อินเดียวันละเรื่อง=การขับรถในเดลี ตื่นเต้นทุกวัน


อยู่นิวเดลีมา 1 เดือนเต็ม สิ่งที่น่าเสียวใส้และยังตื่นเต้นทุกวันก็คือการขับรถของคนอินเดีย ยิ่งกว่าบ้านเราหลายเท่า โดยเฉพาะการเข้าวงเวียน เรียกว่าต้องวัดดวงกัน แม้จะมีป้ายบอกให้รถในวงเวียนไปก่อนแต่ ไม่เคยมีใครสนใจ จึงวัดกันด้วยความเร็วที่เข...
มีต่อ

อ่านไป หวาดเสียวไป ที่สุดก็ได้รับความภาคภูมิใจทุกวันใช่ไหมคะ

  กำลังศึกษาและฝึกสมาธิเหมือนกัน คิดว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องพิสูจน์ได้ มีเวลาก็แลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ สวัสดีค่ะ

P
ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่าน
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากที่ได้เห็นสังคมอินเดียและได้มีโอกาสพิจารณาสังคมไทยของตัวเอง จึงได้เห็นความเหมือนและความต่างกันชัดเจนขึ้น
ได้เห็นสิ่งดีในความไม่ดี ทั้งหมดนี้คือข้อเท็จจริงของชีวิตที่เราต้องหยุดดู เพื่อจะได้นำมาคิดพิจารณา ก็จะเป็นการปฏิบัติธรรมได้เหมือนกันครับ
อินเดียมีคนพันล้าน ใครไม่มีปัญญา ไม่มีสติที่จะคิดและเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัว ก็จะอยู่ไปอย่างนั้น ไหลไปตามกระแส แต่ใครมีปัญญา ก็จะมองได้ลึกกว่านั้น คือการเห้นชาวในดำ เห็นดำในขาว แล้วเอามาพิจารณา ก็จะเห็นตัวเอง เห็นจิตใจตัวเองและก็จะรู้ว่าจะเดินปทางใดดี
ชีวิตจริงๆ แล้ว ไม่ใช่ การได้หรือเสียครับ แต่เป็นการรู้หรือไม่รู้
ขออนุโมทนาครับที่สนใจศึกษาสมาธิ เป็นทางเดินที่ถูกต้องแล้วครับ เดินไปเรื่อยๆ จะได้เห็น ได้รู้อะไรอีกมาก
ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนความรู้กันครับ
ด้วยความปรารถนาดี
ดิฉันเองสนใจศึกษาธรรมะ มานับ 10 ปี แต่ก็ได้จากการอ่าน ฝึกปฎิบัติบ้างแต่ไม่ได้ลึกซึ้ง ต้องเรียกว่าแทบจะไม่มีพื้นฐานเลย ไม่เข้าใจแม้คำว่าสมถะ/วิปัสนา คิดว่าการทำสมาธิคือการนิ่งๆ คิดอะไรให้ช้าลง ไม่ด่วนตัดสินใจ และคิดเชิงบวก ประมาณนี้ แต่วันหนึ่งก็ได้พบกัลยาณมิตร จากการโพส เรื่องกฏแห่งกรรม ที่ดิฉันได้อ่าน แล้ววาบซึ้ง จึงอยากเผยแผ่ กัลยาณมิตรท่านนั้น ก็เข้ามาต่อกระทู้ และเป็นผู้จุดประกายให้ฝึกปฎิบัติสมาธิอย่างจริงจัง แก้จะคอยแก้ไขปัญหาให้วันต่อวัน ทำให้รู้หลัก และวิธีปฎิบัติที่ก้าวหน้าขึ้น และมีส่วนทำให้ดิฉันตั้งใจนั่งสมาธิทุกวัน เป็นต้นมา แต่ถ้าคุณทราบระยะเวลา ก็คงจะประมาณผลของสมาธิดิฉันอย่างคร่าวๆได้ คือ ประมาณ 2 เดือนเศษ สุดท้ายเมื่อปลายเดือนก่อน ดิฉันก็มีความรู้สึก อยากมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น เลยปลีกวิเวก 5 วัน ก็ได้ประสบการณ์มาพอประมาณ ดังที่ได้บันทึกไว้เป็นบางส่วนแล้ว แต่เมื่อกลับมาจากปลีกวิเวก ดิฉันก็ไม่สามารถติดต่อคุณกัลยาณมิตรได้อีก เพราะ WEB ขัดข้องมาจนถึงวันนี้ และเป็นWEB ที่เปิดเสรี จึงดิฉันก็ไม่ทราบว่าเขาเป็นใคร รู้สึกเสียดายมาก ปัจจุบัน ดิฉัน ก็ยังตั้งใจฝึกตัวเองทุกวัน อยากจะขอความกรุณาให้คำแนะนำในการปฎิบัติต่อไปด้วย เพื่อให้มีความก้าวหน้าต่อไป ขณะนี้ ได้เรียนรู้แค่การตั้งสติ  ในการบริกรรมได้นานขึ้น นั่งได้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง ค่ะ ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าค่ะ
P
อยากแนะนำให้หาเวลาไปปฏิบัติที่ยุวพุทธิกสมาคมครับ เพราะการปฏิบัติธรรมสำหรับปุถุชนนั้นจำเป็นต้องมีผู้แนะนำหรือกัลยาณมิตรครับ มิฉะนั้นอาจเกิดความล่าช้า ไม่ถูกทาง ฯลฯ
อย่างไรก็ดี เท่าที่เล่าให้ฟังก็ถือว่าทำดีแล้ว ฝึกสตินั้นสำคัญมาก ถือเป็นวิปัสสนา พยายามฝึกในชีวิตประจำวันครับ จะได้ประโยชน์เต็มที่ ผมเห็นว่าการฝึกสติคือการฝึกพื้นฐานที่ดีมาก หากพื้นฐานดีแล้ว เวลาไปฝึกอะไรต่อก็จะง่ายขึ้น
ฝึกง่ายๆ คือการทำอะไรก็ให้รู้ตัว ทั่วพร้อมอยู่กับสิง่ที่ทำในขณะนั้นๆ แค่นั้นเองครับ ไม่ต้องไปคิดมากว่าแค่นี้เองหรือ แต่แค่นี้น่ะสำคัญที่สุดเพราะคืออารมณ์ปัจจุบัน ถ้าอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด จิตก็จะไม่มีโอกาสไปทางลบได้ครับ ฝึกสติ จิตต้องว่องไว ซึ่งจะต่างจากสมาธิ บางครั้งนั่งสมาธินานๆ จิตจะตื้อและช้าได้ นั่งสมาธินั่งแต่พอควรครับเพราะชีวิตจริงไม่ใช่การนั่งสมาธินานแต่อยู่ที่สติกับปัจจุบัน
ผมยังคิดว่าหัวใจพุทธศาสนา 3 ประการสำคัญสำหรับคนในสังคม คือ อย่าทำชั่ว ทำแต่ความดีและทำใจให้ผ่องใส เพียงแค่นี้ ถือว่าได้เดินเข้าสู่ทางธรรมแล้วครับ
ด้วยความปรารถนาดี

กราบขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำที่มีคุณค่ามาก บางครั้งการเริ่มต้นเป็นความยากมาก โดยเฉพาะกับการไม่รู้อะไรมาก่อน มีเพียงแต่ใจอย่างเดียว หรือรู้มาอย่างไม่ประติดประต่อ แค่คำว่าสติ ยังตีความกันไปเสียยืดยาว และเมื่อฝึกปฎิบัติ จึงได้ทราบว่า เมื่อมีสติ ก็เหมือนมีพลังอยู่ในตัว พลังในการยับยั้ง หรือระมัดระวัง แต่การจะเจริญสติให้ได้ทั้งวัน ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี ก็จะตั้งใจฝึกไป แล้วการทำสมาธิมีความสำคัญอย่างไรหรือคะ

   ขอบคุณค่ะ

สมาธิมีความสำคัญครับ โดยเป็นฐานที่จะให้สติเกิด ลองนึกถึงการเล่นแบบหนึ่งซึ่งเราเคยเล่นกันตั้งแต่เด็ก เช่น การต่อตัวเพื่อจะหยิบของที่ผูกไว้ในที่สูง ต้องต่อตัวเพื่อที่จะเอื้อมมือหยิบถึง เราต้องให้อีกคนหนี่งยืนแล้วเราขี่คอเพื่อจะได้ไปยังจุดที่จะเอื้อมมือหยิบของได้ คนที่เรายืนขี่คอก็คือสมาธิครับ หากสมาธินิ่ง ก็จะทำให้เราสามารถเอื้อมมือหยิบของได้ง่ายขึ้น ถ้าสมาธิไม่นิ่ง ก็ยากที่จะหยิบครับ

ทุกอย่างมีจุดพอดี การทำสมาธิเพื่อที่จะให้จิตนิ่งเป็นฐานที่จะทำให้สติเกิดเพื่อนำไปพิจารณาธรรมได้ ดังนั้น ความหมายของผมคือ หากสมาธิมากไป ก็สติเกิดไม่ได้ ถ้าน้อยไป ก็จิตไม่นิ่ง ดังนั้นสมาธิจำเป็นครับ แต่ต้องพอดี

ความพอดีนี้ จำเป็นสำหรับการรู้ธรรมครับ ในทางโลกก้มีเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงครับ ที่เป็นแนวทางที่ให้คนอยู่กับความพอดี พอเพียง ทางสายกลาง มีเหตุมีผล ไม่เสี่ยง มีความรู้คู่คุณธรรม ซึ่ง สิ่งเหล่านี้คือธรรมชั้นยอดครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

เข้าไปอ่านWEB ของคุณพลเดช เรื่อง ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย รู้สึก ใจมันปล่อยวางอย่างประหลาด บางข้อความเหมือนตัวเองก็เคยคิดแบบนั้น ในโลกนี้ ไม่มีเราไม่มีใครเลย มีเพื่อนคนหนึ่ง บอกว่าเขาเขียนบันทึกมรณะ เป็นประจำ ประมาณนี้ ต่อมาดิฉันเอง ก็เริ่มเขียนไป เป็นปีแล้ว เมื่อมีเหตุการณ์สำคัญที่จะสั่งคนข้างหลัง จะบันทึกไว้ การคิดถึงความตาย ทำให้ใจเราสงบมาก และเมื่อจะคิดอะไร ก็เป็นไปแค่ชั่วขณะ จะขอนำบทความไปเผยแพร่บ้างจะได้ไหมคะ บางครั้งก็ต้องมีหน้าที่ อบรมคนอยู่ประจำ จะได้ช่วยกันขยายธรรมะต่อไป และก่อนเข้านอนคืนนี้ จะคิดว่า เป็นคืนสุดท้ายดู

P
ยินดีครับ ผมเผยแพร่เป็นธรรมทานครับ เรื่อง"ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย" นี้มีผู้ขอไปพิมพ์แจกงานศพมาหลายรายแล้วครับ
ขออนุโมทนาบุญกับคุณตันติราพันธ์รับที่ได้ทำบุญกับคน
ขอให้เจริญสุขครับ
ก็ต้องขออนุโมทนาบุญ ในกุศลจิตที่คุณพลเดชอนุญาต ให้เผยแผ่ข้อความ ที่ผู้ได้อ่าน แล้ว น่าจะบังเกิดความรู้สึก และการเปลี่ยนแปลง แห่งจิต ของตน ได้มากทีเดียว เช่นดิฉันเอง เมื่อเช้ามืด ที่ได้นั่งสมาธิ ปฎิบัติธรรม ตามปกติ ก็ได้น้อมนำ อารมณ์ ที่เกิดจากการอ่านบทความของคุณพลเดช ได้ผลดีค่ะ อยากจะบอกว่า ที่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนไม่ให้ยึดถือ ตนนั้น ดิฉันเอง ก็ไม่เคยมีความรู้สึก แจ้งในใจ เหมือนที่คุณพลเดช เขียนเลย บางคนอาจคิดว่า การพูดถึงความตาย เป็นอัปมงคล แต่สำหรับดิฉัน ถือว่าได้อ่านสิ่งที่เป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างยิ่ง ก็ขอให้ได้บุญกุศลที่ได้เกิด จาก การปฎิบัติธรรมเช้าวันนี้ อันเป็นผลจากการได้ น้อ้มนำข้อความของคุณ ที่เขียนได้อย่าง ถึงจิตใจ ของปุถุชนคนหนึ่งค่ะ สาธุ

คุณพลเดชคะ

วันนี้ดิฉันเลยนำเรื่องที่คุณอนุญาต เผยแพร่บทความได้ ไปปรึกษา เพื่อน เนื่องจาก เรามีการตั้งชมรมเล็กๆ ขึ้นมาทำงานให้สังคม เรื่องสุขภาพกายและใจ บางครั้งมีไปช่วยภัยพิบัติเป็นบ้าง สิ่งหนึ่งที่เราทำเสมอมา คือ การหาบทความดีๆ พิมพ์เผยแพร่ ตามกำลังปัจจัย ที่ช่วยกันออก หรือบอกบุญมาได้ แจ้งให้ทราบว่า พวกเราดีใจ ที่จะนำบทความของคุณพลเดชไปพิมพ์ และแจกในวันเสาร์หน้าคือวันที่ 25 สิงหาคม 2550 นี้ เพราะชมรมของดิฉันร่วมกับ ชมรมเพื่อนแพทย์ไร้พรมแดน พุทธสมาคม และอีกหลายกลุ่ม จะได้รับบุญ จัดกิจกรรมตรวจสุขภาพ พระภิกษุ ทั้งหมดของอำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรี ประมาณ 500 รูป เราจะร่วมกันรักษาผู้สืบทอดพระพุทธศาสนาค่ะ

พุดถึงชมรมของเราก็มีคนหลายอาชีพ เช่นข้าราชการสาธารณสุข ข้าราชการครูบำนาญ ช่างตัดเสื้อ ครูสอนภาษาไทย(ให้ฝรั่ง) สนุกดีค่ะ บางครั้งไปเป็นวิทยากรให้ชาวบ้าน ได้ค่าตอบแทนเป็นขนม เต็มกระจาดเลย เรื่องราวที่พวกเราทำก็เน้นการดูแลร่างกาย และจิตใจเป็นสำคัญ ถ้าตรงวันหยุดก็จะมีสมาชิกไปช่วยกันมากหน่อย(ที่จริงมีราวๆ 10 คน) ไปคั้นน้ำผักให้ชาวบ้นรับประทานกัน เป็นความสุข ของคนอยากทำงานที่ไม่ต้องขึ้น กับคำสั่ง ระเบียบ กฏเกณฑ์ต่างๆ เป็นอิสระดี อยากจะเชิญชวนคุณพลเดชมาเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ สักท่านหนึ่ง ถึงจะอยู่ไกล มาร่วมงานกับเราไม่ได้ แค่เขียนบทความหรือให้คำแนะนำแก่พวกเราบ้างก็ยินดีค่ะ

ปรึกษาอีกเรื่องค่ะ หน้าปกจะใช้เป็นรูปอะไรดีคะ ที่จะสื่อว่าความตายเป็นธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงไม่พ้น และไม่น่ากลัว ส่วนนามผู้เขียนบทความจะให้ใช้ว่าอะไร ลงชื่อจริงได้ไหม

รบกวนเสียหลายเรื่อง จะรีบไปสั่งพิมพ์ กลัวไม่ทันเวลา ก็ขอให้คุณพลเดช มีส่วนของบุญกุศลที่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกประการ ค่ะ

P
ขออนุโมทนาครับ สิ่งใดที่เป็นกุศลในจิตขอให้ส่งผลบุญให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ
ใช้ชื่อจริงได้ครับ ปรกติผมไม่ค่อยได้ใช้ชื่อจริงนักแต่ก็ไม่ได้ปิดบังครับ เพราะถือว่าบริสุทธิ์ใจ จะมีก็แต่ในเว็บบล๊อคนี้ละครับที่เริ่มใช้ชื่อจริงและเปิดเผยตัวเพราะนับถือในแนวคิดของ G2K
ภาพหน้าปก อาจจะหาภาพรุ่งอรุณ ที่มีความหมายว่าพรุ่งนี้.....ที่กำลังจะมาถึง หรือจะมีภาพเทียนไขที่กำลังจะมอดอยู่ด้วย ก็น่าจะได้นะครับ
ขอบุญเกิดจากกุศลจิตที่ดีงามนี้ จงส่งผลให้คุณตันติราพันธ์เจริญทั้งทางโลกและทางธรรมครับ และเมื่อถึงเวลา ได้รู้แจ้งในธรรมชาติโดยพลันครับ
ด้วยความปรารถนาดี
 เมื่อคืนนี้ กว่าจะเข้านอน ก็ 2 นาฬิกา ของวันใหม่ ตั้งใจหาภาพปก ที่คุณพลเดชแนะนำ ซึ่งก็สื่อความหมายที่ดี รุ่งอรุณคือวันพรุ่งนี้ เทียนที่ใกล้จะดับ...ความตาย แต่เมื่อค้นหาภาพนับ พัน นับหมื่น ก็ได้ข้อคิด หรือความสับสนของตัวเองก็ไม่ทราบได้ บางครั้งเห็นภาพ บางภาพ แล้วแยกไม่ออกว่า นี่มัน เวลาเช้า หรือเวลาเย็นกันแน่ หากไม่มีคำกำกับ ก็ต้องมีการเข้าใจผิดกันบ้าง และบางครั้งดูโดยไม่อ่านคำบรรยาย เราเองก็เดาผิด ไปหลายภาพ มุมมองของแต่ละคน มีอิทธิพลต่อการสร้างความเชื่อให้แก่ตนเอง และคนอื่นได้ไม่น้อย แต่หากภาพนั้นถูกต้อง และคนบรรยายก็ถูกต้อง ก็สร้างประโยชน์มหาศาล อีกอยางที่ค้นพบ คือ คุณพลเดชเชื่อไหม คนในโลกนี้ ส่วนมาก เขาใข้เทียน แทนความสว่าง ความมีชีวืตกัน เกือบจะทั้งหมด แต่คุณพลเดช สามารถมองอีกแบบหนึ่งได้ ในขณะแทนเกิด ก็แทนตายได้ แล้วโจทย์ข้อนี้ ก็ทำให้ต้องนอนดึก เพราะหายากมาก เทียนกำลังจะดับ แต่ก็พอหาได้ และเช้านี้ก็จะลองนำมาวางตามจินตนาการ อยากให้หนังสือนี้ เป็นหนังสือที่ทำมาจาก ความตั้งใจทั้งหมด ซึ่งคาดว่าผู้รับก็จะรับกระแสนี้ได้เช่นกัน

สาธุครับ

ทุกอย่างในโลกนี้มีมากกว่า 1 ด้านเสมอครับ เช่นคำว่า จุติ คนทั่วไปจะเข้าใจว่าคือการเกิด แต่จุติคือความดับครับ   ในภพภูมิหนึ่ง เมื่อจิตถึงเวลาที่จะดับ ก็จะแปรเปลี่ยนไปเกิดในภพภูมิอื่น เรียกว่าจุติ คือดับจากภพภูมินั้นครับ ไปปฏิสนธิในภพอื่น

ขออนุโมทนาสาธุกับกุศลจิตที่ตั้งมั่นด้วยดีแล้วครับ..... เพียงแค่ผ่านไปแล้ว ก็จะมีสิ่งใหม่เข้ามาในปัจจุบันอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆไปครับ 

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ คุณพลเดช

  วันนี้ที่ประเทศไทย ตรงกับวันอาทิตย์ เป็นวันหยุด เวลาของอินเดียต่างกับประเทศไทยกี่ชั่วโมงคะ เคยไปแต่ที่ญี่ปุ่น ต้องตื่นก่อนจริงทุกวัน คือเขา 6 โมงเช้า แต่จริงๆคือ ตี4 บ้านเรา

  เมื่อวานได้นำบทความถ้าพรุ่งนี้ ....ต้องตาย ไปหาโรงพิมพ์มาค่ะ ร้านแรก เป็นร้านคอมฯ ไม่ใหญ่เท่าไหร่ พอสอบถามถึงการทำปกสี เขาเรียกเล่มละตั้ง 40 บาทค่ะ มันค่อนข้างแพง แต่เมื่อคำนวนกับการเราปริ้นเอง ค่าใช้จ่ายก็พอกัน และที่สำคัญจำนวนมากด้วย พอเขาเห็นดิฉันอึ้ง เขาก็รีบโน้มน้าวว่า "ของแจกฟรี ปกขาวดำก็พอ ไม่เห็นต้องลงทุนมากเลย" ฟังจบดิฉันก็ตัดสินใจได้ทันที คืออกจากร้านไป และต่อมาก็ได้ไปที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่ง เขาก็เอาแบบหนังสือมาให้ดู  ปกกระดาษอาร์ทเนื้อมัน มีสีสรรของภาพสวยงามตามจริง ถ้าสั่ง 1,000 เล่ม ราคาจะถูกลงมาก และเมื่อเทียบกับร้านแรก ราคาห่างกันเกือบ 4 เท่า จึงขอแจ้งให้ทราบว่า ดิฉันยินดี จะได้ทำหน้าที่ แจกจ่ายหนังสือที่คุณพลเดช ตั้งใจเขียน เป็นธรรมทานครั้งนี้ ถึง 1.000 เล่ม ดิฉันอยากให้คนทั่วไป เขาได้หยิบเลือกสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อชีวิตเขาขึ้นมา จึงอยากให้สิ่งเหล่านั้นปราณีต น่าจับต้องตั้งแต่แรกเห็น คุณคนแรกที่ดิฉันพบ เขาคงไม่เข้าใจถึงการให้อย่างมีคุณค่า "ของแจกฟรี ไม่เห็นต้องลงทุนเลย" บางครั้ง บางเวลาที่เราอยากจะแจกของ แล้วคนไม่อยากรับเมื่อนั้น เราจะซาบซึ้ง ถึงความปิติ ที่ควรจะเกิด หรือสูญเสียไปเลยโดยไม่มีโอกาสสัมผ้ส

  วันนี้คงได้ภาพปกที่ให้ช่างศิลป์ ของเขาจัดวางให้ โดยใช้ภาพที่ดิฉันค้นหามาประกอบ ถ้าอย่างไรจะส่งไปให้ชม เกือบลืมค่ะ โรงพิมพ์ถามว่า พื้นกระดาษปก อยากได้สีอะไร รบกวนคุณพลเดชช่วยเลือกด้วย ทบทวนภาพของเราจะมี แสงเทียน มีรูปอรุณรุ่ง สีออกทางฟ้าๆ สว่าง ๆและพระอาทิตย์สีส้มอ่อนมากๆ แถมด้วยรูปมือที่สัมผัสกันครั้งสุดท้ายก่อนจะจากกันสีขาวดำ รบกวนเท่านี้ก่อน สายๆจะไปโรงพิมพ์ค่ะ มีอะไรจะเพิ่มเติม ก็เชิญเลยค่ะ

ด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน

P
สาธุครับ ทุกขั้นตอนเป็นโจทย์แห่งชีวิต มีกุศลจิตนำ แค่จิตเหล่านี้เกิด ก็เป็นบุญแล้วครับ ความสำคัญอยู่ที่จิตเหล่านี้ครับ มิใช่หนังสือของใคร หรือเรื่องอะไร ขณะเดียวกันเมื่อได้ทำสิ่งดีๆ แล้ว ให้วางลงครับแล้วดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป ก็จะเห็นว่า เป็นโจทย์แห่งชีวิตทุกขณะ ที่ต้องนำให้จิตเกิด ตามแนวหัวใจพุทธ คือทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่วและทำจิตให้ผ่องใส
คุณตันติราพันธ์ ได้นำหัวใจพุทธมาใช้แล้วครับ....ประโยชน์ของการทำกุศลที่ประทับใจคือสามารถเอามาเป็นกำลังใจในเวลาที่ต้องการเพื่อกั้นมิให้อกุศลเกิดครับ
สาธุอีกครั้งหนึ่งครับ
ปล.สำหรับสีของกระดาษปกตามสีต้องโฉลกของผู้พิมพ์ครับโดยเป็นโทนสีอ่อน
ด้วยความปรารถนาดี
P
สวัสดีค่ะ
ที่เล่าถึงเรื่องการขับรถที่อินเดีย เห็นภาพเลยค่ะ เพราะเคยไปอยู่มาเกือบเดือน คิดถึงบ้าน อยากกลับค่ะ
อินเดีย เขามีของดีๆเยอะนะคะ พวกความเก่าแก่ของสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ว่ากันเป็นพันปีค่ะ
และอินเดียรอดพ้นจากลัทธิคอมมิวนิสต์ ก้เพราะ การมีวรรณะ เขาพอใจตรงนี้ค่ะ ถูกไหมคะ
อยากให้เล่าให้ฟังค่ะ
P
สวัสดีครับ
ครับ ผมอยู่มาเดือนกว่าแล้ว ตื่นใจทุกวันเพราะมีเรื่องให้นั่งคิดได้ทุกวันว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมสิ่งต่างๆ ขาวดำ จึงอยู่ด้วยกันได้อย่างใกล้ชิดเช่นนี้ วรรณะมีส่วนสำคัญที่ทำให้คนไม่ปรับตัวครับและคงใช้เวลาอีกนานกว่าโลกาภิวัฒน์จะซึมเข้าไปสู่อินเดีย
ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงในอินเดียว่าเริ่มมีสูงและเร็วมาก มีการก่อสร้างตึกใหม่ๆ ใหญ่ มากมายโดยเฉพาะเมืองรอบด้านกับเดลี เช่น Noida ที่ผมไปสัมผัสมา อีกไม่กี่ปีจะเป็นเหมือนกรุงเทพฯ
คนรุ่นเก่าดูจะพอใจในชีวิต จริงครับ แต่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีการศึกษาจบแล้วมีงานทำในบริษัทสมัยใหม่เริ่มเข้าสุ่วงเวียนชีวิตยุคใหม่ที่ต้องการเงินเพื่อซื้อความทันสมัย คนหนุ่มสาวรุ่ใหม่นี้จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมอินเดียครับ และเนื่องจากอินเดียมีพลเมืองมากการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปอย่างช้า
อินเดียมีอิสระภาพมา 60 ปีแล้ว หลายด้านประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นวิทยาการแพทย์ วิศวะ ไอที ธุรกิจ แต่สิ่งที่ต้องพัฒนาก็ยังเป็นเรื่องสังคม โครงสร้างพื้นฐาน พลังงานและการศึกษา ถ้าอินเดียเปิดประเทศมากกว่านี้โดยเฉพาะให้ต่างชาติเข้าไปให้สะดวกมากกว่านี้ จะช่วยให้การพัฒนาเป็นไปได้เร็วครับ
สำหรับคนไทย ควรจะไปอินเดียให้มากกว่านี้เพราะมีโอกาสมากเหลือเกิน อะไรที่เป็นลบ หากมองในสายตาของนักธุรกิจนั่นคือโอกาสทางธุรกิจที่มหาศาล แต่คนไทยก็ยังไม่สนใจแขก ยังคงมีทัศนคติที่ลบ
ผมกำลังเฝ้าดูว่าการที่สังคมอินเดียเป็นเช่นที่เป็นคือไม่รับความทันสมัยนักนอกจากจะเพราะเรื่องวรรณะแล้วยังเป็นเพราะคนมีความพอเพียงในจิตใจของเขาหรือไม่ ซึ่งก็อาจเพราะเขาคิดว่ามีศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่ชอบพึงพาใคร อยู่ด้วยตัวเองซึ่งก็อยู่ได้  
ในนิวเดลี รัฐบาลจะดับไฟ 2 ครั้ง(หรือมากกว่า) ต่อวันเพื่อประหยัดพลังงาน ในด้านหนึ่งดูเหมือนแย่จังแต่อีกด้านหนึ่ง ผมกลับเห็นข้อดี ทำให้คนตระหนักและประหยัดในชีวิตประจำวัน ส่วนธุรกิจนั้นก็หาทางออกโดยมีเครืองปั้นไฟ ซึ่งก็ทำให้ไม่กระทบต่อธุรกิจมากนัก
ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีแต่เรื่องให้รู้จักพอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน กับ 2 เลือนไขความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเดียใช้อยุ่ทุกวันนะครับ....น่าคิดนะครับ
ด้วยความปรารถนาดี

ขอเข้ามารบกวนรอบสองนะคะ

 เพื่อนให้ถามว่า ถ้าจะเขียนตำแหน่งของคุณพลเดข จะเขียนว่าอย่างไรจึงจะถูกต้อง

สาธุกับคำอนุโมทนาทั้งหมดที่แจ้งมา รู้สึกเบิกบาน แจ่มใส และมีกำลังใจ แก้โจทย์แห่งชีวิตต่อไป คือการบอกบุญ เพื่อให้ญาติสนิท มิตรสหาย ได้ร่วมค่าจัดทำหนังสือเผยแผ่ธรรมะและบุญกับเราค่ะ เพื่อขยายเครือข่ายแห่งธรรมะ และบุญไปให้สุดทีกำลังเราจะทำได้ ขอให้ได้รับกระแสแห่งบุญด้วยกันตลอดไป

จะใส่คำว่า "นักเดินทาง" ก็ได้ครับ เพราะตำแหน่งทางโลกนั้นไม่ยั่งยืนครับ ตามกลอนที่ผมเขียนเขียนไว้ "อันความตายหมายไม่ได้ว่าเมื่อไหร่" นักเดินทางใช้ได้ครับจนกว่าจะรู้แจ้ง

อนุโมทนาครับ

สวัสดีค่ะ คุณพลเดช

   วันนี้เดินทางไปโน่นนี่ ทั้งวัน เพิ่งจะกลับมา รวมทั้งเรื่องการทำหนังสือ และบอกบุญด้วย ก็ได้มาครึ่งทางแล้วค่ะ อีกไม่กี่วัน บุญทุกอย่างก็จะสำเร็จลงด้วยดี หวังไว้อย่างนั้น

   เมื่อวานเข้าไปอ่านบทความเรื่องหอมกลิ่นดอกบัว ได้ความรู้เรื่องวิปัสสนา จากคุณมาก และจะนำไปฝึกปฎิบัติ ให้เห็นจริง แต่มีอยู่อย่างหนึ่ง ทีคุณพลเดชกล่าวว่า การทำสมาธิให้ทำพอประมาณ พอมีกำลังมาใช้ในการทำวิปัสสนา ยังไม่ค่อยเข้าใจว่า ขนาดไหน กรุณาอธิบายเป็นธรรมทานด้วย และการทำวิปัสสนา ต้องตามรู้ทุกอิริยาบถ หรือคะ จึงจะเป็นผล แล้วทำอย่างไรจึงจะรู้ทัน อยางไม่ฝืนวิถีการดำเนินชีวิต คือถ้าทำอย่างช้าๆ พอได้ แต่ พอทำตัวปกติ ก็ตามไม่ทันอีก รบกวนแค่นี้ก่อนนะคะ ขออนุโมทนาบุญทุกคำตอบค่ะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

สาธุครับกับธรรมนำจิต ถ้าเป้นการลงทุนก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลค้มค่าครับเพราะธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้รู้แจ้งและหลุดพ้น ตามรอยพระพุทธองค์

เรื่องการทำสมาธิ ที่เกินพอดีนั้น ดูตามประวัติพระพุทธองค์จะเห็นชัดครับว่าถ้าเพียรมากเกินไปจะเกินพอดี จะไม่ได้อะไร ถ้าย่อหย่อนเกินไปก็ไมใด้ผล ต้องพอดีๆ ดังการเปรียนเทียบเรื่องสายพิณ ถ้าตึงเกินไป ดีดไปสายก็จะขาด สายอ่อนเกินไป ดีดไปก็ไม่เป็นเพลง ต้องตึงพอดีๆ จึงจะบรรเลงได้ไพเราะ

สมาธิที่ทำมากไปเกินพอดี จะทำให้จิตนิ่งอย่างเดียว หรือบางครั้งจิตตื้อไปหมด เพราะนั่งนานเกินไป และบางครั้งการนั่งหลับตาก็ไม่ใช่ว่าสมาธิจะเกิดตลอดไป ถ้าฝืนนั่งโดยไม่มีสมาธิอาจทำให้เสียสุขภาพก็เป็นได้  ตามหลักวิปัสสนาจึงให้เดินกับนั่งเสมอกัน คือถ้านั่ง1 ชม.ก็เดิน 1 ชม เพื่อจะได้สมดุลย์

สมาธิมี 3 ระดับครับ ระดับที่แนบแน่นที่สุด จะนิ่งลึกมาก จนสติเกิดไม่ได้ ดังนั้นหากจะให้สติเกิดเพื่อสามารถพิจารณาธรรมได้ ต้องถอยจากสมาธิที่ลึกนั้นให้คลายขึ้นมาในระดับที่พอดีครับ ส่วนระดับพอดีอยู่ที่ไหน เมื่อปฏิบัติจะรู้เองครับ(พอดีคือไม่ตึงไม่หย่อน)

ง่ายๆ ก็คือ ความพอดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำทุกสิ่งทุกอย่างครับ ผมถึงได้เรียนว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงนั้นลึกซึ้งมาก เป็นการปฏิบัติธรรมโดยแท้ครับ ศึกษาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงด้วยจะได้ประโยชน์เช่นกันครับ

ด้วยความปรารถนาดี

คุณพลเดชคะ

อย่างนี้นะคะ ทุกวันนี้ นั่งสมาธิเช้ามืดทุกวัน โดยการบริกรรมคาถาสั้นๆบทหนึ่ง แล้วใช้สติควบคุม ให้คำนั้นต่อเนื่อง บางครั้งก็มีเรื่องเข้ามาแทรก ก็ตามไป แล้วก็ค่อยๆ น้อมกลับมาใหม่ ไม่ฝีน และบางครั้งจะเกิดอาการ นิ่ง คล้ายคนหูอื้อ แปลกๆ พอถึงตรงนี้จะทำอย่างไรต่อไป และเหล่านี้คืออะไร ขอโทษนะคะ ถามแบบไม่รู้จริงๆ มันจะถูกผิดยังไง ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะ

เห็นด้วยอย่างที่คุณพลเดชว่า อินเดียมีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ในการรับสิ่งใหม่ๆจากทางตะวันตกมากขึ้น

มีหลายอย่างที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเช่นวิทยาการแพทย์ วิศวะ ไอที ธุรกิจ  แต่การจะเปลี่ยนความเชื่อเรื่องวรรณะ น่าจะอีกนาน

คนอินเดีย ฉลาด เป็นนักคิด นักพูด นักปรัชญา ภาษาอังกฤษก็เก่ง แบบคนอังกฤษ อเมริกัน เขียนแล้ว ต้องวานมให้เกลาให้อีกรอบ

อาหารการกิน ก็รับได้ค่ะ เพียงแต่น้ำมัน มากไปนิด

ในความเห็นของคุณพลเดช........คนอินเดียรุ่นเก่าดูจะพอใจในชีวิต  แต่คนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีการศึกษาจบแล้วมีงานทำในบริษัทสมัยใหม่กำลังเริ่มเข้าสุ่ชีวิตยุคใหม่  ความพอเพียงจะยังมีอยู่ไหม

เทียบกับคนแพร่ บ้านเรา ความรู้สึกพอเพียงอย่างตอนนี้ จะสู้กระแสของทุนนิยมไปได้อีกนานไหม

ช่วยให้ความเห็นหน่อยค่ะ

P
พลเดช วรฉัตร
สวัสดีค่ะ
ขออนุญาตินำบล็อกเข้า Planet ของต้านะคะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

ตอนที่ผมฝึกสมาธิแบบสมถะใหม่ ก็จะมีอาการแบบเดียวกันครับ เป็นสภาพจิตที่มีสมาธิระดับหนึ่งครับ สมาธิแบบสมถะนั้นถ้าทำได้ดี จะเกิดปรากฏการณ์หลายอย่าง มักโน้มนำไปสุ่เรื่องอิทธิปาฏิหารย์ ซึ่งผมเห็นว่ามีทั้งดีและอันตราย เป็นดาบสองคม โดยเฉพาะจะหลงเข้าไปในมิติอื่นได้ง่าย..........อยากจะแนะนำให้เดินจงกรมด้วยครับ การเดินจงกรมก็เป็นการสร้างสมาธิอย่างหนึ่งแต่ได้สติด้วย รวมทั้งเป้นการเสริสุขภาพให้ดีขึ้นด้วย

ทำวิปัสสนาแล้วจิตและสติจะว่องไวขึ้นครับ แต่นั่งสมาธิอย่างเดียวบางครั้งจิตซึมและช้าลงครับ(ถ้าเกินพอดี) จึงแนะนำให้เดินจงกรมให้สมดุลย์กับการนั้งสมาธิครับ

วิธีเดินจงกรมก็คือเดินเป็นแนวตรงประมาณ 7 ก้าวไปมา เดินไป 7 ก้าว กลับเดิน 7 ก้าว วนไปมาเช่นนี้ครับ ระหว่างเดิน(มือกุมกันวางข้างหน้า)จิตจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกาย(โดยเฉพาะขาและเท้า)ทุกขณะครับโดยกำหนดตัวรู้ให้ตรงกับอาการที่เกิดขึ้น เช่นกำลังก้าวเท้าซ้าย ก็กำหนดในใจว่าซ้ายก้าวหนอ หรือซ้ายย่างหนอ ขาวย่างหนอ พอครบ 7 ก้าวก็หยุดกำหนดยืนหนอ 3 ครั้งแล้วกำหนดกลับตัวหนอ เมื่อหันกลับมาอยู่ในแนวเดินก็กำหนดยืนหนอ 3 ครั้งแล้วกำหนดเดินหรือย่างต่อไปครับ..........รายละเอียดของการเดินจงกรมมีละเอียดมากกว่านี้ แต่ขอสรุปสั้นๆแค่นี้ครับ หลักสำคัญที่ต้องเข้าใจคือต้องกำหนดพร้อมกับอาการที่เคลื่อนไหว จึงจะเป็นปัจจุบันครับ........และหากฝึกทำในชีวิตประจำวันได้ ก็จะได้ประโยชน์เต็มที่ครับ

หลังจากเดินจงกรมต่อจากนั่งสมาธิแล้วลองสังเกตุความเปลี่ยนแปลงในจิตใจดูครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

 

กราบขอบพระคุณมากเลยค่ะ ดิฉันสนใจในการปฎิบัติจริงๆ แต่มันรู้น้อย ที่กล้าถามคุณ เพราะดิฉันมีความมั่นใจว่าคุณจะช่วยชี้แนะได้ ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร จะขอปฎิบัติไปตามแนวทางที่แนะนำค่ะ และจะรายงานผลป็นลำดับๆไป รู้ตัวว่ารบกวนเหมือนกัน แต่ก็อยากจะสอบถามด้วย ต้องขออภัยไว้ก่อนนะคะ สาธุกับความกรุณาที่มีให้ค่ะ
P
ครับ
ธรรมชาติของจิตมนุษย์ ท่านว่าเหมือนนำที่พอเทลงไปบนพื้นแล้วจะไหลลงต่ำเสมอ
เป็นเรื่องที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เลยครับว่าน้ำเป็นเช่นนั้น สำหรับจิตมนุษย์ส่วนมาก ก็มักจะเป็นเช่นนั้นครับ แต่หากมีเครื่องมือบางอย่างก้สามารถจะยับยั้งไม่ให้ไหลต่ำได้ครับ นั่นก็คือธรรมะ ศีล การฝึกจิตต่างๆ .......จึงต้องดูว่าคนในสังคมนั้นมีเครื่อง
มือฝึกจิตที่ดีหรือไม่อย่างไร คนอินเดียรุ่นใหม่กำลังตกอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ครับ อย่างที่ผมเรียน เดลีกำลังมีห้างที่ทันสมัยที่สุดและกำลังผุดขึ้นอีกหลายแห่งพร้อมกันในเมืองรอบข้าง ความทันสมัยเหล่านี้จะเข้ามาเกาะกุมจิตใจของคนรุ่นใหม่ทีละน้อยและสร้างความพึ่งพาที่ทำให้รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีของที่ทันสมัย ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะโลกนี้กลายเป็นหนึ่งเดียว เมื่อคนรู้ช่องทางว่าเงินคือสิ่งที่จะทำให้ได้ทุกอย่างที่ปรารถนา ก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมา.....นิทานไม่ต่างกันครับ
อย่างไรก็ดี คนรุ่นใหม่ของอินเดียก็ยังเป็นส่วนน้อยครับ คนส่วนมากยังยึดวรรณะและยอมรับชะตากรรมที่จะอยู่อย่างพอเพียงแบบติดดิน ซึ่งผมยังต้องค้นหาต่อไปว่า คนจนอินเดียอยู่อย่างยากจนเพราะเป็นความเชื่อตามที่เทพต่างสั่งสอนหรือไม่อย่างไร ถ้าเขาอยู่อย่างจนและไม่ได้ทำความาชั่วอะไรเลย ก็น่านับถือครับ (เราเห็นคนรวยที่ทำชั่วมากมาย)
ความเห็นของผมก็คือถ้าอยู่แบบไม่มีเครื่องมือตั้งรับ ก็จะตกในกระแสโลกาภิวัฒน์แน่นอนและเมื่อนั้นคำว่าพอเพียงก็จะไม่มีครับ
การจะเรียนรู้คำว่าพอเพียงหากได้ไปอินเดียจะรู้ซึ้งครับเพราะของเขาเป็นแบบติดดินจริงๆ
ผมเห็นว่าพื้นฐานคนไทยนั้นดั่งเดิมอยู่กันอย่างพอเพียงอยู่แล้วครับโดยเฉพาะในต่างจังหวัด จะมีก็เฉพาะเมืองใหญ่ๆ ที่หลงไปกับทุนนิยมมากไปหน่อย หากได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กันมากๆ น่าจะต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ได้สบายมากครับ
ด้วยความปรารถนาดี

 

 P

ยินดีครับ เข้ามาสนทนากันต่อไปนะครับ

ขออภัยนะคะ ที่กลับเข้ามาอีกรอบ

  จะเรียนให้ทราบว่า เมื่อเย็นนี้ ที่ดิฉันถามเรื่องวิปัสสนา เพราะยังไม่ได้อ่าน หอมกลิ่นดอกบัว 2 ค่ะ แต่เมื่อสักครู่นี้ ได้อ่านจนจบแล้ว และได้ตั้งใจพร้อมกับทำอาการทางจิตตามคำบรรยายของคุณพลเดชไปด้วย แปลกมากเลยค่ะ อยากจะบอกว่า เกิดความรู้สึก จะใช้คำว่าอะไรดีคะ บอกจริงๆว่า ใช้คำว่า อิน เข้าไปเลย  เหมือนกับ น่าจะใช้ว่าเข้าใจ เกิดปิติใจ เหมือนเกิดขณะที่นั่งสมาธิเลย และแจ่มแจ้งถึงคำว่าอารมณ์เดียวเป็นอย่างไร คงคล้ายกับงานบุญ ที่ดิฉันกำลังมุ่งมั่นทำหนังสือแจก มันเกิดความตั้งอกตั้งใจ เห็นภาพตั้งแต่ต้น จนจบพร้อมกับเกิดอาการเป็นสุขไปด้วย ไม่มีสิ่งใดเลยที่ดิฉันจะคิดว่าเป็นอุปสรรคเลย แม้ค่าหนังสือเป็นจำนวนหมื่น ก็ไม่รู้สึกกังวล เอ่ยปากกับใคร ก็ไม่มีใครปฎิเสธ เหมือนคุณพลเดชบอกว่า ทรัพย์หยาบหาง่าย ดิฉันตั้งใจจริงๆค่ะ หวังว่าโพสสุดท้ายของวันนี้ คงสร้างความรู้สึกดีๆให้กับคุณพลเดชบ้าง ส่วนดิฉัน ก็จะจดจำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตนเอง ขอกราบอนุโมทนาบุญ กับหอมกลิ่นดอกบัว 2 ค่ะ 

เรียนคุณตันติราพันธ์

รับทราบความรู้สึกปีติแล้วครับ อนุโมทนาสาธุครับ รับรู้ เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปครับ กำลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญครับ ดูแลตัวเองครับเพราะจะช่วยผู้อื่นได้อีกมากครับ

ในปีมหามงคลนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำความดีถวายในหลวงครับ

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีอีกทีค่ะ
P
ความเห็นของผมก็คือถ้าอยู่แบบไม่มีเครื่องมือตั้งรับ ก็จะตกในกระแสโลกาภิวัฒน์แน่นอนและเมื่อนั้นคำว่าพอเพียงก็จะไม่มีครับ
แล้วคุณพลเดชว่า คนอินเดียมีเครื่องมืออะไรคะ
ศรัทธา ความเชื่อ หรือคะ
อย่างไรก็ตาม เรื่อง วรรณะนี่ น่าสนใจมาก เพราะ ทำให้อินเดียรอดพ้นจากการถูกครอบงำจากลัทธิอื่นมาได้
แสดงว่า คนเรานี่ต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวนะคะ และที่มีพลังสูงสุด ก็จะเป็นเรื่องของSpiritual ล้วนๆ
ดิฉันเอง ก็ยึดถือธรรมะมากค่ะ และจะมุ่งที่ภาคปฏิบัติก่อน เพราะเมื่อพอจะรู้ ในภาคปฏิบัติแล้ว  การเรียนถามธรรมะเบื้องลึกขึ้นไป จะเข้าใจแจ่มแจ้งค่ะ
ตอนนี้ ทำบุญกฐินไป 1 กอง
เอาบุญมาฝากด้วยค่ะ
P
สวัสดีและเจริญสุขครับ
คนอินเดียมีเทพเจ้าครับ และต้องด้วยศรัทธาแน่นอนครับที่ทำให้คนอินเดียอยู่กับเทพและตัวแทน บริวารของเทพได้อย่างสนิทใจอย่างที่ไม่มีที่ใดในโลกทำได้ เช่นวัวของพระเจ้า หนุมานหรือลิง หนู(ซึ่งเป็นพาหนะของเทพ) หรือแม้แต่พิธีกรรมต่างๆ ที่เราเคยทราบกันก็เพราะความศรัทธาจริงๆ ที่ทำให้ทำอะไรก็เป็นการบูชาไปหมด รวมทั้งความเชื่อที่ฝังลึกว่าประเทศอินเดียเป็นอู่อารยธรรมของโลกที่ยิ่งใหญ่ กอร์ปกับคนอินเดียถูกปกครองอย่างกดขี่และโหดร้ายและได้ต่อสู้จนได้อิสระภาพมา 60 ปีแล้ว จึงน่าจะทำให้คนอินเดียมีความรู้สึกว่าการชนะเป็นเรื่องที่ดีของชีวิต....
วรรณะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากอยู่ในความปรกติของวิถีของสังคมได้ครับ....ยังมีหลายสิ่งที่น่าสนใจที่ผมจะต้องค้นหาเกี่ยวกับคนอินเดียต่อไปครับ การได้มาอยู่ที่อินเดีย ต้องสู้รบตบมือกับคนแขก ก็คงเหมือนกับการเรียนรู้ธรรมะที่เริ่มจากการปฏิบัติน่ะครับ ที่ต้องค้นคว้าทดลองด้วยตัวเองเพื่อที่จะรู้ผลว่าเป็นอย่างไร
เป็นที่น่าดีใจที่ว่าธรรมะของพระพุทธองค์เป็นวิทยาศาสตร์ชั้นสุดยอดที่พิสูจน์แล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นจริงเสมอ
อนุโมทนาครับที่ยึดถือธรรมะและเข้าถึงธรรมชาตินั้น คงช่วยแนะนำผู้อื่นได้มากครับและขอโมทนากับกฐิน 1 กองนั้นด้วยครับ

  สวัสดียามค่ำค่ะ

    ขณะนี้เมืองไทย 19.06 น.ค่ะ เพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน วันนี้เข้าหมู่บ้าน เพื่อไปแจ้งข่าวว่า สโมสรโรตารี่ศรีราชา และโรงพยาบาลบ้านแพ้ว สมุทรสาคร ได้มีจิตเป็นกุศล รับเป็นเจ้าภาพผ่าตัด ต้อตา ชนิดต่างๆ และผ่าตัดโรคข้อเข่าเสื่อม แก่ประชาชน โดยไม่เลือกเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ และไม่จำกัดจำนวน เป็นโอกาส ได้สนองโครงการพระราชดำริ ที่ทรงให้สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ60 พรรษา นวมินทราชินี ทุกแห่ง ดูแลราษฏร ที่ยากจน ให้ดีที่สุด(มีจังหวัดละ  1 แห่ง)ซึ่งทรงรับเข้ามาอยู่ในมูลนิธิพัฒนาสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ชาวบ้านเรียกง่ายๆ ว่า สถานีอนามัยพระราชินี และดิฉันได้มารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารอยู่ในปัจจุบันนี้ นับเป็นโอกาสอันดี เพราะคนที่นี่ อยู่ห่างไกลตัวเมืองมาก อาชีพทำไร่ ค่อนข้างยากจน การที่จะต้องผ่าตัด โดยเฉพาะเข่าเสื่อมมีราคาแพง ต้องทำกับโรงพยาบาลเอกชน ถ้าโรงพยาบาลของรัฐ ก็เข้าคิว จนบางคนเสียชีวิตไปก่อนก็มี เมื่อเดือนก่อน รัฐบาลให้เงินลงมาในหมู่บ้าน เรียกโครงการอยู่ดีมีสุข ก็ได้เขียนโครงการแจกแว่นสายตา ทั้งสั้น ยาว แก่ผู้ด้อยโอกาส คนแก่ และเด็ก ได้ไป 550 อัน คนแก่บางคน อายุ 70 ปีแล้ว เพิ่งมีแว่นเป็นอันแรก วันแจกแว่น ดิฉันก็ทำหนังสือแจกไปด้วย 500 เล่ม พอได้แว่น ก็พากันอ่านใหญ่เลย ยังจำภาพแห่งความสุขของเขาได้ไม่ลืม การทำงานกับผู้ด้อยโอกาส แต่เรากลับได้โอกาส แห่งการสร้างบารมี ค่ะ มีความสุขทุกวัน กับงานที่นี่ แต่หาเจ้าหน้าที่มาอยู่ยากจังเลยค่ะ เล่าเรื่องเมืองไทยอีกมุมหนึ่ง เผื่อคุณพลเดชจะได้หายคิดถึงบ้านค่ะ

P
ขอบคุณครับ ที่เล่าเรื่องดีๆ ให้ฟัง ทำให้รู้ว่ายังมีคนดีศรีรัตนโกสินทร์อยู่ อันธรรมชาติของพลังนั้นคือบวกโน้มนำให้เกิดพลังบวกต่อๆไป ในลักษณะเช่นเดียวกันพลังลบก็โน้มนำให้เกิดพลังลบ ในช่วงที่เราสนทนาเรื่องชีวิตและธรรมะกันนั้นมีแต่พลังบวกครับ ซึ่งจะโน้มนำให้เกิดสิ่งที่ดีๆ ต่อไปอีกมากมาย
อนุโมทนาบุญและขอบคุณกับคนดีที่ยังคงช่วยเหลือคนอื่น ในขณะที่คนอื่นไม่ค่อยสนใจจะไปอยู่กัน เป็นตัวอย่างของการเห็นสิ่งที่ดีงามที่แฝงอยู่ในธรรมชาติครับ
ขอให้เจริญสุขยิ่งขึ้นไปนะครับ
ด้วยความปรารถนาดีเสมอ

สวัสดีค่ะคุณพลเดช 

วันนี้เดินทางทั้งวัน รวมทั้งไปงานเลี้ยงมาด้วย เพิ่งจะกลับถึงบ้าน ดึกไปหน่อยนะคะ เลยแวะมาเข้ากระทู้ วันนี้ โยคี น้อย ขอส่งการบ้านคุณครูค่ะ

  ผลการปฎิบัติธรรม เมื่อ2 วันมานี้ ได้ลงมือฝึก ทั้งสมถะและวิปัสสนาโดยการลงมาเดินจงกรม และพิจารณาอิริยาบถ ขอรายงานว่า การนั่งปฎิบัติธรรมวันนี้ ได้ความรู้สึกที่(เวลาเขียนอธิบายอารมณ์ในการปฎิบัติธรรม เขียนยากทุกที) เป็นว่าเหมือนตัวเองเกิดพลังแม่เหล็ก คือเมื่อตั้งสติให้แจ่มใส แล้วใช้การบริกรรม เมื่อมีอารมณ์แทรกเข้ามา ก็ตามรู้ไปจนทัน และจบ แต่พอเราน้อมอารมณ์กลับมาบริกรรมใหม่ มันเหมือน มีแม่เหล็กดูดกลับมารวดเร็วและดำเนินต่อไป อย่างมั่นคง สุดท้ายคล้ายอยู่ในความสว่าง กว้างๆ สะอาด สดชื่น สบาย เมื่อมีเสียงดัง น่าจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง กระทบหลังคา ปกติต้องตกใจ แต่นี่ เหมือนรับรู้ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ตกใจ หรือใจหาย เมื่อเลิกนั่งออกมาเดินจงกรม ตามที่คุณพลเดชแนะนำ อารมณ์ ความรู้สึกนิ่งๆ ยังอยู่ต่อเลย แต่ก่อนมีความคิดว่า ถ้าเราเดิน สมาธิน่าจะเคลื่อน แต่แปลก กลับต่อเนื่อง และดูจะมีสมาธิตั้งมั่นกว่าอีก คิดว่าเราจะคิดทันเดินไหม ปรากฎว่า จิตทำท่าจะเร็วกว่า กาย เสียอีก ต้องระลึกว่า ให้ทำเท่าที่ปัจจุบันเท่านั้น เก็บมารายงานได้เท่านี้ค่ะ มันเขียนยากมาก แต่รู้สึกว่าพบประสบการณ์แปลกใหม่ แต่ทั้งหมดทำได้ดี เฉพาะขณะปฎิบัติ แต่พอดำเนินไปในวิถีชีวิตประจำวัน ก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้างค่ะ

         โยคีน้อย

สวัสดีครับโยคีน้อย

ผมคิดว่าพื้นฐานนั้นแน่นอยู่แล้ว สมาธิดี พร้อมที่จะทำวิปปัสสนาได้ก้าวหน้า ขั้นตอนช่วงนี้จะเป็นช่วงที่สำคัญ ต้องการอาจารย์ที่แนะนำครับ จึงคิดว่าอย่าโหมทำมากไปครับ ทำแต่พอดีและเช่นที่ผมปฏิบัติมา ทุกครั้งก่อนจะปฏิบัติธรรมจะไหว้พระและครูบาอาจารย์ ขอท่านช่วยคุ้มครองการปกิบัติธรรมอย่าได้มีอุปสรรคหรืออะไรมารบกวน

ผมจึงคิดว่าหากมีเวลา ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ได้ไปปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวันหรือกับคุณแม่ศิริ กรินชัยหรือกับพระสงฆ์ที่คุณตันติราพันธ์นับถือและสะดวกก็ได้ครับ

ตามประสบการณ์ของผม เมื่อปฏิบัติได้ดี จิตมีพลัง มักจะต้องผ่านนิมิตต่างๆ ค่อนข้างมาก อาจจะดีหรือไม่ดี อาจจะอันตราย จึงขอให้มีอาจารย์แนะนำอย่างใกล้ชิดครับ เหมือนการเรียนปริญญาโท เอก เน้นการปฏิบัติและค้นคว้าข้อมูลภาคสนามเอง จึงต้องไม่ประมาทครับ

แต่ผมก็เชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า ถ้าตั้งมั่นในกุศลธรรม ยึดคุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายแล้ว ย่อมจะฝ่าฟันภยันตรายทั้งหลายได้แน่นอนครับ แต่ไม่ประมาทย่อมดีกว่านะครับ

จิตที่เป้นสมาธินั้นดีแล้วครับแต่พยายามให้อยุ่กับปัจจุบันครับ ปัจจุบันนั้นสำคัญที่สุด เพราะจิตเกิดขึ้น รับรู้อารมณืได้ที่ละหนึ่งเท่านั้นครับ ถ้าจิตรู้ปัจจุบัน อกุศลก็เกิดไม่ได้ครับ และถ้าฝึกจนชำนาญ ก็จะสามารถนำมาใช้ในทุกขณะของชีวิตประจำวันครับ ตรงนี้สำคัญเพราะเราอยู่ในสังคม มีชีวิตอยุ่ในสังคมประมาณ 18 ชม.ใน 24 ชม. ถ้าสติว่องไว ก็จะทำให้ไม่หลงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ครับ

ถ้าสติอยู่กับปัจจุบันมากเท่าใด อกุศลจิตก็จะเกิดน้อยลงทุกวันครับ

ทำพอดีๆ ทำอย่างต่อเนื่องและสมำเสมอ เมื่อถึงเวลา ก็เมื่อนั้นครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

นะมัสเต้ ค่ะ

   ขอเรียนให้ทราบว่า ทุกวันก็ได้สวดมนต์ ทำวัตร เช้า - เย็น เป็นประจำค่ะ แผ่เมตตา และก่อนนั่งสมาธิ ก็ได้ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัย คุ้มครองค่ะ จากนั้นก็จะระลึก ถึงคำสอน คำแนะนำต่างๆ ที่ท่านผู้รู้ได้ ให้ความเมตตาแนะนำ และปฎิบัติตาม หลังจากเลิกปฎิบัติ ก็จะอธิษฐานจิต ส่งบุญไปให้ท่านทั้งหลาย หวังว่าคุณพลเดชเอง คงได้รับทุกวันเช่นกัน

  ในความรู้สึกของตัวเอง ท่าจะเทียบเป็นการเรียน ก็แค่ชั้นอนุบาลเท่านั้น มาได้รับคำสอนดีๆ ก็พอจะรู้เรื่องบ้าง เคยเข้าคอร์ส สมาธิ มาหลายแห่ง แล้วก็มีความติดค้าง ไปต่อไม่ได้ เพราะ ครูบาอาจารย์ ท่านต้องดูแลคนมาก แล้วเราเองก็ไม่รู้จะถามอะไรด้วย เพราะมันงง ๆ กลัวครูบาอาจารยื จะระอาเสียก่อน ดิฉันว่าความรู้ขนาดดิฉันนี้ คงยังไม่ต้องถึง พระอาจารย์ตามที่คุณบอก น่าจะฝีกให้มากก่อน แต่จริงๆแล้ว ดิฉันก็ยังมีครูที่เคยเมตตาสอน ให้ดิฉันเข้าใจง่ายๆ เหมือนกัน และคำสอนของท่านก็ดูจะถูกจริต คงเคยสอนกันมา เพียงแต่ขณะนี้ ท่านมีภาระกิจมาก คงไม่ค่อยจะมีเวลา หรือยุ่งยากที่จะสอนดิฉันเสียแล้ว ดิฉันเองก็รู้สึกเกรงใจ และไม่กล้าถามท่านด้วยว่าสะดวกไหม ท่านมีหน้าที่สำคัญต่อบ้านเมืองค่ะ และอยู่ต่างประเทศ ชื่อประเทสอินเดีย ท่านชื่อ พลเดช วรฉัตรค่ะ ถ้าพบเจอช่วยสอบถามให้ด้วย ว่าจะมีเวลา ดูแลโยคีน้อยต่อไหม  ขอบพระคุณค่ะ

คุณตันติราพันธ์ครับ

สาธุครับกับการปฏิบัติที่ดีและที่ชอบแล้ว ถือว่าไม่ใช่ชั้นอนุบาลหรอกครับ ส่วนที่ผมแนะนำนั้นเพื่อจะได้มีครูบาอาจารย์เป็นหลักยึดครับ ซึ่งจำเป็นในขั้นที่จะก้าวต่อไปเรื่อยๆ  เพราะดังที่เคยเรียนไว้ว่าตามประสบการณ์ของผม เมื่อปฏิบัติจิตก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ จะมีประสบการณ์ทางจิตมากมาย ซึ่งมีทั้งสองด้าน หากได้มีอาจารย์ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็จะช่วยคุ้มครองให้ผ่านไปได้

สำหรับผมนั้นถือเป็นกัลยาณมิตรที่พร้อมที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เสมอ ส่วนใหญ่จะบริหารเวลาได้ครับเพราะแม้จะมีงานมากแต่ก็มักจะหาเวลาเขียนเผยแพร่และสนทนาได้เสมอครับ แต่ด้วยความเป็นห่วงเพราะเคยเดินผ่านทางนี้มาแล้ว บางครั้งในอดีตผมก็ปฏิบัติตามหนังสือโดยไม่มีอาจารย์ด้วยซ้ำไป ซึ่งอันตรายมาก แต่ก็โชคดีที่อาจจะมีบุญเก่ามั้งครับ จึงมีครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจนผ่านมาได้.........

เราต่างเป็นลูกโยคีด้วยกันครับ คุณแม่สิริเป็นแม่โยคี ผู้อบรมเป็นลูกโยคีทั้งนั้น เอาเป็นว่าผมเป็นรุ่นพี่ก็แล้วกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากการปฏิบัติธรรมมานาน ก็คือความพอดีในทุกๆ สิ่งครับ ซึ่งต่อมาก็มาได้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ที่ผมเห็นว่าทรงพระอัจฉริยะมาก เพราะเป็นปรัชญาและแนวทางในการปฏิบัติธรรมด้วย ถ้ารู้จักพอประมาณ มีเหตุมีผลและมีภูมิคุ้มกัน กับมีเงื่อนไนเรื่องความรู้คู่คุณธรรม นั่นคือทางสายกลางในทุกๆ เรื่องครับ ซึ่งผมก็ใช้แนวทางนี้กับชีวิตรวมทั้งการปฏิบัติธรรมด้วย

การกำมือกับการแบมือปล่อยออกไป อันไหนสบายกว่ากันครับ พลังการให้ที่แผ่ออกไปคือการปล่อยความเป็นตัวตนออกไปด้วยครับ ถ้าจิตอยู่กับปัจจุบัน ตัวตนก็ไม่มีครับ มีแต่จิตรู้กับสิ่งที่ถูกรู้

สาธุครับกับโยคีน้อย

อันความตาย หมายไม่ได้ ว่าเมื่อไหร่

เกิดกับใคร ได้ทั้งนั้น หมั่นท่องหนา

ทารกเด็ก เล็กผู้ใหญ่ วัยชรา

มรณา มาเยือนได้ ทุกวัยวัน

เมื่อไม่รู้ ก็จงอยู่ อย่าประมาท

คนฉลาด สร้างบุญไว้ ไม่โศกสันต์

ยิ่งบุญมาก สุขมาก รับประกัน

ตามไม่พรั่น มั่นในสุข ตลอดไป ........

ด้วยความปรารถนาดี

  

สวัสดีค่ะท่านนักเดินทาง

   ถ้าพรุ่งนี้ไม่ใช่วันตายฉัน

คงบุกบั่นสร้างความดีที่มุ่งมั่น

เก็บทุกบุญทุกความดีทุกวี่วัน

วันตายฉันวันไหนไม่สนเลย.

 อยากจะแต่งกลอนกับเขาบ้าง แทบแย่ค่ะ เลยได้มาบทเดียว จริงๆอยากบอกว่า ถ้าพรุ่งนี่ ดิฉันยังไม่ตาย สิ่งที่กำหนดไว้ ก็คงสำเร็จ ตามปรารถนา แต่ทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปมิใช่หรือคะ

  พรุ่งนี้ต้องออกไปตรวจสุขภาพพระตั้งแต่เช้า อำเภอศรีราชา กับพนัสนิคม นี่คนละมุมของจังหวัดชลบุรีเลย แต่ทางสายไหนก็ไม่ยาวไกลเท่าทาง              สายวัฎฎสงสารหรอกนะคะ ไปรับหนังสือมาจากโรงพิมพ์แล้ว ดูดีมาก น่าหยิบอ่าน ภาพที่ใช้ทำปก จะเล็กไปหน่อยเพราะภาพจากเน็ต ขยายไม่ค่อยได้ คราวหน้า ถ่ายภาพเองจะดีกว่า แต่ก็ โอเค ค่ะ ใช้สีม่วงอมน้ำเงิน ไล่สีอ่อนแก่น่าดู ตัวหนังสือข้างในใช้สีกรมท่า ชัดเจนดี ส่วนงบประมาณ บอกบุญจนได้เกินเลยค่ะ เรื่องของเจ้าของบุญนี่ก็แปลก บางทีแค่เล่าให้ฟังผ่านๆ ก็ควักเงินออกมาร่วมบุญกัน คนใจบุญยังมีอีกมากค่ะ เมื่อเตรียมการเสร็จ รู้สึกเบิกบาน อยากจะเล่าให้           คุณพลเดชรับรู้ด้วย  จะได้มีกำลังใจเขียนบทความมาให้ดิฉัน เผยแผ่อีก ตามเก็บบุญกันอีก พรุ่งนี้ค่ะ พรุ่งนี้ จะเก็บความปิติมาฝาก

  มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมไหมคะ ส่งมาได้เลย

ขอบพระคุณค่ะ

สาธุครับ กับกุศลและผลบุญที่ได้ทำและได้รับ กุศลที่เป็นบวกนี้จะโน้มนำให้เกิดสิ่งที่ดีงามต่อไปครับ ผู้บอกบุญเองก็ต้องมีบุญมากโขครับ คนจึงศรัทธาทำบุญด้วย นี่ละ เขาเรียกว่า บุญต่อบุญครับ

อย่างนี้ต้องจบด้วยคำว่า "ปีติวันละนิด จิตแจ่มใส" ครับ

เจริญสุขครับ

 

สวัสดีค่ะท่านพลเดช

   วันนี้มีอาการจามบ้างหรือเปล่าคะ คนเขาพูดถึงหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย กันทั้งวัน ไปเอามาจากไหน คัดมาได้อย่างไร ต้องมาอธิบายกัน และให้ web ของคุณไป บอกแล้วว่าหนังสือเล่มนี้ ทำด้วยใจ และผู้รับต่างก็ประทับใจ ถึงขนาดขอไปฝากกัน เลยแจกทั้งพระ ทั้งโยม คุณพลเดชเชื่อไหม 1,000 เล่ม เหลือกลับมา ไม่ถึง 50 เล่ม แบบต้องหวงเอาไว้ เพราะดิฉันเอง ก้ยังไม่ได้ให้คนสำคัญๆของดิฉันเลย

มีคุณหมอที่มาออกหน่วยท่านหนึ่ง อายุไม่น่าเกิน 30 แต่ดูเด็กมาก เห็นว่าปฎิบัติธรรม และเป็นอาจารย์หมอ อยู่ศิริราช เดินเข้ามาอย่างเกรงใจ หลังจาก ได้อ่านหนังสือแล้ว มาบอกว่า จะขอไปให้เจ้าหน้าที่ที่แผนก สัก 30 เล่ม ดิฉันก็รีบอนุญาต แต่พอนับครบ 30 เล่ม คุณหมอก็มองหน้าแล้วพูดยิ้มๆว่า ผมเองต้องสอนลูกศิษย์ อีกอยากเอาไปให้เขาได้อ่านกัน ถามว่ามีสักเท่าไหร่ล่ะคะ คุณหมอบอกว่า เอาเป็นว่าขอสัก 80 เล่มนะครับ ผมอ่านแล้วรู้สึกดีมากครับ ก็เลยต้องหาถุงให้คุณหมอด้วยความปิติใจ ยังมีพิธีกรหญิง ท่านหนึ่ง ทำงานอยู่สำนักงานสาธารรสุขจังหวัด บอกว่าพรุ่งนี้ จะต้องเดินทางไปสอน อาสาสมัคร ตำรวจ ประมาณ100 คน จะขอนำหนังสือไปแจก ผู้เข้ารับการอบรม และซักถามถึงเจ้าของบทความ ดิฉันเลย ให้web เขาไป คนนี้ร่วมปัจจัยค่าหนังสือ มาจำนวนหนึ่ง และขอสมัครเข้าชมรม สุขภาพกายและใจของดิฉันด้วย ยังมีเจ้าหน้าที่ต่างๆที่มาทำงาน ขอไป และร่วมทำบุญอีก ส่วนพระนั้น นอกจากจะแจกเป็นรายบุคคลแล้ว ก็ได้จัด ใส่ ในไทยธรรม ไปรวม 90 วัด

คุณพลเดชค่ะ วันนี้ถึงแม้ดิฉันจะเหนื่อยมาก เพราะต้องวัดความดัน พระ นับ ร้อยๆรูป แทบขับรถกลับบ้านไม่ไหว ถึงบ้าน เมื่อ 19.30 น. แต่ต้องรีบอาบน้ำ ใช้นำราดศรีษะมากๆ จะได้สดชื่น และจะได้ข่าวดีและนำบุญมากฝากคุณพลเดชก่อน การนำสิ่งดีๆ มาให้เจ้าของ ควรรีบทำ ไม่ควรข้ามวัน ส่วนเรื่องอื่นพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ขอให้คุณพลเดชได้อานิสงส์ผลบุญ จากธรรมทาน ในครั้งนี้ อย่างสุดประมาณ และให้มีกำลังใจที่จะสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่โลกต่อๆไป สาธุค่ะ 

คุณตันติราพันธ์ครับ

สาธุครับ พระพุทธองค์ทรงให้คำเตือนสุดท้ายก็คืออย่าประมาท การคิดถึงความตายและเตรียมตัวให้ดีที่สุดคือการไม่ประมาทครับ

ขออนุโมทนากับกุศลกรรมและกุศลจิตที่เกิดขึ้นครับ ขอพวกเราจงอยู่ในความไม่ประมาทครับและจงเป็นผู้ให้ให้มากที่สุดครับ เหมือนเช่นที่โยคีน้อยได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้ว

เจริญสุขครับ

นักเดินทาง

สวัสดีค่ะนักเดินทาง(จนกว่าจะรู้แจ้ง)

     เมื่อเช้านี้ โยคีน้อยมีอาการงอแงนิดหน่อย คือตามปกติ ตี 4 ของทุกวันจะลุกขึ้นมาปฏิบัติธรรม แต่เช้านี้ พอรู้สึกตัวปุ๊บ ร่างกายก็ปิดสวิท ตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำให้ตื่นสายมาก 07.30 น. แต่เมื่ออาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็ปฏิบัติธรรมได้ตามปกติค่ะ ทำให้รู้เลยว่า การที่ร่างกายไม่พร้อมนี้ จิตใจก็พลอยอ่อนแอไปด้วย นี่ขนาด ยังไม่ได้อยู่ในภาวะใกล้ตายนะคะ

    หลังจากเสร็จงานบุญ ทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับ สุขภาพพระมากค่ะ พบหลายโรค ทั้งโรคเรื้อรัง ,โรคติดต่อ และได้ให้การบำบัดรักษา พร้อมส่งต่อ ให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบดูแลกันต่อไป ถีอว่าพวกเราได้มีส่วนในการสืบทอดพระพุทธศาสนาทีเดียว

นอกจากนี้ ยังได้เห็นพลังของญาติโยม ที่มาคอย ดูแล อุปัถฐาก พระเณร กันนับร้อย ส่วนเจ้าหน้าที่ทีอาสามาตรวจสุขภาพพระ ก็ร่วมร้อยเช่นกัน คิดแล้วทั้งพระ ทั้งโยมก็เกือบพันคน ศาลาที่รองรับ แคบไปถนัด มีปัญหาเกิดขึ้นนิดหน่อย แม่ครัวประมาณการหุงข้าวไม่พอกินกัน ดิฉันเองก็กินกับข้าว และผลไม้เท่านั้น เมื่อวาน กว่าจะได้เจอข้าว ก็เย็นมากๆแล้ว แต่ในขณะทำงาน รู้สึกมีความสุข จนลืมหิวเหมือนกันนึ่

   คุณพลเดชไม่ต้องกังลนะคะ พวกเราอยู่ในประเทศ จะเฝ้าดูแลพระพุทธศาสนา จะตอบแทนคุณแผ่นดิน และจะทำความดี ถวายพ่อหลวงขอเราให้ยิ่งๆขึ้นไป คุณพลเดชเองที่เสียสละมากกว่าเรา แม้งานจะมีจุดประสงค์ใกล้เคียงกัน แต่ต้องไปอยู่ต่างถิ่น ลำบากกว่าหลายร้อยเท่า ขอให้อดทน และมีกำลังใจที่เข้มแข็งยิ่งๆขึ้นไปค่ะ

      ในขณะที่ดิฉันเอง ได้สัมผัส ถึงผลบุญ เป็นความสุขใจ ยิ่งได้มานั่งรวบรวมข้อมูล ดูภาพถ่าย ก็ยิ่งรู้สึกดี และอยากจะทำสิ่งดีๆ ให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก คงเป็นพลังบุญ ที่หนุนเนื่องกันต่อไป

  คุณพลเดชเอง ป่านนี้ก็คงได้รับกระแสบุญ อยู่ไม่ขาดสาย ถ้ามีการขึ้นตัวเลข เหมือน เวบนี้ ก็คงขึ้นจำนวนคนอ่านหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้.....ต้องตาย หลายร้อย หลายพันคน และยังส่งผ่านให้กันอ่านอีก นับไมถ้วน ถ้าความสว่างเหมือนการจุดเทียนมารวมกัน ก็คงสว่างหลายพันแรงเทียน แต่ถ้าเราเอาเทียนแต่ละเล่มนั้นมาเรียงกัน โดยให้ยืนต่อกัน จากจุด หมดสว่าง ต่อไปเรื่อย มิให้เหลือจุดมืด ก็คงได้ระยะทางไกลมากทีเดียว ต้องรีบขออนุโมทนาก่อนเลย แจ้งให้ทราบว่า เดื่อนธันวาเรานัดหมายกัน จะไปออกหน่วยที่เชียงใหม่ ตามดอย คุณพลเดชเตรียมบทความที่จะเผยแผ่ธรรมทานได้เลย จะไปราวๆ 7,8,9,10 ธันวาคมคนที่คิดทำดี ยังมีอีกมากค่ะ

                          ขอให้พี่โยคีมีความเจริญสุขเช่นกัน 

                                      โยคีน้อย

 

โยคีน้อยครับ

แวะเข้ามาสาธุก่อนจะราตรีสวัสดิ์ครับ เป็นบุญของแผ่นดินครับที่มีคนดีๆ ร่วมใจกันทำความดีถวายในหลวงและแผ่นดินเกิด เป็นงานที่ผมคิดว่าสำคัญไม่น้อยไปกว่างานของผมเลย

ในหลวงทรงบอกว่าทำความดีให้ปิดทองหลังพระ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่เห็น ไม่ว่าจะมีคนชมหรือไม่ ก็ตั้งใจทำไปเรื่อยๆ วันหนึ่งทองจะไหลออกมาข้างหน้าเอง........

ขอให้กำลังใจแก่โยคีน้อยและผู้ร่วมงานทุกคนครับที่เสียสละชีวิตทำความดีเพื่อบ้านเมือง  ความลำบากและอุปสรรคต่างๆ ที่มี ขอให้กลายเป็นพลังให้มีกำลังใจสู้ต่อไปครับ ขอบคุณครับที่เข้าใจว่าอยู่ต่างแดนลำบากกว่า ผมไปมาหลายประเทศ หลายทวีป แต่..ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเราหรอกครับ เมืองไทยเรานั้นแสนดีนักหนา

สำหรับกระแสบุญนั้นผมได้รับตลอดเวลาครับและก็เป็นกำลังใจให้สำหรับการมุ่งทำความดีต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาครับ

ด้วยความปรารถนาดีและราตรีสวัสดิ์ครับ

สวัสดียามเช้าค่ะ

   ได้อ่านข้อความจากกระทู้แล้ว ก็มีความสุขใจ เหมือนที่คุณพลเดชกล่าว ถูกต้องแล้ว เราทำความดี ไม่ได้เพื่อคำชม แต่เราทำเพราะใจอยากทำ เสียดายเวลา เสียดายโอกาส ที่นับวัน ก็จะหมดไปเรื่อยๆ ไม่ตาย ก็ถดถอยกำลังไปทุกที ถ้าใครอยากทำอะไร ต้องทำเลย มีคนอายุ 60 ไปแล้วก็หลายคนที่มาร่วมกันทำงาน ประธานชมรมของดิฉัน ชื่อเบญจภัทร์ เคยเป็นครู เป็นผู้หญิง และยังเป็นมะเร็งอีก สุดท้ายที่เฝ้ารักษา มานับปี ผมร่วง ผอม มาก ดิฉันจำได้ และสวดมนต์ให้เธอทุกคืน ในที่สุดหมอก็ยังบอกว่ามะเร็ง ก็ยังอยู่ในร่างกาย นับแต่นั้น เธอก็ยอม หยุดรักษาทางแพทย์ทุกชนิด กินอาหารชีวจิต และปฎิบัติธรรม ซึ่งปัจจุบัน เธอก็ออกหน่วยกัยเราอย่างกับคนดีๆ ร่างกายแข็งแรงผิดตา นี่ใช่ไหม ที่เขาเรียกบุญรักษา

  วันนี้ขอส่งการบ้านพี่โยคีด้วยค่ะ หมู่นี้โยคีน้อยมีอาการแปลกๆ บางครั้งนั่งทำงาน หรืออะไรก็แล้วแต่ จะเกิดอาการเหมือนตอนนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรม เกิดแบบฉับพลัน มันนิ่งๆ มีพลังในตัว และอีกอย่างคือ จะมีความรู้สึกว่ามีคนส่งกระแสจิตถึงเรา         ( บางครั้ง) ที่จับได้บ้าง 2 ครั้ง ครั้งแรกมีคุณลุงท่านหนึ่ง สนทนาธรรมกันบ่อยๆ ระยะหลังดิฉันไม่ได้ไปเยี่ยม วันหนึ่งก็มีอาการอย่างนี้ และนึกถึงลุง ก็เลยขับรถไปหา คุณลุงเลยบอกว่า อธิฐานจิต ให้มา เพราะจะให้พระธาตุ ไปบูชา แล้วคุณลุง ก็เล่าว่า ได้บูชา และมีพระธาตุเสด็จมากมย ว่าแล้ว คุณลุงก็ตัก พระธาตุ ใส่ตลับ ให้ดิฉันโดยไม่นับ มาถึงบ้านจึงรู้ว่า 18 องค์ คุณลุงบอกว่าที่ให้นี้ ไม่ใช่ เพื่อการยึดติดอะไร แต่ให้เพราะเพื่อเสริมกำลังใจ ที่ ดิฉันศรัทธา ในพระพุทธศาสนาค่ะ

  อีกรายเป็นแม่ชีที่ดิฉันไปปลีกวิเวก แล้วพบท่าน และได้ให้กำลังใจ เพราะท่านอยากทอดกฐิน โดยวันนั้น เริ่มต้นบุญกับท่านเพียง 200 บาท ต่อมาดิฉันได้แวะไปส่ง่คนปฏิบัติธรรม พอเห็นหน้าก็บอกว่า รู้แล้วเดี๋ยวต้องมา เพราะอธิษฐานจิตไป ท่านจะให้ช่วยเรื่องทำใบฎืกา เพราะท่านไปไหน มาไหน ไม่สะดวก และยิ่งปลื้มใจ เมื่อท่านบอกว่า ได้แรงบันดาลใจ จากดิฉัน ตอนนี้ มีต้นบุญ 40 คนแล้ว สาธุ

  การใช้พลังจิตได้ก็ดีเหมือนกัน ส่วนดิฉันเองก้ไม่รู้ว่าส่งถึงใครได้ไหม ไม่เห็นมีใครส่งข่าวกลับมาสักคน

    วันนี้ขอรายงานความคืบหน้าเท่านี้ค่ะ อ้อ! เมื่อเช้ามืดนี้ มีอาการอีกอย่าง เหมือนตกจากที่สูง ตกใจนิดหน่อย แต่สติดีอยู่ และมีเสียงภายในใจบอกว่า อยู่กับปัจจุบันๆค่ะ

      วันนี้ขออธิษฐานจิตตั้งใจส่งบุญข้ามประเทศไปให้พี่โยคีค่ะ

สาธุกับบุญกุศลที่ตั้งใจทำด้วยดีแล้วครับ

อยู่กับปัจจุบันนั้นก็คือ รู้แล้วก็ผ่านไปครับ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี รู้แล้วก็ละวางและผ่านไปครับ เพราะทุกอย่างตกอยู่ในกฏธรรมชาติ คืออนิจจัง ทุกขังและอนัตตาครับ ไม่มีอะไรเที่ยงครับ ต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นของธรรมดา

เราได้มีโอกาสเรียนและรู้ ดู เห็นแล้ว ก็แค่นั้นครับ ผมเคยเปรียบการปฏิบัติธรรมเหมือนทางเดินไกลแสนไกล ระหว่างทางที่มีบ้านริมทางอยู่หลายหลัง นักเดินทางชอบแวะ แล้วก็อาจจะไม่สนใจเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจุดหมาย แวะได้ครับแต่เมื่อรู้แล้ว พอสมควรแล้ว ก็ต้องจากไปเพื่อเรียนรู้ต่อไปครับ ความดีหรือกุศลนั้นไม่หายไปไหน แม้ไม่มีคนรู้ พลังเหล่านั้นก็ไม่หายไปไหน

คือเมื่อได้เรียนรู้ขาวและดำ ที่มีอยุ่ทั่วไปในธรรมชาติแล้ว ในที่สุดก็ต้องละทิ้งทั้งสองอย่างครับ จึงจะถึงสันติสุขที่ถาวร

ด้วยความปรารถนาดีครับ

  ขอถามเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อยนะคะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ให้เฝ้าดูเฉยๆหรือคะ หรือว่าให้มองไป พิจารณาไป อันนี้ยังไม่ทราบเลย แล้วเสียงที่บอกจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหน ถูกผิด บางทีเหมือนมีเสียงคอยกำกับ จะว่าเราคิดขึ้นเอง ก็ไม่เคยคิดแบบนี้นี่นา

รบกวนเท่านี้ก่อนค่ะ  ขอบพระคุณค่ะพี่โยคี

โยคีน้อยครับ

ดูด้วยสติครับ เห็นสักแต่เห็นครับ และธรรมชาติ ในเมื่อทุกอย่างไม่จีรัง ยั่งยืน ก็ต้องเปลี่ยน เราจึงมีหน้าที่ดูแล้วสักแต่เห็นครับ คือเห็นที่เป็น เห็นที่เปลี่ยน

การดูด้วยสติจะปลอดภัยที่สุดครับ แต่ในช่วงแรกที่ผมเคยปฏิบัติ บางครั้งเราก็อยาก   จะเห็นแต่ดีๆ ไม่อยากจะเห็นสิ่งไม่ดี ต่อมาจึงรู้ว่า ถ้าเรามีสติ จะดูและสักแต่เห็นเท่านั้นครับ

ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

แวะมาเขียนต่อ

ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่บุญญฤทธิ์ จันทรสมบูรณ์ด้วยครับ ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นลูกศิษยหลวงปู่ชอบ สายหลวงปู่มั่น ปัจจุบันหลวงปู่บุญญฤทธิ์จำวัดอยู่ที่สวนทิพย์เมืองนนท์ครับ ท่านอายุ 86 แล้ว แต่ยังสอนปฏิบัติได้ดี ท่านสอนผมว่าให้ สักแต่ในทุกสิ่ง..........หากโยคีน้อยมีเวลาไปกราบท่านนะครับ มีคำเทศนาของท่านที่ผมได้ถอดเทปเอาไว้เมื่อครั้งที่ท่านไปเยี่ยมผมและครอบครัวที่เบลเยียม 12 ปีมาแล้ว จะลงในเว็บ polpage ต่อไปครับ จะได้อ่านทั่วกัน

ด้วยความปรารถนาดี

 พี่โยคีพลเดชคะ

  การปฏิบัติธรรม นี่คือการต้องศึกษาและลงมือปฏิบัติเองตลอด เหมือนครั้งที่ พี่โยคีสอนการเดินจงกรม โยคีน้อยก็นึกไม่ออก ต่อเมื่อ ลงมือปฏิบัติ จึงได้เรียนรู้ บางสื่ง บางอย่าง ก็อธิบายกันยาก คำว่าสักแต่ว่า นี่ก็อีก จะเหมือนการมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่เอาอารมณ์ เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไปค้นหาสืบต่อ ใช่ไหม หรือดูด้วยการวางเฉย เอาเถอะค่ะ เป็นว่า ถ้าโยคีน้อย พบเจออะไร แล้วทำอย่างไร ผลแบบไหน ก็จะมาบอกพี่โยคีอีกทีนะคะ

                การปฏิบัติธรรมนี่ เป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย เกินจะเดาได้ ขอบพระคุณสำหรับความกรุณาค่ะ

  เสียงธรรมจากนรัสเซลส์   

อ่านจบแล้ว ขอบคุณมากค่ะ ได้เกิดปัญญาขึ้นมาบ้าง เฉพาะในส่วนรับรู้ได้ ยังมีอีกหลายส่วน ที่จะต้องใช้เป็นแนวทางในการศึกษาธรรมะต่อไป คำของครูบาอาจารย์นี้มีฤทธิ์ ต้องตั้งใจอ่านหลายรอบ และใช้สติอย่างมาก จึงจะทำให้เข้าใจ ลำดับนี้ก็ช่วยให้ไม่ต้องถาม พี่โยคีไปอีกหลายคำถามค่ะ

       ขออนุโมทนาสาธุ

สวัสดียามเช้ามากๆ (ที่อินเดีย)

     วันนี้โยคีน้อยมีประชุมครึ่งวัน เลยส่งการบ้านแต่เช้าเลย วันนี้ มีประสบการณ์ที่น่าสนใจ และอาการที่เกิดขึ้นใหม่ ของโยคีน้อย มาเล่าให้ฟัง ดังนี้

เช้านี้นั่งสมาธิตั้งแต่ ตี 4 เมื่อนั่งได้จิตรวมระดับหนึ่ง (เป็นอาการที่เคยเล่าให้ฟัง) เมื่อมีสิ่งใด เข้ามาในจิต ส่วนมากเป็นอารมณ์ ความรู้สึก ไม่ใช่ภาพ ก็ตามดูไป ด้วยใจวางเฉย เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย อาการเหล่านั้น ก็ค่อยหายไป เป็นเช่นนี้ อยู่พักใหญ่ จิตก็เริ่มนิ่งได้นานขึ้น และเหมือนเราค่อยๆไปเปลี่ยนภาพ สไลด์ เป็นเปลี่ยนครั้งหนึ่งก็นิ่งมากขึ้นครั้งหนึ่ง เพิ่มขึ้นๆเหมือนเหลือใจดวงเดียว ไม่มีอาการปวดเมือ่ยทางกายใดๆทั้งสิ้น สรุป เช้านี้นั่งสมาธินานถึง 2 ชั่วโมงครี่ง ไม่เคยนั่งนานเท่านี้มาก่อน แต่ปรากฎว่า เมื่อมาเดินจงกรม กลับมีความรู้สึก ไม่เหมือนเดิม คือ เดินแล้วไม่มีสติหนักแน่นเหมือนเดิม เหมือนใจมันนิ่งเกินไป เลยหยุดพิจารณา สมาธิคงจะเกินไป สติเกิดน้อย ตามที่คุณพี่โยคีเคยบอกใช่ไหมคคะ

   เป็นว่าโยคีน้อยสอบถามเท่านี้ก่อนนะคะ

                                    อนุโมทนาบุญค่ะ

  อ่านจบแล้ว กราบอนุโมทนาสาธุค่ะพี่โยคี

  เกิดแรงบันดาลใจอย่างแรง

โยคีน้อยครับ

หากมีโอกาสแวะเข้ากรุงเทพฯ โทร.ไปถามที่สวนทิพย์ครับ 02-5833748 หลวงปู่ตามปรกติจะจำพรรษาที่นั่นและช่วงบ่าย 3 โมงจะสอนนั่งสมาธิแก่ญาติโยม วิธีการสอนของท่านจะให้เรานั่งสมาธิหลับตาโดยท่านจะเทศน์แนะนำไปด้วย บรรยากาศดีมากครับ หากมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมก็ถามท่านได้ครับ

โชคดีนะครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   โยคีน้อยอยากไปค่ะ และกำลังศึกษาแผนที่เส้นทางอยู่ ประมาณว่าบ้านนอกเข้ากรุง เดี๋ยวไปได้ แต่กลับไม่ถูกอีก ก็จะเปลืองข้าววัดด้วย ถ้าพี่โยคีตั้งใจขนาดนี้ อย่างไร ก็ต้องไปให้ถึงค่ะ

  เมื่อเช้าไปรับบุญตรวจสุขภาพพระมาค่ะ คราวนี้ไม่มาก แค่ 1 วัด 18 รูป แจ้งให้ทราบว่า  ได้มีการเห็นแบบอย่างและเริ่มมีการขยายเครือข่าย ดูแลสุขภาพพระกันเพิ่มขึ้น คราวนี้ ชาวบ้านเป็นเจ้าภาพกันเอง ในเรื่องค่า lab ส่วนการเจาะเลือด ทำEKG และตรวจพื้นฐานอื่นๆ เราช่วยกันรับบุญจัดเตรียมและทำในสิ่งที่ทำได้ เช่น เจาะเลือดเป็นต้น ก็ดีค่ะ ได้เห็นอีกรูปแบบ คือ การพึ่งพาตนเอง เมื่อวันเสาร์ เป็นการรวมกลุ่มใหญ่ 90 วัด 500 รูป ได้นำทรัพยากรมารวมกัน แต่นี่ เป็นกลุ่มเฉพาะ ดีใจที่ตัวเองมีส่วนในการดำเนินงานทั้ง 2 รูปแบบ ถ้าข่าวสารแบบนี้ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ให้แต่ละชุมชนดูแลกันเอง ก็จะง่ายในการพัฒนาประเทศ ที่เริ่มจากวัด เพราะคนไทยอยากได้บุญอยู่แล้ว

  วันนี้ พูดเหมือนนักพัฒนาประเทศเลย แต่ความป็นจริงคือ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยสร้างศรัทธา และทุกอย่างต้องไม่ฝืนวิถีชีวิตของเขาค่ะ เทียบได้กับการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีใจใฝ่ศึกษา ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งสนุก ไม่รู้เบื่อเลยค่ะท่านทูต ให้ได้บุญร่วมกันค่ะ

         สวัสดีค่ะ

 

สาธุ สาธุ สาธุ ครับโยคีน้อย

โยคีน้อยครับ

วันนี้ช่วงเย็นกลับมาจากไปงานข้างนอก พบกล่องกระดาษส่งมาจากเมืองไทย ด้วยความแปลกใจจึงรีบเปิดดูพบหนังสือ "ถ้าพรุ่งนี้...ต้องตาย" จำนวน 20 เล่ม ปกสีน้ำเงินอมม่วงดูสวยงามและทันสมัย ภาพประกอบ 4 ภาพวางลดหลั่นกัน สื่อความหมายได้ดี เพราะเลข 4 หมายถึงหลายสิ่ง จนที่สุดคือ อริยสัจจ์สี่

นอกจากหนังสือแล้วยังมีแผ่นซีดี 1 แผ่น เขียนว่า ที่ระลึก ซึ่งยังไม่ได้เปิดูครับ

ขอบคุณมากครับโยคีน้อย (คุณบุญรุ่ง ตันติราพันธ์) ขออภัยที่ต้องเอ่ยชื่อ ขอได้รับความขอบคุณจากผมในกุศลจิตที่ได้ทำด้วยดีแล้ว

ในวันพรุ่งนี้ ผมจะไปเยี่ยมชมรมพระนักศึกษาไทยในนิวเดลี ก็ถือว่าได้จังหวะพอดี จะได้นำหนังสือที่จัดพิมพ์โดยชมรมสุขภาพกายและใจนี้ไปแจกด้วยครับ ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ

ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

ผมชมสไลด์โชว์แล้วครับ 32 แผ่นสไลด์ ต้องบอกว่าประทับใจมาก เพลงก็ไพเราะ ขอบคุณมากสำหรับของขวัญวันเกิดที่มอบให้ สำหรับโยคีผู้พี่ต้องกำหนด ปีติหนอๆ ให้ทัน

สิ่งดีงามที่เกิดนั้น สะท้อนให้เห็นจิตที่ใสสะอาดของคนที่สร้างความดีงามนั้นให้เกิดขึ้นครับ คือน้ำใจของผู้เสียสละทุกคน ที่ผมเห็นในสไลด์โชว์ ช่างสร้างสรรค์และกล้าหาญกันมาก ทำให้อยากไปร่วมสร้างความดีแบบนั้นบ้าง

ในนามของนักการทูตคนหนึ่ง ขอปรบมือให้กับโยคีน้อยและคณะที่เกี่ยวข้องทุกคน ที่สร้างสิ่งดีงามให้เกิดขึ้นและสำเร็จ สาธุ สาธุ สาธุ และเดินหน้าต่อไปครับกับการเรียน รู้ ดูจิตและทำประโยชน์แก่ส่วนรวม เพื่อถวายแด่ในหลวง ในโอกาสมหามงคลในปี 2550นี้

ด้วยความปรารถนาดีครับ

พลเดช วรฉัตร

นิวเดลี อินเดีย

อนุโมทนากับจิตที่พี่โยคีก่อเกิดกุศล

  วันนี้โยคีน้อย ตั้งใจปฏิบัติธรรม ทั้งนั่งสมาธิ และวิปัสสนาจงกรม จากนั้น ได้เดินออกไปใส่บาตรพระ 5 รูป เป็นสังฆทาน  โยคีน้อยตั้งใจส่งบุญให้พี่โยคี ในวาระพิเศษ ก็ตามที่ได้สมมติบัญญัติกัน แต่ทีสุดคือ ตอบแทนคุณ ที่พี่โยคี สอนให้รู้จัก การทำวิปัสสนาครั้งแรกในชีวิต จากการเดิน 7 ก้าว ในวันนั้น

  นึกเห็นภาพความปิติที่เกิดขึ้นแล้ว โยคีน้อยก็ชื่นใจ กลัวแต่จะชมแล้ว ไม่ค่อยรู้เรื่องมากกว่า เพราะไม่ค่อยมีความสามารถเท่าไหร่ แต่ตั้งใจทุกสไลด์ ส่วนบทเพลงเป็นของคุณสุ บุญเลี้ยง ชื่อหวังดีค่ะ

ขออนุโมทนาที่วันนี้ หนังสือที่เราร่วมกันสร้างมา จะไปอยู่ในมือผู้มีบุญอีกหลายท่าน ถือว่า ได้ทำบุญร่วมกันอีกครั้ง ในชาตินี้นะคะ

         ขอบุญจงรักษาพี่โยคีตลอดไป

Happy birthday ค่ะ

สวัสดีค่ะ

  เมื่อวานนี้เข้าไปแสดงความคิดเห็นของเจ้าของกระทู้หนึ่ง และท่านได้แจ้งว่า ติดตามการสนทนาธรรมของเราอยู่ ต่อไปนี้ โยคีน้อย จะตั้งใจฝึกฝนจิต ให้มากขึ้น จะได้นำเรื่องที่เป็นประโยชน์ มาแลกเลี่ยน ต่อผู้อื่นด้วยต่อไปค่ะ

  หวังว่าพี่โยคีคงให้ความเมตตาให้คำแนะนำเหมือนเดิม

โยคีน้อย......

ดีครับ ที่มีผู้สนใจติดตามอ่านกระทู้นี้ ผมมีประสบการณ์ว่าในที่นี้หรือที่ไหนก็ตามในโลกนี้ มีสิ่งต่างๆ ที่วิจิตร รอบตัวเรา ด้วยความละเอียดระดับต่างๆ กัน เป็นกลไก เป็นระบบ ที่เรียกว่าธรรมชาติ มนุษย์เรียนรู้ธรรมชาติเหล่านี้ตามลำดับและตามระดับจิตและปัญญาและตามกรอบที่ตนเข้าถึง

พระพุทธองค์ทรงผ่านกรอบเหล่านี้มาและสามารถออกนอกกรอบได้จนรู้แจ้งแทงตลอด เหตุกับผลจึงเปิดเผยออกมา จนถึงทุกวันนี้

ทุกวันนี้ สิ่งต่างๆ ธรรมชาติก็ยังมิได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ยังคงวิจิตรเหมือนเดิม อยู่ที่เราจะเข้าถึงเพียงใด

สาธุกับผู้ที่ติดตามทุกท่านครับและขอเรียนเชิญเข้ามาร่วมสนทนากับด้วยครับ จะได้เพิ่มประโยชน์ยิ่งขึ้นไป

ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีค่ะ

  วันนี้โยคีน้อยมีเรื่องมาสารภาพ เมื่อวานนี้ มีเรื่องที่รู้สึกดีมาก และไม่ดีเข้ามาในจิตเวลาไล่เรี่ยกัน โยคีน้อยกำหนดรู้ไม่ทัน เลยเกิดอาการเหมือนหลุดไปตามกระแสความคิดเลย เรียกสติให้กลับมาหาปัจจุบันไม่ได้ ต้องปล่อยตามเลยไประยะหนึ่ง นานเกือบทั้งวัน เพิ่งรู้ว่า การที่เราเผลออะไรให้มันสุดโต่งมากๆ จะเป็นอุปสรรค ในการปฎิบัติธรรมอย่างยิ่ง พี่โยคีสอนน้องหน่อยนะ ถ้าอาการแบบนี้ต้องกลับมาอีก

     ขอบพระคุณค่ะ

โยคีน้อยครับ

ไม่ยากครับ (เริ่มต้นทำอะไร ให้บอกว่าไม่ยากเอาไว้ก่อน)

รู้ปัจจุบันคือรู้ เรื่องดี รู้เรื่องไม่ดี รู้ขาว รู้ดำ.....แล้วก็วาง กลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ

เช่นที่บอก กว่าจะเรียกสติกลับมาก็ตั้ง 1 วัน นั่นถือว่าดีแล้วนะครับ พยายามลดระยะตรงนี้โดยเอาการกำหนดสติอยู่กับอิริยาบทปัจจุบันมาแทน

 เมื่อใดที่จิตอยุ่กับปัจจุบัน อย่างอื่นก็เข้ามาแทรกไม่ได้

การกำหนดอิริยาบทนั้นก็อยู่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง ผมเองเป็นปรกติที่จะกำหนดลมหายใจเข้าออกทุกครั้งที่ระลึกได้ตลอดเวลา รวมทั้งตามอิริยาบทของตนเองให้มากที่สุด ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำบ่อยๆ ก็จะชินและเป็นไปอัตโนมัติครับ

ผมพบว่า (รวมทั้งตัวเอง) คนส่วนใหญ่มักจะใจอ่อนโดยเฉพาะกับกิเลส สงสารตัวตน ไม่อยากจะฝืนจากความเป็นปุถุชน  ทำนองรักษากิเลสต่างๆ เอาไว้เพื่อหล่อเลี้ยงตัวตน ซึ่งก็เป็นการตามกระแสสังคม........แต่จากประสบการณ์ การทำจิตให้อยู่กลางๆ พอดีๆ พอเพียง เพียงพอ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ถ้ามีเรื่องดีใจมาก แทนที่จะปล่อยให้ดีใจมาก ก็ปรับลงมาพอดีๆ พอมีความปีติ หากเป็นเรื่องไม่ดี ก็ปรับให้จิตขึ้นมาพอดีๆ ไม่ทุกข์มากนัก โดยมีสติรับรู้ทุกอารมณ์ ก็จะเป็นผู้ที่พร้อมที่จะละสุขทุกข์เหล่านี้ได้เมื่อถึงเวลา

สิ่งหนึ่งที่อยากจะเรียนก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเปลี่ยนแปลง ไม่ช้าก็เร็ว ถ้าจะรู้ทันก็ต้องอดทนรอ อดทนดูสิ่งที่จะเปลี่ยแปลงนั้น เปรียบเหมือนกับว่าเราเอาก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ที่แกะสลักสวยงามมาตั้งต่อหน้าเรา...

ถ้าดูตอนนี้ก็จะเห็นปฏิมากรรมที่ล้ำเลิศ ก่อให้เกิดจินตนาการกว้างไกล  108 อย่าง และถ้าดูแต่ช่วงนี้ก็จะเจอแต่ความสวยงามเช่นนี้จนซาบซึ้ง แต่ถ้าฝืนใจทนดูไปเรื่อยๆ ปฏิมากรรมน้ำแข็งนั้นก็จะแปรเปลี่ยนไป จากความสวยงามก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูป (ตามธรรมชาติ ซึ่งเราก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร) เปลี้ยนไปเรื่อยๆ ถามว่าใจเราจะเปลี่ยนไหม ใจที่คิดว่าปฏิมากรรมนี้สวยจะเปลี่ยนไหม .......ในที่สุด ปฏิมากรรมน้ำแข็ง กับน้ำเปล่าที่นองอยู่กับพื้น ต่างกันหรือไม่ หรือเป็นสิ่งเดียวกัน....ถ้าเห็นว่าน้ำกับปฏิมากรรมน้ำแข็งก็คืออันเดียวกัน ก็ใช้ได้ ก็คือ H2O

 ทั้งนั้น......

ถ้าเช่นนั้นอะไรล่ะที่เหลือในจิตเรา....ก็คือความรู้ ความรู้และกระบวนการเกิดขึ้นของการรู้ สิ่งที่ถูกรู้ ก็แค่นั้นเอง ไม่มีแม้กระทั่งผู้รู้เป็นใคร........ขณะที่รู้นั่นนะครับคือพุทธะ

สาธุกับทุกท่านที่ใฝ่รู้ในธรรมชาติครับ

ช่วงนี้มีคณะระดับสูงของไทยเยือนอินเดีย จึงขออนุญาตแวