาพแข็งแรง สามารถเดินมาที่ทำงานของโยคีน้อยซึ่งห่างประมาณไปกลับสัก 2 กม.ได้สบาย คุณลุงเคยเล่าว่า ถอดจิตได้ตั้งแต่ 2 เดือน ต่อมาเติบโตขึ้น เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ และได้มีโอกาส ที่พบกับโยคีน้อยตอนอบรมผู้สูงอายุ แล้วเห็นว่าโยคีน้อยพูดเรื่องความตายได้ดี ก็เลยมาสนทนา และเล่าเรื่องให้ฟัง ทุกวันนี้ ที่บ้านคุณลุงจะขายของเครื่องดื่มเล็กๆน้อย และภรรยา ทำกับข้าว ขาย โยคีน้อยไปทีไร ต้องได้ของฝากกลับมาทุกที แต่ที่น่าสนใจคือ คุณลุงจะมีเด็กหนุ่มๆ มานั่งพูดคุยทุกวัน เล่าว่า คุยกันแบบเพื่อน แลกเปลี่ยนความรู้กัน แล้วคุณลุงก็จะสอดแทรกธรรม เสมอ เน้นให้เข้าวัด ทำบุญฯลฯ บางครั้งก็มีมาปรึกษาว่าจะสวดมนต์บทไหนดี นี่คือขุมปัญญาของชุมชน ที่คุณลุงเฝ้าทำเรื่อยมา

    ที่เล่ามานี้โยคีน้อยคิดถึงบทความที่พี่โยคี เขียนในWeb Polpage ถึงขุมทรัพย์ของชาติ ที่จำได้ว่าถ้าคนในประเทศไม่ได้มีความสนใจในประวัติศาสตร์ หรือในประเทศชาติของตน ต่อให้มีสมบัติที่ดีขนาดไหน ก็ไม่ก่อเกิดประโยชน์ (จับใจความได้แบบนี้) พี่โยคีคะ อ่านแล้วรักชาติขึ้นมาก และเห็นว่าเราต่างก็มีส่วนสำคัญต่อการรักษาแผ่นดินเกิดทั้งนั้น โยคีน้อย จะพยายามเริ่มที่ชุมชน ที่อยู่ในความดูแลก่อน จะสร้างให้คนรักบ้านเกิดกันก่อน

      ในขณะที่พูดคุย ก็มีแฟนคลับของคุณลุงเข้ามา 2 หนุ่ม คุณลุงเลยบอกว่า "เอ้า! คุณหมอเขามาชวนไปทำความดีถวายในหลวงกัน สนใจหรือเปล่า" โยคีน้อยเลยอธิบายว่าเราจะตั้งธนาคารเลือดในหมู่บ้าน โดยถือเป็นการร่วมกันทำความดีถวายในหลวงกัน ปรากฏว่าทั้งสองคน แสดงความเต็มใจ และว่าอยากทำมานานแล้ว และจะได้ไปชวนเพื่อนมาอีกหลายคน ต้องทำอย่างไรบ้าง ที่สุดก็เลยต้องบอกว่ารายละเอียดจะเอามาฝากไว้กับคุณลุง

   พอได้เวลาอันสมควร โยคีน้อยก็ลากลับ เด็กๆพากันยกมือไหว้ และยืนยันเข้าร่วมโครงการแน่นอน โยคีน้อยเล่ามาถึงตรงนี้ ต้องกำหนด ปิติหนอๆๆ  และนำเรื่องราวมาฝากพี่โยคี จะได้สบายใจว่า ในส่วนนี้ โยคีน้อยจะร่วมสร้างอุดมการณ์รักชาติเช่นเดียวกับที่พี่โยคีทำเป็นแบบอย่าง และจะได้ถ่ายทอดความชื่นใจซึ่งกันและกันค่ะ  ขอจงมีส่วนร่วมกุศลที่เกิดขึ้นด้วยกันค่ะ   

โยคีน้อยครับ

อนุโมทนาสาธุครับ รวมทั้งทุกท่านที่ติดตามอ่านกระทู้นี้ด้วย ขอให้เจริญสุขครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้ขอรายงานผลการปฏิบัติธรรมแต่เช้าก่อน เนื่องจากวันนี้ ที่บ้านฝนตกแต่เช้า โยคีน้อยไม่สามารถลงไปเดินปฏิบัติธรรม นอกบ้านได้เหมือนเดิม จึงใช้ห้องโถง ที่ปูด้วยพื้นไม้แทน ก็กว้างพอประมาณ เดินได้ ยี่สิบกว่าก้าวได้สบาย แล้วโยคีน้อยก็เริ่มปฏิบัติ ถ้าจะให้ประเมิน วันนี้ นับว่าผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง โดยเฉพาะพอใจมาก กับสมาธิขณะกลับตัว เป็นการกำหนดที่ถ้าจะให้เห็นภาพ ก็คือ การผ่อนและดึง เชือกอย่างต่อเนื่องนุ่มนวล ขณะหันกลับเป็นช่วงที่ใช้สติมากที่สุด พอยืนหนอ 3 ครั้ง ก็เป็นการรู้ตัวตนที่ดี และหนักแน่น เมื่อปฏิบัติได้ระยะหนึ่งก็นั่งสมาธิต่อเนื่อง สวดมนต์ทำวัตรเช้าต่อไปเลย แต่วันนี้     โยคีน้อย อยากทำอะไรแปลกๆ ด้วยการลงนอนหงาย แล้วกำหนดอารมณ์ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น โยคีน้อย กำลังจะบอกว่า จะซ้อมอารมณ์ก่อนตาย ขณะนี้โยคีน้อยกำลังจะสิ้นใจแล้ว โยคีน้อยนึกอะไรได้บ้าง ปล่อยวางภาระได้ไหม อารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นยังอยู่ไหม โยคีน้อยทำได้ และไปอย่างหมดห่วง แต่ทั้งนั้ นี่คือการซ้อม ไม่มีทุกข์เวทนาใดๆมาเป็นตัวแปร  ซึ่งถ้าในสภาวะจริง คงต้องกำหนดอย่างยิ่งยวดทีเดียว ก็ขอเล่าให้พี่โยคี รับทราบเป็นคนแรก และขอให้เพิ่ม เติมคำแนะนำให้โยคีน้อยด้วยค่ะ จักเป็นพระคุณอย่างสูง

                    ขอจงอนุโมทนาในบุญด้วยกันค่ะ

      

โยคีน้อย

สาธุกับจิตใจที่ใฝ่ธรรมและมีความก้าวหน้า

อย่างไรก็ดี ตามที่เคยเรียน ทางสายนี้ เป็นทางที่หากยังไม่เคยได้เดินผ่าน จะเป็นทางที่ต้องผจญภัยอย่างหนัก อันตรายสำคัญที่สุดคือความอยาก......(ของเราเอง)

ขอให้โยคีน้อยจงระวังให้มากครับ ถอยทุกอย่างมาอยู่ที่ความพอดี พอเพียงแต่ต่อเนื่อง สม่ำเสมอและปรกติ...ก็จะปลอดภัยครับ

ที่สำคัญ เรียนรู้ข้อเท็จจริงจากสิ่งที่จะเกิด....ที่มาให้ดู นำมาพิจารณาธรรม เพียงแค่นี้ถือว่าก้าวหน้าอย่างยั่งยืนแล้วครับ

การได้อะไร หรือการไม่ได้อะไร สำคัญอยู่ที่ตัวสติปัญญาเกิดขึ้นในใจเราเท่านั้นครับ

การเตรียมตัวตายโดยท่านอนนั้น ความจริง ทำเวลานอนตามปรกติก็ได้ครับ แต่ก็ยังต้องกำหนดสติให้มาก (เหนื่อยก็หลับไปเลย) เพราะความสงบนั้นตรงข้ามกับความไม่สงบ ซึ่งความไม่สงบนี้มีอยู่เป็นปรกติของโลก เวลานั่งสมาธิสงบดี แต่พอออกจากสมาธิก็ต้องเจอความไม่สงบของโลก จึงต้องมีสติเพื่อทำใจให้สมดุลย์ทั้งสองด้านด้วยครับ 

การเตรียมตัวที่ดีคือการให้ครับ ก็หมายถึงว่าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในลาภ ยศ  ไม่ตระหนี่บุญ ไม่ตระหนี่ความเมตตา กรุณา มุทิตา และมีอุเบกขาได้ง่าย....ทั้งหมดนี้ถ้ามีสติว่องไว สติมา ปัญญาก็เกิด ก็จะอยู่อย่างใจสมดุลย์ ใจพอเพียง สุขปรกติอย่างยั่งยืน

ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งหนึ่งครับ

ถึงพี่โยคี

  โยคีน้อยอยากจะบอกกับพี่โยคีว่า นับจากนี้ จะเรียนรู้อย่างระมัดระวัง ซึ่งบางอย่างที่พี่โยคีบอก ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เอาเป็นว่า โยคีน้อยจะรายงานพี่โยคีให้สม่ำเสมอก็แล้วกัน งั้นวันนี้ขอรายงานเสียเลย

    เมื่อโยคีน้อยนั่งสมาธิได้ระยะหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่ น่าจะเรียกว่าจิตรวมได้ที่ มีความรู้สึกแบบนี้ค่ะ มันเกิดความนิ่งโดยฉับพลัน แล้วเหมือนเป็นความโล่งๆสว่างๆ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยตานะคะ อธิบายไม่ถูก เป็นว่าถ้าเทียบกับการเห็นด้วยตาคือ ความสว่างประมาณ 40 แรงเทียน ไม่เห็นภาพอะไรหรอกค่ะ นิ่งอยู่แบบนั้น และค่อยๆเปลี่ยนแปลงคือ มีการขยายความสว่างอย่างกับการที่เราเอานิ้วจุ่มไปที่น้ำนิ่งแล้วเกิดความขยายแต่แผ่วเบามาก ก็เพิ่มความสว่างได้อีกนิด ๆๆ ถึงตรงนี้โยคีน้อยเลยหยุด เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร ใช่สิ่งที่ถูกต้องไหม

  มีอีกเรื่องที่มักเกิดกับโยคีน้อย คือบางครั้ง พอหลับตาทำสมาธิปั๊บ โยคีน้อยมองเห็นภาพรอบข้างทันที เห็นชัดจนคิดว่านี่เราลืมตาหรือเปล่า จนทำให้ทบทวนด้วยการลืมตายืนยัน มันเหมือนกับเราไม่ได้หลับตา แต่ไม่ได้เกิดบ่อย เพียงแต่สงสัย เลยนำมาสอบถามค่ะ

  ขอพี่โยคีชี้แนะให้โยคีน้อยด้วยค่ะ

     ด้วยความระลึกถึงผู้มีพระคุณเสมอ

โยคีน้อยครับ

ผมคิดว่าความตั้งใจปฏิบัติและของเก่าที่มีอยู่แล้วทำให้ฐานสมาธิอยู่ในขั้นที่แน่นพอสมควร

ก็ยังยืนยันครับว่า เน้นเรื่องการฝึกสติจะปลอดภัยที่สุด จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องกำหนดสภาวะนั้นให้ตรงตามความเป็นจริง นิ่งก็กำหนดรู้ความนิ่งนั้น ไม่นิ่งก็กำหนดรู้ความไม่นิ่งนั้น เห็น ก็กำหนดรู้ว่าเห็นเท่านั้น 

สติอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นครับ

ด้วยความปรารถนาดี

อยากเล่าให้พี่โยคีฟัง

 วันนี้ เป็นวันหยุด แต่โยคีน้อยก็นัตรวจสุขภาพชาวบ้านที่อายุ 35 ปีไว้ เป้าหมาย 2,500 คน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขต้องการ และเขาบอกว่าเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติให้ในหลวง จะรู้สึกระอายใจมาก ถ้าผลงานจะเป็นแค่ตัวเลข จึงต้องพาน้องๆ ออกทำงานในวันหยุด เพราะวันปกติ งานประจำก็ล้นมือ น้องๆก็ดีใจหาย ถึงจะเหลือกันแค่ 3 คนก็ตาม ได้ให้น้องตั้งหน่วย โดยมี อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นผู้นำชาวบ้านมาและช่วยกันตรวจสุขภาพ ตามกำหนด ส่วนโยคีน้อยออกไปตามบ้านที่เขาไม่สามารถเดินทางมาได้ บอกน้องว่า งานนี้เฉลิมพระเกียรติ เราต้องทำจริง น้องเขาก็รู้สึกดีไปด้วย พรุ่งนี้อีกวัน ก็คงไม่ใช่วันหยุดของพวกเรา และตลอดสัปดาห์หน้า ผลงานวันนี้ก็เป็นร้อยคนค่ะ

    ตอนนี้ชาวตำบลเขาคันทรงคือที่นี่ กำลังตื่นตัวเรื่องธนาคารเลือดค่ะ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดกระแสขึ้นมาอย่างมากมาย เห็นแววตาที่เขาตั้งใจทำความดีถวายในหลวงแล้ว รู้สึก ว่าตัวเองได้ทำอะไรตอบแทนแผ่นดินจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ โยคีน้อยก็จะถือโอกาสแห่งการออกตรวจสุขภาพประชาชนนี้ สร้างเครือข่ายธนาคารเลือด ให้มีทุกหย่อมหญ้าของพื้นที่ที่โยคีน้อยดูแลทีเดียว

  หลังเสร็จสิ้นภาระกิจในวันนี้ ด้วยความเบิกบานโยคีน้อยเลยถีอโอกาส เดินทางไปเรื่อยเปื่อยตามแต่ใจจะไขว่คว้า ไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง แต่คนละอำเภอและเคยทำงานที่นั่นเมื่อ10 ก่อน แวะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่า ยังอร่อยเหมือนเดิม ผ่านร้านขายผลไม้ที่ยังขายเหมือนเดิม เขายังจำเราได้ แล้วเอากล้วยน้ำว้า สองหวี ใส่ถุงให้เรากลับมากิน และอีกหลายๆคน ที่ยังเหมือนเดิม และยังบอกต่อกันสำหรับคนที่ทำถ้าจะนึกไม่ออก ว่าเราคือใคร  หลังจากออกจากหมู่บ้านนั้น ก็ให้นึกถึงวัดๆหนึ่งที่เคยไปเที่ยว และเมื่อเร็วๆนี้อาสาขับรถไปส่งคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อเลี้ยงพระวัดนี้ ชื่อวัดบุญญาวาส เป็นสายหลวงพ่อชา สงบ สะอาด สงัด มาก มีแต่ป่า ทุกชีวิตทั้งพระ และผู้ปฏิบัติธรรม เหมือนหายเข้าไปในป่า มองภายนอก แทบจะไม่รู้เลยว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอยู่ตรงไหน ได้ไปนั่งไปเดินอีกครั้ง เรื่อยๆ ไม่พบใคร และไม่ได้ตั้งใจมาพบใครด้วย ไปอ่านเจอกระดานที่ท่านเขียนไว้ว่า สิ่งที่ของดรับเพิ่ม แล้วก็มีรายการของแห้งที่คนนิยมนำมาถวายเช่น ปลากระป๋อง มาม่า ข้าวสารฯลฯ

และแจ้งสิ่งที่ต้องการด่วน คือ โสดาบันผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตผล

 ที่นี่รับผู้มาปฏิบัติธรรมทั้งหญิงชาย แต่เป็นลักษณ์ปลีกวิเวก ให้อยู่ตามลำพัง เพื่อศึกษาจิตตนเอง จะพบพระอาจารย์เมื่อต้องการสอบถามธรรมะเท่านั้น

 วันนี้โยคีน้อยก็รู้สึกว่าเป็นวันแห่งความสุขใจอีกวันหนึ่ง เป็นวันที่อยากทำอะไร ก็ทำ อิสระทั้งร่ายกายและจิตใจ จึงอยากจะเผื่อแผ่ความรู้สึกดีๆ ให้กับพี่โยคีบ้าง เพื่อเพิ่มพลัง ในการคิดทำสิ่งดีๆ ที่กำลังรอเราอยู่ค่ะ

  นำสุขมาให้ แด่พี่โยคี  และผู้ที่ได้อ่านกระทู้นี้ทุกท่าน......

สวัสดีค่ะพี่โยคี

     โยคีน้อยเพิ่งกลับมาจากไปเดินออกกำลังกายริมหาดมาได้สักพักค่ะ ที่จริงโยคีน้อย ก็ซ้อมการเดินจงกรมในบรรยากาศใหม่ด้วย พอไปถึงสะพานที่ทอดยาวลงสู่ทะเลระยะทางประมาณ 300 เมตร เนื่องจากไปเย็นมากไปหน่อย พระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่ยังไม่มีด และก็ไม่เปลี่ยวด้วย เพราะชายหาด มีชาวบ้าน มานั่งกินข้าวปลากัน ร้านค้าก็ขายอาหารกันไป เพราะฉะนั้น โยคีน้อยเดินลงไป ในทะเลคนเดียว จึงอยู่ในสายตาของพวกเขา เป็นสะพานปลาแคบๆ กว้างสัก 1.5 เมตร วันนี้เด็กๆที่มาเล่นน้ำ จับปูปลากลับหมดแล้ว และน้ำก็ขึ้นสูงมากด้วย

  โยคีน้อยเลยถอดรองเท้าเดินไปเรื่อยๆ และหยุดเป็นระยะ กำหนดยืนหนอ ๆๆ แล้วค่อยไปต่อ อย่างนี้ แรกๆก็มีเสียงน้ำซัดโขดหินบ้างแต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็สร้างความรู้สึกนิ่งได้ ท่ามกลางธรรมชาติ ก็เป็นประสบการณ์อีกแบบ ที่พี่โยคีบอกให้ทำให้ได้ ทันกระแสโลก แต่นี่ก็แค่บททดสอบที่ไม่ใช่ของจริงทั้งหมด ที่ต้องมีเรา มีเขา มือารมณ์ เหตการณ์ที่สมจริงสมจังมาร่วมด้วย แต่ละสิ่งที่จะได้มาไม่ง่ายเลย

   อยากสนทนากับพี่โยคีอีกสักเรื่อง ที่บอกว่าเราต้องปล่อยวางทุกอย่าง เพราะเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่การปล่อยวางทางจิตใจทำไมยากจัง บางสิ่ง บางอย่าง บางเหตุการณ์ มันทำให้เราหวลระลึกถึงอยู่ได้ โดยเฉพาะสิ่งเหล่านั้น เป็นเหมือนกรรมผูกพันกัน มันจะมาย้ำเตือน ให้เราต้องไปแบบนั้น แบบนี้ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งดี ด้วยซ้ำ แล้วจะละ จะวางกันอย่างไร โยคีน้อยยังไม่เข้าใจ บางทีโยคีน้อยก็ปล่อยตามกรรมเหมือนกัน ทำให้รู้สึก ไม่ค้างคาใจดี แต่โยคีน้อยก็ต้องปรึกษาพี่โยคีอยู่ดี เพื่อแนวทางที่ถูกต้องต่อไป นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่  โยคีน้อยก็เคยคิดว่า ทำไมต้องเป็นพี่โยคีก็ไม่รู้ คงเคยเชื่อฟังกันมา

  รบกวนเท่านี้ก่อนก็คงต้องคอยตอบคำถามให้โยคีน้อยเรื่อยไปจนกว่าจะหายโง่ค่ะ

        กราบพี่โยคีค่ะ

โยคีน้อยครับ

พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ที่สูงมากครับ เมื่อปฏิบัติธรรม ก็จะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เหมือเราเข้าห้องปฏิบัติการ ทดลองสูตรต่างๆ แล้วได้เห็นผลที่เกิดขึ้น สรุปได้ หายสงสัย

ที่ต้องละสุขก็เพราะสุขนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะสุข-ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนขาวกับดำ ผู้มีปัญญาจึงเห็นภัยของความสุข.....

ชีวิตนั้นสั้นนัก ถ้าไม่รู้กลไกของจิต ไม่รู้ไตรลักษณ์(ซึ่งไม่ได้แอบแฝงหรือซ่อนเร้นต่อจิตใจของมนุษย์เลย) ที่มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ก็จะหลงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นการเดินทางที่ผิดทางครับ

ถ้ามีสติ อยู่กับปัจจุบันได้ จะเห็นว่าในขณะนั้นมีแต่ตัวรู้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโลก ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์.......

พุทธะจึงหมายถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานครับ

ด้วยความปรารถนาดี

ถึงพี่โยคี

   โยคีน้อยอ่านทบทวนข้อความของพี่โยคี หลายเที่ยวมาก เพื่อให้เกิดปัญญารู้ตามพี่โยคี การปฏิบัติธรรมก็คือ การทดลองและพิสูจน์ วันนี้โยคีน้อย กลับไปเดินที่สะพานที่ทอดลงสู่ทะเลอีกครั้ง ครั้งแรกเห็นน้ำขึ้นสูง และคลื่นลมแรงมาก ทางเดินเปียกเพราะคลื่นสาด ดีเลย โยคีน้อย จะได้ทดลอง การใช้สติของตนเองเสียเลย

  ถอดรองเท้าได้ก็เดินกำหนดไปเรื่อย เหมือนเดิม แต่คราวนี้ นอกจากระวังสติแล้ว ต้องระวังลูกคลื่นที่กระทบขอบสะพานแล้วตีขึ้นมาบนพื้น เป็นระยะๆ ถ้าเราดูให้ดี เราก็จะหลบคลื่นที่กระเซ็นขึ้นมา ได้อย่างสบาย ขอเพียงจ้องดูให้ทัน พี่โยคีเชื่อไหม ความรู้ที่มันเกิดขึ้น กับระยะทางที่โยคีน้อยเดิน 600 เมตรนี้ มันทำให้โยคีเข้าใจข้อความที่ว่า

 "ถ้ามีสติ อยู่กับปัจจุบันได้ จะเห็นว่าในขณะนั้นมีแต่ตัวรู้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโลก ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์" โยคีน้อยรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จากกระทู้ก่อนที่เขียนว่า การเดินทะเลเป็นแค่บททดสอบ แต่นี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริงต่างหาก เพียงคลื่นกระทบฝั่งเท่านั้น มันไม่สามารถเข้ามาทำอะไรเราได้เลย ถ้าเราเดินอยู่บนสะพานอย่างมีสติ แล้วโยคีน้อยก็เดินกลับ โดยมีเพียงเท้าเปียกน้ำที่นองพื้นเท่านั้น แทนที่จะเปียกปอนทั้งตัว ตามที่คิดไว้แต่แรก สาธุค่ะพี่โยคี

โยคีน้อย

10 กันยายน 2550

สาธุครับ

โลกของคนทั่วไป ชีวิตคือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขทางโลก

โลกของผู้ปฏิบัติธรรม ชีวิตคือการต่อสู้ของสติกับอารมณ์ที่เกิดในจิต

ด้วยความปรารถนาดีครับ

สวัสดีค่ะ

   โยคีน้อยติดประชุมวิชาการประจำปี ที่แอมบาสเอดร์ พัทยา ครั้งแรกว่าจะไปกลับ แต่เห็นว่ามีงานเกษียณด้วย เลยไม่อยากขับรถกลับ เลยค้างหนึ่งคืน มีประชุมแต่โยคีน้อยก็ได้มาฟังธรรมด้วยนะคะ มีอาจารย์หมออดีตผู้อำนวยการโรงพบาบาลภูมิพล ได้เมตตามาเป็นวิทยากร เรื่องการตกผลึกทางปัญญา ท่านบรรยายไดดีมากค่ะ และคิดว่าท่านก็นักปฏิบัติท่านหนึ่ง ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ทุกคนตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เป็นการบรรยาย กฎแห่งกรรม การฝึกสมาธิให้อยู่กับปัจจุบัน แต่ไม่ได้ลงลึกมากนัก อาจเห็นว่า กลุ่มใหญ่มาก 600 คน

   เวลาอาจารย์ถามตอบ โยคีน้อยอยู่ไกล แต่ก็ตอบในใจ ได้ถูกต้องนะคะ คิดถึงพี่โยตีเหมือนกัน เพราะไม่มีใครสนทนาธรรมกับโยคีน้อย ได้ดีเท่าพี่โยคี

  ค้างทีโรงแรม เช้ามืดลุกขึ้นมานั่งสมาธิ แต่แอร์เย็นจนสุดขั้วหัวใจ ลดไม่ได้ ครั้นจะเดินจงกรม ก็เกรงใจคนที่นอนด้วย เดี๋ยวตื่นมาเห็นจะตกใจ สถานที่นี่ก็สำคัญสำหรับการปฏิบัติธรรมเหมือนกันนะคะ

 อ้อ! ในงานยังมีคนพูดถึงหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้....ต้องตาย เนื่องจาก คนที่เป็นพิธีกรวันตรวจสุขภาพพระ วันนั้น ได้เอาหนังสือ ไปให้ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทุกแผนก มีคนอ่านแล้ว บอกว่าดีมาก และมีคนทำบุญค่าหนังสือกับโยคีน้อยด้วย  เอาบูญมาฝากพี่โยคีค่ะ

  ปีนี้สาธารณสุขชลบุรี ตั้งใจร่วมกันว่า เราจะทำงาน ให้  ดี  เก่ง   สุข  ดูจะเป็นคำที่สร้างความสดใส แก่ชีวิตการทำงานภายหน้านะคะ     สวัสดีค่ะ

 โยคีน้อยครับ

สาธุ......เราทุกคนเป็นนักเดินทางชีวิตนะครับ เป็นเส้นทางเดียวกัน ที่ยาวไกลและทุกย่างก้าวมีความหมาย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินก้าวไปข้างหน้า เพราะนั่นหมายถึงจุดหมายที่ใกล้เข้ามาทุกที .........ไปเจอกบอนที่เขียนไว้นานมากแล้วครับ ตั้งแต่ 2533 จึงขอนำมาลวตรงนี้ครับ 

 

.......................................................... 

แสนสุขใจ ที่ได้วาด ธรรมชาติ

แสนผุดผาด อาจทนง วงศ์ช่างศิลป์

ดุจหนอนกลาย เป็นผีเสื้อ ที่โผบิน

หัวใจสิ้น ริ้นและไร ที่ไต่ตอม

 

สีนี่หรือ อยู่ที่ใจ จะให้สี

เขียวขจี ม่วงแสดแดง เหลืองขาวหลอม

น้ำเงินส้ม ฟ้าชมพู ดูพยอม

สีทั้งผอง พอใส่ดำ ก็คล้ำพลัน

 

หากเปรียบสี เป็นความดี และความชั่ว

คนหลงมั่ว มัวแต่งเติม เพิ่มสีสัน

ล้วนสุดสวย เริ่มสดใส ใส่แข่งกัน

ต่างประชัน ขยันป้าย งมงายใจ

 

มัวแต่งเติม เพิ่มแต่งกาย แต้มป้ายสี

ไม่เคยมี คำว่าพอ หรือไฉน

ยิ่งพอกพูน ยิ่งป้ายทับ สุดหนักใจ

กิเลสใคร กิเลสมัน ขยันเติม

 

คงจะต้องเอาธรรมะ เข้าชะฟอก

สีที่พอก ลอกหลุดไป ให้ตื้นเขิน

ค่อยค่อยล้าง ให้สีจาง ทางเจริญ

แสนเพลิดเพลิน เชิญล้างใจ ให้สกาว

2533------------

ด้วยควมปรารถนาดี

...........ขอบคุณมากค่ะ..........

......จะจดจำ และก้าวเดินต่อไป ด้วยความร่าเริง สุขใจ ตลอดไปค่ะ...สาธุ สาธุ สาธุ

สวัสดียามเช้าค่ะ

  ไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติธรรมเสียหลายวัน วันนี้โยคีน้อยส่งการบ้านพี่โยคีค่ะ  การปฏิบัติธรรมวันนี้ โยคีน้อย จะเรียกว่าถูกทดสอบ หรือเป็นอาการที่เกิด ขี้นจากอะไร ก็ไม่ทราบได้ หลังจากเดินจงกรมก่อนด้วยการมีสติ ค่อนข้างหนักแน่น แล้วโยคีน้อยก็นั่งสมาธิ ต่อ มีความโล่งที่กว้างขวางกว่าทุกวัน เหมือนไม่มีอะไรมากางกั้น ขณะนั้นบังเกิดสิ่งที่เป็นคลื่นความสว่างกว่า ลอยวนเข้ามา แต่คราวนี้ มีแรงสั่นสะเทือนมาด้วย เหมือนเราสัมผัสกับมอร์เตอร์ เกิดอาการสั่นสะเทือนไปทั้งสมอง โยคีน้อยระลึกถึงคำสอนของพี่โยคี ที่ให้ดูเฉยๆ ให้มันเป็นไป ช่างเถิด แล้วก็ใช้การตั้งสติอย่างเดียว อาการก็เกิดเป็นระยะ นานพอสมควร ที่สุด ก็เหมือนคลื่น ค่อยๆสงบ สั่นน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น เหมือนพื้นสีขาวนิ่งๆ โยคีน้อย ก็รู้สึกว่า วันนี้ สติดี อดทนมาจนถึงขณะนี้ ไม่เอาใจไปเกาะเกี่ยว ได้ ซึ่งตามปกติ จะต้องแอบ เอ๊ะ อ๊ะ นิดหน่อย พอรู้สึกว่าหมดสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว โยคีน้อยก็ออกจากทำสมาธิ แล้วลองนอน ท่าตายดู ปรากฎว่า พอหลังถึงพื้น ร่างกายมันหายไปหมดเลย เหลือแต่ความรู้สึกอย่างเดียว สักพัก โยคีน้อยจึงลุกขึ้น เมื่อเกิดอะไรใหม่ โยคีน้อยไม่อยาก แช่อยู่นานเกินไป กลัวการปรุงแต่งจะเข้ามา ซึ่งก็ที่จริงควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้องละคะ

    วันนี้ฝากการบ้านให้พี่โยคีตรวจให้ละเอียดด้วย โยคีน้อยจะรอผลการตรวจสอบค่ะ

    กราบรบกวนพี่โยคีเหมือนเดิม  ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

                                 โยคีน้อย

                                13 กันยายน  2550

ดูเฉยๆ นั้นดีแล้วครับ กำหนดสติเห็นหนอๆ ไปเรื่อยๆ จะได้รู้อะไรจากการกำหนด....อนิจจัง ครับ.... ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยน..ไม่ว่าจะวิจิตรแค่ไหนก็ตาม ก็ดูเฉยๆ เห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกๆๆๆๆ....หน้าที่ของจิตมีแค่นี้

เมื่อเกิดอะไรใหม่ โยคีน้อยไม่อยาก แช่อยู่นานเกินไป กลัวการปรุงแต่งจะเข้ามา

นั่นแหละครับ รู้ด้วยตัวเองแล้ว อันตรายอยู่ตรงการปรุงแต่ง.....ง่ายนิดเดียว คือการละจากสิ่งที่ต้องการ เหมือนการแบมือออก คนทั่วไป ถ้าแบมือออก ของที่อยุ่ในมือก็จะหล่นหรือหลุดลอยไป เลยไม่ค่อยยอมปล่อย......

หลวงพ่อจรัญท่านบอกว่า ....ให้...ให้มากที่สุด..........

เราต้องตั้งต้นจากจิตของตัวเองว่า เราปฏิบัติธรรม ไม่ได้ต้องการอะไร  ไม่ได้ต้องการเป็นอะไร หรือจะไม่ได้ ได้หรือจะไม่ได้เป็นอะไร แต่ทำเพื่อกำหนดสติรู้ปัจจุบัน ซึ่งทุกขณะที่เข็มนาฬิกาหมุนเวลาผ่านเข้ามาเป็นปัจจุบันขณะทั้งนั้น..........

การละวาง นี่คนทางโลกอาจบอกว่าคือการพ่ายแพ้ หรือถอยหลังแต่สำหรับผม ในทางธรรมคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

เมื่อละวางได้ ครั้งหนึ่ง ก็ทำบ่อยๆ และกลับมาดูที่หน้าที่ทางโลก การปฏิบัติหน้าที่ทางโลกให้ดีที่สุดตามฐานะและสิ่งแวดล้อม คือการปฏิบัติธรรมขั้นสูง.....ในเรื่องนี้ ขอเราจงดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นตัวอย่างครับ........ไม่ต้องอธิบายกันมาก พอจะเห็นกันอยู่แล้ว

มีคำกล่าวว่า คนไทยเราดูในหลวงทุกวันแต่ไม่เห็นพระองค์ เราฟังพระราชดำรัสของพระองค์อยู่ทุกวันแต่ไม่ได้ยินพระองค์ท่าน 

ในปีมหามงคลนี้ ปฏิบัติอะไรได้ ปฏิบัติไปเลย ขอถือเป็นการทำความดีถวายในหลวง...ก็จะได้กุศลกันโดยไม่ต้องอยากครับ

ความยากสุดอยู่ตรง ละวางความอยากครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

                                    

 

                           เอารูปนี้มาฝากพี่โยคี   

              (ทดลองเอารูปลง-อ่างเก็บน้ำบางพระ)     

 

                                                

โอ้ ธรรมชาติเมืองไทยนี่สวยงามไม่แพ้ต่างประเทศเลยนะครับ

สวยหนอๆๆ 

 

 

.ในวันที่เดินชายทะเล พบเด็กๆ เก็บเปลือกหอยอยู่ ถามว่า เอามาทำอะไรได้บ้าง เขาบอกเดี๋ยวมาดูแล้วกัน พอกลับมาก็พบแบบนี้แหละ ฝากถึงคนอยู่ไกล    ที่มีใจดวงเดียวกับเด็กกลุ่มนี้รวมทั้งผู้บันทึกภาพด้วย

                            "เรารักในหลวง"

อ่านแล้วตื่นเต้นดีค่ะในฐานะคนใช้รถใช้ถนน แต่อยากทราบเหมือนกับว่าอินเดียกับเวียดนามและกัมพูชา ที่ไหนขับรถยากกว่ากัน

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   เมื่อวานโยคีน้อยไปฝึกบทเรียนการเป็นผู้ให้ที่ยิ่งๆขึ้นไปมาค่ะ จากการที่คีน้อยรู้สึกได้ถึงการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการก้าวเดินที่ต่อเนื่องแม้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็พบการเปลี่ยนแปลงในจิตตนมิใช่น้อย โดยเฉพาะความเมตตากรุณา ที่มีเพิ่มขึ้นมาก

   ที่ที่ทำงานของโยคีน้อย นอกจากจะเป็นที่ดูแลผู้คน ยามเจ็บไข้ได้ป่วยแล้ว บางครั้งชาวบ้านเขาก็ยังใช้เป็นที่นำฝาก สิ่งที่คิดว่าไม่เป็นมงคลต่อชีวิตเขาแล้วด้วย เช่น เมื่อหายจากขาหัก ก็นำไม้เท้ามาให้ไว้ ซึ่งจุดประสงค์ บางคนก็ไม่ได้คิดจะสงเคราะห์ใคร แต่บอกว่า เก็บไว้ที่บ้านแล้วเดี๋ยวจะโชคร้าย เป็นแบบนี้มาชั่วนาตาปี เมื่อเร็วๆนี้ มีคนเอารถเข็น ราคา แพงมาให้ไว้ 2 คัน คันแรกผู้ใช้เสียชีวิต อีกคัน ใช้ได้ 7 วัน ก็หาย เดินได้เอง โยคีน้อยเลยให้คนงานทำความสะอาดให้เรียบร้อย แล้วคิดจะนำไปให้ผู้ที่ต้องการต่อ

  และวานนี้โยคีน้อยก็ไปบ้านย่าทอง (เรียกตามเขา) ย่าทองมีหลานพิการ อายุ16 ปี พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ ใช้คืบตัวเอา เหมือนงูเลื้อย เป็นภาระมาก ปล่อยไว้ลำพังจะตกใต้ถุน เมื่อหลายปีก่อนเคยหาไปให้ แต่มาทราบข่าวเร็วๆ ว่ารถพังหมดแล้ว ความคิดที่ว่าต้องไปวันนี้ให้ได้ เกิดขณะที่โยคีน้อยกำลังออกจากสมาธิ ภาพมันแวบเข้ามา ถึงเด็กคนนี้ และรถเข็น ทำให้บังเกิดความเมตตาใหญ่หลวงและรีบไป

    ภาพที่พบเห็นน่าสะท้อนใจ ย่าทองต้องล่ามขาหลานไว้กันตกบ้าน เพราะย่าเองก็ไม่ค่อยแข็งแรง เป็นโรคหัวใจ แต่จิตใจย่าทองดีเหลือเกิน ดูแลหลานไม่บ่นสักคำ และบอกว่า ล่ามหลานไว้เกือบปีแล้ว รถใช้ไม่ได้ แล้วย่าทองก็แสดงความดีใจมากๆ เข้ามากอดโยคีน้อย พร้อมช่วยกันยกหลานนั่งรถ และว่า ได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านเสียที

  พี่โยคีคะ ถึงเด็กจะพิการ แต่อาการ และสายตา เขามองบ่งบอกความรู้สึกชอบใจต่ออิสระภาพมาก เขายิ้ม หัวเราะกับโยคีน้อย อย่างคุ้นเคย ภาษาใจค่ะ

พี่โยคีคะ แม้ด้วยความจำกัดด้วยอะไรหลายๆอย่าง ที่ทำให้โยคีน้อยได้ทำสิ่งดีๆ ในวงแคบ แต่ก็มีความรู้สึกยิ่งใหญ่ในหัวใจ และขอเผื่อแผ่ สิ่งเหล่านี้มาให้พี่โยคี  เพื่อตอบแทนพระคุณกับความเมตตาที่พี่โยคี ได้บอกกล่าว ชี้แนวทางการปฏิบัติตน ให้มาตลอด จนทำให้มีกำลังใจที่จะทำดียิ่งๆขึ้นไป ขอจงร่วมอนุโมทนาสาธุกับโยคีน้อยด้วย

  โยคีน้อย

15 กันยายน 2550

P
ความหนาแน่นของคนในอินเดียมีมากกว่าครับโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ซึ่งคนขับรถต้องระวังไม่เฉพาะจักรยาน สามล้อ มอเตอร์ไซด์แต่รวมถึงวัวและในถนนบางสาย หนุมานด้วย
P
ขออนุโมทนาสาธุกับกุศลจิตและกุศลกรรมที่ได้ทำด้วยดีแล้วครับ
ภาพเด็กเขียนคำว่า "เรารักในหลวง" น่าประทับใจมากครับ น่าจะมีการโหวตให้เป็นภาพดีเด่นของ G2K ในเดือนนี้ครับ
คิดเล่นๆ นะครับ (ถึงคุณมะปรางเปรี้ยว)ว่า G2K น่าจะมีการจัดประกวดภาพดีเด่นในแต่ละเดือนหรือประจำปีก็ได้ ผมโหวตให้ภาพเด็กๆ ภาพนี้ครับ
ด้วยความปรารถนาดี

วันนี้วันหยุด เลยไปเที่ยวตามวัด

และได้จำลองวิมาน มาฝากพี่โยคี

                  สวรรค์(ถาม)

สวรรค์อยู่ที่ไหนใคร่ขอถาม

หรืออยู่ตามเมฆเมฆายามฟ้าใส

หรืออยู่ดินถิ่นเทือกเขาลำเนาไพร

หรืออยู่(ที่) ใจ ใฝ่ธรรมล้ำเลิศทรวง

                   สวรรค์(ตอบ)

สวรรค์อยู่บนถิ่นแผ่นดินแม่

ยามชะแง้แลเด่นเช่นแดนสรวง

งามวิจิตรดุจดาวสกาวดวง

ภาพทั้งปวงแท้ก็จิตประดิษฐ์เอง

โยคีน้อย

15 กันยายน 2550

 

สวัสดีวันหยุดค่ะ(หรือไม่ได้หยุด)

     มีโทรศัพท์จากพี่ที่เป็นประธานชมรมสุขภาพกายและใจ ปรึกษามา แล้วโยคีน้อยไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรดี

     คือพี่เขาได้ไปบรรยาย ให้ชมรมผู้สูงอายุฟัง เมื่อวันเสาร์นี้ เรื่องการดูแลสุขภาพกายและใจ โดยกล่าวถึงการดูแลใจ  แล้วเธอก็ยกตัวอย่าง ว่าเธอใช้วิธีทำสมาธิ สวดมนต์ แต่เมื่อบรรยายจบ ปรากฎว่า มีประธานชมรมข้าราชการผู้สูงอายุ อีกแห่ง เกิดสนใจการทำสมาธิ และจะเชิญให้ชมรมเราไปบรรยาย และสอนทำสมาธิ พี่เขารู้สึกหนักใจมาก เพราะไม่เคยสอนใคร แล้วก็จะมายกให้โยคีน้อยช่วย  จะไปกันใหญ่ เพราะโดยส่วนตัว ก็กำลังเป็นนักเรียนของพี่โยคีอยู่ อีกอย่างการสอนสมาธินั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะเอาทฤษฎีมาพูดเล่นๆ และคนจำนวนมากๆ คงไม่สนุกแน่ พี่โยคี ช่วยคิดหน่อยซิคะ ว่าจะทำอย่างไรดี เสียดายคนก็เสียดาย เอาแค่ว่าให้เขารู้การสงบจิตสงบใจ โยคีน้อยไม่ถนัดเลย  ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

ง่ายนิดเดียวครับ อย่าใช้คำว่าสอนครับ ความจริงแล้วเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ของแต่ละคนมากกว่า

จึงขอให้เอาการปฏิบัติเล่าสู่กันฟัง ไม่ใช่เสนอทฤษฎี ขอให้สบายใจได้ครับ ทำอย่างไร ก็เล่าอย่างนั้น เราทุกคนคือนักเดินทาง ใช่ไหมครับ และเราก็ยังเดินทางกันยังไม่ถึง อยู่กันตามระยะทางต่างๆ กัน ดังนั้น การนำเรื่องการเดินทางของตนมาเล่าจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าหนักใจครับ เพราะเราเป็นผู้เดินจริงๆ ดังนั้นเล่าได้ครับ บางครั้งก็อาจจะได้เรียนรู้จากคนอื่นด้วย

ขออนุโมทนาสาธุครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้เป็นวันสำคัญของโยคีน้อย เนื่องจากเดือนกันยายน เป็นเดือนที่แม่ของโยคีน้อยจากไป 20 ปีพอดี คิดถึงแม่เสมอ ไม่ลืมเลย โดยเฉพาะ เวลาป่วยไข้ แค่แม่เอามือลูบหัว ย่างปลาเค็ม ต้มข้าวต้มให้กิน อาการไข้ ก็แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง แม้จะโตมากแล้ว แม่ก็ยังดูแลเหมิอนเดิม แม่เป็นต้นแบบที่ดี จำได้ว่าวันไหน กลับไปหาแม่ หลังเลิกงาน จะต้องนั่งรอแม่สวดมนต์ ยาวๆ จบก่อน ก็ไม่รู้ว่าบทไหนบ้าง ถ้ามีทุกข์แม่ก็จะปลอบง่ายๆ มีดมาก ก็ใกล้สว่างมาก หรือ นาฬิกาไม่เคยอยู่กับที่ มีหกโมง ก็ต้องมีเที่ยง  แม่เป็นคนบ้านนอก แต่อบอุ่น ชอบกอดแม่ หอมแม่ เวลาไปหา

    แม่จากไปวันสิ้นเดือน แต่โยคีน้อยอยากทำบุญเลี้ยงพระ วัดที่แม่นับถือ ท่านมีวันว่างอยู่คือวันนี้ โชคดี พระอยู่ทั้งวัดเลย 23 รูป ตั้งแต่เช้าโยคีน้อยก็ปฏิบัติธรรมให้แม่อย่างตั้งใจ ครองสติได้ตลอดนิ่งนานกว่าที่เคย จากนั้นเดินทางไปวัด พร้อมญาติๆ โยคีน้อยได้ทำหน้าที่ชาวพุทธเต็มตัวเลยนะคะ ตั้งแต่ นำกราบพระ บูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศืล ถวายข้าวพระพุทธ และถวายสังฆทาน

      เต็มอิ่ม เต็มใจกับบุญที่ตั้งใจทำให้แม่วันนี้ และนำบุญทั้งหมดมาฝากพี่โยคีด้วยค่ะ

   โยคีน้อย

17 กันยายน 2550

ขออนุโมทนากับทุกกุศลจิตและกุศลกรรมที่ได้ทำด้วยดีแล้วครับ

ความกตัญญูเป็นธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติไม่ตกต่ำครับ มีแต่จะเจริญรุ่งเรือง

สาธุครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้ตั้งใจจะรายงานผลการปฏิบัติธรรม ให้พี่โยคีทราบก่อนสิ่งใด โยคีน้อยขอส่งการบ้านนะคะ

   นับจากเริ่มลงมือปฏิบัติธรรม อย่างจริงจัง สม่ำเสมอตลอดมาจนถึงวันนี้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแก่โยคีน้อย ก็เป็นสิ่งที่รับรู้ได้เป็นลำดับ โยคีน้อย ดึงจิตให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น เหมือนเกิดพลังอำนาจบางอย่าง ถ้าจะเปรียบให้เห็นก็คือ ในขณะที่เกิดอารมณ์อ่อนไหวใจเราจะเหมือนกระดาษแผ่นบางถูกลมบัดไหวๆ แต่พลังที่เกิดขึ้นขณะนี้ คล้าย แผ่นเหล็กหนัก มากดทับไว้ ไม่ให้กระดาษปลิวตามลมต่อไป หนักแน่น ๆ ได้เป็นเวลาหนึ่ง ที่จะมีเวลาคิดว่า จะทำอย่างไรกับสถานการณ์นั้นต่อไปดี ผิดจากเดิมที่จะด่วนตัดสินใจ ในระหว่างวัน ก็มีหลุดบ้างเหมือนกัน แต่ถ้าขณะ ปฏิบัติธรรม จะเห็นชัดเจน รับรู้พลังนั้นได้ดี

 อีกอย่างที่จะขอบันทึกส่งคือ ขณะนั่งทำสมาธิ การรับรู้ทางกายจะเหลือน้อย ถึงน้อยที่สุด ไม่ปวด ไม่เมื่อย ไม่ขยับ ไม่รู้ถึงปลายนิ้วที่จรดกัน ไม่มีอะไรเลย ที่จะเหลืออยู่คือหู ที่ยังได้ยินเสียงต่างๆ อยู่ และจิตที่เหมือนอยู่ท่ามกลางพลังที่เกิดขึ้น เหมือนอยู่ในอากาศที่มีโอโซนสูงๆ อยากอยู่นานๆ สบายดี

  ยังมีอีกอย่างที่โยคีน้อยกำลังฝึกตัวเอง คือโยคีน้อยกลัวน้ำ ไม่อยากเข้าไปใกล้ มันหวั่นไหวชอบกล เลยจะแก้ตัวเองให้เลิกกลัว โดย ไปเดินริมทะเลแทบทุกวัน ไปให้ชินกับน้ำ ไปให้คุ้นเคย ลบความจำที่ไม่ดีไป ก็ยังบอกผลไม่ได้ขณะนี้  

   ทุกสิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์ ที่ขอส่งให้พีโยคี ได้พิจารณา ถูกผิดให้ และแนะแนวทางที่เหมาะสมให้โยคีน้อยด้วยเหมือนเคยนะคะ

   หากจะมีสักสิ่งหนึ่งในบันทึกนี้ ที่โยคีน้อยได้ทำแล้วก่อเกิดกุศลกรรม โยคีน้อยมอบให้พี่โยคีเป็นคนแรกค่ะ

  โยคีน้อย

16 กันยายน 2550

โยคีน้อยครับ

การทำอย่างสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ  แม้จะดูเหมือนช้า แต่ได้ผลและปลอดภัยกว่าครับ อนุโมทนาตรงนี้ด้วย

การปฏิบัติธรรมสำหรับปุถุชนซึ่งยังต้องมีชีวิตและความรับผิดชอบทางโลก ถ้ากำหนดเวลาได้ก็จะดีครับ ก็หมายความว่าเราต้องจัดสรรเวลาให้สมดุลย์กับวิถีชีวิตของเรา ถึงเวลาก็หยุด เพราะการรู้สึกสบายกับการนั่งสมาธิจะมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ปฎิบัติ เพราะโลกที่เป็นอยู่จริงไม่ได้สุขสบายเหมือนสภาวะในจิตใจ

สมัยก่อนที่ผมปฏิบัติธรรมใหม่ๆ ถึงระดับหนึ่งก็จะเกลียดทุกข์ รักสุข เกลียดสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในสังคม เรียกว่าเกลียดดำ ชอบขาว รังเกียจคนไม่ดี ศรัทธาคนดี จิตจึงอยากจะหนีออกจากดำไปหาขาว แต่การอยากหรือไม่อยาก ก็คือกิเลสเหมือนกัน กั้นปัญญาไม่ให้เกิดเหมือนกัน

ถ้ามีสติ รู้ปัจจุบันจึงจะลดฉันทาคตินี้ไปได้ ไม่ต้องไปเกลียดดำ ชอบขาวหรอกครับ เพราะดำกับขาวเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นปรกติ เราต่างหากที่ไม่ปรกติ ไปเลือกที่รัก มักที่ชังเอง โลกถึงได้วุ่นวาย

เพราะฉะนั้น.......ในที่สุด ถ้าใจละสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่เป็นกุศลได้ด้วย ก็จะหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการครับ.....แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องทำสิ่งที่ดีงามหรือกุศลนะครับ ทำแต่ไม่ยึดเพราะจิตอยู่กับปัจจุบัน

สภาวะอะไรเกิดขึ้นในจิตขณะปฏิบัติ ก็เพียงรู้ด้วยสติครับ สำหรับผมนะครับ การปฏิบัติธรรมแต่ละครั้ง ไม่สำคัญว่าจะต้องได้อะไร ขั้นไหน แต่อยู่ที่ว่าจะกำหนดสติอยู่กับปัจจุบันได้ตลอดหรือไม่มากกว่า

ทางหลุดพ้นยังมีอยู่เสมอ นั่นคือจิตว่าง ว่างจากกิเลสแต่รู้ปัจจุบัน ถ้าเข้าใจตรงนี้ ทำให้มากตรงนี้ ก็จะเป็นการเดินทางในเส้นทางธรรมที่ปลอดภัยที่สุดครับ

ขออนุโมทนาครับกับการส่งกุศลผลบุญให้ผู้อื่น อย่าได้ลืมบิดามารดานะครับ ท่านเป็นพระพรหมของลูกจริงๆ เป็นอีกบารมีหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ลูกทุกคนได้สร้าง มีผลบุญมากมายมหาศาล ไม่ต้องไปหาใครที่ไหนครับ ถ้าได้ปฏิบัติและบูชาพ่อแม่ ก็เหมือนมีพระอรหันต์อยู่ใกล้ๆ ครับ

ขอให้เจริญสุขครับ

 พี่โยคี

    ขอเข้ามารอบสองนะคะ มีเรื่องต้องแจ้ง และขออนุญาตพี่โยคี บ่ายนี้ ได้รับการติดต่อจาก โรงพยาบาลพนัสนิคม ให้ช่วยสั่งพิมพ์หนังสือ                ถ้าพรุ่งนี้....ต้องตาย จำนวน 1,000 เล่ม เลยรับบุญไปโรงพิมพ์ให้ และได้ปรับปรุง ขนาดตัวหนังสือ ให้ใหญ่ขึ้น ส่วนปกนั้น เจ้าของโรงพิมพ์ บอกว่า จะเปลี่ยนไหม ของเดิมสวยมาก สีและภาพ น่าดู แค่เห็นก็อยากหยิบอ่าน และว่า อย่าเปลี่ยนเลยนะคะ ทำเอาคนออกแบบยิ้มเลย (ต้องแค่ ปิติหนอๆๆๆ)

  หนังสือเล่มนี้แปลก เริ่มต้นที่ 1,000 เล่ม แล้วก็ต่อที่1,000 เล่มอีก พี่โยคีคงอนุญาตนะคะ นึกถึงบุญสว่างๆ อย่างนี้ ที่เคยเทียบกับแสงเทียนที่ต่อๆ กัน บุญของพี่โยคีก็สว่างไสวเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    และในส่วนของคำแนะนำ เรื่อง การส่งกุศลผลบุญ ให้คุณพ่อคุณแม่นั้น โยคีน้อยให้ตั้งแต่แรกเลยค่ะ สว่นพี่โยคีนั้น โยคีน้อยนึกถึงว่าเป็นครู คอยสอน คอยแนะ จึงระลึกถึงลำดับต้นๆค่ะ

  ขอบคุณค่ะสำหรับคำแนะนำเรื่องการปรับตัวปรับใจกับฉันทาคติ เพราะมีความรู้สึกอึดอัดเหมือนกัน และบางครั้งก็ทำให้ไม่ค่อยอยากพูดกับคนที่ พูดไม่ดี หรือพูดแบบฝืนๆ ต้องปรับที่เราเอง ในเมื่อยังหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ จะพยายามค่ะ

                                    โยคีน้อย

โยคีน้อย

ยินดีครับ ยินดีกับผู้ริเริ่มบุญนี้ด้วย 

มีอีกหลายเรื่องที่จะเขียนครับ ล้วนเพื่อเล่าสู่กันฟังทั้งนั้น โดยเฉพาะการบวชถวายในหลวงที่พุทธคยา จะพยายามเขียนให้ยาวกว่าที่ผ่านมาครับ

สาธุครับกับการเป็นอภิชาติบุตรี

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ

  อีกไม่กี่วัน โยคีน้อยจะได้เข้ารับการอบรม เรื่อง การพัฒนางานสาธารณสุขกับการทำงานตามรอยเบื้องพระยุคลบาท: ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จังหวัดส่งให้เข้าอบรม ในฐานะเป็นผู้บริหารสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ และต้องมีหน้าที่เฉพาะ ในการดำเนินงาน ตามพระราชดำริ ก็ดีใจ ที่จะได้มีโอกาส ศึกษาในเรื่องที่สนใจ และจะได้นำมาประกอบการทำงานด้านสาธารณสุขต่อไป ตามที่ตั้งใจ ระยะนี้ คงต้องเข้าไปศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่พี่โยคีเขียนไว้ อย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อเตรียมพื้นฐานให้ตัวเอง พี่โยคีเขียนอ่าน เข้าใจง่ายดี

  คิดว่าเมื่อกลับมา ชุมชน ของโยคีน้อย จะได้เริ่มต้นใช้ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นจริงเสียทีโดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ซึ่งเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยคุ้นหู ส่วนมากจะมีการนำไปใช้แต่ด้านอาชีพ ต่างๆ  หลังเสร็จสิ้นการอบรมคงมีเรื่องมาเล่าให้พี่โยคีได้อ่านค่ะ

  โยคีน้อย

โยคีน้อยครับ

ดีแล้วครับ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความมหัศจรรย์อยู่มากครับ เพราะเป็นการมองเห็นธรรมที่แฝงอยู่ในแนวทางดังกล่าว เป็นความสมดุลย์ของทั้งจิตใจและวิถีการดำรงชีวิตที่เหมาะสำหรับสังคมไทยโดยเฉพาะ

เคล็ดอยู่ที่ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง และเรียนรู้ ด้วยสติ ประกอบกับการพิจารณาถึงเหตุผล แล้วจึงจะพบกับความมหัศจรรย์ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

พี่โยคีคะ

  หมู่นี้ไม่รู้เป็นอย่างไร มันเกิดปรากฏการณ์ทางใจแปลกๆ จะเรียกว่าสงบ หรือเหงา หรืออะไรสักอย่างที่บอกไม่ถูก อยากอยู่คนเดียว แล้วจะดี ถ้าไปอยู่ในที่เขาขัดแย้ง หรือใช้คำพูดเหน็บแนมกัน จะไม่ชอบอย่างแรง ไม่ได้แปลว่าตัวเองดีกว่าเขาหรืออะไรหรอก ค่ะ ไม่ชอบฟังเลย บางทีใครพูดอะไร มันพาลจะมองไปเห็นถึงเจตนาที่ไม่ดีที่เขาซ่อนอยู่ด้วย  

 แต่ก็ไม่ได้เบื่อสังคม เพราะถ้าได้ทำในสิ่งที่ชอบ ทำแล้วมีความสุขก็ยังร่าเริงอยู่ นี่ก็คงเป็นอาการที่เขาว่าจิตตกหรือเปล่าคะ วันนี้โยคีน้อยถามเท่านี้ค่ะ

โยคีน้อย

โยคีน้อยครับ

อย่างที่เคยเรียน

สงบ/ เหงา/ อะไรสักอย่าง/ อยากอยู่คนเดียว/ ไม่ชอบที่ขัดแย้ง/ ไม่ชอบได้ยินการเหน็บแนม/ ไม่ชอบฟัง/ ไม่ได้เบื่อสังคม/ มีความสุขในสิ่งที่ชอบทำ/ ร่าเริง.........เหล่านี้ล้วนเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตครับ

กำหนดสติ รู้หนอๆๆๆๆ ให้ทัน ก็จะมีแต่รู้ที่รู้และดับไปๆๆๆ รู้อันใหม่มา ดับไปๆๆๆ

จะว่าจิตตกก็ได้ ครับ แต่ก็เป็นของธรรมดาสำหรับการปฏิบัติธรรมครับ ทำใจสบายๆ ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  โยคีน้อยรอให้ถึงตอนเย็นก่อน จึงค่อยรายงานพี่โยคี ที่เมื่อคืนบอกไปว่า มีความรู้สึกสารพัด ที่เกิดขึ้น เป็นความฟุ้งที่ไม่น่าให้อภัยเลย รู้ทั้งรู้ก็ยังปล่อยให้เกิด

 เช้านี้โยคีน้อย เลยปรับตัวเสียใหม่ เพื่อตอกย้ำ การมีสติของตน โยคีน้อยใช้วิธี เดินจงกรมแบบช้าที่สุด ให้ทุกขณะเป็นการรู้ตัว ไม่ให้มีช่องว่างเลย แล้วโยคีน้อยก็พบความอัศจรรย์ กับจิต ที่เมื่อเป็นสมาธิ ความรู้สึกฟุ้งซ่านก็หายไป และทั้งวันก็ตั้งสติมากเป็นพิเศษ ตลอดจนถึงขณะนี้ กลับเป็นปกติแล้วค่ะ  ตั้งสติกลับมาได้เร็วเหมือนเดิมแล้ว ขอบคุณพี่โยคีค่ะ ที่อดทน บอกแล้วบอกอีก แต่โยคีน้อยไม่รู้จักจำ 

  อ่านบทความเกี่ยวกับเศรษกิจพอเพียงของพี่โยคีแล้ว พี่โยคีขยายความและแทรกข้อคิดได้ดีมากค่ะ ทำให้มีความกระตือรือร้น อยากจะทำให้เป็นรูปธรรม ซึ่งแต่ก่อนก็ยังคิดไม่ออกว่าจะนำมาเกี่ยวข้องกับงานสาธารณสุขแบบไหน แต่แท้จริงแล้ว เอามาใช้ได้ทุกงาน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิต ตัวตน และจิต แม้กับการปฏิบัติธรรมที่พี่โยคีสอนไว้ ก็ใช่ เหตุเพราะใจมันไม่เคยรู้สึกพอใจจึงมีแต่อารมณ์สุดโต่งเข้ามาให้ฟุ้ง แล้วก็เรียกไม่ค่อยจะกลับเสียด้วย

   ขอกราบขอบพระคุณพี่โยคีอีกครั้งสำหรับวันดีๆวันนี้

  โยคีน้อย

21 กันยายน 2550

 

ขอรายงานตัวกับพี่โยคีค่ะ

  โยคีน้อยเพิ่งจะกลับมาจาก จ.บุรีรัมย์ คงสงสัยว่าไปทำไม โยคีน้อยขอยอมรับกับพี่โยคีว่า มันอาจจะเป็นการกระทำที่ไร้สาระสักหน่อย คือได้ประโยชน์น้อย ในการทำเช่นนี้ เมื่อเช้าวันเสาร์ ตื่นมาได้ยินน้องสาวโทรศัพท์ ถามโรงพยาบาลชลบุรีว่า มีพระอาพาธ กี่รูป คือเขาอยากจะไปถวายภัตตาหาร เครื่องดื่ม แก่ท่าน พอได้ยิน โยคีน้อยก็รู้สึก อยากไปด้วย และชวนเขาว่า วันนี้ ไปขับรถเที่ยวกันเรื่อยๆดีกว่า สรุป ว่า ไปพักผ่อนที่อ.ปากช่องดีกว่า แวะเที่ยว และค้างสักคืนค่อยกลับ ว่าแล้วก็จัดเตรียมตัว และออกเดินทาง ระหว่างทาง ก็มีความคิดหนึ่งมันเข้ามาในสมองหลายวันแล้ว ที่ทำให้รู้สึก เหงานั่นแหละ โยคีน้อยอยากไปปราสาทเขาพนมรุ้ง และเลยตกลงกันไปบุรีรัมย์ เพื่อไปชมปราสาทเขาพนมรุ้ง ไปถึงก็มืด17.30 น. ก็ไม่ทราบว่าเขาปิดหรือยัง แต่ก็อยากไปเห็นเสียเย็นนี้แหละ บังเอิญเขาปิด 18.00 น. เลยได้เข้าไปชม ความรู้สึกที่ก้าวเข้าไปในปราสาท อันนี้ ขอบอกกับพี่โยคีจริงๆคือ รู้สึก ตื่นเต้นมาก ดีใจ และมือไม้สั่นไปหมด หยิบกล้องมาถ่ายภาพ หาโหมดไม่เจอเลย สมองมันตื้อๆพิกล เวลาน้อยเดินรอบเดียวก็หมดเวลา จึงตั้งใจพรุ่งนี้เช้าจะมาใหม่ มีเรื่องแปลกคือ ระหว่างขับรถลงเขามา โทรศัพท์ที่ล็อคไว้ ก็เกิดมีแสงสว่างเหมือนมีคนโทร แต่ไม่มี เป็นอยู่ 4 -5 ครั้ง จนลงถึงข้างล่าง

    กลับมาพักที่ในเมือง น้องถามว่าทำไมอยากมา แล้วเข้าไปแล้วรู้สึกอย่างไร ก็บอกว่า เหมือนสถานที่คุ้นเคย และคล้ายห้องเรียน แต่ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้เรียน หรือผู้สอน นึกไม่ออก คืนนั้นนอนก่อนน้อง เพราะขับรถมาไกลมาก ขณะเคลิ้มหลับ ได้ยินเสียงเคาะไม้รัวๆ นานมากแล้วหลับไป ซึ่งถามน้องบอกไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แล้วก็ฝันหลับๆตื่นๆทั้งคืนว่า มีงานพิธีอะไรสักอย่าง คนเดินกันขวักไขว่ และมีเสียงบอกเตือนว่า พรุ่งนี้ไปที่ปราสาท ให้อาราธนาคุณพระรัตนตรัยให้คุ้มครองทั้งสองคนด้วย จำได้แค่นั้นแล้วก็ตื่น นั่งสมาธิสวดมนต์ตามปกติ เพราะอะไรไม่ทราบ บอกกับน้องว่า วันนี้จะมีพิธีที่ปราสาท แล้วออกเดินทางแต่เช้า จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เช้าที่ปราสาทนั้นสวยจริงๆค่ะ ลมเย็นเหมือนฤดูหนาว หมอกลงจัด แต่ปราสาทชัดเจนดี ก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

  สักพัก ก็มีพระ และคนกลุ่มหนึ่งแต่งชุดขาวถือเครื่องเซ่นสังเวย ดอกไม้ ธูปเทียนมากมาย รู้สึกตกใจ ทำไมเหมือนที่เราเห็นเลย พระอาจารย์ท่านนั้น เข้ามาทักถาม และชวนให้อยู่ดูพิธี จะปลุกเสก มวลสาร สร้างจตุคาม ท่านมาจากนครพนม ( ห่าง500 กม.) ก็เลยคิดจะอยู่ดูพิธี ซึ่งมีทั้งพุทธ พราหมณ์ และฮินดู มีผู้ชายคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังถึงความศักดิสิทธิ์สถานที่แห่งนี้ และว่า เป็นที่สำหรับสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ จะทำพิธี บวงสรวงตามแบบฮินดู จึงถามว่าคนทำพิธีเรียกว่าอะไร เขาบอกเรียกว่าโยคี

    ขณะที่ดูเขาทำพิธี ต้องเรียกว่าเต็มรูปแบบ มีผู้หญิงเป็นคนกล่าวพิธีทั้งหมด ยาวมากๆ เป็นชั่วโมง เขาอันเชิญเทพเจ้าสารพัด วิงวอน ร่ายมนต์ สวดมนต์ด้วยเป็นระยะ โยคีน้อยยืนดู เหมือนคุ้นเคย แต่กลับรู้สึกไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โยคีน้อยไม่ทราบว่าเหล่านี้คืออะไร เหมือนมาแสดงให้ดู แล้วในจิตของโยคีน้อยก็บอกกับตนเองว่า เราศรัทธาในพระพุทธศาสนา ไม่มีอื่นอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ แม้พระอาจารย์ท่านจะเชิญชวนให้เข้าพิธีช่วงบ่ายอืก แต่โยคีน้อย ก็หันหลังเดินกลับ ไม่ได้อยู่ตามคำเชิญของท่านต่อไป

  เมื่อกลับลงมาจากปราสาทคราวนี้ โยคีน้อยรู้สึกโล่ง ตัดความรู้สึกอยากมา อยากรู้ต่างๆลงหมดสิ้น มีแต่ความรู้สึกธรรมดาๆ ไม่คิดถึงเป็นพิเศษต่อไป แล้วก็เดินทางกลับบ้าน 

  หมู่นี้ชอบมีอะไรมารบกวนจิตอยู่เรื่อย และถ้าโยคีน้อยรู้สึกมาก ก็จะแก้ด้วยวิธีเหล่านี้ เหมือนที่กลัวน้ำ แล้วเข้าใกล้น้ำ แก้กัน ตามที่เล่าให้ฟัง พี่โยคีมีความคิดเห็นอย่างไร โยคีน้อย อยากได้คำแนะนำค่ะ

โยคีน้อย

23 กันยายน 2550

โยคีน้อยครับ

จิตนั้นวิจิตรมาก การท่องเที่ยวของจิตนั้นก็ไม่มีสิ้นสุด

ต่อให้ได้พลังจิตอะไรก็ตาม หากไม่มีสติและสัมมาทิฐิ ก็อันตรายทุกเมื่อครับ

ผมมักจะเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเราไปอยู่ที่งานวัดนั่นแหละครับ มีเรื่องราวให้ท่องเที่ยวมากมาย.....ไม่มีสิ้นสุด เต้นท์ของคนโน้น เต้นท์ของคนนี้ มากมายสุดลูกหูลูกตาม เราไปแวะเต้นท์ไหนก็คงตามจริตของเราที่สะสมกันมา แต่หากแวะแล้วยึดติด ก็อยุ่ตรงนั้นเอง ไม่ไปไหน.....ลืมเป้าหมายที่ต้องการหาทางหลุดพ้น ซึ่งต้องมีสติและรู้ปัจจุบันเท่านั้น

การละวางด้วยสติจึงสำคัญมากครับในการปฏิบัติวิปัสสนา เพราะจะมีแต่ตัวรู้แล้วดับไป...เช่นนั้นเอง ตัวของผู้รู้ก็ไม่มี

พูดไปพูดมา ก็นึกถึงใยแมงมุมนั่นแหละครับ เป็นส่วนหนึ่งของความวิจิตรของธรรมชาติ

ที่สุดก็ต้องเอาคำของบรรดาครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนมาครับว่า

"อะไรที่เป็นอดีต อย่าเอากลับมาคิด อะไรที่ยังไม่เกิด ก็อย่าเอามาวิตกกังวลล่วงหน้า รู้อยู่แต่ปัจจุบันขณะ ทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด"

ขอให้เจริญสุขในธรรมครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

กราบพี่โยคี

   พี่โยคีคะ โยคีน้อยนี่เข้าตำรา ฟัง แต่ไม่ได้ยิน พอพี่โยคีเตือนและสอนแบบนี้ โยคีน้อยก็เข้าใจ

"ลืมเป้าหมายที่ต้องการหาทางหลุดพ้น ซึ่งต้องมีสติและรู้ปัจจุบันเท่านั้น"

"การละวางด้วยสติจึงสำคัญมากครับในการปฏิบัติวิปัสสนา เพราะจะมีแต่ตัวรู้แล้วดับไป...เช่นนั้นเอง ตัวของผู้รู้ก็ไม่มี"

"รู้อยู่แต่ปัจจุบันขณะ ทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุด"

ขออนุญาตถามพี่โยคี  ต้องวางใจ รักษาใจแบบไหน ถึงจะทำให้มีกำลังต่อสู้กับสิ่งที่เข้ามาแทรกได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่โยคีน้อย พยายามอยู่แต่ยังไม่เข้มแข็งเลย บางครั้งเราก็ชนะ บางครั้งเราก็แพ้ เหมือนอย่างเล่ามา และอะไรบ้างที่ทำให้คุณภาพใจเราเสีย โยคีน้อยขอให้พี่โยคีแจงให้ด้วย นึกว่าช่วยแลกเปลี่ยนประสบการณ์เถอะค่ะ โยคีน้อยขอขอบคุณ

  โยคีน้อย

24 กันยายน 2550

 

โยคีน้อยครับ

ไม่มีผู้ชนะใดไม่เคยแพ้มาก่อน

คนที่แพ้เท่านั้นจึงจะรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะชนะ

ส่วนจะแพ้นานไหมจึงจะชนะ ตัวของตัวเองจึงจะบอกได้ครับ

ที่สำคัญ การแพ้ใจตนเป็นเรื่องธรรมดาครับ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ก้าวหน้า การแพ้บางครั้งก็คือความก้าวหน้าหากรู้ว่าเพราะอะไร

แพ้อย่างมีสติ.....คือได้ปัญญาครับ

การกำมือมีแต่ตึงครับ คลายมือออกไปเถอะครับ เพราะเราปฎิบัติธรรม ไม่ได้ต้องการอะไร ไม่ได้ต้องการเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไร แค่รู้ปัจจุบันครับ

ผมเองถ้าเวลาจะแผ่เมตตา(อยู่คนเดียว) แผ่บุญกุศลให้กว้างขวางแล้ว จะทำมือแผ่ออกไปด้วยครับ  ใหกว้างที่สุดทั่วจักรวาล ลองดูซิครับ แบมือ ให้ออกไปมากที่สุด

แล้วจะไปเหลืออะไรครับ

ด้วยความปรารถนาดี

พี่โยคี

 โยคีน้อยไหว้พี่โยคีแล้วค่ะ วันนี้ คำว่า"แบมือ"ของพี่โยคี เหมือนเปิดใจของโยคีน้อย ไปสุดสายเลย เหมือนวันที่พี่โยคีบอกให้ดูจิต วันเดิน 7 ก้าว ทำได้มาจนทุกวันนี้ จริงของพี่โยคี อาการทางกายและใจสัมพันธ์กัน ปากเราพูดแต่ปล่อย แต่เราไม่เคยแสดงอาการปล่อย จะสื่อสารสัมผัสได้อย่างไร โยคีน้อยยอมรับนับถือ ว่าคำพูดของพี่โยคี เตือนสติโยคีน้อยได้มาก แค่โยคีน้อยน้อมตามคำพี่โยคี ขอบคุณสำหรับผู้ชี้ทางสว่างให้เดิน โยคีน้อยคงตอบแทนได้ ด้วยการตั้งใจปฏิบัติ ไม่ให้พี่รู้สึกหนักใจ จนหมดความเมตตา และคงต้องสอนตัวเองว่า จงทำให้มากๆๆ

โยคีน้อยจ้ะ  

นมัสเต้ค่ะพี่โยคี

   เช้านี้ เป็นอีกวันหนึ่งที่อยากจะบอกกับพี่โยคีว่า วันนี้ไม่แพ้ โยคีน้อยพิจารณาตัวเองมาหลายวัน ว่าเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนหรือเปล่า เนื่องจากมีภารกิจที่รู้สึกไปเองว่ารีบๆ ทำให้แบ่งเวลาในการปฏิบัติธรรม ไม่เหมือนเดิม คืออย่างน้อยจะต้อง 1 ชั่วโมง เมื่อวานฟังอาจารย์เขาบรรยาย เรื่อง หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของพระองค์ท่าน ก็ให้นึกถึง คำที่พี่โยคี นำมาเปรียบเทียบการปฏิบัติธรรม คือข้อแรกนี้ ต้องพอประมาณ แต่คำนี้ลีกซึ้ง โยคีน้อยเพิ่งเข้าใจว่า พอประมาณ ไม่ใช่แค่ประเดี๋ยวประด๋าว หรือแค่ได้ทำ แต่มันต้องเป็นเวลา(สำหรับโยคีน้อยที่ยังอ่อนประสบการณ์) ที่พอสมควร แก่ใจที่นิ่งทีเดียว รู้สึกนิ่งนั้นคือพอประมาณ ส่วนข้อที่ 2 คือ มีเหตุ มีผล ต้องถามตัวเองตลอดว่า ปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร เพื่อการเรียนรู้ ประโยชน์ตกอยู่กับใครบ้าง นอกจากตัวเอง โยคีน้อยก็ขอระลึกถึงสิ่งที่พี่โยคีทำ คือยังเผื่อแผ่มาถึงโยคีน้อยอีก ซึ่งอาจมีอีกมากมายที่พี่ได้ ให้แก่พวกเขา วันนี้ สองข้อคิด ที่ทำให้โยน้อย ตั้งใจปฏิบัติ และได้บรรลุได้พอสมควรแก่เป้าหมาย พลังที่เกิดจากกำลังสมาธิวันนี้ มันสดชื่น เบิกบาน ไม่หน่วงๆหนัก เหมือนที่ผ่านมา รู้สึกใจที่สว่างใส เมื่อออกจากสมาธิหลังแผ่เมตตาแล้ว จึงได้ประจักษ์ว่า จิตเราสว่างเท่ากับแสงอรุณรุ่ง(นั่งที่หน้าบ้าน) ยามเช้านี้ โยคีน้อยเลยบันทึกภาพ มาแทนคำอธิบาย ให้พี่โยคีได้เห็นใจ โยคีน้อยค่ะ

      บุญแห่งการเป็นกัลยาณมิตรได้สำเร็จแก่พี่โยคีในวันนี้.......สาธุ

โยคีน้อย

25 กันยายน 2550

วันนี้ สว่างเท่านี้เองค่ะ

25 กันยายน 2550

 

สวัสดีค่ะ

  หลังจากกลับมาจากอบรมเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง กับการสาธารณสุข ด้วยวิทยากรตั้งแต่ระดับ ผู้อำนวยการ อาจารย์หมอ จนถึงผู้ใหญ่บ้าน ป.4 ทำให้มองเห็นหลากหลายวิธีการ และการนำไปใช้จริงจนเกิดประโชยน์ เป็นรูปธรรม ได้ข้อคิดว่า เราจะพัฒนาอะไร เพียงประการเดียวไม่ได้เลย สาธารณสุขก็ต้องไปกับเศรษฐกิจ กับสังคม เป็นต้น การจะแยกส่วนทำจึงไม่อาจทำให้สำเร็จได้ โยคีน้อยตั้งใจ จะเขียน เรื่องความรู้ที่ได้รับมา ในบล็อกดู เอาแบบง่ายๆ เชิงเรื่องเล่า เพราะโยคีน้อยถนัดแบบนี้ และความหมายของคำหลายๆคำที่เคยตีโจทย์ไม่แตก แต่ขณะนี้พอจะเข้าใจบ้างแล้ว และมีหลายอย่างเหมือนกัน ที่โยคีน้อยปฏิบัติงานอยู่แล้วก็ตรงตามที่หลายท่านได้กระทำ จึงทำให้เหมือนได้ต่อยอดงานที่วางแผนจะทำไว้ ให้สมบูรณ์แบบยิ่งๆขึ้นไป พ่อหลวงของเราท่านสอนแบบคนทุกระดับทำได้ แต่อุปสรรคที่เรายังทำไม่ได้ เป็นส่วนมาก เพราะขาดการเอาใจใส่ที่จะเรียนรู้ อย่างจริงจัง เหมือนผู้เข้ารับการอบรมหลายท่าน ก็มาแค่วันเดียว ซึ่งวันที่สองสำคัญมาก เป็นประสบการณ์จริงที่น่าเสียดาย เลยคิดว่า การทำความเข้าใจ ความตั้งใจจริงเท่านั้นจึงจะเป็นผลสำเร็จ เหลือเวลานับจากนี้ไป อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญของชาวไทยเรา คือวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่หลายคนอยากจะมอบของขวัญให้พระองค์ท่าน ก็อยากมีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้เขากระทำสิ่งที่ยิ่งๆขึ้นไป มากกว่าการใส่แค่เสื้อเหลืองค่ะ พี่โยคีเองก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความสามารถในการถ่ายทอด(สังเกตุแฟนคลับเยอะมาก) ถ้าจะมีการนำความรู้ ความคิดเห็นมาร่วมกันเขียนบทความก็คงเป็นสิ่งที่ดีมากโดยเฉพาะกับ โยคีน้อยจะได้มีข้อมูลเพิ่มเติม ในการดำเนินงานด้วยค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

โยคีน้อย

มีเรื่องจะเล่าให้พี่โยคีฟัง 

เมื่อตอนเย็นขณะขับรถกลับบ้าน เปิดวิทยุฟังรายการพระธรรมเทศนาของ พระอาจารย์สังวาลย์ เขมโก ซึ่งก็ไม่รู้จักท่าน ท่านสอนทำสมาธิ โดยให้นึกถึงองค์พระ และกำหนดหายใจเข้า ออก น้ำเสียงท่านเย็นๆ เลยน้อมใจตามท่านไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกใจสงบดี แม้ในขณะขับรถ ก็ทำสมาธิได้ เหมือนเราแยกใจ ออกมาดูตัวเองขับรถ มีสติดี รู้เห็นสภาพถนนได้ดี ท่านสอนให้ใช้ตาภายในดู คือ ให้ใช้มือที่ประสานกัน(ท่านคงหมายถึงการนั่งสมาธิ) แต่โยคีน้อย ก็ใช้มือค่อยๆ สัมผัสไปที่ส่วนของร่างกาย แล้วท่านให้เรานึกรู้ว่าส่วนไหน นึกให้เห็นว่าส่วนไหน ท่านว่า ให้รู้ ให้เห็น เช่นเส้นผม หน้าตัก ขา แขน โดยไม่ใช้ตาเนื่อดู โยคีน้อยก็ลองปฎิบัติตามท่าน ซึ่งก็ทำได้ค่ะ ทั้งรู้และเห็นในจิต สว่นตาเนื้อก็มองถนน มีอ เท้าก็ขับรถไป ไม่เสียสมาธิ ทำไมมันแยกกันได้ล่ะคะ ผ่านทางกลับบ้านพบพระที่นับถือ เลยลงไปนมัสการท่าน แล้วขึ้นรถไปต่อ ก็ทำอาการอย่างนี้ต่อได้อีก เป็นอีกประสบการณ์ที่เกิดขึ้น รวมเวลา 1 ชั่วโมงสบายใจจัง

โยคีน้อย

26 กันยายน 2550

แหม เรื่องการทำสมาธิระหว่างการขับรถนี่ ไม่ถนัดครับ ผมว่า ทำอะไรทีละอย่างและเหมาะสมกับสถานที่ คือสัปปายะ น่าจะดีนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  มันไม่ได้น่าหวาดเสียวหรอกค่ะ ยังมีสติดีอยู่ แต่มันเกิดความรู้สึกแปลก เลยลองทำดูค่ะ  แผลงๆไปหน่อย

ถึงพี่โยคี

    โยคีน้อยขอสรุปการบ้านส่งพี่โยคีเสียที หลังจากล่วงเลยมาหลายวัน เท่าที่ผ่านมาช่วงนี้ โยคีน้อยมีเรื่องต่อสู้ในจิตมิใช่น้อย และบางครั้งกHทำสิ่งที่ อาจเกิดอันตราย เหมือนที่พี่โยคีบอก คือ อาจหลงทาง และไปยึดติดได้ เช่น การไปตามความอยาก ที่เขาพนมรุ้ง เป็นความรู้สึก เรียกร้อง เชิญชวน ที่โยคีน้อยก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน ได้ไปดู ไปเห็น และมีให้เห็นจริงๆ เสียด้วย แต่ก็ผ่านพ้นมาด้วยดี คือหมดความสนใจอย่างรวดเร็ว อีกอย่างที่โยคีน้อยว่า คือเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ คือการคิดจะแก้อารมณ์ที่ติดมากับสัญญาเก่าๆ เช่นการกลัวน้ำ ก็จะไปแก้ความกลัวของตนเอง แต่แท้จริงแล้ว จะกลัว หรือหายกลัว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว นี่คือความเขลาของโยคีน้อยเอง แต่ส่วนที่โยคีน้อยคิดว่าได้ประโยชน์ จากการฝึกปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ก็คือ พลังแห่งการสร้างความดี อยากจะทำอะไรที่ดียิ่งๆขึ้น และบางงานที่เคยคิดว่าเกินกำลัง แต่โยคีน้อยกลับ มองเห็นทะลุปรุโปร่ง ว่าทำได้ เหมือนกล้าทำงานชิ้นใหญ่ขึ้น เช่นเรื่องธนาคารเลือด โยคีน้อยได้เล่าให้เพื่อนๆสถานีอนามัยอื่นฟัง ก็มีผู้ขอเข้าร่วมโครงการด้วย สร้างธนาคารเลือดในหมู่บ้านตน และอีกหลากหลายที่จะมาเรียนให้พี่โยคีทราบ จะได้ชื่นใจที่พี่โยคี จะได้เห็นคนไทยคนหนึ่งที่จะทำหน้าที่ในประเทศให้ดีที่สุด

  ความเพียร ความหมั่นฝึกฝน เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติธรรม พอๆกับการมีกัลยาณมิตรประคับประคอง เมื่อมีสมาธิ ก็จะทำให้คิดเห็นอะไรได้ตามจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวโยคีน้อยเอง

...................จากนักสู้.........................

  บนทางเดินเกินกำลังบางครั้งท้อ

ลุกเดินต่อด้วยใจยังใฝ่ฝัน

ก้าวตามพี่อย่างไรจะให้ทัน

ทุกคืนวันเฝ้าคิดดูจิตตน

  ต้องต่อสู้แค่ไหนในใจนี้

พี่โยคีช่วยแนะและฝึกฝน

บางครั้งก้าว..ยาว..สั้น หมั่นอดทน

อย่ากังวล จะสู้ ....กว่า..."ตาเห็นธรรม"

โยคีน้อย

บันทึก 28 กันยายน 2550

 

โยคีน้อยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเรียนรู้ด้วยตนเอง

หลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลายท่านจึงสอนให้ปฏิบัติให้มาก ท่านจะแนะนำเพียงสั้นๆ แล้วจากนั้นให้ไปทำเอง เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นครูของตัวเอง

เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากในใจของตนเองทั้งนั้น การแก้จึงต้องแก้ที่ในใจตนเอง ไม่ใช่ภายนอก

ยิ่งจิตสูงมากขึ้น มองสูงมากขึ้น ก็จะยิ่งเห็นสัจจธรรมครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  ยามค่ำที่ประเทศไทย ฝนที่เพิงหยุดตก เงียบสงบดีเหมือนกัน เข้าไปดูภาพการบวชเฉลิมพระเกียรติ 60 ปีครองราชย์ 2549 แล้วรู้สึกปิติใจจริงๆ เป็นความพิเศษของลูกผู้ชาย ที่จะได้บวชสร้างบารมี หลายครั้งที่รู้สึกถึงความแตกต่าง ระหว่าง หญิงกับชาย ก็คือการบวช เวลาเพื่อนโยคีน้อยบวช จะยิ่งเกิดความรู้สึก ว่าเราต้องเก็บบุญกับเขาให้มากที่สุด จะปาวารณากับท่านที่บวชเสมอ ในการอำนวยความสะดวก ต่างๆ ปีก่อนมีเพื่อนคนหนึ่งเจ็บหนัก ต้องผ่าตัด ต่อมาเมื่ออาการดีขึ้น ก็มีเพื่อนอีก 3 คน บวชให้ โยคีน้อยก็ร่วมเป็นแม่งานกับเขาด้วย และพระท่านก็มารับบิณฑบาตร ถึงโรงพยาบาลทุกวัน ให้คนไข้ได้ใส่บาตร เป็นภาพจำที่รู้สึกดีมากๆ

   พี่โยคี ก็เป็นผู้ชายที่โชคดี อีกคนหนึ่ง ที่จะได้บวชเพื่อถวายพระราชกุศล แด่พ่อหลวงอันเป็นที่รักของพี่โยคี การที่คนเราจะมีโอกาส และได้โอกาสนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย โยคีน้อยขออนุโมทนากับพี่โยคี

    อินเดียเป็นดินแดนศักดิสิทธิ์ การได้บำเพ็ญบารมีที่นั่น หายากจริง อย่างน้อยโยคีน้อยก็หมดสิทธิ์ไปหนึ่งคนแล้ว อีกไม่นาน ก็จะถึงวันบวช โยคีน้อยขออวยพรให้พี่โยคี ได้สำเร็จสมปรารถนาที่ตั้งใจไว้ทุกประการค่ะ

  โยคีน้อย

จะนำเรื่องการบวชมาเล่าสู่กันฟังอย่างแน่นอนครับ

อย่างไรก็ดี เรื่องการมีสิทธิ์นั้น ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการบวชเท่านั้นครับ ไม่ว่าหญิงหรือชายมีสิทธิ์ที่จะบรรลุธรรมเท่าเทียมกันครับ และเป็นเช่นนี้มาตลอด อยู่ที่การปฏิบัติครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้นึกขึ้นมาว่าอยากจะถามพี่โยคีสักหน่อย เรื่องการอธิษฐานจิต มีความสำคัญอย่างไรคะ แล้วคนที่อธิษฐานจิตสำเร็จนี้ ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แล้วปุถุชนทั่วไป จะอธิษฐานได้ผลไหมคะ แหม ว่าจะถามหน่อยเดียว ไปเสียหลายคำถาม ขอบคุณค่ะ

ขอให้ดูตัวอย่างการอธิษฐานของพระโพธิสัตย์ครับ เพราะการอธิษฐานนั้นจึงบังเกิดพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ การอธิษฐานจึงมีผลแน่นอนครับ

ปุถุชนก็เช่นกัน อธิษฐานและมีผลเช่นกัน ตามกำลัง ตามพลังจิตของตนซึ่งก็มีทั้งความคิดด้านบวกและด้านลบ

คิดอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น และได้เช่นนั้น

ดังนั้นจึงควรอธิษฐานเพื่อการหลุดพ้นเท่านั้น จะมีประโยชน์ที่สุดครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

พี่โยคีคะ

  ช่วงนี้ยังไม่ปิดรับกระทู้ใช่ไหมคะ ถ้าจะปิดเมื่อไหร่ก็แจ้งได้เลยค่ะ เผื่อพี่โยคีต้องเตรียมตัว เตรียมใจ ก่อนบวช

  วันนี้ได้ไปเยี่ยมคุณลุงที่ปฏิบัติธรรม และสนทนาธรรมกัน พี่โยคีจำได้ไหมคะทีให้พระธาตุโยคีน้อยมา พอเจอหน้าคุณลุงจะชอบบอกว่า กำลังนึกถึงพอดี เมื่อทักทายได้สักพัก คุณลุงก็กล่าวว่า ว่าจะเตือนเรื่องความใจร้อน การตัดสินใจทีรวดเร็ว ในการปฏิบัติธรรมนี้ อาจทำให้เรา หลงทาง และเสียเวลาได้ แม้ว่าการทำอะไรลงไป แล้วไม่ไปติดหลง ก็เสียเวลาอยู่ดี ตามอารมณ์ให้ทัน หยุดพิจารณาเสียหน่อยก่อน เมื่อโยคีน้อยได้ฟัง ก็นึกถึงเรื่องเดินทางไป ปราสาทพนมรุ้งทันที เลยเล่าให้ฟังว่า คุณลุงเตือนช้าไปหน่อย เพราะได้เดินทางไปดูพิธีกรรม ที่เขาพนมรุ้งมาเรียบร้อยแล้ว อยู่ๆมันก็เกิดอาการอยากไปมากๆ และฝันเห็นพิธีกรรม ซึ่งที่สุด ก็เกิดขึ้นได้ดูจริงๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร แต่ความคุ้นเคยสถานที่นั้น ยังรู้สึกได้อยู่ และบอกว่า พี่โยคีก็แนะนำว่า อย่าคิดถึงอดีตที่ล่วงมาแล้ว อย่าคิดถึงอนาคตที่มาไม่ถึงเพราะไม่มีประโยชน์ ให้อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด คุณลุงบอกว่า ผู้ที่นำคำเหล่านี้มาเตือนได้ เป็นผู้มีคุณธรรมสูงมาก และเป็นการให้สติแก่โยคีน้อยได้ดีมาก แล้วคุณลุงก็ยกมือขึ้นมา ใช้ปลายนิ้วโป้งกับปลายนิ้วชี้จรดกัน แล้วทำอาการกดปล่อย กดปล่อยถี่ๆ ซึ่งคุณลุงบอก แท้จริงแล้วจิตนั้น เกิดดับเร็วกว่านี้มากนี่คือปัจจุบันขณะ โยคีน้อยเลยกางนิ้วกว้าง และว่า ของโยคีน้อยคงขนาดเท่านี้ คือปัจจุบันขณะกว้างมากๆ แต่ เมื่อโยคีน้อยทำตาม ก็บังเกิดความรู้สึก ตามรู้ และเป็นสมาธิได้ทันที กับปัจจุบันขณะของคุณลุง

  คุณลุงบอกว่าโยคีน้อยค่อนข้างดื้อ ก็ดีที่ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ต้องทำด้วยตัวเองเสียก่อน และคงมีพื้นเก่ามาบ้าง เลยมีสติเตือนตัว และเดินทางที่ถูกอยู่ แต่ก็ยังย้ำเหมือนพี่โยคีเลย ค่อยเป็น ค่อยไป ไม่ต้องเป๊ะตลอดเวลา สายกลาง

  รวมเวลาคุยกัน เหมือนแป๊บเดียว แต่เกือบ 3 ชั่วโมง การสนทนาธรรมนี่ ไม่น่าเบื่อเลยนะคะพี่โยคี

 โยคีน้อย

 1 ตุลาคม 2550

สาธุกับคำแนะนำของคุณลุงครับ

ประสบการณ์นั้นมีความสำคัญมากครับ จึงควรเอามาประกอบกับความรู้ของตนเองครับ

ถ้า 3 ชม.แป๊บเดียว ชาติหนึ่งก็แค่อึดใจครับ เราต้องอยุ่ในความไม่ประมาทตลอดเวลาครับ พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่ ไม่ใช่จะเกิด แต่ที่ต้องเกิด

จึงต้องเตรียมตัวตายก่อนตายไงครับ

ทางสายกลางก็คือสายพิณที่ตึงกำลังดี ก็สามารถบรรเลงเพลงใดๆ ได้ไพเราะเสมอ

ได้ประโยชน์ทั้งผู้เล่นและผู้ที่ได้ยิน

สาธุครับกับเส้นทางธรรมนี้

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี......

  คำพูดของพี่โยคีนี่ ชะงัดดีนัก ชาติหนึ่งก็แค่อึดใจ ทำให้รู้ตัวและต้องรีบทบทวนตัวเอง โยคีน้อยก็รู้สึกว่า ชีวิตที่เกิดมาในชาตินี้ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีความศรัทธา และปฏิบัติ ซึ่งถือว่าโชคดี แต่จะขนาดไหน อีกไม่กีวันก็คงได้รู้ เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ต้องเกิด ตามที่พี่โยคีว่า ก็ใกล้เข้ามาทุกที วันแรกที่เห็นบทความของพี่โยคี เขียนเรื่องอินเดียนะ ก็รู้สึกสนใจ ทั้งๆที่ต่างก็ท่องกันอยู่ในเวบ นี้ แต่ไม่เคยเจอกัน แล้วก็ได้มาสนทนาธรรม ได้ทำธรรมทานแจกหนังสือกัน ก็น่าแปลกมีใช่น้อย โยคีก็มีความเคารพพี่โยคีมากค่ะ บอกไม่ได้ว่าทำไมถึงคุ้นเคย อยากบอก อยากเล่า เหมือนมีเรื่องที่พูดคุยกันยังไม่จบ พี่โยคีอย่าถือสา เพราะบางครั้งก็ไร้สาระ ซ้ำซาก ถึงแม้ว่าความก้าวหน้าของการปฏิบัติของโยคีน้อยจะมีอยู่บ้าง แต่กับของพี่โยคีนั้น รู้สึกได้เลยว่ามีการเปลี่ยนแปลง มีโอกาสทำในสิ่งที่ทำได้ยาก อย่างเห็นได้ชัด เช่นการได้อยู่ใกล้แดนพุทธภูมิ  การจะได้บวชปฏิบัติธรรม ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่โยคีน้อยได้รับรู้แล้วปิติใจมากๆ เหมือนเป็นญาติกับพี่ไปด้วย ถ้าโยคีน้อยจะได้ทำอะไร เพื่อเอาบุญกับพี่โยคี หวังว่าคงไม่ว่าอะไรนะคะ

  วันนี้ก็แค่เล่าความรู้สึกให้ฟัง ขอบคุณที่รับฟังค่ะ

โยคีน้อย

3 ตุลาคม 2550

P

โยคีน้อย

เราทุกคนที่ได้รู้จักกันในชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือคนต่างชาติ เป็นกัลยาณมิตรหรือศัตรูกันต่างเป็นญาติธรรมกันทั้งหมดครับ คือต้องเกี่ยวข้องกันในอดีตกาลมาก่อน เหตุผลก็คือ ถ้าไม่เกี่ยวข้องกันก็จะไม่มาพบกัน การพบกันของทุกคนจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นเหตุเป็นผลที่เหมาะสมแล้ว

การพบกันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเดินทางธรรมก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่สุดเพราะเราเดินกันมาไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เรียกว่าเกิด-ตาย ๆๆๆๆ มานับไม่ถ้วน ใครมีจริตอย่างไร ใครมีทางเดิน ความสำเร็จ อุปสรรค อย่างใด ก้มักจะไปตามทางเดินนั้นๆ อีกโดยไม่รู้ตัว

ถ้ามิใช่ บารมีในทางธรรม คือสร้างสติและปัญญา ก็จะไม่สามารถฝืนรอยเดิมให้เปลี่ยนไปในทางที่สูงขึ้นได้  ตัวอย่างในโลกนี้มีให้เห็นมากมาย

ถ้ามิใช่พระพุทธเจ้าฯ ที่ทรงค้นพบวิธีหลุดพ้น คนก็ยังคงวนอยู่ในโลกปุถุชนนี้ต่อไป

การเกิดเป็นมนุษย์จึงยากมากครับ

เมื่อเกิดแล้ว การไม่ทำผิดซ้ำ การรู้แจ้งในธรรมชาติก็ยากมากเช่นกันครับ

แต่ถึงยากเพียงใด เราก็ต้องสู้ ตามผู้นำ สู้ได้แค่ไหน ก็ค่อยดูกันอีกที

ขออนุโมทนาในทุกกุศลจิตของโยคีน้อยครับ

และดังเช่นที่พระพุทธองค์ได้เตือนพวกเราไว้ในวาระสุดท้าย อย่าประมาทในชีวิตครับ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง(ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดามากของธรรมชาติ.....ผมเปรียบเหมือนใบไม้ที่ผลัดใบตามฤดูกาล...... แต่มนุษย์ให้ความสำคัญเกินไป....คือความตาย)

เราตายได้ทุกลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออกเลยครับ

สาธุ สาธุ สาธุ

พี่โยคี สวัสดีค่ะ

   เคยมีความรู้สึกเหมือนกันนะ กับการนับถอยหลัง ไปสู่วันที่เรารอคอย เป็นความรู้สึกที่มีความสุข มองเห็นภาพสำเร็จได้ด้วยซ้ำ เวลาโยคีน้อยจะทำอะไร มักวาดภาพเคร่าๆตั้งแต่ต้นจนจบก่อน ในภาพนั้น ก็จะมีอารมณ์ ที่เป็นปลื้มไปด้วยทุกขั้นตอน ซึ่งที่ผ่านมา ก็ทำให้ทำงานน้อยใหญ่ได้สำเร็จ ให้กำลังใจตัวเองทุกวัน เพราะบางครั้งเมื่อ,uอาการท้อแท้เหมือนกัน ก็จะไม่ยอมให้มันอยู่กับเรานานๆ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ผ่านมา ตอนนั้นโยคีน้อยยัง มีความยึดติดกับอะไรมากอยู่ ยังเป็นผู้ให้ ที่หวังผลตอบแทนอยู่ แล้ววันหนึ่ง สิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น เป็นความทุกข์จากความผิดหวังอย่างรุนแรง ขณะนั้นโยคีน้อย มีอาการนอนไม่ได้ คือล้มตัวนอน ก็จะมีแต่ความกระวนกระวาย ฟุ้งซ่าน ด้วยที่ยังไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน ไม่ได้ศึกษาธรรมอย่างจริงจัง จึงรักษาตัวเองไม่ได้ แต่ก็ยังใช้วิธีช่วยเหลือตัวเองด้วยการนั่งสมาธิ แต่ไม่ได้มีความเข้าใจว่าทำเพื่ออะไร จำๆเขามา         ท่องพุทโธไปเรื่อยๆ พอแค่รู้สึกง่วง แล้วก็นั่งหลับทั้งสมาธินั่นแหละ คือการได้พักผ่อนบ้าง เป็นอยู่ไม่นานค่ะ 1 เดือนเศษๆ ก็รู้สึกว่าคงจะแย่แน่ๆ ไม่อยากพูดจากับใคร คนเขาจะแอบว่า กลัวเราเป็นบ้า แต่ที่จริงคือ พูดมาก คนก็วิจารณ์มาก รักเราก็เข้าข้างเรา แล้วช่วยกันตำหนิผู้ที่มาสร้างความทุกข์ให้เรา หรือคนไม่ชอบเราก็ตำหนิเรา ล้วนไม่ชอบฟังทั้งสิ้น

 จนวันหนึ่งได้ไปกราบพระอาจารย์ที่นับถือ ถามท่านว่า หลวงพ่อคะ "ทำอย่างไรจึงจะหายจากความทุกข์" หลวงพ่อท่านยิ้ม แล้วกล่าวอย่างใจดีว่า "ทุกอย่างในโลกนี้ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วเดี๋ยวก็ต้องดับไปไม่มีสุขหรือทุกข์อยู่กับเราตลอดไป " วันนั้นโยคีน้อยก็ยังไม่เข้าใจ แต่กาลเวลาต่อมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปตามคำที่หลวงพ่อกล่าวทุกประการ มันเริ่มตั้งแต่ใจเราที่เปลี่ยนแปลง ทุกข์น้อยลงไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ที่คนกระทำเราไว้ ก็มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้าย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อันไม่พีงประสงค์แก่พวกเขา เราก็ยังสงสารและช่วยเหลืออีก

 นับจากวันนั้น เวลาโยคีน้อยเกิดความไม่สบายใจอะไร ก็จะนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อตลอดมา โชคดีนะ ที่โยคีน้อยไม่ได้ตายเสียตอนนั้น คงได้ไปเกิดในภพที่โง่ๆ อีกนาน ถึงทุกวันนี้ ก็ต้อขวนขวาย ให้ตัวเองกับการได้รับโชค ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา เอามาเตือนตัวเอง เวลาท้อค่ะ

      เป็นเรื่องเล่าอีกวันที่อยากเล่า แต่ไม่ค่อยมีสาระเท่าไหร่ หวังว่าคงไม่รบกวนเวลาพี่โยคีมากไปนะคะ

โยคีน้อย

4 ตุลาคม 2550 

โยคีน้อยครับ

ความทุกข์ในอดีตนั้น ถ้าเป็นบทเรียนเพื่อให้มีสติในปัจจุบัน ก็เป็นประโยชน์ครับ แต่ดังเช่นที่พระท่านบอก อะไรๆ มันก็ เกิดขึ้น(ด้วยเหตุ) ตั้งอยู่(ด้วยเหตุ)และดับไป(ตามกฏธรรมชาติ)

แม้การตั้งอยู่นั้นก็เร็วมากจน ไม่มีตัวตนใดเกิดขึ้นได้เลยครับ แต่มนุษย์ก็ยังหลงเป็นเขาเป็นเราอยู่นั่นแหละ

ก็รู้ในสิ่งที่ทั้งที่จริงและไม่จริงครับ แต่รู้แล้วก็พยายามปล่อยวาง จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็รับได้หมด

สาธุกับการเตือนตัวเองอยุ่เนืองๆ ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

    บางทีวันหยุดนี้ โยคีน้อยว่าจะกลับไปกราบแม่ชี ที่โยคีน้อยเคยไปปลีกวิเวกที่สำนักของท่าน และท่านก็เมตตามากๆ คือ ปล่อยให้ปฏิบัติตามอัธยาศัย และทำให้โยคีน้อยได้ประสบการณ์กลับมามิใช่น้อย ตามที่เขียนบทความไว้ ตั้งเดือนสิงหาคม มีทั้งความกลัว ความสงบ และกัลยาณมิตร การอยู่คนเดียว เกิดประโยชน์มาก ได้ศึกษาตนเอง ประเมินตนเองได้ว่าจะจัดการอย่างไรเมื่อเราอยู่ในแต่ละสภาวะ ดีค่ะ จะพยายามหาโอกาสให้ตนเองอีก แต่ที่บอกพี่โยคีว่าจะไปกราบท่านนี้ โยคีน้อยยังไม่ได้บอกพี่โยคีเนาะ ว่าเมื่อคราวที่ไปปฏิบัติธรรมนั้น ได้พบกับแม่ชีท่านหนึ่ง ชื่อแม่ชีติ๊ด พบกันเป็นครั้งแรก ท่านเป็นลูกศิษย์อาจารย์แม่ชีรื่น ดังนั้น ทุกปีจะมาเข้าพรรษาที่นี่ ท่านมาให้ธรรมะ มาพาสวดมนต์เช้า-เย็นทุกวัน มีเมตตามาก

ตอนนั้นจำได้ว่าท่านเล่าว่ามีหน้าที่พิเศษ คือช่วยคุณแม่สิริ กรินชัย ในการดูแลผู้อบรมปฏิบัติธรรม แต่โยคีน้อยก็ไม่ได้สอบถามอะไร ต่อมาโยคีน้อยได้พบกับพี่โยคี และพี่พูดถึงคุณแม่สิริ โยคีน้อยเลยระลึกถึงแม่ชีติ๊ด และได้หวลกลับไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ ปรากฎว่า ท่านเข้ากัมมัฏฐาน อยู่ในกุฏิทั้งวัน ไม่พูดกับใคร คุณแม่ชีอาจารย์รับบุญ ทำอาหารส่งทุกวัน โยคีน้อยก็เลยไม่ได้สอบถามเรื่องคุณแม่สิริจากท่าน เวลาก็ล่วงเลยมานับเดือนแล้ว โยคีน้อยว่าจะไปอีกครั้ง บางทีอาจได้พบท่าน และจะทำให้โยคีน้อยได้กราบคุณแม่สิริบ้างก็ได้ ชีวิตคนเรานี้ ซับซ้อนจริงๆ ไม่มีความบังเอิญเหมือนที่พี่โยคีบอก แต่เราไม่รู้ ว่า เกิดสิ่งหนึ่งในกาลนี้ แล้วกาลต่อไป จะมีผลต่อสิ่งหนึ่ง นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่ากรรม หรือโชคชะตา

    การวางเป้าหมายในการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำทุกคน โยคีน้อยก็ตั้งใจ จะไม่อ่อนแอต่อการปฏิบัติธรรม สู้ไปเรื่อย จะล้มลุก คลุกคลานบ้าง ก็ช่างมัน ทุกอย่างก็ต้องฝืนๆกันหน่อยอยู่แล้ว และก็จะระวัง สิ่งที่จะทำให้ชีวิตติดลบมากๆด้วย ตั้งใจเอาไว้นะ

    ฝนตกแต่เช้าเลยค่ะ ที่ประเทศไทย หวังว่าช่วงที่พี่โยคีบวช คงไม่ใช่หน้าฝนนะคะ มิฉะนั้นเวลาอยู่กรด ก็ผจญภัยนิดหน่อย โยคีน้อยเคยอยู่กรดด้วยนะ เวลานอนลืมตาดูนี่มันได้ข้อคิดมากมาย วันหลังโยคีน้อยจะเล่าให้พี่โยคีฟัง

 วันสบายๆ ใจดี ที่ได้คุยกับพี่โยคีค่ะ

โยคีน้อย

 ขอเข้ามาโพสในกระทู้นี้สักหน่อย ได้ข่าวว่าน้องเต้กำลัง จะถีอกำเนิดมาสู่โลกภายนอก ทำไมรู้สึกดีใจจัง นึกเห็นภาพเด็กชายตัวแดงๆ น่าตาน่ารัก โครงร่างใหญ่กว่าเด็กทั่วไปนิดหน่อย ปากแดง ร้องเสียงดัง

 มีอาชีพที่ต้องทำคลอดคนมานับร้อย นับพัน ดีใจทุกครั้งที่เห็นเด็กเกิด เหมือนว่าเขาได้โอกาสอีกครั้ง ที่จะกลับมาสร้างสิ่งที่เป็นความดีให้แก่ตน

  พี่โยคี ช่วยจับมือน้องเต้ แล้วฝากบอกเขาหน่อยนะ ว่า อาโยคีน้อย ที่อยู่แสนไกล ยินดีต้อนรับหนู ขอให้เป็นที่รัก ของมนุษย์และเทวดา ได้มาสั่งสมบารมีต่อไป ตามปรารถนานะจ๊ะ    อาโยคีน้อยเอง จำได้หรือเปล่า?

น้องเต้เกิดแล้วครับ วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม 2550 เวลา 21.15 น

เอาไว้ค่อยโชว์ภาพต่อไปครับ

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

 ช่วงนี้ เกรงใจพี่โยคีด้วยที่ต้องทำภารกิจส่วนตัว ส่วนโยคีน้อยเองก็ กำลังเข้าชุมชน ทำโครงการชวนชาวบ้านทำความดีถวายในหลวง การทำงานก็เป็นการปฏิบัติธรรม เพราะบางครั้งทำให้รู้เลยว่า ถ้าขาดสติ เราจะเสียการ มีตัวกระตุ้นมากมาย ให้เราเกิดความไม่พึงพอใจ และเรียนรู้ที่จะระงับมัน ในภาคสนามนี่ เป็นการวัดผลอย่างหนึ่ง แต่โยคีน้อยคงยังทำไม่ดีเท่าไหร่ เพราะหลังเหตุการณ์ ที่ผ่านไปด้วยดี แต่รู้สึก เหนื่อย เหมือนกัน มาเล่าให้ฟังค่ะ

โยคีน้อย

  

กลอนบทนี้ เคยใช้เตือนสติตัวเองอยู่เสมอๆ เขียนเอาไว้นานมากแล้ว ลองดูนะครับ

 

  กรรมมีจริง

 ทำทำไม ความชั่ว ไม่กลัวหรือ

 สุดทางคือ ทุกข์ระทม ขมขื่นขวัญ

 ทำคนอื่น(แล้ว) รื่นหัวเราะ เพาะบาปกัน

 ผลคือ ฉัน    นั่นรับรอง ต้องผลกรรม

 ฆ่าคนอื่น คือฆ่าตน คนเขลาไหม

 ผิดศีลใด ได้คืนตน ไม่พ้นหนาม

 ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น คือนิยาม

 ไม่อยากทราม ก็ห้ามทำ ความชั่วเอย                  (13 มิย.40)

                                                                                                                               ผลบุญ   

สติ สำคัญที่สุดในชีวิตประจำวันครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  อาจไม่ค่อยได้เข้ามา เนื่องจากเกรงใจพี่โยคี ที่ต้องมาตอบกระทู้ ไหนจะต้องเตรียมการอื่นๆอีก ถึงอย่างไรก็อดคิดถึงบล็อกนี้ไม่ได้ ที่โยคีน้อยถือว่า ได้รับบทเรียนมากมาย ทางด้านปฏิบัติธรรม และเรื่องราวอื่นๆ ที่นำมาสนทนาธรรม กันจนคุ้นเคย บางครั้งเข้ามาแล้วจะเขียน เล่าอะไร ก็ต้องอดใจไว้ เกรงจะรบกวนเวลามากไป

  ขอส่งการบ้านพี่โยคีอีกครั้ง และสรุป ผลการปฏิบัติของโยคีน้อยเอง นับได้เวลาเกือบจะสองเดือนที่ผ่านมานี้ คิดว่าเป็นช่วงเริ่มต้นที่ดี ในการศึกษา ปฏิบัติธรรม ของตัวเอง ตั้งแต่การนั่งสมาธิ ที่ได้เรียนรู้ว่า การมีสมาธินี้ เป็นเช่นไร การเกิดปรากฏการแปลกในชีวิตที่ผ่านมา ที่พี่โยคีก็ได้เสนอแนะ ให้ถูกที่ ถูกทาง โยคีน้อยต้องขอบคุณมากๆ และการรู้อาการของกาย ใจนี้ ได้ฝึกมากขึ้นทุกวัน และแม้ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่คับขัน โยคีน้อย ก็รู้จักที่จะตั้งสติก่อนเสมอ สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตคือการรู้จักที่จะมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ด้วยความพิจารณา มองให้เห็นเหตุและผลชัดเจน ไม่ หลงไปตามสภาวะที่ชักนำ เกิดความเมตตา และทำการต่างๆ ด้วยการให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน ที่สำคัญ เกิดปัญญาในการแก้ปัญหาให้ถูกทางได้

   ก็เป็นพื้นฐานที่เรียกว่า ได้รับการอบรม ทางจิต ที่พี่โยคี กรุณาชี้แนะมา วันนี้ได้แค่นี้ ก็ยังมีกำลังใจต่อๆไป ช่วงที่พี่โยคีบวช โยคีน้อย ก็จะทบทวน และฝึกฝนตนเองให้มากเช่นกัน เราเป็นนักเดินทาง ก็ต้องเดินให้ถึงจุดหมายใช่ไหมคะ

โยคีน้อย

13 ตุลาคม 2550

โยคีน้อย

ถูกต้องเลยครับ อย่างไรเสียก็ต้องเดินไปข้างหน้า จนกว่าจะถึงจุดหมาย

 พื้นฐานดีแล้วแต่ก็ต้องรับมือกับสิ่งที่มากระทบใจ(ไม่ใช่เฉพาะกิเลส)ทุกวินาที ทุกนาที ทุกวันๆ

พูดถึงการรับมือ รู้สึกว่าคนอินเดียเขามีวิธีคิดที่จะต้องเอาตัวรอดและ เอาชนะคนอื่นในชีวิตประจำวันอยุ่เสมอจนทำให้มีสติมากเหมือนกัน

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  เหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ ก็จะถึงวันบวชแล้วนะคะ สำหรับพี่โยคี คงเป็นเรื่งดี ทีรอคอย นึกถึงคุณลุงที่เคยสนทนาธรรมกัน เล่าให้ฟังว่า เมื่ออายุได้สองขวบ คุณลุงเห็นพระมาบิณฑบาตรที่หน้าบ้าน รู้สึกชอบพระมาก คุณลุงเล่าว่า เห็นสีจีวรแล้ว ถึงกับเข้าไปกอดขาพระ ร้องไห้จะตามพระไปวัด จนพ่อแม่อ่อนใจ ยอมให้ไปอยู่กับพระเป็นนาน จนต้องไปรับกลับ เพราะคุณลุงมีความสุขกับการอยู่วัดมาก โยคีน้อยเอง เวลาเห็นพระที่ไหน อยากจะหมอบกราบท่านเดี๋ยวนั้น รู้สึกเคารพ บูชา ปลื้มใจในบุญกุศลเสมอ แต่จะไม่ค่อยเข้าไปใกล้ชิดพระ เพราะมีความรู้สึกว่า สตรีมิควรที่จะทำตัวสนิทสนมกับพระมากนัก

  และในชีวิตก็จะมีเรื่องดีๆ ที่ได้ทำบุญกับพระก็หลายครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ไปช่วยน้ำท่วมที่อุตรดิตถ์ และพักอยู่กับบ้านญาติคนรู้จัก เช้าวันหนึ่ง เห็นพระธุดงค์เดินผ่านหน้าบ้าน ก็รีบนิมนต์นำของใส่บาตร วันรุ่งขึ้น ท่านก็ยังมาเดินผ่านหน้าบ้านนั้นอีก และก็ได้ใส่บาตรเป็นวันที่สอง คราวนี้ ท่านสวดมนต์ให้พรยาว ฟังแล้วชุ่มชื่นใจมาก เจ้าของบ้านเล่าว่า ท่านไม่ค่อยได้ออกมา พักอยู่ในป่าช้า ไม่มีใครรบกวน ก็นับว่าโชคดี ที่ท่านออกมาเดินบาตร แล้วเราได้ใส่บาตรท่าน ถึง 2 วัน

  โชคดีซ้ำสอง เมื่อมารู้จักพี่โยคี แล้วพี่ก็กำลังจะบวช ให้ได้อนุโมทนาอีก ปลื้มใจจัง

   

ถึงตอนนี้ อีก 15 วันจะบวช เลยขอเล่าเรื่องประสบการณ์การปฏิบัติธรรมตั้งแต่เด็กสักเล็กน้อย (เพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงครับ)

ตั้งแต่อายุประมาณ 11 ขวบก็ตามคุณแม่ไปอยู่ที่ปีนัง จำได้ว่าวันหนึ่งไปค้นลังหนังสือเก่าของคุณแม่ก็พบหนังสือเล่มเล็ก หน้าปกเป็นภาพวาดคนนั่งสมาธิ(ของหลวงพ่อวัดปากน้ำ) เกิดชอบเลยลองนั่งเลียนแบบดู ปรากฏว่านั่งไปไม่นานก็เห็นแสงสีหลากหลายหมุนเวียนกันไป บางครั้งคล้ายก้อนเมฆลอยเข้ามาและผ่านไป เกิดความเพลิดเพลินตามประสาเด็ก ก็เลยนั่งแบบนั้นมาเรื่อยๆ โดยมีความคิดว่าอยากจะเป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์ เหาะเหิรเดินอากาศได้

ในวัยเด็กจึงชอบอิทธิฤทธ์มาตั้งแต่เด็ก อยากเป็นซุปเปอร์แมน สวดท่องคาถาได้มากมาย

จนโตขึ้นมาอีกจนชั้นมัธยม(วัดราชาธิวาส)ก็ยังชอบแนวนี้มาตลอด ศึกษาตำราฝรั่ง ส่งกระแสจิต ก็ปรากฏว่าการทดลองทำได้ เป็นที่สนุกสนาน ของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง รวมทั้งไปแสวงหาอาจารย์ดังๆ หลายองค์ ที่มีชื่อเสียงสมัยนั้น ก็ล้วนตามแนวอิทธิฤทธิ์ทั้งนั้น แต่ก็เหมือนไม่เจอคำตอบที่ถูกใจซะที

ตอนไปเรียนหนังสือที่ประเทศฝรั่งเศส ก็ยังไม่ทิ้งสมาธิ ลองฝึกแบบธิเบตซึ่งเป็นที่นิยมสมัยนั้นคือ "ตาที่สาม" (ถอดกายทิพย์) ก็ปรากกว่าทำได้อีก ถอดกายทิพย์ไปท่องเที่ยวสนุกสนาน แต่โชคยังดีที่ไม่ไปติดกับความสามารถตรงนี้ คือทำได้เพื่อรู้แล้วก็เลิก  จึงรอดอันตรายถึงชีวิตมาได้ (เกือบไป) จนสุดท้ายมาเป็นลูกศิษย์คุณแม่สิริ กรินชัย จึงหยุดทางสมถะที่ชอบอิทธิฤทธิ์ หันมาทางวิปัสสนาจนมีพื้นฐานพอสมควร และได้ไปช่วยงานที่ยุวพุทธมาช่วงหนึ่งก่อนไปประจำการในต่างประเทศเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว

ก็เล่าย่อๆ นะครับ ว่ากว่าจะมาถึงวีนนี้ ที่อีกไม่กี่วันจะได้ไปบวชที่สถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ผ่านมาพอสมควรครับ ทั้งนี้ขอยืนยันว่าพลังจิต(พลังงาน)นั้นมีจริงและกายทิพย์ก็มีอยู่ทุกคน แต่ที่มีค่ามากที่สุด ก็คือตัวรู้ ที่รู้ด้วยสติและปัญญา และการไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากตัวรู้ ที่ทันต่อสิ่งมากระทบที่จิตใจ จนเป็นสักแต่...เห็น สักแต่....รู้

ในช่วงบวช จะขอตั้งใจปฏิบัติเพื่อถวายแด่ในหลวงครับ รวมทั้งบิดา มารดา ญาติสนิทมิตรสหาย กัลยาณมิตรทั้งหลาย ใน G2K ด้วย รวมทั้งสัตว์ทั้งหลายในสากลโลก

เพราะคิดเสมอว่าวันนี้ที่อยู่เป็นวันสุดท้ายของชีวิตเสมอ เพราะความตาย หมายไม่ได้ว่าเมื่อไหร่......

สุดท้าย ก็ต้องว่าไปทีละวันครับ เพราะวันพรุ่งนี้ ไม่รู้จะมาถึงหรือไม่

ด้วยความปรารถนาดีครับ

 สวัสดีค่ะพี่โยคี

  ขอบคุณมากค่ะ กับเรื่องราวทีเล่ามา เกือบจะคล้ายกันมาก เพียงแต่ โยคีน้อยอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า เมื่อ 7-8 ขวบโยคีน้อยฟังรายการวิทยุของหลวงพ่อวัดปากน้ำเช่นกัน แล้วฝึกนั่งสมาธิ ให้เห็นดวงสว่าง ขยายเข้าออก สบายมาก เรียกว่าท่านบอกให้ทำอะไร จะทำตามได้ทันที แต่เป็นเด็ก และไม่มีใครสั่งสอน จึงไม่เกิดอะไรขึ้น แต่อุปนิสัย ชอบอ่านหนังสือธรรมะ ชอบอิทธิปาฏิหาริย์ ครูบาอาจารย์อยู่ที่ไหน ต้องไปหา แต่แปลก พอศึกษาได้ไม่นาน ท่านก็มรณะภาพบ้าง เดินธุดงค์บ้าง เรียกว่าพบกัน นิด หน่อยๆ ต่อมาฝึกตนเองด้วยการเพ่งกสิณ เอากระดาษมาตัดเป็นวงกลมสีเหลืองที่ชอบ แล้วเพ่งทำสมาธิ บางครั้งใช้อำนาจจิต บังคับ ไม่ให้เทียนที่จุดอยู่กลางแจ้งไม่ให้ดับแม้ลมพัด ทำได้ ต่อมาก็พยายามหาครูบาอาจารย์สอนนั่งสมาธิ แต่บอกตามตรง ว่าตังเอง ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ เหมือนมันค้างคา แต่ก็บอกไม่ได้ว่าต้องการอะไร จนมาพบพี่โยคีแนะนำการทำวิปัสสนา คงจำได้ ให้ระลึกรู้ตัวในการเดิน 7 ก้าว และถือปฏิบัติมาตลอด ทำให้ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมาก

   ยังมีเรื่องเล่าอีกมากเหมือนกัน ก็ขอให้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางธรรมต่อกัน เหมือนที่พี่เคยกล่าวไว้ คงมีกรรมร่วมกันมา มีวาสนาต่อกัน ก็ขอกราบอนุโมทนากับพี่โยคีด้วยความซึ้งใจค่ะ  สาธุ  สาธุ  สาธุ

 โยคีน้อย

ประเทศไทย 16 ตุลาคม  2550

สาธุ สาธุ สาธุ เช่นกันครับ

พี่โยคี

  วันที่ 26 ตุลาคม 2550 คงไม่ได้ส่งพี่โยคีขึ้นรถไฟนะคะ เพราะคงติดประชุมอยู่ที่จันทบุรี จะเดินทางตั้งแต่ตีห้าครึ่งวันที่ 24 ต.ค. 50 ไม่ทราบว่าจะเข้าเน็ตได้ไหม พรุ่งนี้อาจป็นวันสุดท้ายที่จะพูดคุยกัน กระทู้นี้ ก็คงปิดชั่วคราว หรือถ้าโยคีน้อยมีเรื่องอะไร อาจเข้ามาโพสไว้ ขณะที่พี่โยคีไม่อยู่นะคะ

  ไปที่ราชบุรี ขณะที่เดินทางกลับ แวะชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง พอเดินเข้าไปอาคารแรก ก็พบข้อความหนึ่งเขียนว่า

" สิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพัน และมั่นใจในสิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบัน ก็เป็นไปมิได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมาย นับเป็นทุกข์แต่ผู้เดียว โดยความไม่สมหวังตลอดไป

  อนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตก็ควรปล่อยไปตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไปตามกาลของมัน

   ปัจจุบันเท่านั้น ที่จะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะ ที่ควรทำได้ ไม่สุดวิสัย "

( หลวงปู่มั่น  ภูริทัตโต )

    อ่านจบ ก็ให้นึกถึงคำพี่โยคีเคยยกมาสอน เพื่อให้โยคีน้อย ละวางกับอดีต อยู่กับปัจจุบันขณะ รู้สึกดีที่ได้ไปพบคำครูบาอาจารย์ท่านตอกย้ำอีก จิตต้องฝึก ต่อเนื่องตลอดเวลา ได้หนังสือมาเล่มหนึ่งชื่อ        "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น" เขียนโดยทันตแพทย์สม สุจีรา เป็นการเขียนจากการศึกษาและปฏิบัติ และเชื่อมโยงถึงนักวิทยาศาสตร์ ที่ค้นพบสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้เห็นมานานแล้ว โยคีน้อยจะได้ศึกษาอย่างละเอียด และจะตั้งใจฝึกปฏิบัติให้มาก แข่งกับเวลาที่น้อยลงทุกวินาที

  โยคีน้อยได้ส่งของไปถวายพระพลเดช ไม่ทราบว่าท่านได้รับหรือยัง ถ้าได้รับแล้ว ขอได้ ใช้ตามที่โยมโยคีน้อยตั้งใจเอาบุญกับท่านด้วย เป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ด้วยความห่างไกลแห่งหนทาง แค่คิดจะตักบาตรสักครั้ง ก็เกินกำลังจะได้ทำค่ะ

  แต่งกลอนให้น้องเต้แล้ว คุณพ่อเองก็คงสบายใจ ในการปฏิบัติครั้งนี้นะคะ

สวัสดีค่ะ.............โยคีน้อย

22 ตุลาคม 2550

ถึงพี่โยคี

  ป่านนี้คงเป็นสามเณรโยคีแล้ว ใส่ชุดนักรบ เป็นทหารกล้าแห่งกองทัพธรรม ขออนุโมทนาบุญ

 วันนี้ได้ไปที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ไปเพราะอยากจะไป เป็นวัดที่ที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา ปลูกศาลาไว้ปฏิบัติธรรม สายหลวงพ่อชา พระอาจารย์ไม่อยู่ จึงขออนุญาตคนเฝ้าวัด ขึ้นไปกราบพระพุทธรูป บนศาลานี้ ปูพื้นไม้กว้างโล่ง สะอาดมาก ฝากรุกระจกใส ภาพภายนอก เป็นหน้าผา มีน้ำตกไหลรินตลอดเวลา เสียงไพเราะไม่ดังมาก กราบพระเสร็จก็นึกอยากเดินจงกรม ก็เลยเดินบนนั้นคนเดียว นานพอสมควร นานจนรู้สึกได้ถึงกระแสสมาธิที่เกิด และสติแห่งการรู้กายใจตลอดเวลา ยิ่งกว่าหนไหนๆ หูอื้อวิ้ง จากสรรพสำเนียง สงัดจนแปลกใจ การกำหนดเดินก็แจ่มชัดมาก ที่แห่งนี้ มีพลังมาก ทำให้เกิดสมาธิรวดเร็ว หนักแน่น พระท่านคงใช้เดินจงกรมทุกวัน ได้รับปิติสุขก่อนกลับบ้าน จึงขอนำมาเล่าไว้ จนกว่าพี่โยคีจะกลับมาอ่าน

  โยคีน้อย

27 ตุลาคม 2550

22.10 น.

กราบนมัสการหลวงพีโยคี

  วันนี้ดูตามกำหนดการ เป็นวันบวชพระใช่ไหมคะ และเวลาที่ประเทศไทยขณะบันทึกนี้ 19.49 น. คาดว่าพิธีกรรม การบวชเฉลิมพระเกียรติฯ คงสำเร็จทุกรูปแล้ว ขออนุโมทนาสาธุค่ะ

   โยคีน้อยเคยไปร่วมพิธีบวชพระจำนวนมากๆ บางครั้งก็เป็นสามเณร ยังจำภาพได้ติดตา เสมอมา ภาพพระที่สำรวมระวัง การนั่ง เดิน ยืน ดูเป็นภาพศักดิ์สิทธิ์ และก็นึกอธิษฐานว่า ขอให้ได้เพศบริสุทธิ์ ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนาในภพชาติต่อไป

   โยคีน้อยชอบที่จะร่วมบุญ หรือบางครั้งก็เป็นเจ้าภาพ เลี้ยงพระครั้งละมากๆ หลายร้อยรูป แม้ปัจจัยน้อย ก็ใช้วิธีบอกบุญ และทำสำเร็จตลอดมา

   พรุ่งนี้ คงมีแต่คนอยากใส่บาตรพระใหม่ ให้ชื่นอกชื่นใจกัน โยคีน้อยใช้วิธีกำหนดนึกภาพเอา แล้วเมื่อเกิดปิติก็อนุโมทนาสาธุกับทั้งพระภิกษุ และญาติโยม วันใดที่หลวงพี่โยคี รับประเคนผ่านผ้ารับประเคนที่ถวายไป บุญนั้นคงส่งถึงโยคีน้อยทันที ซึ่งบอกตามตรงว่า หมู่นี้ มีแต่ความเบิกบานใจ ทุกครั้งที่ระลึกได้

    วันต่อๆไปโยคีน้อยก็ได้ศึกษากำหนดการ แล้วจะได้น้อมใจตามเอาบุญกับท่านค่ะ

  กราบนมัสการด้วยความเบิกบานยิ่ง

โยคีน้อย

29 ตุลาคม 2550

20.01 น.

 

นมัสการค่ะพระพี่โยคี

  ขอบันทึกประสบการณ์เช้าวันนี้สักหน่อยนะคะ ทุกเช้าและก่อนนอน โยคีน้อยก็จะระลึก อนุโมทนาบุญ กับพระพี่โยคี ที่ได้กระทำ และกำลังจะกระทำในกาลต่อไป  จากนั้นก็นั่งสมาธิเป็นประจำ

 เช้าวันนี้ โยคีน้อย ก็เดินจงกรมเหมือนปกติทุกวัน แต่รู้สึกได้ว่าวันนี้ มีกำลังสติหนักแน่นดีมาก ขณะเดินนั้น ก็ฝึก เห็นเข้ามาในตัว เห็นได้ตั้งแต่เส้นผม จรดเท้า ต่อจากนั้นก็เกิด เห็นภาพในจิตตนเอง เป็นตับ ไต ไส้ พุง ที่สุดก็เป็นกระดูก ค่อยกองอยู่ตรงหน้า รู้สึกตกใจเหมือนกัน แต่ก็ตั้งสติทบทวน ว่าเกดอะไรขึ้น การกลับเข้าเห็นภายในเป็นอย่างนี้นี่เอง เกิดความสลด สังเวชตัวเอง จากนั้นก็นั่งลงทำสมาธิต่อไป

 ซึ่งโยคีน้อย ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรต่อไป เวลาเกิดอาการอย่างนี้ และระยะเวลาที่เกิดทั้งหมดรวมตั้งแต่เริ่มปฏิบัติ ไม่นาน ไม่กี่นาทีเองค่ะ

   ได้อารมณ์สงบๆ ติดตัวมาจนขณะนี้ แจ้งไว้ให้พระพี่โยคีทราบค่ะ

    วันนี้ขอให้การเดินทางสู่การปฏิบัติธรรม ของท่าน ประสบตามสิ่งหวังตั้งใจ แจริญในธรรม ยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

  กราบนมัสการ

โยคีน้อย

31 ตุลาคม 2550

08.47 น. 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  ยังไม่ได้ทักทายอย่างเป็นทางการเลย เป็นอย่างไรบ้างคะ การสร้างบารมีของพี่โยคี คงไม่ได้ได้มาอย่างง่ายๆแน่ๆ เมื่อสำเร็จได้ด้วยดี โยคีน้อยก็ขออนุโมทนาบุญกับพี่โยคี

   วันก่อนได้ไปที่บึงฉวาก พบ อาจารย์Moo แห่งG2K เธอหาวิธีการติดต่อ โยคีน้อยจนได้ มีน้ำใจมาก ขนาดขับรถมาส่งที่กรุงเทพ เราคุยกันตลอดทาง พูดถึงพี่โยคีด้วย เธอว่า เธออ่านบันทึกนี้เป็นประจำ และการสื่อสาร ที่โยคีน้อย นำคำแนะนำของพี่โยคีไปปฏิบัติ แล้วมาบันทึกไว้ พลอยทำให้เธอได้เข้าใจ และปฏิบัติไปด้วย ผลการสนทนาธรรมของเรา ก่อเกิดกุศลจิตต่อผู้อื่นด้วยค่ะ

  โยคีน้อยกำลังมุ่งมั่น ในเรื่องกฐิน G2K ซึ่งอาจเป็นวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยหาทุนช่วยเหลือ โยคีน้อยเชื่อว่า เป็นกฐินแห่งปัญญา ชาตินี้เกิดมาตัวโง่มันมาก ต้องสร้างบุญเปลี่ยนผังให้ตัวเอง

  คืนนี้ดึกมากแล้ว จะลาไปนอนแล้วนะ ส่วนการบ้าน ขอส่งวันหน้าค่ะ

 โยคีน้อย

ด้วยความระลึกถึง

10 พ.ย.50

โยคีน้อยครับ

ติดคำตอบเอาไว้หลายครั้งแต่ไม่ได้ลืม เพียงแต่ยังตั้งตัวไม่ติดจากการไปอุปสมบทซึ่งเหนื่อยมากเป็นพิเศษเพราะได้สร้างบุญหลายต่อ กล่าวคือทั้งบวชให้ในหลวง บวชให้ตัวเอง บวชให้พ่อ บวชให้แม่ โดยมีทั้งพ่อและแม่ซึ่งอายุมากแล้วไปด้วย เราจึงหนักเป็นพิเศษ ....แต่ก็ดีใจที่ผ่านมาได้เรียบร้อย นำบุญมาฝากทุกคนได้

เป็นช่วงชีวิตที่ 10 วันแต่เหมือน 10 เดือน 10 ปี 

สรุปสั้นๆ ณ ตอนนี้

ชาวพุทธควรไปสังเวชนียสถานที่อินเดียและเนปาล อย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต เพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์

ปฏิบัติธรรมให้มากเพื่อให้รู้แจ้ง ตามรอยและถวายสักการะแด่พระพุทธองค์

อย่าประมาทในชีวิต ทั้งทางโลกและทางธรรม

อย่ามองแค่ชาตินี้  หรือชีวิตนี้ ให้มองไกลๆ สร้างเหตุที่ดี เพื่อที่จะตั้งตัวการปฏิบัติที่เข้มข้นยิ่งขึ้นในอนาคตกาล

ทำตัวตนให้เสมือนดั่งลม ไร้ซึ่งรูปทรงและตัวตน แต่ให้ทรงพลังในการทำความดี

ต้องไปอินเดียเพื่อเรียนรู้และปลงธรรมสังเวชกับวิถีชีวิตของคนอินเดียซึ่งสามารถทำใจกับสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ

ไม่ว่าความดี กุศล สิ่งที่ตรงข้ามหรืออะไรก็ตาม ต้องหัดการวางสิ่งเหล่านั้นลงให้หมด....เพื่อที่สติจะได้เกิดและอยู่กับปัจจุบันขณะได้ดี

.............สาธุ สาธุ สาธุ

 

 

 

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  ขอบคุณค่ะที่พี่โยคีแวะมาตอบบันทึก คนเรานี่ต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร หรืออะไรเป็นหลัก ตัวเรานี่แหละ

 ในชีวิตทุกวันนี้ โยคีน้อยก็มีสิ่งกระทบมากน้อยตามลำดับ ต้านไหวบ้าง ไม่ไหวบ้าง แต่ก็รู้สึกได้ดีกว่าเดิม เพราะฝึกให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ตามคำสอนของพี่โยคี ปัจจุบันขณะ ที่เคยคิดว่า ณ วันนี้ ณ ชั่วโมงนี้ ก็กลับสั้นลง เป็นลำดับๆ

    อินเดียก็เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในความใฝ่ฝันที่ อยากจะไป แต่ก็คงต้องใช้แรงอธิษฐานกันพอสมควร กHอาจให้มีโอกาสได้สัมผัส ศึกษาชีวิต ตามที่พี่โยคีบอกมา การได้เรียนรู้กับตา คงทำให้ใจของเรา ได้รับการพัฒนามากขึ้น  ธรรมะต้องปฏิบัติจึงจะรู้ผล

   น่าปิติใจกับคุณพ่อ คุณแม่ และญาติๆของพี่โยคี ที่มีคนอย่างพี่ร่วมวงค์ตระกูล ทั้งกตัญญู ทั้งเป็นกัลยาณมิตร ที่สำคัญ พี่โยคีจิตใจเข้มแข็งมาก ที่สามารถวางภาระทางโลกได้ชั่วขณะ สุดยอดแล้วค่ะ เป็นสิ่งทำได้ยาก แต่ก็คงเพราะทุกคน เกิดมาเพื่อสนับสนุน การสร้างบารมีของพี่ จึงทำให้ไม่มีอุปสรรค

 ในส่วนตัวของโยคีน้อย ส่งกระใจไปรับบุญทุกวัน ส่งแรงใจไปให้ การบวชครั้งนี้ จงเต็มไปด้วยกุศล อย่ามีอุปสรรคขัดขวาง

 ที่สุดทุกอย่างก็สำเร็จตามความปรารถนาของทุกคน ยินดีด้วยจริงๆ ยินดีที่มีส่วร่วม กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้

   ขออนุโมทนาสาธุ สาธุ  สาธุ ให้ชื่นใจอีกครั้งค่ะ

โยคีน้อย

10 พฤศจิกายน 2550

โยคีน้อย

มีเรื่องหนึ่งที่นำมาฝากโยคีน้อยโดยเฉพาะคือ สถานพยาบาลกุสินาราคลีนิค อยู่เยื้องๆ กับวัดไทยกุสินาราเลย เป็นสถานพยาบาลที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลอินเดีย เป็นกิจกรรมหนึ่งที่พระธรรมทูตและชาวไทยในอินเดียสร้างขึ้นและนับว่าเป็นสถานรักษาพยาบาลแก่สาธารณชนผู้ทุกข์ยาก เจ็บป่วยโดยไม่เลือกชั้นวรรณะหรือศาสนาใดๆ และเป็นการกุศลโดยแท้ เสียค่ารักษา 8 รูปีทุกโรค

ได้ถามพระที่ดูแลท่านบอกว่าหากมีหมอหรือพยาบาลไทยใดสนใจจะไปเป็นอาสาสมัครก็ได้ (คงช่วงสั้น) สถานพยาบาลสร้างเกือบเสร็จแล้ว ยังไม่มีผู้อำนวยการที่เป็นฆราวาสเลย คณะพระนวกท่านหนึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท ได้อาสาเป็นที่ปรึกษาแล้ว

น่าจะเป็นโอกาสดีที่จะได้สร้างกุศลในดินแดนพุทธภูมิ จึงนำข่าวมาบอกและขอให้ติดต่อไปยังพระมหาคมสรณ์ 09415270696

บอกว่าอัครราชทูตพลเดชแนะนำไป.................คิดว่าธรรมะจัดสรรได้ วัดเองก็สามารถทำหนังสือถึงหน่วยงานที่สนใจจะส่งพยาบาลไปช่วยงานช่วงสั้นได้ จะได้ไปสังเวชนียสถานและช่วยเหลือคนด้วย

ด้วยความปรารถนาดี

 

โทรอินเดีย 00191 แล้วต่อด้วยหมายเลขมือถือ ดังนี้ 001919415270696 พระมหาคมสรณ์เป็นผู้ดูแลสถานพยาบาลกุสินารา

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  โยคีน้อยติดต่อพระอาจารย์แล้ว บอกว่าท่านทูตพลเดชแนะนำ ท่านบอกว่า พรุ่งนี้จะเดินทางกลับประเทศไทย 10 วัน แล้วท่านจะติดต่อมา เอาเบอร์โยคีน้อยไว้

 สงสัยจะได้ไปเยี่ยมพุทธภูมิตามแรงอธิษฐานเสียแล้วค่ะ

 ขอบพระคุณพี่โยคีค่ะ

สวัสดีค่ะ

  ขอส่งการบ้านพี่โยคี และมีคำถามนิหน่อยค่ะ

   เมื่อคราวที่ไปสนทนาธรรมกับคุณลุงสมบัติ คุณลุงได้ขอให้โยคีน้อย ค่อยๆปฏิบัติให้ชำนาญ ขอวันละครึ่งชั่วโมง ทำให้สม่ำเสมอ แต่จะเน้นเรื่องปัจจุบันขณะมาก ถึงจะโกรธ หรืออะไรมากระทบก็แล้วแต่ ขอเพียงเราตามให้ทัน ระยะเวลาให้สั้นลงไปเรื่อยๆ และให้รู้สึก ขอบคุณ คน สัตว์ สิ่งของ ที่ทำให้เราบังเกิดอารมณ์เหล่านั้น ตัวโกรธจะเห็นชัดที่สุด เมื่อเร็วๆนี้ โยคีน้อยก็มีเรื่องต้องโกรธ แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า การกลับสู่ปัจจุบันขณะนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อกลับมาได้ (ประมาณเกือบ2 ชั่วโมง) ก็ทำให้เรา ไม่ค้างคาใจเหมือนก่อน ที่จะต้องเอามาคิด ให้มันกรุ่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนจบแล้ว จบเลย ทางอารมณ์ แต่ผลกระทบทางโลก ก็ไม่อาจคาดเดาได้

   จะถามพี่โยคีว่า ขณะที่เราเดินจงกรม ใช้สติกำหนดการเดิน การยืน การกลับตัวนี้ โยคีน้อยพอทำได้แล้ว โดยขณะทำ มีเรื่องแทรกน้อยมาก(คุณลุงบอกว่า ถ้าครึ่งชั่วโมงคิดเกิน 12 เรื่อง แปลว่าฟุ้งได้ที่ ถ้าขนาดธรรมดา ประมาณไม่น่าเกิน 7 เรื่อง ) โยคีน้อยทำได้ตอนนี้ประมาณ 3-4 เรื่อง ขณะเริ่มปฏิบัติ จากนั้นแทบจะไม่มีเรื่องแทรกเลย คำถามคือ เราควรยกจิตออกมา แล้วให้ดูกายเรากำลังทำอะไร หรือว่า ให้เราเอาจิตไปอยู่ที่กายส่วนที่กำลังเป็น

    ช่วงนี้ ถ้าได้อยู่เงียบๆคนเดียวเมื่อไหร่ รู้สึกชอบมาก อยากปฏิบัติธรรมอย่างเดียว แต่คงเป็นไปได้ยาก กับการอยู่ในสังคม จำกัดด้วยเวลาเสมอ

     รบกวนพี่โยคีเท่านี้ก่อน ให้พี่โยคีช่วยแนะนำต่อไปด้วย และขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 โยคีน้อย

 11 พฤศจิกายน 2550

โยคีน้อยครับ

สาธุกับการปฏิบัติธรรมที่ก้าวหน้าตามลำดับ

เรื่องที่ถาม สำคัญและละเอียดอ่อนมากครับ การยกจิตออกมานั้นใจคนเราอยากจะทำอยู่แล้ว (เพราะยังมีความอยากอยู่)แต่ขอให้ระวังให้มากครับ เป็นดาบสองคมครับ

จากประสบการณ์ของผม เมื่อมีพลังจิต จิตก็จะยิ่งยึดตัวตนครับ อันตรายอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าต้องการจะศึกษาเพื่อรู้เท่านั้น ก็ลองทำดูครับ แต่อยากจะขอให้อาราธณาพระคุณพ่อแม่ หลวงพ่อหลวงปู่ที่เคารพช่วยปกป้องทุกครั้งและเมื่อทำได้แล้วขอให้หยุดครับ เอาพอเพื่อได้รู้

จิตไปดูกายจึงเป็นทางที่ปลอดภัยครับ เป็นไปเพื่อปัญญาโดยแท้ อย่าลืมครับว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อรู้สภาวะธรรมที่เป็นจริงเท่านั้น

พลังจิตที่เกิดเป็นเพียงผลพลอยได้ ถ้าไปหลงติดจะเป็นโอกาสให้เราท่องเที่ยวไปในโลกวิญญานอย่างไม่มีสิ้นสุดและสามารถสร้างบาปบุญคุณโทษได้อีกมาก

แนะนำโยคีน้อยไปแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง ระหว่างที่ปฏิบัติจริง หากจะมีสิ่งใดเกิด บางครั้งเราก็ห้ามไม่ทันครับ ต้องอาศัยบุญที่ทำมาด้วยดีแล้วของตนปกป้องตัวเราเองจากการเดินทางผิดครับ

พยายามไม่ประมาทให้มากที่สุดครับและไม่หวังอะไร ก็จะปลอดภัยครับ

ด้วยความปรารถนาดี

ปล.ในการแผ่เมตตาหลังจากสร้างบุญต่างๆ  ทุกครั้ง ให้แผ่เมตตาออกไปให้หมดและกว้างขวางที่สุดครับ ให้ให้หมดจด ให้มิให้เหลือเศษ เหมือนกับการแบมือออก ไม่มีอะไรเหลือในมือ ทำได้แบบนี้ ใจก็จะเบาสบายครับ

อนึ่งการปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ที่มีอยู่ในสังคมให้ดีครับ ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรืออยู่หลายคน ก็ต้องให้เหมือนกันครับ หนอๆๆๆๆๆ

ถ้าเมื่อใหร่ดูสีขาวกับสีดำเหมือนกัน ไม่ต่างกัน ก็นั่นแหละครับ

ขอแก้คำผิดครับ

"จิตไปดูกายจึงเป็นทางที่ปลอดภัยครับ"

ที่ถูกต้องเป็น  จิตอยู่ที่กายจึงเป็นทางที่ปลอดภัยครับ

ด้วยความปรารถนาดั

สว้สดีค่ะพี่โยคี

  โยคีน้อยยังไม่ได้ติดต่อกับพระอาจารย์คมสรณ์ เลยค่ะ ไม่ทราบท่านเดินทางมาถึงประเทศไทยหรือยัง แต่วันนั้น ท่านว่าจะติดต่อกลับมาเมื่อถึงเมืองไทย

 นี่โยคีน้อยคิดไปไกล เหมือนจะได้ไปจริงๆเลย ถ้ามีโอกาส อยากได้ทำงานด้านสาธารณสุข คือการปฏิบัติตนมากกว่า ที่จะช่วยให้คนไม่ต้องป่วย ไม่ทราบโครงการของท่านเป็นแบบไหน มีส่วนนี้หรือไม่ แล้วโยคีน้อยก็ต้องใช้ภาษาใบ้ด้วยหรือเปล่า พูดภาษาไม่เป็น

 แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคหรอกค่ะ ความสำเร็จอยู่ที่ความพยายามของเรา จุดหมายปลายทาง อยากได้เดินตามรอย ที่พี่โยคีได้ไปมากกว่า คงป็นบุญที่ถวายผ้า ให้พี่โยคี ได้ใช้ประโยชน์ ในการเดินทาง เลยอาจทำให้ได้เดินทางไปสู่สถานที่สำคัญ และเคยใฝ่ฝันเอาไว้

 โยคีน้อยเริ่มอธิษฐานแล้วนะคะ พี่โยคีก็ช่วยส่งบุญสนับสนุนด้วย เพราะการได้ไปครั้งนี้ ย่อมมีเหตุปัจจัย ที่มีผลกระทบต่อชีวิตแน่นอน ความรู้สึกคล้ายๆหลายๆสถานที่ ที่โยคีน้อยรู้สึกอยากไป ตามที่เคยเล่าให้ฟัง

 ชีวิตที่เหลือของโยคีน้อยนี้ เต็มไปด้วยอิสรภาพ ก็คงได้ทำในสิ่งที่กำหนด ให้ดีที่สุดค่ะ

  โยคีน้อย

13 พ.ย. 50

  

โยคีน้อยครับ

เริ่มต้นเรียนวิถีแขก บทที่ 1 ครับ เมื่อตั้งใจแล้ว ติดตามจนถึงที่สุด

โทรไปหาท่านคมสรณ์เลยครับ มือถือของท่านน่าจะใช้ได้ตลอด

คลีนิคกุสินาราเท่าที่ไปเห็น เป็นมหากุศลครับ เป็นประโยชน์กับคนอินเดียและคนต่างชาติในกุสินาราและเมืองใกล้เคียงเป็นอย่างมาก

เราไปเรียนรู้ทั้งการให้และการรับ ให้คือให้ความเมตตาให้เขาได้รักษาจากการป่วย ให้ความรู้ต่างๆ ที่ยังไม่มี และรับผลบุญจากการเป็นผู้ให้ไม่เลือกชั้นวรรณะ

ผมถือว่าเป็นนโยบายส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีมากของพระธรรมทูตครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  พยายามโทรหาพระอาจารย์คมสรณ์ค่ะ แต่หมายเลขมันเยอะมาก ไม่ทราบว่าต้องตัดตัวใดบ้าง ตัดเลข00191 ออก จากนั้นก็เติม 8 หลังศูนย์ แจ้งแค่เป็นระบบDtac และยังไม่เปิดใช้ จึงทดลองตัดเลขให้เหลือ10 ตัว เหมือนในไทย ก็ติดต่อไม่ได้ ไม่มีความรู้เรื่องหมายเลขโทรศัพท์ ใน -นอก ประเทศค่ะ ติดต่อท่านไม่ได้ มีวิธีไหนอีกไหมคะ

  พรุ่งนี้ก็จะเดินทางไปดงหลวงมุกดาหาร ไม่ทราบจะมีสัญญาณหรือไม่ พี่โยคีส่งข่าวคืนนี้นะคะ มิฉะนั้น จะทันท่านกลับอินเดียหรือเปล่า จะกลับจากมุกดาหาร 19 ค่ะ

 

โยคีน้อยครับ

ไม่เป็นไรครับ ท่านบอกว่าจะติดต่อมาเอง ให้เทวดาเป็นคนจัดดารนะครับ ท่านมหาคมสรณ์คงปิดมือถือที่ใช้ที่อินเดียครับ

ผมเชื่อในเรื่องธรรมะจัดสรรครับ

ทำใจให้สบาย ผ่อนคลายกายและใจ เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามเหตุและปัจจัยเอง

ผ้าที่โยคีน้อยถวาย ผมได้ถวายให้วัดไทยกุสินาราไปแล้วในวันก่อนลาสิกขา รวมกับจีวรและผ้าอื่นๆ ที่เกินความจำเป็นของพระ โดยเก็บจีวรไว้ผืนเดียว

ผลบุฐดังกล่าวคงจะทำให้โยคีน้อยได้ไปแสวงบุญในอินเดียได้เป็นแน่

สาธุครับกับจิตใจที่ตั้งมั่นในกุศล

ด้วยความปรารถนาดี

สาธุ สาธุ สาธุ

โยคีน้อยก็เชื่อมั่นในผลบุญเสมอ ถ้าเราสร้างเหตุ ก็ย่อมมีผลเสมอค่ะ

สวัสดีตะพี่โยคี

  เนื่องจากมีความจำกัดในการใช้เครื่องคอมฯ ต้องรอจังหวะว่าง เช่นเช้านี้ขณะที่คนกำลังไปกินข้าวกัน ก็เลยรีบกินแล้วมาขอใช้เครื่องที่ว่าง เขียนส่งข่าวค่ะ

เมื่อคืนมีการสนทนากันอย่างธรรมชาติ หมอนคนละใบ ใครจะนอน ใครจะนั่งสุดแท้แต่ โยคีน้อยก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง ตามอัธยาศัย พอเขาให้โอกาส ก็ได้พูดถึงแรงบันดาลใจเรื่องกฐินออนไลน์ ว่าความจริงพ่อครูบาสุทธินันท์ เป็นต้นคิดการตั้งกฐิน แต่ที่สุดพ่อครูก็มายกความดีให้โยคีน้อย และได้บอกว่า ทุกอย่างนี้ เกิดเพราะความตระหนักในความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคมที่อยู่เป็นหลัก และใช้สื่อคือการบอกต่อให้ใครได้รับรู้ ส่วนการตัดสินใจ เป้าหมาย ไม่อาจคาดเดา แต่ได้ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ก็พอใจมากแล้ว และได้แจ้งให้พี่โยคีทราบว่า ได้นำเรื่องการร่วมบุญของพี่โยคี มาให้ที่ประชุมได้ร่วมอนุโมทนากัน และเป็นการแสดงว่า การบอกบุญ การสร้างความดีของพวกเรา ไม่ได้มีระยะเส้นทางที่ห่างไกลเป็นอุปสรรคเลย เราเชื่อมโดยใช้คำว่าใจเป็นอุปกรณ์ เข้าใจกันโดยกำหนดรู้กันเอาเอง

   พยามจะพิมพ์ส่งข่าวตั้งแต่เมื่อวาน แต่เน็ต ก็ทำพิษจนท้อไปเอง โพสไม่ได้ วันนี้คงสำเร็จขอให้พี่โยคี จงได้รับการอนุโมทนาสาธุ สาธุ  สาธุ จากหมู่มนุษย์และเทวดา ในกุศลจิตที่ร่วมบุญกฐินออนไลน์ แห่งประวัติศาสตร์ ค่ะ

  เดี๋ยวจะต้องเดินทางไปในชุมชน กินข้าวเที่ยงกลางป่ากัน คงได้มีเรื่องน่าสนใจมาฝากค่ะ ขอจบก่อนนะคะ เขามากันมากแล้ว

โยคีน้อย

17 พ.ย.50

P 

ขอให้เจริญสุข ในทุกสถานที่ครับ

ถ้าเราสามารถเจริญทั้งกายและเจริญจิตของเรา ความสุขก็จะมาหาเองครับ และไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ก็จะเป็นบุญกุศลตลอดไปครับ

สำหรับผมเองนั้น ลมหายใจที่ว่าง...จะภาวนาคำว่าพุทโธเสมอ (เป็นอัตโนมัติ) อีกสิ่งหนึ่งที่อยากจะเล่าให้โยคีน้อยฟังก็คือ สัก สิบกว่าปีมาแล้ว ได้นำวิธีการทำบุญแผ่เมตตาในชีวิตประจำวันมาใช้

กล่าวคือ เวลาเราจะทานข้าวหรือรัปประทานอะไรก็ตาม ให้กำหนดจิตสักอึดใจหนึ่ง นึกถึงว่าในโลกของจิตมีผู้ต้องการบริโภคหรือรับอาหารมากมาย แต่ก็ไม่มีอาหารทานเพราะไม่ได้สร้างบุญที่เพียงพอ เช่น คนยากจน เด็กยากจน ไม่มีเงินที่จะซื้อของดีๆ ทาน หรือวิญญานบางทีก็บกพร่องบุญ ขาดแคลนความสุข ก็มีถมไป ......ดังนั้น เวลาที่เราจะรับประทานอะไรก็ตาม แสดงว่าเรานั้นมีบุญแล้วที่มีกิน ดราจะไม่ให้ใครก็ได้ เพราะเป็นอาหารของเรา ซื้อด้วยเงินของเรา ......แต่ตรงนี้เอง หากกำหนดจิตสักอึดใจหนึ่งแผ่เมตตาให้วิญญานที่หิวโหยและต้องการอาหาร ได้มารับอาหารที่เราจะทานนั้นแล้วขอให้มีความสุขตามสภาพของเขา ก็ถือว่าเป็นการสร้างกุศลที่ครบถ้วนไม่ตกหล่นเลย .......ผมใช้วิธีเอามือแตะภาชนะที่ใส่อาหารนั้นแล้วก็กำหนดในใจ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เราก็ได้อหารของเรา ส่วนผู้รับที่ต้องการก็ได้รับในอาหารทิพย์ที่เราให้ ได้ด้วยกันทุกฝ่าย

ก็แนะนำมาครับ หากมีเวลาและกำหนดทัน ก็ลองดูนะครับ ชีวิตเราก็จะมีแต่ให้ครับ ซึ่งโยคีน้อยเองก็ได้ทำมามากและทำมาด้วยดีแล้ว

เจริญสุขครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำเรื่องแผ่เมตตา คนเราถ้าใจละเอียด ก็ทำให้เรานึกอะไรได้ละเอียดยิ่งๆขึ้นไปนะคะ

 อยู่ดงหลวง โยคีน้อยนั่งสมาธิก่อนนอนทุกคืน แผ่เมตตา สวดมนต์ ให้แก่ทุกคน รวมทั้งหยาบและละเอียด

 คืนก่อนที่โยคีน้อยจะมา ชุดมาเตรียมงาน เขาบอกว่า มีสิ่งนั้น มาเดินรอบเตนท์เขา เสียงดังจนสัมผัสได้ แต่มองไม่เห็น คงเข้ามาทักทาย

  แต่โยคีน้อยนอนเป็นสุขดี

มีคนสนใจบันทึกของพี่โยคีหลายคนค่ะ ชื่นชอบกันมาก เสียดาย ที่มีหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้ต้องตายติดไปแค่ 4 เล่ม เก็บไว้ ที่บ้าน 1 เล่ม หนังสือก็มีเจ้าของนะคะ เขาก็ได้รับไปแล้ว

 ได้ไปเที่ยวบ้านและเจดีย์ของฤษีของชนกลุ่มไทยโซ่ด้วย การสร้างบารมีนี่ ทำให้มีคนนับถือศรัทธา จนกลายเป็นผู้นำในเวลาต่อมาได้

 สิ่งหนึ่งที่ได้กลับมาคือ ความรู้สึกที่ดีต่อกัน คนที่ทำดีต่อกันโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นธรรมชาติดีมากค่ะ วันหลังจะเล่าเรื่องความทุกข์ของสหาย ซึ่งดูแล้วเป็นห่วง เพราะเขายังมีความรู้สึก อารมณ์ในครั้งนั้นติดใจอยู่ และบางคนยังมีหลักฐานตอกย้ำอีก เช่น ขาขาด ตาบอด บางคนเล่าสิ่งที่ประสบมาอย่างโหดเหี้ยมด้วยค่ะ ก็คงได้แต่แผ่เมตตาให้เขาจงมีความสุขใจกันค่ะ

  โยคีน้อย

19 พฤศจิกายน 2550

 

สาธุครับ กับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา  ล้วนเป็นการเดินทางของจิตทั้งนั้นครับ ต้องกำหนดนะครับ โดยเฉพาะ "สิ่งนั้น" หากมาทักทายจะได้กำหนดทันครับ

เพราะทุกอย่างไม่พ้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจึงต้องกำหนดต่อไปครับ

เป็นโจทย์ให้เราได้ทำเพื่อพัฒนาจิตของเราทั้งนั้น

ยิ่งสุขมาก ก็จะเห็นทุกข์มากครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้มีเรื่องปรึกษา มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ในพื้นที่ที่โยคีน้อยทำงานมาก่อน ได้มีโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ คราวนี้ เขาทำหนังสือเชิญ ให้ไปสอนเด็กเขาเรื่องการทำสมาธิ ทุกวันพุธ ให้เวลา 2 ชั่วโมง จะทำกันอย่างไรดี มีเด็กตั้งแต่ อนุบาล จนถึง ประถมปีที่ 6 ก็รับปากเขาไป พี่โยคีช่วยคิดหน่อยค่ะ ว่าเราจะเริ่มอะไรกับเด็กดี

 แต่ก็ดีใจที่ครูใหญ่เขามีความคิดที่ดีแบบนี้ เคยเป็นอาสาสมัครเล่านิทานให้เด็กเมืองพัทยาอยู่สักปีได้ ต่อมาเวลาน้อย เดินทางไกล เลยขอยุติ แต่ที่นี่ไม่ไกล น่าจะช่วยเหลือเขาได้บ้าง

 ฝากพี่โยคีดีกว่า มีเด็กๆหลายคน น่าจะมีประสบการณ์ เข้าใจเด็กได้ดี ช่วยหน่อยนะคะ

โยคีน้อย

P 

โยคีน้อยครับ

สาธุครับ จะได้ทำบุญสร้างบารมีอีกแล้ว

สอนเด็กเรื่องการทำสมาธิ.....ทุกวันพุธ.....2 ชม.........เป็นโอกาสที่ดีมาก แต่ไม่ง่ายนะครับ

การทำสมาธิ ถือเป็นการปฏิบัติธรรม ถ้าจะทำอย่างจริงจัง ต้องมีรูปแบบที่ถูกต้อง มีระเบียบวินัยของผู้เรียน และต้องตั้งใจจริง.......... บางแห่งจึงต้องมีหลักสูตรฝึกสมาธิต่อเนื่อง 3 วันบ้าง  7 วันบ้าง เพื่อที่จะให้ผู้ฝึกมีเวลาทำได้เต็มที่

อย่างไรก็ดี การสอนเด็กเล็กเรื่องทำสมาธิ หากจะให้ทำอย่างจริงจังเกินไป และใช้เวลาเพียง 2 ชม.ทุก สัปดาห์  อาจจะไม่ประสบความสำเร็จเพราะเด็กส่วนใหญ่จะไม่อดทนพอที่จะทำสมาธิแบบเดินและนั่งสมาธิให้ต่อเนื่อง และเวลา 2 ชม. ทุกสัปดาห์นั้นก็ห่างกันไป ทำให้ไม่ได้ผล

แต่หากจะสอนเพื่อให้เข้าใจเรื่องสมาธิ และฝึกทำให้เกิดสมาธิเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ก็น่าสนใจกว่า

ดังนั้น หากสามารถสอนเด็กให้เรียนรู้วิธีทำสมาธิ เข้าใจประโยชน์ของการทำสมาธิ และสนุกกับการทำนั้น จะเป็นประโยชน์กับเด็กครับ

ลองแลกเปลี่ยนความเห็นกันตรงหลักการนี้ก่อน แล้วค่อยคุยกันต่อว่าจะใช้วิธีการใด ให้เด็กสนุกกับการเรียนธรรมะ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  เป็นเรื่องที่คิดว่า ครูคงเข้าใจว่าสมาธินั้น เป็นการสอนเหมือนทฤษฎี บอกไปแล้วเด็กคงเข้าใจ คาดหวังผลจะเกิด เมือสอนจบ หรืออาจเพราะครูเองก็ไม่เข้าใจด้วย

 ถ้าในส่วนตัวของโยคีน้อยเอง เมื่อสมัยเด็กๆ ชอบพระสอนทำสมาธิ ให้นั่ง ให้นึก ก็ทำได้ แต่คนอื่น ไม่แน่ใจ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้น กับคนหลายๆคนพร้อมๆกัน

  บางครั้งเห็นครูเขาทำโทษเด็กด้วยการให้นั่งสมาธิ เด็กก็จะกลัวกับการต้องนั่งอยู่นิ่งๆ นานๆ ขณะที่เพื่อนไม่ทำผิด กำลังเล่นสนุกสนาน

  วัตถุประสงค์ครั้งนี้ เหมือนครูเขายกเด็กให้เราช่วยดูแล อบรม ลูกศิษย์ ไม่ได้กำหนดรูปแบบ ค่ะ

 ที่จริงมีพี่คนหนึ่งเป็นครูนอกราชการ เข้าไปสอนเสริมเด็กๆอยู่ แต่พอเรื่องทำสมาธิ ก็เลยมาขอความช่วยเหลือ และให้ครูทำหนังสือเชิญ เป็นเรื่องเป็นราว

  ตอนนี้เลยยังมึนๆอยู่ เรื่องที่พี่โยคีบอกมาว่า "ให้เด็กสนุกกับการเรียนธรรมะ" นั่นแหละค่ะ เป็นสิ่งที่อยากทำ แต่ก็ยังไม่เคยทำ ต้องรบกวนพี่โยคีนะคะ จะได้ศึกษาด้วยตัวเองก่อนค่ะ

 โยคีน้อย

 

 

ครับ มาคุยกันต่อ

เป็นเรื่องที่เป็นบุญกุศลมากที่ได้มีโอกาสให้สิ่งดีๆ แก่เด็ก เรียกว่า เทวดาจัดสรร.....

ที่บอกโยคีน้อยไปก่อนหน้านี้ เพียงจะบอกว่า ผมคิดออกนอกกรอบ ด้วยมีประสบการณ์ในการสอนปฏิบัติธรรม(ช่วงหนึ่งของชีวิต) ถ้าเข้มไป ผู้เรียนจะเหลือน้อย ถ้าหย่อนไป ผู้เรียนจะเบื่อหน่าย ยิ่งเป็นเด็ก ยิ่งต้องปรับรูปแบบให้เป็นธรรมชาติที่สุด

ความจริงแล้วการสอนแบบเข้มข้นนั้นดีมาก แต่ต้องเป็นหลักสูตรระยะเวลายาวพอสมควรเช่น 3 วันหรือ 7 วัน แต่หากเป็น 2 ชม. เช่นที่บอกมา จึงน่าจะเป็นการสอนแบบสบายๆ เป็นธรรมชาติ ให้เด็กค่อยๆ เรียนรู้แบบอ้อมๆ คือสนุกและทำแล้วนำไปสู่การฝึกจิตเป็นพื้นฐานเช่นเดียวกับฝึกแบบเข้ม

และเนื่องจากเราไม่ใช่นักบวช หรือครูสอนศาสนา การสอนเด็กจึงไม่ใช่เป็นการนำเด็กปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้น แต่นำเด็กไปสู่ความสนุกในการเรียนรู้

ก็สนุกกับการเรียนรู้นี่ละครับที่ในต่างประเทศเขาเน้นมาก และใช้กับเด็กเล็ก

โยคีน้อยเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The sound of music ไหมครับ เก่ามาก แต่มีคุณค่าในเรื่องการสอนเด็ก จำไก้ไหมครับเรื่องการ สอนโน๊ตดนตรี โด เร มี สอนโดยการใส่คำพูด สนุกสนานที่จะจำ ผลก็คือจำโน๊ตได้อย่างรวดเร็วและประทับใจ

คนเราถ้ามีความสุข สนุก ประตูใจเปิดกว้าง จะเรียนรู้อะไรก็ได้ทั้งนั้นครับ

ถ้าโน๊ตดนตรีนั้นเป็นธรรมะ ก็คงได้ผลเช่นกัน

เช่น โยคีน้อยเก่งในการเล่าเรื่อง หรือแต่งกลอน ก็อาจใช้สิ่งนั้นนำมาเป็นวิธีการสอนเด็กในเรื่องสมาธิ

เด็กๆ ในวัยนี้ ต้องมีแบบอย่างที่เขารักจะเดินตามรอย โยคีน้อยก็เอาความเป็นตัวตนของโยคีน้อยนั่นแหละไปสอนเด็ก จะเป็น 2 ชม. ที่เด็กๆ มีความสุข สบายๆ สนุกกับการเรียนรู้เรื่องดีๆ จากครูหมอ แต่ผลที่ได้คือการมีสมาธิในการคิดหรือทำสิ่งใดๆ ในชีวิตประจำวัน

ผมว่าแค่นี้ ก็เป็นธรมทานที่ได้ผลสูงแล้วครับ

โอกาสหน้าจะลองเสนอวิการนอกกรอบอื่นๆ อีกครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

ขอบคุณค่ะพี่โยคี

 เสียดายไม่เคยดูภาพยนค์เรื่องนี้ โยคีน้อยเคยมีครูท่านหนึ่งสอนวิชาสุนทรียศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะให้เรารู้จักตัวเอง และอยู่กับความสุขหรือทุกข์ได้ด้วยตัวเอง ท่านว่านักปกครองเขาต้องเรียนรู้วิชานี้กัน ที่ท่านเมตตาสอนนั้น เพียงน้อยนิด แต่สิ่งที่ได้ก็คือ ได้ฝีกเป็นคนมองโลกในแง่ดี และรู้จักการรอและอดทนคอยกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต มองภาพชีวิตของสรรพสิ่งละเอียดขึ้น เคยไปที่โรงเรียน แล้วมีเด็กๆ จับหนอนมาให้ดู ก็ใช้หนอนนั้นเล่าเรื่อง เช่น หนอนก็เหมือนหนู มีพ่อ มีแม่ มีลูก อาจกำลังจะเอาอาหารไปให้ลูก หรือกำลังจะกลับบ้านเพราะคิดถึงลูกอยู่ หรือถ้าเป็นลูกหนอน เหมือนเราเลย หนอนเด็กๆ ก็กำลังตามหาพ่อแม่อยู่ ก็คงไม่ได้เจอกันแล้ว เพราะ เราจับเขามา กลับบ้านไม่ถูก ปรากฏว่า เด็กรีบเอาหนอนไปคืนต้นไม้ที่จับมา

   และที่เคยรับความรู้มาเรื่องการฟังดนตรีบรรเลง ให้สร้างจินตนาการ เพื่อดูสภาวะจิตของคน การวาดภาพ เป็นต้น

   แล้วโยคีน้อยจะเอามาสอนเด็กเขาอย่างไรดี นี้เป็นทุนเดิมที่มีอยู่บ้าง แต่ถ้าได้นักการทูต ที่มีความสามารถพิเศษ ทะลุกำแพงใจคนได้ โครงการนี้ ก็คงเปี่ยมไปด้วยคุณค่า และผลกุศล

  รอแนวคิดของพี่โยคีต่อไปค่ะ

 โยคีน้อย

  

โยคีน้อยครับ

ผมคิดว่าเราต้องมีดูและถามตัวเองก่อนว่า ที่จะสอนเด็กเรื่องสมาธิ เพื่อให้เกิดอะไร มีเป้าหมายอย่างไร และเป้าหมายนั้น เหมาะสมกับเด็กๆ ที่นั้นหรือไม่

การสอนเด็กยิ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะเด็กเหมือนต้นไม้อ่อน กำลังจะเติบโต ถ้าได้แนวทางที่ดี ก็จะโตอย่างสมบูรณ์ แข็งแรง (ต้นไม้ไม่จำเป็นต้องตรง เพราะธรรมชาติไม่ได้ให้ต้นไม้ตรง แต่ต้องเจริญสมบูรณ์)

ข้อมูลเด็กที่เราจะสอนต้องมีให้ครบ

รู้จักเด็กที่เราจะสอน หมายความว่ารู้ตัวตนของเขา จากการ.....ให้เขียนความในใจ บอกถึงตัวเขา ความฝันของเขา .......ครอบครัวของเขา

โรงเรียนที่สวิสมีวิการสร้างเด็กให้เป็นผู้นำ มีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการ โดยให้มีเวลาของการ Show and Tell เด็กจะต้องหาสิ่งของมาแสดงและเล่าเรื่องได้ เป็นวิธีการที่ผมชอบมากและนำมาใช้กับลูกๆ จนทุกวันนี้

ผมคิดว่ามีเรื่องที่จะต้องพิจารณาหลายจุดและสำคัญทุกจุด

สนุกกับงานครับ กุศลจิตที่ยิ่งใหญ่ของโยคีน้อยจะค่อยๆ หาทางจนเจอทางที่เหมาะสมนะครับ

ในลักษณะคล้าย Show and Tell ในเรื่องสมาธิ ก็อาจจะใช้วิธีการ Concentrate and watch  หรือแม้แต่การให้เด็กเล่าภาพชีวิตเมื่อวาน เห็นภาพหรือจำภาพอะไรได้บ้าง ละเอียดเพียงใด ก็เป็นวิธีการสร้างสมาธิและความจำที่สนุก ไม่น่าเบื่อและมีประโยชน์ต่อการพัฒนาสมองของเด็ก

แค่คิดก็สนุกแล้วครับ สาธุที่โยคีน้อยจะได้ทำมหากุศล สร้างคนให้ป็นคนดีของสังคม ถือเป็นงานใหญ่ มีผลต่อชีวิตของเด็กทั้งชีวิตนะครับ

อ้อ ก่อนจบ ผมว่า เฮฮาศาสตร์ที่ใช้การกอด...ถ่ายทอดความรู้สึก ก็เป็นสิ่งที่ดีที่จะเอาไปใช้กับเด็กนะครับ เด็กต้องการความอบอุ่น เช่นเดียวกับต้นไม้ที่ต้องการแสงแดด...........

โชคดีนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี

ปล.หาเวลาไปดูหนังเรื่อง The sound of music นะครับ ใครมีส่งให้คุณหมอด้วยครับ ดูแล้วจับวิญญานของเรื่องนี้ให้ดี เอาไปสอนเด็กได้ครับ

 

 

 

 

พี่โยคี

 พรุ่งนี้น่าจะได้ดูภาพยนต์ The sound of music ค่ะ และจะได้นำสาระมาศึกษา วางแผนกันต่อนะคะ

   เย็นวันนี้ มีโทรศัพท์มาถึงอีก ให้ช่วยไปสอนเณร บวชให้ในหลวง 80 พรรษา วันที่ 2-5 ธ.ค. 50 นี้ ทำไงดี พระท่านขอมา

โยคีน้อยครับ

ดูภาพยนต์ก่อนนะครับ  

เณรก็คือเด็ก คือต้นไม้ที่ยังอ่อน ต้องการแนวทางเช่นกันครับ

บวชถวายในหลวง ดังนั้น

1.อันความตายหมายไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ -อย่าประมาท

2.ยังไม่ตาย ตอบแทนพระคุณ พ่อ 1.พ่อของจิต -พระพุทธเจ้า

                                              2.พ่อของแผ่นดิน -ในหลวง

                                               3.พ่อของชีวิต -พระในบ้าน

                                               4.พ่อของความรู้ -หลวงพ่อ อุปฌาชย์ ครูบาอาจารย์.....ผู้มีพระคุณ

3.ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเอง -กินอย่างไร ได้อย่างนั้น

                             -คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น 

                            -รู้อะไร ก็เป็นอย่างนั้น

                            -สติมากเท่าไหร่ ก็ทุกข์น้อยเท่านั้น

4.ถ้าไม่อดทน ฝืนใจทำความดี จะไม่มีทางได้ดี

เณรในวันนี้ ก็คือมนุษย์ที่ดีของสังคมและประเทศชาติในอนาคตครับ

ธรรมะจัดสรรครับ

ด้วยความปรารถนาดี

อ้อ เกือบลืมไปครับ

เล่าในสิ่งที่เราเป็น ในสิ่งที่เรามี เพียงแค่นี้จริงๆ ครับ

คุณค่าอยู่ตรงนั้เอง.............

ส่งกำลังใจมาให้กองใหญ่

โชคดีครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ดูภาพยนตร์ เพราะผู้ปรารถนาดี ยังส่งมอบไม่ได้ คาดว่าพรุ่งนี้น่าจะเรียบร้อย แต่ได้อ่านเรื่องย่อบ้างแล้ว ท่าจะสนุก มีคติเหมือนพี่โยคีว่า วันก่อน มีรุ่นพี่คนหนึ่งมาที่บ้าน เลยถามว่าเคยได้ยินชื่อหนังเรื่องนี้ไหม เธอบอกว่า ดีมากๆ เธอเองดูตั้งสองครั้ง และยังอยากดูอีก รู้สึกจะเป็นเรื่องของแม่ชี ทีดูแลเด็กให้กับคุณพ่อที่เข้มงวด แต่เอาไว้ดูก่อนดีกว่าค่อยมาคุยกัน

   พี่โยคีว่าพระจันทร์มีอิทธิพลต่อคนเราไหม วันนี้พระจันทร์ใกล้เต็มดวงแล้ว พรุ่งนี้ลอยกระทง วันสุดท้ายของการทอดกฐิน ดูพระจันทร์ทีไร ตั้งแต่สมัยเด็กๆ จะอยู่บ้านนอก ไม่มีแสงไฟฟ้า คือใช้เครื่องปั่นช่วงหัวค่ำ พอดึกหน่อยก็ดับไฟ แล้วก็อยู่กันในความมืด

    เวลาข้างขึ้นนี้ มองพระจันทร์สวยมากๆ ยิ่งแสงกระทบผืนไร่อ้อย ไร่มัน จะมีสีอ่อนแก่ แรเงา  ทำให้ใจเราปล่อยโล่งไปแสนไกล แล้วก็จะเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นทุกครั้ง มันเหมือนจะนึกออก แต่ก็นึกไม่ออก ภาพมันลางๆ รู้แต่มีความสุข ณ ที่แห่งใดสักแห่งหนึ่ง สดชื่น เย็นกายเย็นใจ ล่องลอยไปเลย

   จะอารมณ์ดีในคืนวันเพ็ญ เคยนั่งสมาธิกลางแสงจันทร์ สงบมาก ไม่อยากออกจากสมาธิเลย

  เล่าเรื่องพระจันทร์ ระหว่างรอชมภาพยนต์ค่ะ

โยคีน้อย

 โยคีน้อย

เพิ่งกลับมาจากงานข้างนอก มานั่งทำบันทึกรอยยิ้มบนใบหน้า.....ก่อนนอน เลยไม่ได้ดูบันทึกนี้

หลวงปู่บุญญฤทธิ์เคยเล่าว่า ดูพระจันทร์เต็มดวงนี่ละ เกิดสมาธิดีนัก เป็นกสิณแบบหนึ่ง ดูแล้วก็กำหนดไปด้วย อาโลกกสิณังๆๆๆ (กสิณแสงสว่าง) หรือ ปีตกสิณ (กสิณสีเหลือง) ภาวนาว่า ปีตกสิณังๆๆๆ ก็ยังได้ ถ้าคืนใดพระจันทร์เหลืองสุกสว่าง

แต่ถ้าดูเฉยๆ ไม่กำหนด อาจจะหลงเสน่ห์ดวงจันทร์ได้ง่าย พลอยเห็นกระต่ายในดวงจันทร์ไปซะหมด

ด้วยความปรารถนาดี

สุขสันต์วันเกิดครับโยคีน้อย

วันเกิดนึกถึงพระคุณของคุณแม่นั้นถูกต้องแล้วครับ เพราะเป็นวันที่คุณแม่เจ็บที่สุดในชีวิต

ในฐานะลูก มีแต่ต้องทดแทนพระคุณบิดามารดา

เดินตามรอยพระพุทธองค์ ที่เป็นยอดของการทดแทนพระคุณมารดาคือให้สิ่งที่ดีที่สุดของเรา

แด่คุณแม่(ทุกคน)

 

ขอเทพดล ขนความสุข ทุกทั่วหล้า

ขอชีวา สุขเกษม เปรมสดใส

ขอร่างกาย ปราศโรคา พยาธิ์ภัย

ขอหัวใจ สว่างสงบ พบพระธรรม

 

ลูกไม่มี ของกำนัล ค่าหมื่นแสน

ทั่วดินแดน แม้นหาเจอ ไม่อาจสรร

พระคุณแม่ มากล้ำเหลือ สุดเทียบทัน

ขอกลอนอัน ลูกนั้นเพียร เขียนฝากมา

 

เขียนจากใจ น้อยนิด นิดน้อยนี้

ด้วยชีวี มีรักแม่ ไม่ห่างหา

ขอให้แม่ มีความสุข ทุกทิวา

สิ่งใดปรารถนา ขอให้ได้ สมใจเอย

2 พ.ย. 31

คิดถึงแม่ ขอให้แม่ มีแต่สุข

แม้ลูกทุกข์ ไม่เป็นไร ไม่อาสัญ

ขอเพียงแม่ เป็นสุข ทุกคืนวัน

หัวใจฉัน ก็เต้นไป ไม่วายปราณ

 

แม่อดทน ทำกิจการ งานเพื่อชาติ

ด้วยมุ่งมาตร เลี้ยงลูก ผูกสมาน

จนเติบใหญ่ มีครอบครัว ไม่ซมซาน

ควรถึงกาล แม่พักร้อน ผ่อนสักที

 

เรื่องเงินทอง ของแม่ ให้แม่ใช้

ลูกจะให้ ส่วนเพิ่มเติม เสริมสุขขี

ใช้เมื่อไหร่ ขอให้บอก ให้ทันที

ลูกยินดี ที่จะตอบ สนองพระคุณ

2533

 

ตั้งแต่เล็ก จนเติบใหญ่ ในวันนี้

ได้มั่งมี ศรีสุข สนุกสนาน

เป็นตัวตน มีหน้าตา มีเกียรติการ

ได้อาจหาญ เป็นมนุษย์ สุดยินดี

 

เป็นผู้ใหญ่ ให้ผู้คน ได้นับถือ

ชื่อระบือ ลือก้องไกล ในยุทธสถาน

สร้างกุศล กรรมดีชั่ว ในบางกาล

สมาธิญาน ฌานก้าวหน้า พารุ่งเรือง

 

เป็นเพราะใคร ถ้าไม่ใช่ แม่เกิดเกล้า

พระพรหมเจ้า ของลูกน้อย  กลอยใจนี้

สู้อุ้มชู เลี้ยงดูมา จนได้ดี

ลูกขอพลี กายและใจ ให้แม่คุณ

----2540-----

 

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

 ขอบคุณอีกครั้งกับสิ่งดีๆ ที่มอบให้ทุกๆวัน โยคีน้อยโชคดีที่มีพี่ที่ปรารถนาดีเสมอ

 ได้ดูเรือง The sound of music แล้วค่ะ เป็นหนังเก่ามาก ลูกชายทราบว่า คุณลุงท่านทูตอยากให้แม่ดู เลยหาโหลดมาให้ หลายวันเหมือนกัน

 แม่ชีมาเรีย เธอตั้งใจในงานที่รับผิดชอบดี มีวิธีปลอบใจตนเอง และผู้อื่น ทำให้ผ่านวิกฤตไปได้ด้วยดีหลายๆครั้ง ใช้ความเป็นธรรมชาติในตัวตน ในการกระทำทุกๆอย่างซึ่งมีผลกระทบ ต่อคนรอบข้างได้มาก มีการค้นหาตัวเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงทำให้เดาใจใครๆได้

 ชอบที่เธอเป็นคนไม่หวั่นไหวง่าย มีมารยาท แก้ปัยหาได้ว่องไว ได้ผล

 แต่สุดท้ายน่าสงสาร เพราะความรักเลยทำให้แม่ชีไม่ได้บวชต่อ และยังกลายเป็นแม่ลูกอ่อนตั้ง 7 คน

   สรุปคร่าวๆ ยังไม่ลึกมาก พี่โยคีว่าอย่างไรล่ะคะ จะได้ศึกษาลึกลงไปอีก

 โยคีน้อย

The sound of music  ที่อยากให้ดูเฉพาะตอนที่มาเรียคิดการสอนเด็กๆ เรื่องดนตรีครับ สามารถนำคำมาใส่ในตัวโน๊ตจนครบ ทำให้กรเรียนสนุก จำง่าย

เปรียบเป็นการสอนสมาธิแก่เด็ก ทำอย่างไรให้เด็กสนใจเรื่องสมาธิและสนุกเหมือนที่มาเรียสอนเด็ก

แทนที่จะ......พอเรียนเรื่องสมาธิ ก็ให้คำอธิบายเป็นเรื่องธรรมะขั้นสูง ให้เด็กนั่งหลับตาตัวตรง แข็งทื่อ.....

ก็เป็นการช่วยกันหาแนวทางสอนที่นอกกรอบบ้างครับ แต่ให้ผลที่ดี คือเด็กรู้จักประโยชน์ของสมาธิในชีวิตประจำวันและต้องการใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ

   เรื่องการสอนเด็กนั้น จะต้องเริ่มวันพุธนี้แล้ว เขาจัดให้ ป.3 และ ป.4 รวม 50 คน เดี๋ยวก็รู้ว่า แม่ชีบุญรุ่ง กับแม่ชีมาเรีย จะทำอย่างไร

  พี่โยคีทราบไหม ครูเขามุ่งหวังเหมือนที่พี่ว่า คือ อยากให้เด็กนั่งสมาธิ โธ่คนโตๆยังทำไม่ค่อยจะได้เลย และวันก่อนไปอีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งเด็กเป็นโรค มือ เท้า ปาก ซึ่งมีอาการเป็นตุ่มตามอวัยวะ และติดต่อกันได้ ไปสั่งให้เขาหยุดเรียน ในชั้นที่พบเด็กป่วย บังเอิญ ไปเห็นเด็กทั้งโรงเรียน นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ แต่งชุดขาว มีคุณครูถือไม้เรียว นั่งอยู่ คาดว่า เป็นการนำเด็กนั่งสมาธิ ที่มีไม้เรียวควบคุมการเคลื่อนไหว

   ก็จะนำคำแนะนำของพี่โยคีมาวางแนวดู แล้วจะรายงานผลให้ทราบ สนุก เป็นธรรมชาติ จะจำไว้ค่ะ

  พี่โยคคะ  เมื่อตอนหัวค่ำ ลงเอกชัย โทรมาว่า วันพุธ ท่านจะขอให้ออกรายการวิทยุรัฐสภากับท่าน ทางโทรศัพท์ เวลาประมาณ สองทุ่ม ให้เล่าเรื่องราวที่ทำมา ท่านว่าให้เล่าสบายๆ อยากได้เรื่องที่ชาวบ้าน มีเรื่องหมางใจกัน แล้วเราจัดประชุม และสมานฉันท์ ให้เขามาทำงานร่วมกัน และเรื่องเก็บขยะชายทะเล

  มันตื่นเต้นนะ ไม่เคยออกอากาศกับเขา จะไปรอดไหมนี่ แต่กลัวลุงเอกดุ เลยรับปากไป ทำไงดีนี่...

 โยคีน้อย

 

อิสระที่สุดก็คือใจครับ

สมาธิโดยใช้ไม้เรียว คงได้ผลน้อยครับ.....................มีแต่จะทำให้เด็กฝังใจและไม่ชอบปฏิบัติธรรม

การถูกบังคับกับการอดทนฝืนใจทำเอง ต่างกันครับ 

เรื่องการออกอากาศทางวิทยุ ไม่ยากครับ

ซ้อมหน้ากระจกครับ การจัดรายการทางวิทยุต้องแสดงท่าทางด้วยนะ แม้จะใช้แต่เสียง แต่คนที่พูดต้องพูดและว่าไปตามท่าทางประกอบด้วย

ซ้อมบ่อยๆ  ว่างเมื่อไหร่ให้ซ้อมให้ขึ้นใจ

คิดคำถามไว้ล่วงหน้าว่าลุงเอกจะถามอะไร

คิดหนอๆๆๆๆ เดี๋ยวก็คิดออกเอง

สาธุกับการได้ทำบุญสร้างบารมี ทำให้ดีที่สุดครับ ดีที่สุดของเรา และเมื่อทำแล้ว ก็แล้วกัน....ก็แค่นั้น

จบหนอๆๆๆๆ เพราะเราต้องกำหนดหนอกับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาทุกขณะ

ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

พระราชรัตนรังษี เจ้าอาวาสวัดไทยลุมพินี และกุสินารา ท่านจะกลับเมืองไทยช่วง 3-10 ธันวาคม ศกนี้ครับ หากมีโอกาส อยากให้ไปกราบท่านครับ ที่วัดมหาธาตุ คณะ 2

ผมได้แจ้งใหคุณพ่อสกลทราบด้วย เพราะท่านเคยไปวัดมหาธาตุตอนก่อนบวช และขอให้คุณพ่อหาโอกาสไปหาท่านเจ้าคุณราชในโอกาสดังกล่าวด้วย

หากสนใจและมีโอกาส ลองประสานกับคุณพ่อดูครับ

ผมคิดว่าไปรู้จักท่านก่อน หลังจากนั้น ธรรมะจะจัดสรรเองครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันตื่นแต่เช้า เตรียมตัวไปพบเด็กๆ เป็นครั้งแรก ก้เตรียมกิจกรรมคร่าวๆไว้เหมือนกัน แต่ต้องแล้วแต่สถานการณ์ ว่ากันไปตามเรื่อง ก็รู้สึกดี ที่ระยะนี้ ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำหลายๆอย่างได้เรียนรู้แก่ตนเอง ใช้สมาธิมากเหมือนกัน จะช่วยให้เกิดพลังใจค่ะ คืนนี้จะบันทึกให้ทราบผลนะคะ

   เรื่องรายการวิทยุ มีผุ้จัดรายการได้ โทร.มาพูดคุยกันหนึ่งรอบแล้วค่ะ เขาให้เล่าแบบธรรมชาติ ก็ได้เล่าให้เขาฟังไป และนัดแนะการสรุป การฝากข้อคิดค่ะ

 จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ให้สนุกเหมือนที่เคยทำมาตลอด

  ส่วนเรื่องไปกราบพระอาจารย์นั้น จะได้นัดหมายกับคุณพ่อสกลอีกครั้ง นี่พ่อลูกจะได้เจอกันแล้วนะคะ ดีใจจัง

 คงต้องไปแล้ว นัด 9 โมงเช้าที่โรงเรียน ถึง 11 โมง ทำทีละอย่างๆๆๆๆจำไว้

  โยคีน้อย

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้มีหลายเรื่องราว คือต้องสอนเด็ก ไปทำงานดูแลช่างที่มาปรับปรุงสถานีอนามัย และสุดท้ายคือรายการลุงเอก แต่รายการสุดท้ายนี้ ได้ขอเลื่อนไป พุธหน้า เนื่องจากวันนี้ ถูกเบียดเวลา เหลือแค่ 15 นาที ลุงเอกกลัวจะไม่สมบูรณ์ ทำเอาโยคีน้อยต้องกำหนดกันทั้งวัน เหมือนที่บอกไว้ว่า ทำทีละอย่าง ที่ละอย่าง ที่สุดทุกอย่างก็สำเร็จไปด้วยดีค่ะ

  ตั้งใจจะเขียนบล็อก แต่ขอผลัดไปอีกวัน เลยแวะมาหาพี่โยคีก่อน

 วันนี้สอนเด็กผ่านไปด้วยดี ได้ลูกศิษย์มา 60 คน จาก 2 ชั้น ๆละ30 คน ไม่ได้สอนรวมกัน แบ่งเป็นชั้นละชั่วโมง

 สนุกมากเลยค่ะ ห้องแรกใช้การรู้เขารู้เรา ให้เด็กเขียนเล่าประวัติตนเอง สิ่งที่ชอบ ไม่ชอบ และมีกติกาว่า ใครออกมาพูดต้องกอดกัยครูหมอก่อน เด็กๆ ชอบมาก กอดแล้ว กอดอีก มีการวาดรูปครูหมอเสียหลายรูป มีคำอวยพร มีคำแสดงความรัก ชอบ อีกต่างหาก...เด็กเขาคิดได้มากกว่าที่เราคาดคิด มีเหตุผลที่จะชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไรชัดเจน

    ส่วนอีกห้อง แจกดินน้ำมัน โดยไม่ให้เลือกสี ปั้นอะไรก็ได้ตามแต่จะจินตนาการ แล้วออกมาเล่าให้เพื่อนฟัง ห้องนี้งเก่งใหญ่ มีปั้นผลไม้ ใส่รอยยิ้ม รถดับเพลิง หัวใจ มีอยู่คนหนึ่งปั้นเสียหลายอย่าง อย่างละนิด อย่างละหน่อย มีลูกชิ้นเป็นไม้ๆ ครกส้มตำ พิซ่า ไข่ทอด แล้วก็วางเรียงน่ากิน

 ห้องนี้ก็กอดกันอีก

สิ่งสุดท้ายที่น่าจะเป็นประโยชน์กับเขาที่ใช้ทั้งสองห้องคือ  ให้ฟังคำสั่งแล้วทำตาม เช่น การยกมือซ้าย ขวา แรกๆเด็กแย่งกันยก ก็มีผิดทุกรอบ ถามว่าทำไม เขาบอกว่ารีบ ไม่ทันได้ฟังว่าสั่งว่าอะไร บางคนก็ทำตามเพื่อนอย่างเดียว ก็ค่อยๆอธิบายว่า ฟังให้จบ แล้วคิดก่อนจึงทำ ที่สุดเด็กๆก็ไม่ผิดอีก จึงออกคำสั่งยากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ต้องมีคำว่า หมอสั่งให้ยกมีอขวา เด็กๆ ก็ตั้งใจฟังก่อนทำ จนพร้อมกันไม่ผิดทั้งห้อง อธิบายเพิ่มเติมว่า เหมือนเราทำอะไร ไม่ฟังให้จบ ก็ทำให้ทำผิดพลาด ไม่เป็นไปตามคำบอก มีเด็กคนหนึ่งเข้าใจยกตัวอย่าง บอกว่า ผมเล่นเกมส์ กดยิงอย่างเดียว ไม่ได้ดูเป้า หมดกระสุน แพ้ทุกที

 เป็นการสอนพื้นๆ ง่ายๆตามประสาคนไม่ได้เป็นครู สนุกดีค่ะ แต่เหงื่อซึมเลย ก่อนจากกัน เด็กๆเข้ามาล้อม บอกให้กอดอีกๆๆๆ ครูหมอแทบจะออกจากห้องไม่ได้ นี่แหละพลังการกอด ที่ถ่ายทอดถึงกันได้

 เอาบุญมาฝากค่ะ

โยคีน้อย

โยคีน้อยครับ

ช่วงนี้ที่เดลีมีคณะมรดกใหม่ไปแสดง จึงเข้ามาดูบันทึกดึกหน่อย

ดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยความเรียบร้อย

การกอดนี่เป็นเทคนิคที่ดีมากสำหรับเด็กๆ แสดงถึงการยอมรับกันและกัน เป็นพวกเดียวกัน ดีมากครับ

เมื่อเขายอมรับครูหมอแล้ว การนำไปสู่วิชชาที่ยิ่งขึ้นไปก็จะเป็นเรื่องง่ายและไม่เป็นการฝืนใจเด็ก

อยู่ที่อินเดีย เห็นคนชอบนำดอกไม้ เกษร เมล็ดพืช มาจัดเป็นลวดลายต่างๆ ดูดีมาก คนทำต้องใช้สมาธิและจินตนาการในการทำสูง จึงคิดว่า น่าจะเป็นวิธีหนึ่งที่จะนำไปสอนเด็กได้

โดยอาจจะปรับนิดหน่อย เช่นอาจจะใช้ทราย ใส่สีต่างๆ แล้วให้นำเอาทรายนั้นมาโรยให้เป็นภาพหรือลวดลายต่างๆ และช่วยกันทำให้เป็นภาพเดียวกัน........วิธีนี้คงจะใช้ได้บ้าง.....ลองดูนะครับ

สาธุกับบุญที่ทำมาดีแล้ว ยังต้องกำหนดอยู่เสมอนะครับ ดีก็กำหนด ไม่ดีก็กำหนด....จากนั้น ก็ไม่เหลืออะไรให้เป็นของเราเลย มีแต่ตัวรู้

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

 หมู่นี้โยคีน้อยไม่ค่อยได้พูดถึงผลการปฏิบัติธรรม แต่มักจะนำเรื่องการทำงาน ที่ได้สร้างบุญมารมี มาคุยกับพี่โยคีมากกว่า

แต่โยคีน้อยคิดว่า งานเหล่านี้ เป็นผลกระทบต่อกันอยู่แล้ว

 สังเกตตัวเองดู จากการกะเกณฑ์ กำหนดเวลาในการปฎิบัติธรรม โยคีน้อย ก็ปรับมาใช้ กำหนดเอา ในชีวิตประจำวันแทน นึกอยู่กับปัจจุบัน ให้บ่อยที่สุด

 การทำเช่นนี้ คิดแล้ววาง คิดแล้ววาง ทำให้ใจเราฟุ้งน้อยลงไปเอง ถึงจะทำไม่ได้ตลอดเวลา แต่ก็มีจุดสงบได้เร็วขึ้น

 จะบอกว่า อาการที่เคยเกิดบ่อยๆ ว่า เวลาใจสงบ จะเหมือนมีพลังอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เรียกว่าอะไรก็ไมทราบ เวลาเกิดแล้วอยากจะหยุดนิ่งๆเข้าไปอีก ที่บอกว่าอยากอยู่คนเดียว และนั่งลงทำสมาธิเสียตรงนั้น หมู่นี้อาการมันเปลี่ยนไป เวลากำหนดปัจจุบัน กลับรู้สึก หยุดเฉยๆ พลังมหาศาลนั้น หายไป กลายเป็นนิ่งๆเย็นๆ แล้วก็อยู่ได้นานกว่า

 โยคีน้อยเอาหนังสือธรรมะเก่ามาดู เหมือนได้อ่านหนังสือใหม่ ที่ไม่เคยอ่านมาก่อน เข้าใจแตกต่างกว่าแต่ก่อน เข้าใจลึกซึ้งกว่ากับคำบางคำ ที่เคยอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง เช่นการมีสมาธิมากๆ แล้วให้ถอยกลับออกมา แล้วลองพิจารณาอะไรสักอย่าง มันรู้สึกชัดเจน และคิดทำตามได้

  เรื่องใจคนนี่อีกอย่าง ใครที่คิดแรงๆ ร้ายๆกับเรา มันเหมือนรู้บางครั้งขนหัวลุก ทั้งๆที่เขายังไม่หลุดปากออกมา แต่สุดท้าย เขาก็ทำ ตามที่เรารู้สึกจริงๆ อันนี้เฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น

   เมื่อทบทวนเทียบกับก่อนนี้ โยคีน้อยโง่ๆ อย่างไรไม่รู้บางทีเชื่อเขาอยู่นั่นแหละ ต้องดี ต้องดี แต่ก็มองผิด

    ที่เล่ามานี้ ไม่ทราบจะบอกว่าก้าวหน้หรืออยู่กับที่ก็ไม่รู้ เพราะอาการไม่เหมือนกัน หรือต้องเรียนรู้กันต่อไป

    กว่าพี่โยคีจะว่าง ก็คงจะดึก ตามภารกิจที่มีมากมาย รักษาสุขภาพด้วยค่ะ ทางเมืองไทยเริ่มหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้คงได้ใส่เสื้อกันหนาวนานหน่อย แต่ชลบุรี ก็ยังหนาวพอทนได้

 วันที่ 7-10 ธ.ค. 50 จะได้ขึ้นไปทำงานออกหน่วย ชาวเขา ที่ออมก๋อยเชียงใหม่ และที่ฮอด กับคณะเพื่อนแพทย์ ไร้พรมแดน จะเอาหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย ไปแจกพระเณรทางนั้นด้วย สั่งพิมพ์พร้อม โรงพยาบาลพนัส เสร็จเรียบร้อยแล้ว

 ให้พี่โยคีเตรียมรับบุญได้เลย ธรรมทานค่ะ

 โยคีน้อย

โยคีน้อย

ดีแล้วครับ การนำหลักธรรมไปปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้นั้นเป็นเรืองที่น่าดีใจยิ่งเพราะหมายความว่าทำเป็นแล้ว เอาไปใช้กับตัวเองได้แล้วและ  จะสามารถไปแนะนำผู้อื่นได้

เหมือนกับหมอ เรียนรู้วิธีรักษาโรคหรือทำยาแก้โรค ทดลองทำด้วยตัวเองจนใช้ได้ ได้ผลกับตัวเองแล้ว ก็สามารถนำไปแจกจ่ายให้คนอื่นใช้ได้ด้วย

กอร์ปกับเมตตาธรรมที่มีอยู่จะทำให้เราช่วยเหลือคนได้มากมายโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

สติยังคงเป้นสิ่งที่สำคัญที่จะรักษาสมดุลย์ของจิตใจ ต้องอย่าประมาทในทุกขณะ เพราะสั๖รูนั้นร้ายกาจและแยบยลยิ่งนัก อย่าเผลอเป็นอันขาด หมั่นล้างใจเป้นประจำทุกค่ำคืนเหมือนการล้างจานหลังทานอาหารฉะนั้น

ใจจะได้สะอาด บริสุทธิ์ก่อนนอนทุกคืน

ที่สำคัญ เราไม่เอาอะไรเลย ปล่อยมันไปให้หมด แม้สิ่งที่อยากได้ที่สุด เพราะถ้ามันจะได้ ก็ต้องได้ตามเหตุและผล

เราต้องกล้าทิ้งแม้สิ่งที่อยากได้ และความอยากที่จะได้.......นั้นๆ

แต่ด้วยกรรมที่ทำมาในอดีต เราต้องก้าวเดินไปตามทางชีวิตซึ่งยังอยู่ในเส้นของปุถุชน แต่ก็ทำให้เป็นทางเดินที่จะเดินไปด้วยสติได้ รู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น สักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่ได้ยิน......

ดีก็ว่าดีหนอ ไม่ดีก็ว่าไม่ดีหนอ แก้ไขปัญหาชีวิตด้วยสติตลอดเวลา

ก็จะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ

  วันนี้แปลกใจตัวเองมาก ขณะขับรถไปทำงาน เกิดความรู้สึกนึกถึงคุณลุงสมบัติ ที่ไม่ได้ไปสนทนาธรรมเสียนาน คิดว่ามีเวลาจะไปเยี่ยม แต่ดูโปรแกรมแล้วถ้าจะยาก เช้าร่วมพัฒนา ริมถนนเข้าหมุ่บ้าน ทำความดีเพื่อพ่อ ของหมู่ 4 บ่ายประชุม อสม. และคงจะเลยไปจนหมดเวลาทำงาน ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ปรากฏว่า เป็นคุณลุงสมบัตินั่นเอง กระแสจิตนี่ แรงจริง ทำให้วันนี้ ช่วง 4 โมงเย็น จึงเดินทางไปเยี่ยม เราคุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะ การตามดูจิต ก็บอกเล่า เหมือนที่เล่าให้พี่โยคีฟังข้างต้น คุณลุงมักจะย้ำแต่เรื่อง ให้ตั้งจิตแต่เรื่องหลุดพ้น อย่าไปข้องแวะกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆ เพราะธรรมดา คนเรามักจะชอบในสิ่งพิเศษที่เกิดกับตัว เมื่อจิตมีพลัง จะเสียเวลา ทำไมคุณลุงชอบเตือนนักก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ โยคีน้อยก็ยังไม่ได้ไปถึงไหน

  หมู่นี้ ดูคุณลุงแจ่มใสขึ้น จิตใจน่าจะสงบก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ คุณลุงบอกว่า เป็นห่วงคิดถึงว่าเป็นลูกหลาน โยคีน้อย รู้สึกดีจังเวลามีคนเป็นห่วง และหวังดี

    ก็คิดเหมือนกันว่า คงอธิษฐานมาดี เมื่อถึงคราวปฏิบัติธรรม ก็มีผู้ชี้แนะมาตลอด รวมถึงพี่โยคีด้วย คุณลุงบอกว่า คำว่า"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ในทางปฏิบัติธรรม ก็คือการเลือกที่จะปฏิบัติถึงขั้นไหนนั่นเอง เหมือนคุณลุงเตือนๆอะไรสักอย่าง

 ในเรื่องการเลือกเดินทาง ไม่มีใครช่วยใครได้จริง นอกจากตัวของตัวเอง จะเป็นคนเลือก

  กำลังฝึกคิดแล้ววาง คิดแล้ววาง อยู่ตามที่พี่แนะนำ และฝึกล้างใจให้สะอาดทุกวัน ชีวิตหนึ่งนี้ จะได้ทำในสิ่งที่ได้เกิดเป็นมนุษย์สมควรทำค่ะ เล่าให้พี่ฟัง ในวันที่ผ่านมา

โยคีน้อย

สวัสดีค่ะพี่โยคี

 หลายวันแล้วที่ทิ้งการสนทนาธรรมกันไป อาจเพราะเราต่างก็เตรียมงานพิมพ์หนังสือ "คนหนึ่งวาด คนหนึ่งแต่ง" เพื่อจัดตั้งกองทุน และรู้สึกว่า เรื่องราวที่คิดๆกัน เริ่มจะเป็นจริงแจ่มชัดขึ้นทุกวัน บางอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงเร็วมาก กำหนดแทบไม่ทัน งานนี้คงเป็นงานใหญ่ของเราสองคน ที่จะได้ทำบุญร่วมกันอีกในชาตินี้ และต่อๆไป น่าแปลกใจ ที่มีหลายๆฝ่ายมาช่วยกันในงานนี้นะคะ บุญจัดสรร หรืออธิษฐานร่วมกันกันแน่

 เข้ามาทักทายไว้อ่าน ยามเหนื่อย ให้ระลึกถึงบุญ และเรื่องที่ทำให้สบายใจ การสนทนาธรรมของเราค่ะ

โยคีน้อย

จุดเริ่มคงมาจากเรา แต่หลังจากนั้นคงต้องปล่อยให้ไปตามกระแสบุญ ไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่ของเราเท่านั้นแต่ทุกคนที่ร่วมบุญ

เมื่อกงล้อบุญหมุนแล้ว ก็เป็นธรรมชาติที่จะหมุนไปข้างหน้า ตามเหตุและปัจจัย แค่ไหน ก็แค่นั้น

ให้กำหนดตลอดเวลา

บุญนั้นก็คู่กับบาป ขจัดบาปออกไปแล้ว ต้องวางบุญนั้นด้วย

ทำใจให้สบายๆ ครับ

ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย....ยังเตือนใจอยู่เสมอครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  ขณะนี้โยคีน้อยมีคามรู้สึก ถึงแรงดึงดูดที่อินเดีย ทีคงต้องไป จนวันนี้ ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ ทำไมต้องไป รู้ข่าวจากพีโยคัครั้งแรก ก็รู้สึก เป็นเรื่องของเรา ขณะนี้ เรื่องราว ก็ดำเนินมาไม่ใช่น้อยแล้ว ดูจะไปรวดเร็วมากเสียด้วย บางคืนฝันถึงอินเดีย แต่จำเรื่องราวไม่ได้ ทำไมไม่รู้สึกกลัวเลยนะกับการไปครั้งนี้ ยังไม่รู้จะไปแบบไหน คงปล่อยตามธรรมะ จัดสรรใช่ไหม

  โยคีน้อยคิดถึงบันทึกนี้ ที่เป็นจุดเริ่มต้น เลยแวะมาค่ะ

  โยคีน้อย

โยคีน้อย

อะไรจะเกิด เมื่อถึงเวลาก็ต้องเกิด

ความทุกข์ของมนุษย์เกิดขึ้นเพราะทำใจไม่ได้ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะไปสร้างกะเกณฑ์ว่าจะต้องเป็นไปตามความต้องการของตัวเองมากไป

เราจึงต้องฝึกใจรับมือกับสิ่งที่ สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะ ตามเหตุและปัจจัยที่เราอาจจะยังไม่เข้าถึง

วันนี้ยังต้องกำหนด วันหน้าก็ต้องกำหนด วันไหนๆ ก็ต้องกำหนด ไม่ว่าจะอยู่เมืองไทยหรือไปอยู่กุสินาราก็ต้องกำหนด

ด้วยความปรารถนาดี

 ถึงพี่โยคี

  วันนี้โยคีน้อย ขอเล่าเรื่องฝากไว้ให้พี่อ่านค่ะ

 มีสมาชิกท่านหนึ่งในG2K ได้ MSN มาสนทนาธรรม กับโยคีน้อย ซึ่งเริ่มแรกคุยเรื่องไปอินเดีย จะติดต่อกันอีกได้ไหม อะไรต่างๆนาๆ จนมาถึงเรื่องทำไมเราจึงมีความรู้สึกกับคนสถานที่ รวมถึงการต้องไป ทำอะไร ที่ไหน ก็ว่าน่าจะเกิดจากแรงกรรมเก่า ที่ทำกันไว้ เหมือนที่โยคีน้อยเขียนในบันทึก 013 ของบล็อก เชื่อมใจฯ เธอก็ถามต่อมาอีกถึงเรื่องกรรมมีจริงหรือ แล้วก็สงสัยเหมือนคนทั่วไป ว่า ทำไมทำดีแล้วยังไม่ได้ดี หรือทำกรรมชั่ว แต่ยังได้ดี โยคีน้อยก็เลยเล่าถึงว่า มนุษย์ ไม่ได้ทำกรรมดีตลอดเวลา หรือกรรมชั่วตลอดเวลา มักจะสลับๆกัน แต่การส่งผลของกฎแห่งกรรมเที่ยงตรง จึงมีการให้ผลสลับตามการกระทำ แต่เธอบอกว่า จะเชื่อเมื่อทุกอย่างมีเหตุผลมารองรับ เหมือนทางวิทยาศาสตร์ โยคีน้อยก็เลยว่า วิทยาศาสตร์ จริงหรือถูกหมดแน่หรือ เหมือนตอนเด็กๆ เราเรียนมาว่าพิสูจน์แล้วโลกแบบ แต่พอโต ก็บอกใหม่ว่า ที่จริงโลกกลม เป็นต้น แต่พระพุทธเจ้าบอกให้กำหนดปัจจุบัน รู้แค่ปัจจุบันขณะ ตามที่พี่สอน เราก็จะไม่ยึดติดกับอะไร ไม่ทุกข์  ทำเอง รู้เอง ตามนั้นไม่เปลี่ยนแปลง เธอก็บอกไม่รู้จัก การกำหนด โยคีน้อยเลยแนะนำไป ตามที่เคยปฏิบัติ ให้เลือกมาอาการหนึ่ง จะยืน เดิน ก้าว หรือหายใจก็ได้ ดูเท่านั้นจริง ๆไม่ต้องคิดต่อ วางแผนต่อ ทำเท่าที่ทำได้ พอเริ่มฟุ้งก็ให้รู้ว่าฟุ้งแล้ว ค่อยๆฝึกไป ทำเรื่อยๆ ไม่เร่ง ไม่รีบ แต่สม่ำเสมอ โยคีน้อยไม่ทราบว่า เธอได้ทำตามหรือไม่ แต่โยคีน้อยเอง ถือเป็นการทบทวนให้ตนเองอีกครั้ง และประเมินสิ่งที่ผ่านมา กับสภาะจิตตน ซึ่งทำให้รู้ว่า เราต้องฝึกบ่อยๆ จึงจะพร้อมใช้งาน

  ก็ถือว่าได้บอกคนอื่น แต่ผลที่ได้คือ การบอกตัวเอง เตือนตัวเองนั่นเอง

 ที่จริงเราคุยกันอีกหลายเรื่อง แล้วโยคีน้อยจะเล่าให้พี่โยคีฟังภายหลังนะคะ 

  โยคีน้อยขอส่งการบ้านค่ะ

 โยคีน้อย

  28 ธันวาคม 2550

สาธุ

การปฏิบัติธรรมเป็นวิทยาศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด

ไม่ต้องฟังธรรมหรือเรียนรู้จากตำราใดก็ได้

ให้ทำและดูด้วยสติ ก็จะสามารถเรียนรู้ธรรมะได้ รู้เหตุ ปัจจุยและผลได้เสมอ

อาจารย์บางท่านจึงไม่สอนแต่ให้ทำ

ทำแล้วก็จะรู้เอง

รู้แล้วก็ต้องเลิกสงสัย ไม่ยึดติดแม้ความสำเร็จ

จะได้เดินต่อไป

อย่างที่เคยบอก เราอยู่ในโลกที่มีในความไม่มี

มีก็เพราะเราไปสร้างให้มันมี มาช้านาน

ก็ค่อยๆเลาะไปเลาะมา  ลดไปเรื่อยๆ  ละไปเรื่อยๆ รู้ๆไปเรื่อยๆ  จนถึงวันหนึ่ง ก็จะถึงซึ่งความไม่มีซึ่งเป็นของจริงเอง

การฝึกการละ การลดจึงมีประโยชน์ จะได้รู้ขึ้นเรื่อยๆ

หากเคยอ่านทศบารมี ก็จะซึ่งใจในพระโพธิสัตว์.....เราก็เดินตามรอยได้

และถ้าตระหนักว่า "อันความตาย หมายไม่ได้ ว่าเมื่อไหร่.." ก็จะต้องรีบ ขวนขวายที่จะทำความดีและสร้างบุญแล้ว  จะได้ไม่ประมาท

ด้วยความปรารถนาดี

 

 สวัสดีวันครูค่ะ

  หลายวันมานี้ มีอะไรเข่ามาในชีวิตแบบรีบๆ หลายอย่างเหมือนกัน ทำให้ซึ้งถึงคำว่ากำหนดให้ทัน ถ้าไม่ทัน ก็จะเกิดความแปรปรวนทันที อารมณ์ต่างวิ่งเข้ามามากมาย เห็นเป็นชุดๆเลย แล้วก็ผ่านไปด้วยดี หลายภารกิจที่เริ่มจะจบลง โยคีน้อย ก็จะวางเหมือนพี่โยคี่บอก เบาใจดี ช่วงที่เจ็บป่วย ก็ฝึกแยกใจ กายเอา ป่วยก็ป่วยไป เจ็บก็เจ็บไป ช่างมัน แล้วก็แปลก เหมือนที่บอก บทมันจะหาย อาการต่างๆ ก็เป็นปลิดทิ้ง ไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกัน ที่สุดแล้วโยคีน้อยว่านะ การเตรียมใจนี่สำคัญที่สุด เตรียมที่จะพบเห็น ให้มันเป็นเรื่องธรรมดา จะพบสุขหรือทุกข์ก็ช่าง

 การไปอินเดีย เคยกังวลเหมือนกัน กลัวไม่มีเพื่อน กลัวการต้องเป็นอยู่คนเดียว ต่างๆนาๆ แต่ทำไมใจที่คิดจะไปมันไม่เปลี่ยนนะ ถึงวันนี้ เลิกคิดแล้ว ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นอนาคต ที่ปัจจุบันยังไม่สามารถหยั่งรู้ได้

  อาจเพราะใจจดจ่อ อยู่กับการไปอินเดีย โยคีน้อยชอบฝันถึงสถานที่แปลกๆ ที่นั่น ก็ไม่ทราบว่า คืออะไร คล้ายวิหารย์มั้ง รู้แต่ว่า นี่คือที่อินเดีย เมื่อคืนก็ฝัน

   คล้ายวันที่ไปธุดงค์สถานล้านนา แต่คราวนี้ คนพาไปชม ไม่หวง เหมือนเจ้าที่ที่นั่น ความรู้สึก ถือว่าดีค่ะ ตื่นมาแล้วสุขใจดี

 พี่ว่าจริงไหม ที่คนเราเคยอยู่ที่ไหน ก็ต้องไปที่นั่นอีก หรือ การไปที่ไหนเป็นเหตุเฉพาะตัว กรรมเฉพาะตัว

  แล้วพี่ทราบแล้วหรือยัง ว่าทำไมต้องมาเป็นธุระให้โยคีน้อยขนาดนี้ โยคีน้อยขอบคุณมาก ที่ทำให้การสร้างกุศลบารมีครั้งนี้ ดำเนินไปด้วยดี มิเสียแรง ที่ตามมาเกิดทันกัน

    เป็นวันครู เลยเข้ามาบันทึกไว้ ด้วยระลึกถึง ครูที่ทำให้ได้ทำบุญมากๆ ที่ผ่านมาค่ะ

 โยคีน้อย

๑๖ มกราคม ๒๕๕๑

 

   พี่โยคี

  เมื่อวันศุกร์ ได้ไปสนทนาธรรมกับคุณลุงสมบัติมา โยคีน้อยเล่าให้คุณลุงทราบแล้ว เรื่องไปอินเดีย คุณลุงบอกปิติใจมาก ที่จะได้เห็นเส้นทางที่โยคีน้อย กำลังเดินอยู่ ในเวลานี้ ท่านอำนวยอวยพรเสียมากมาย และยำเตือนเรื่องการตามดูจิตของตน ให้ถี่ขึ้น อยู่ให้นอกเหนือความคิดด้านลบ โดยเฉพาะเรื่องทางอินเดีย ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ เป็นครูให้เราได้ตลอดเวลา

 และทุกคนมีเส้นทางที่ต้องเดิน คุณลุงบอกว่า ถ้ากลับมา แค่เอาคำว่า เอาบุญมาฝาก ก็คงดีใจจนน้ำตาไหล

 คุณลุงเป็นกัลยาณมิตรพิเศษ ที่ให้คำแนะนำมาตลอด คอยเตือนคอยย้ำ กลัวจะหลงทางในชาตินี้ ได้สนทนากันถึงอาการทางจิต ที่มักจะเกิดอาการรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น คุณลุงบอกว่า จิตที่ได้ฝึก จะว่องไว ขึ้นเรื่อยๆ

 ก่อนนี้โยคีน้อยไม่ค่อยเข้าใจ อาการของตนนัก โชคดีที่พี่โยคีบ้าง คุณลุงบ้างช่วยชี้แนะให้

 วันนี้เขียนด้วยความรู้ซึ้งถึงคุณค่า คำว่าสหธรรมมิก ซึ่งก็ไม่นึกว่าจะพบเจอ ในรูปแบบนี้ ขอสาธุ สาธุ  สาธู และกราบงามๆเลยค่ะ

 โยคีน้อย

20 /01/08

โยคีน้อย

เส้นทางธรรมของมนุษยนั้น ใครทำใครได้ ต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน

เพราะผลนั้นอยู่ที่จิตตนเองที่จะมองและทำให้เป็นไป

แต่สุดท้าย ต้องอยู่เหนืออารมณ์ จึงจะหลุดพ้น

การฝึกที่ถูกจึงต้องมีการฝืนใจตนเอง

ต้องแบมือ ปล่อยให้หลุดลอยไปแม้บุญกุศลที่ทำมา ในที่สุดก็ต้องอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น

ความจริงการเปรียบเทียบกิเลสเหมือนพันธนาการนั้นชัดเจนดี

ยิ่งเอามาพันเอามาผูก ก็ยิ่งดิ้นไม่หลุด ต่อให้เป็นผ้าทอง ก็เช่นกัน

การปลดพันธนาการต้องใช้สติและปัญญาพิจารณา ค่อยๆ ปลดไปทีละเส้น

ดังที่บอก ถ้าเข้ากระแสเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องไปถึงวันยังค่ำ

ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ยิ่งได้ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

 วันนี้ได้เข้าอบรมหลักสูตรโยคะ ที่อ.กวีเป็นผู้สอน ซึ่งเป็นโยคะตำรับดั้งเดิม จากอินเดีย ไม่ใช่ที่เปิดสอน เหมือนเข้าคอสกายบริหาร อาจารย์สอนละเอียดมาก เป็นการรวมกายใจให้อยู่ด้วยกัน เหมือนสติปัฏฐาน  คือความรู้ตัว มีสติ ในกาย การเคลื่อนไหว ความพอดี สุข

 วันนี้รู้สึกเหมือนได้ทำสมาธิทั้งวัน สดชื่น เบิกบานค่ะพี่ ยังจะมีเรียนต่ออีกทั้งหมด  ๖ วัน สัปดาห์ละสองวัน ถือเป็นการศึกษาธรรมะ เข้มข้น เขามีข้อตกลงคือให้ถือศิลห้า  เขาให้นั่งกินข้าวพร้อมกัน ฝึกกินอย่างมีสติ เคี้ยวคำละอย่างน้อย  ๓๐ ครั้งก่อนกลืน

   อาจารย์บอก เรียนการเป็นโยคี ตั้งแต่กิริยา มารยาท อารมณ์ ดีจังเลย ได้เรียนรู้ศาสตร์ของอินเดีย

  ได้ยินอาจารย์บอกแล้วน่าเสียดาย ว่า งบประมาณที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา ขอจาก สสส.นั้น เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณ ต่อไป สสส.จะยกเลิก การพัฒนาด้านนี้ คือไม่ให้งบประมาณแล้ว เพราะเขาว่า ประเมินยาก เขาจะเลิกพัฒนาจิตวิญญาณแล้วค่ะพี่ ทั้งๆที่โยคะที่ศรีราชา ที่มีประชาชนสนใจมาเล่นกันทุกวัน จนเป็นอันดับหนึ่งของประเทศแล้ว

   เราหมดงบกับการรณรงค์ ต่างๆมากมาย เช่น อุบัติเหตปีละ ๕๐๐ ล้านบาท เหล้า บุหรี่ ก็ไม่น้อย แต่งบพัฒนาด้านจิตวิญญาณมนุษย์ ทั้งประเทศได้ ๓๐ ล้านบาท แล้วก็จะตัดงบอีก ต่อไปก็คงทำกันอย่างขาดแคลนขยายยาก เรื่องจิตใจ มันเป็นนามธรรมนะคะพี่

  แต่หลายๆประเทศ รวมทั้งอินเดีย ก็อยู่กันอย่างมั่นคง ก็ด้วยเรื่องของจิตทั้งนั้น

   เขียนมาเล่าให้พี่ฟัง เป็นวันที่รู้สึกดีๆ ที่ได้มาเรียนรู้วิชานี้ คุณครูที่สอน บอกว่า วันนี้ เรียนเท่านี้ก่อนนะ โยคีน้อย

หวังว่าพี่คงสบายดี

 โยคีน้อย

๒๘ มกราคม ๒๕๕๑

 

 

  

สาธุ

อะไรที่ดีๆ เรียนรู้เอาไว้

วันหน้าจะได้สอนแก่ผู้อื่น

พี่โยคีคะ

 เข้ามาแยนอ่านบันทึกนี้บ่อยๆ บางครั้งก็เพื่อค้นหาคำตอบ มาตอบคำถามในใจที่เกิดขึ้น ก็แปลกดี ทำไมอ่านกี่ครั้ง ก็ไม่เหมือนกันเลย บางคั้งความเข้าใจในแต่ละข้อความ ก็เปลี่ยนไป

 กำลังฝึกวางบุญ เหมือนที่พี่สอน ทำแล้วปล่อยไป ไม่เอามาเก็บไว้ ช่วยทำให้ได้พบ ความรู้สึกละเอียดอ่อนไปเรื่อยๆ การที่เราปิติมากไป บางครั้งคล้ายจะขาดสติ เพราะมันจะมองข้ามเลย บางสิ่งบางอย่างไป อาจเป็นปัญหาในเวลาต่อๆมา ฉะนั้น การทำอะไร โดยใจนิ่งๆได้ แค่ได้ทำ จะทำให้เราเห็นหลายแง่หลายมุมขึ้นค่ะ

 มีผู้แสดงเจตนา ส่งเงินมาร่วมทำบุญผ้าไตร และได้แจ้งว่าให้นำไปทำบุญต่อ กับวัดที่บริจาคผ้าไตร ที่จริงโยคีน้อย อยากให้เขาซื้อมาให้ หรือไปบอกบุยมาเป็นของมากกว่า แต่พอดีเขาไม่สะดวก และยืนยันตามนั้น จึงรับบุญมา

  เข้ามาฝากข้อความไว้ เผื่อพี่โยคีจะแวะมาอ่าน

สวัสดีค่ะ

 โยคีน้อย

 

อยากให้ลองศึกษาอุดมการณ์ของพระธุดงค์

ภารกิจสำคัญของการธุดงค์คือการแสวงหาความหลุดพ้นของจิตตนเอง......

จิตของปุถุชนก็เป็นเช่นพระธุดงค์ได้ แสวงหา...แต่อย่าไปสะสม และใช้การเดินทางสายกลาง

หากจำได้.....เคยพูดถึงภาพ งานวัด ที่มีการออกร้านมากมายสุดสายตา มองไปทางไหนก็เห็นร้านที่มาออกงานวัด เต็มไปหมด

แต่ข้างหลังงานวัดนั้นมีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง สูงชันมาก ทางเดินขึ้นก็ไม่ใช่สะดวกนัก

คนส่วนมากนิยมอยู่เที่ยวงานวัดที่พื้น ที่มีทั้งบุญและไม่บุญ ก็ทำกันได้ ไม่รู้จบ

การจะละจากงานวัด หันหน้าเดินขึ้นสู่ยอดเขาเป็นเรื่องยาก เพราะต้องละทิ้งสิ่งเหล่านี้ เป็นทางเดินของผู้ธุดงค์ ที่โดดเดี่ยว

อาจใช้เวลาต่างกัน บางคนก็ยังอยากเที่ยวงานวัดอยู่

แล้วแต่เหตุ แต่ปางก่อน สรุปก็คือ อิธัปปจยตา ไม่มีอะไรที่ผิดหรือถูก

กำนดสติทุกขณะ คงจะดีที่สุด เพราะ รู้อะไรก็ไม่เท่ารู้ตัวเอง

ฝากไว้ ณ บันทึกนี้

สวัสดีค่ะพี่โยคี

ส่งการบ้านให้พี่โยคี ก็คงต้องใช้คำว่า อยู่แดนไกล เพราะ ถึงจะอยู่แผ่นดินเดียวกัน แต่ เราก้ไม่ได้มีโอกาส พบหน้าอยู่ดี

มาถึงวันนี้ โยคีน้อย มีเรื่องราวอยากจะรายงานพี่หลายเรื่องเหมือนกัน แต่เอาแต่ที่สำคัญๆก่อน

การมาอยู่อินเดีย เมืองเทวทูตนั้น เป็นความจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย มีภาพปรากฏให้เห็นเด่นชัด ไม่มีปิดบัง ไว้ตามโรงพยาบาล ตามวัด โยคีน้อยเดินทางผ่านกองฟอน ที่เขาเผาศฑแล้วเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้ลงไปดูใกล้ๆ จำได้คราวนั้น อาการสลดสังเวช เกิดขึ้นในใจ การได้ฟัง ได้อ่าน หรือจะเท่าการเห็นด้วยตา

ต่อมาโยคีน้อยได้เดินทางไปป่าช้า ริมน้ำที่เขาเผาศพ ที่มากกว่าที่เดิม ที่นี่ มีหลายกองฟอนทาก บางกองมีร่องรอย เผาไปนานแล้ว แต่สัญลักษณ์คือเสาเท่าข้อมือ ตอกพื้นๆทั้งสี่มุมนี่คือกองฟอน

คราวนี้ ความรู้สึกที่เห็นนั้น มันโล่ง เปล่า ระดับใจอยู่ที่ ๐ ความตายที่อยู่ข้างหน้าคือสัจจธรรม คือสิ่งที่บังเกิดความปลงตกในใจ ความมีตัวตน หายไปอย่างน่าอัศจรรย์

แต่ไปกระทบกับความรู้สึกอื่นๆ ในใจ เช่น มีความเมตตามากขึ้น อยากช่วยเหลือคนทุกข์ยาก เต็มใจ และอยากทำอย่างยิ่งๆขึ้น

ส่วนอาการที่เหมือนเกิดพลังแม่เหล็ก ก็เกิดขึ้นบ่อย เมื่อใจเราหยุดนิ่ง หรือตามความคิดทัน

ขอคำแนะนำ วิจารย์จากพี่โยคีด้วยนะ อยากคุยนานกว่านี้ แต่ดูไฟฉายใกล้จะดับไป แล้วละค่ะ

โยคีน้อย

สาธุกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาเรียกว่าสิ่งที่มาปลุกให้เราตื่น

วิญญานจิตของเรา โดยเฉพาะที่อยุ่เมืองไทย สบายมากไป

เมืองไทยจะลำบาก ก็ลำบากแบบคนในเมืองสวรรค์

พอไปเห็นชีวิตจริงที่อินเดีย ก็ได้พลังที่ไประเบิดจิตวิญญานในใจให้ตื่น

พื้นฐานสมาธิที่มีอยู่แล้วและบุญที่ได้นำไปถึงนั่น

ส่วนผสมถูกส่วน จึงเกิดระเบิดในใจ ที่บอกว่า โล่ง เลป่า อยุ่ที่ 0 นั่นเอง

ส่วนที่ไปกระทบความรู้สึกอื่นๆนั้น ก็เป็นนิสสัยที่เป้นบุญบารมีที่เราสั่งสมมาในอดีต ก็ปลุกให้ทำต่อไป

กลไกธรรมชาติซับซ้อนมาก ถ้าไม่ได้พระพุทธองค์มาค้นพบและเปิดเผยมนุษย์ก็คงยังมืดมนอยุ่ต่อไป

ในขณะนี้เหมือนโยคีน้อยได้ต้นพบสิ่งที่อยุ่ในใจตนได้ชัดเจนแล้ว

ทำดีแล้ว

เหมือนกวาดบ้านทุกซอกทุกมุม ได้ของมากองอยุ่กลางห้อง

อะไรต้องทิ้งทำลาย อะไรต้องเก็บ

ส่วนที่ต้องทิ้งทำลายจะทำอย่างไร

พี่จะใช้คำว่า เผาทิ้ง

แต่จะอย่างไร วิธีการใด เอาไว้ให้โยคีน้อยคิดเองไปก่อน

เป็นธรรมะจัดสรร

แผ่เมตตาเยอะๆ แล้วให้ทุกขณะที่แผ่เมตตา รู้ กำหนดสติทุกขณะ

หากจำได้ เคยแนะว่า เวลาแผ่เมตตา(อยุ่คนเดียว)ให้ยื่นฝ่ามือที่แบผายออกไปให้กว้างที่สุด

ให้พลังจากตัวเรา จากฝ่ามือเราส่งออกไปให้กว้างที่สุดในอากาศ ประสานกับพลังจากจิตที่ตาของเราทั้งคู่

ใจจะมีพลังเพิ่มขึ้น

มา ณ วันนี้ ต้องนับถอยหลังแล้ว

เก็บเกี่ยวพลังจากสิ่งภายนอกที่ปลุกให้เราตื่นนี้ให้มากที่สุด

เพราะเมื่อกลับมาเมืองสวรรค์ จะต้องผจญกับแสงสีทำให้จิตเสื่อมไป

สาธุ สู้ต่อไปนะ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

เขามาบันทึกนี้ เหมือนเป็นโลกที่มาเปิดเผย สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต กับผู้ที่ให้ความเมตตามากๆ

หลังจากกลับจากอินเดียมาได้ สิบวันแล้ว มีการปรับตัวมากกว่าการไปอยู่อินเดียเสียอีก ไม่น่าเชื่อว่า แค่ระยะเวลาสั้นๆ ในความรู้สึกของหลายๆคน แต่ทำไมมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงมากมายจัง กลับมาไทย เหมือนมาเสวยบุญตามที่พี่เปรียบไว้ ก็จริงค่ะ แต่ทำไมยินดีในบุญนี้น้อยจัง ในจิตก็จะเกิดการเปรียบเทียบกันตลอด ทำไม่ต้องขนาดนั้น ทำไมจึงไม่พอ ได้เห็นชีวิต(ที่จริงก็เห็นมาตลอด) ของคนไทย แล้วเสียดาย ตั้งแต่การอยู่ การกิน และสิ่งที่ทำให้ยิ่งๆขึ้นไป ซึ่งเขาคงไม่รู้ว่า นั่นส่วนเกินแล้ว ยังฟุ้งเฟ้อ ฟุ้งซ่าน ห่างธรรมชาติไปทุกที ดูเหมือนว่า ต้องยิ่งกว่านี้จึงจะสมควร

ที่จริงโยคีน้อย ก็สุดโต่งไปหน่อย ที่นี่ มันคนละที่ มันคนละแหล่ง จึงต้องปรับใจ ให้มีความนิ่งกว่านี้

แต่โยคีน้อยมีความสุขง่ายขึ้นนะคะ แจ่มใสขึ้นกว่าเดิม มันปลงๆยังไงก็ไม่รู้ เหมือนลอยคออยู่ในระดับน้ำที่พอดี ไม่เย็น หรือร้อนมากไป ค่ะ

แหมเขียนซะยืดยาว วินิจฉัยยากไปหรือเปล่าคะ แต่หวังว่า พี่โยคีต้องผ่านประสบการณ์อย่างนี้ มาไม่มากก็น้อย ช่วยสงเคราะห้ด้วยการแจกแจงให้ทีค่ะ

โยคีน้อย

สวัสดีค่ะ..

อ่านแล้วก็ตื่นเต้นตามค่ะ..ดีนะคะ..ชีวิตมีรสชาติดีค่ะ..^^

 

โยคีน้อย

เป็นสภาวะจิต

ที่เกิดธรรมสังเวช เลยตกตะกอน

เมื่อตกตะกอนก็เห็นสิ่งที่อยู่ในจิตได้ชัดขึ้น

ขาวก็รู้ว่าขาว ดำก็รู้ว่าดำ

แต่สำหรับนักปฏิบัติ

ต้องรู้เพียงขาวดำและต้องละไป

คือกำหนดสติอยู่กับปัจจุบัน

ขาว ก็ดีหนอ

ดำ ก็ดีหนอ

ขาวก็เหมือนดำ ดำก็เหมือนขาว

อุเบกขาหนอ.................

เมื่อปลงอุเบกขาได้ ก็นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้

เพราะธรรมนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทรงเห็นแล้วว่าเป็นทางออก

โดยเฉพาะเรื่องทีว่าเกิดการเปรียบเทียบ ว่าทำไมต้องถึงขนาดนั้น ทำไมจึงไม่พอ

ถ้าเราเข้าใจ 3 ห่วง 2 เงื่อนไข ก็จะปรับให้พอดี พอเหมาะ พอเพียง..ของเรา

คนอื่น ก็เป็นเรื่องของคนอื่น

เพราะโลกเป็นอย่างไร ก็เริ่มจากใจเรา ตัวเรา

จบลงด้วยการแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นอย่างกว้างขวาง เป็นผู้ให้ ไม่สะสมอะไรไว้เลย

จึงสาธุกับโยคีน้อย

จิตอยู่ในสภาพที่เหมาะสมแล้วที่จะปรุงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น

เดินก้าวหน้ามาแล้ว

ได้เห็นชัดเจนเรื่องขาวดำแล้ว

ถึงเวลาวางและจัดสรรให้จิตอยู่ในสภาพที่พอดี พอเหมาะ พอเพียง ตามทางสายกลาง

ประเทศเรานั้นมีของดีไม่แพ้อินเดียที่จากมา

แต่เราจำเป็นต้องไปเรียนรู้จากพุทธภูมิ

มรรค 8 ยังเป็นทางสายเอกและทางตรงอยู่จ๊ะ

ชาวกุรุรัฐ ซึ่งบัดนี้ไม่มีแล้ว อาจจะเป็นชาวสยามรัฐ ในยุคนี้ก็ได้ที่เจริญสติได้ทุกวัน ทุกขณะ

ขอจบลงด้วยคำที่ว่า

วันนี้ (เช้านี้ เที่ยงนี้ บ่ายนี้ เย็นนี้ ค่ำนี้)เจริญสติหรือยัง

เจริญสุข

คุณครูแอ๊ว

สวัสดีครับ

ถ้าเรามองโลกในแง่ดีเอาไว้

อะไรก็ดีหมดครับ แม้ความไม่ดี...ก็ดี

ชีวิตจะตื่นเต้นมากครับ

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นความรู้ใหม่กับจิตของเรา

เรียกว่าตื่นเต้นในธรรมครับ

เจริญสุขครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

มาส่งข่าว บันทึกเกี่ยวกับธนาคารเลือดค่ะ

ให้พี่โยคีอนุโมทนาบุญ ในฐานะเจ้าของชื่อ"ธนาคารเลือดเฉลิมพระเกียรตฺิ"

อนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ

ทุกครั้งที่มีงานบริจาคเลือด มีบางสิ่งบางอย่าง ที่ได้มากกว่าการได้เลือดค่ะ

ว่างๆ พี่ตามไปชมภาพนะคะ

โซ่แห่งความดี เชื่อมต่อกันต่อๆไปค่ะ

โยคีน้อย ตันติราพันธ์

โอ้ ไม่ได้ใช้บันทึกนี้นานเลยนะ

ยินดีกับธนาคารเลือดนะ

เป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

ถือเป็นการให้ชีวิต

จะตามไปอ่านจ๊ะ

เจริญสุข

สวัสดีค่ะพี่โยคี

ช่วงนี้ นำเรื่องพระเจ้าพิมพิสารมาเขียน ตามที่ได้รับความรู้จากพระอาจารย์ เมื่อครั้งไปอินเดีย และค้นคว้าเพิ่มเติม

มีผู้อ่านเขาสนใจ ที่พระเจ้าพิมพิสาร ที่สำเร็จโสดาบัน และได้ทอดพระเนตร เห็นพระพุทธเจ้าที่ยอดเขาดิชฌกูฏ จนเกิดปิติ และมีชีวิตอยู่ได้

ต้องนิมนต์พี่โยคี ช่วยตอบให้ได้ความรู้ด้วย

พี่สอนธรรมะ เข้าใจง่ายอยู่แล้ว

เชิญเลยนะคะ

อยากทราบเช่นกันค่ะ

กราบขอบพระคุณมากๆ ขอให้ได้บุญมากๆ และธรรมะเจริญก้าวหน้า ประดุจสายลมที่พัดไปในกากาศนะคะ

โยคีน้อย

อนุโมทนาสาธุกับเรื่องราวจากประวัติศาสตร์พุทธศาสนา

การไปเห็นด้วยตัวเองที่สถานที่จริงในอินเดีย ทำให้ได้รับคติธรรมหลายอย่าง

ล้วนไม่พ้น อนิจจัง ทุกขังและอนัตตา จริงดังคำของพระศาสดา

สัจจธรรมจึงไม่มีวันตายเพราะมีให้ผู้สนใจได้เห็นจริงเสมอมา

ที่เห็นได้ชัดก็คือกรรมนั้นเป็นใหญ่เสมอ และต้องมีเหตุจึงจะเกิดผลตามมา

การเกิดเหตุและผลก็มีเงื่อนไขที่มีองค์ประกอบมากมายแต่เป็นระบบ

จะบอกว่าไม่มีใครพ้นกรรมที่ทำมาได้ ก็น่าจะถูกต้อง

บทเรียนที่เราควรจะได้จากเรื่องราวในประวัติศาสตร์จึงน่าจะอยู่ที่การนำไปเป็นประโยชน์ในการพัฒนาปัญญาในปัจจุบันเพื่อนำไปสู่การหลุดพ้นทางจิตในอนาคต

บางครั้งคิดว่ากรรมดีและกรรมชั่วนั้น ดูเหมือนต่างขั้วกันมาก เหมือนขาวกับดำ

เป็นบุญกับบาป เป็นกุศลกับอกุศล....ฯลฯ

ก็เพราะคิดกันแบบนี้ จึงไม่หลุดพ้นสักที

ขออนุโมทนากับคติธรรมจากเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ที่นำให้เกิดปัญญานี้ครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

มาเขียนในบันทึกนี้ เพราะกำลังมองดูว่า ชีวิตคนเรา มักมีอะไร ที่ซ้ำๆ วนเวียนกันไป เมื่อครั้งหนึ่งจำได้ว่า ได้เขียนขอคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรมจากพี่โยคี ซึ่งต่อๆมา ก็ได้มีการสนทนา จนบันทึกนี้ ยืดยาวที่สุด และก็มีผู้สนใจอ่านมากด้วย ในเวลาต่อๆมา ก็มีโอกาส ได้ทำบุญร่วมกันอีกมากมายหลายประการ โดยมิเคยได้พบเห็นหน้าค่าตา ตัวจริงกันมาก่อน

ก็เป็นความเฉพาะของเราที่ได้เกิดมา และจะได้สานบุกันต่อไป แบบนี้

วันหนึ่ง โยคีน้อย ก็พบว่า มีคนเข้าไปอ่าน เรื่อง สัญญาเดิม ที่เคยเขียนเล่าเรื่องว่า กลัวการขึ้นเครื่องบิน และฝันเห็นเครื่องบินตกเป็นประจำ

ก็ได้คิดว่า คงเป็นความจำข้ามภพมา

มีคนเข้ามาโพส และได้สนทนากันต่อไป เหมือนเหตุการณืที่โยคีน้อย เริ่มคุยกับพี่เลยค่ะ

ที่แท้ การเป็นกัลยาณมิตร และการได้พบกัลยาณมิตร ก็เกิดขึ้นตลอดเส้นทางชีวิตของเราเลยนะคะ

เมื่อมีคำถาม ก็ต้องหาคำตอบ นี่ก็เป็นหนึ่ง ในการฝึกฝนเรียนรู้ของตนเองด้วย โดยเฉพาะโยคีน้อย รู้น้อย

ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า อยากเล่าเรื่องให้พี่โยคีฟังค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

โยคีน้อย ตันติราพันธ์

สาธุ

จริงทีเดียว กัลยาณมิตรนั้นมีอยุ่ทุกหนทุกแห่ง

เมื่อได้เจอกันก็จะสานต่อสัมพันธ์ ทางปัญญากันต่อไป เหมือนเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต

ก็เช่นเดียวกับ ดร.อโลก ที่วันหนึ่งเจอในงานวันชาติแห่งหนึ่ง ก็บอกว่าเขารู้สึกว่าไม่ได้เป็นเพียงกัลยาณมิตรเท่านั้นแต่รู้สึกเหมือนเคยเป็นญาติกันมาก่อน

เป็นเรื่องของทวิภพหรือพหุภพ ข้ามชาติ ข้ามโลก

ในเว็บของไทยยุโรปดอทเน็ตที่พี่เป็นโมเดอเรเตอร์ http://forums.thaieurope.net/index.php?topic=3969.60 ในบันทึก"ขอมอบภาพนี้แด่เพื่อนไทยในยุโรป ก็มีคนอ่านมาแล้ว สองพันหกร้อยกว่าครั้ง ก็ล้วนเป็นกัลยาณมิตรที่คงเคยสนทนากันมาก่อนในอดีตกาล

เส้นทางนี้เคยเดินกันมาแล้ว ก็จะต้องเดินกันต่อไป เพื่อทำให้ถึงซึ่งความรู้แจ้ง ตามรอยพระพุทธเจ้าต่อไป

สาธุและเจริญสุข

 

สวัสดีวันทาบูชาครู คือแสงหนึ่งสว่างไสวในใจศิษย์ เป็นนิมิตแห่งเทวามาสังหรณ์ ให้เวียนวนค้นพบจบวงจร ได้อาทรสอนสั่งอย่างคุ้นเคย เหมือนได้ต่อท่อธรรมหนุนนำพา จึงศึกษาตามแนวทางอย่างเปิดเผย ทำจึงรู้ ดูจึงเห็น เหมือนเช่นเคย ปล่อย ละ เลย เสียบ้าง ช่างบางเบา สอนเอาไว้ให้เห็นเป็นประโยชน์ เพื่อตอบโจษปรัศนีย์มิโง่เขลา ให้วิชชาพาจิตติดตัวเรา เป็นสำเนาพาเดินเจริญตน ถึงวันครูวันนี้หรือปีไหน ครูพลเดช พละชัย ทุกแห่งหน ขอเทพไท้เทวัญชั้นเบื้องบน อำนวยผล ทุกประการ สราญเทอญ มาระลึกถึงพระคุณครู โยคีน้อย 16 มกราคม 2552

โยคีน้อย

สิ่งที่เราต้องทำเสมอๆ คือดูใจตัวเอง

เพราะข้อมุลที่สำคัญที่จะใช้สำหรับการเดินทางต่อไป ในทางใด อย่างไร คือใจของตนเอง

คะแนนที่จะได้จากข้อสอบชีวิตคืออยู่ที่ตัวเอง

หมั่นทำหมั่นสอบ จบปริญญาเอกในไม่ช้าแน่นอน

สาธุจ๊ะ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

วันนี้คิดถึงบันทึกนี้

จำได้ว่าเรื่องราวในบล็อกนี้เกิดขึ้นมากมาย

รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงไปทางจิตวิญญาณของโยคีน้อยด้วย

หมู่นี้มีงานมากมายล้นมือเหมือนกัน

แต่แปลกกับรู้สึกอยากนั่งสมาธิ

ก่อนนอนนั่งได้นาน

รู้สึกนิ่งๆ เย็นๆ ลึกๆ ทำได้นานขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ง่วงนอนด้วย

อิ่มใจ สบายใจ

เป็นช่วงแห่งความรู้สึกดีระหว่างวันเลยค่ะ

เป็นธรรมชาติของจิตใช่หรือเปล่าคะ

ที่จะต้องจัดการตนเองให้สมดุลย์

เล่าให้พี่ฟัง ไว้อ่านในวันที่ว่างก็แล้วกัน

สวัสดีค่ะ

ตันติราพันธ์

ความจริงแล้ว อะไรเข้ามาในจิตใน ก็ดูให้หมด ทุกอย่าง ไม่มีเว้น

ถ้าความสงบเข้ามาแล้วชอบ ก็จะติดสงบ และไปไม่ไกลกว่านั้น

ถ้าความทุกข์เข้ามาแล้วไม่ชอบ ก็จะติดอีก

อะไรเข้ามาก็ดู รู้ตัวแล้วก็ดู รู้ตัวไปเรื่อยๆ

ไม่เดือดร้อนเพราะเดี๋ยวมาแล้วก็เดี๋ยวไป

เจริญสุขจ๊ะ

 

สวัสดีค่ะพี่โยคี

วันนีวันครู

มากราบครูคนแรกที่สอนให้ฝึกเดินจงกรม

และบังเกิดความรู้สึกใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

มากราบขอบคุณที่ช่วยให้ละความเขลาเพราะคิดเสมอว่า

การหยุดกายเท่านั้นจึงเป็นสมาธิ

แต่แท้จริงแล้วกาย ใจ เป็นคนละส่วนกัน

จึงได้นำมาปฏิบัติตราบเท่าทุกวันนี้

สิ่งใดที่ได้กระทำและบังเกิดผลบุญกุศล

นับหมื่นชาติแสนชาติของโยคีน้อย

ขอให้ผลบุญนั้นจงถึงแด่พี่โยคี ได้ส่วนเทียบเสมอกัน

และขอจงเป็นกัลยาณมิตรต่อกันเสมอในโอกาสที่จะได้พบเจอกัน

ในภพชาติใดก็ตาม

ให้ครูมีความสุข ความเจริญ ทั้งทางโลก ทางธรรมนะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

โยคีน้อย

โยคีน้อย

อนุโมทนาบุญกับจิตกุศลในวันครู

ครูของพวกเรานั้นมีมากมาย นับไม่ถ้วน

ครูของครูและของครู ซึ่งรวมทั้งตัวเราเองที่เป็นครูของตัวเอง

กายกับใจนั้นเป็นคนละส่วนแน่นอน แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน ผสานกัน กลมกลืนกัน

เพราะด้วยกายกับใจหรือรูปกับนามนี้เท่นั้นที่จะทำให้เกิดปัญญา

และการจะเกิดปัญญาได้ ต้องอยู่บนความพอดี ถูกส่วนและลงตัว

สิ่งนั้นจึงจะเกิด

ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องบังคับหรือบีบคั้น

ถ้าทุกอย่างพอดี ถูกส่วนและลงตัว มันจะเกิดขึ้นเอง

เป็นเช่นนั้นเอง

ในวันครู ที่โยคีน้อยมีจิตกุศล กตัญญู กตเวทิตา

จึงขอให้พรนั้นย้อนกลับไปยังผู้ให้เป็นทวีคูณ

อย่าลืมการแบมือ ปล่อยทุกอย่างออกไป

เพราะเมื่อถึงเวลา ก้ต้องเป็นเช่นนั้น

สวัสดีค่ะ มาร่ีวมตื่นเต้น กับทริปนี้ด้วยคนนะคะ เพราะไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศ ก็เลยมาเที่ยวต่างแดน จากอินเตอร์เน็ตแทนค่ะ ..

คุณ Love heart ครับ

อินเดียอยู่ไม่ไกลจากประเทศไทยเลยครับ โดยทางเครื่องบินเพียง 3 ชม.กว่าก็ถึงแล้ว

มีอะไรให้เรียนรู้เยอะมากครับ

ทั้งบนถนน ใต้ต้นไม้และวิถีชีวิตของผู้คน

เป็นห้องเรียนชีวิตห้องใหญ่ที่อยากเชิญชวนให้คนไทยไปกันครับ

สวัสดีวันครูค่ะ

ด้วยความระลึกถึง

ธรรมะที่เคยสอน

และยังปฏิบัติอยู่ถึงวันนี้

ขอให้ครู "พี่โยคี"

มัแต่ความเจริญรุ่งเรือง

ทั้งทางโลกและทางธรรมค่ะ

สาธุ สาธุ สาธุ

ครูคือทุกคนที่ให้ความรู้เรา สำคัญที่สุดคือพ่อแม่

ขอให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนมนุษย์และเป็นครูของกันและกันจงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

ครูคือทุกคนที่ให้ความรู้เรา สำคัญที่สุดคือพ่อแม่

ขอให้ทุกคนที่เป็นเพื่อนมนุษย์และเป็นครูของกันและกันจงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท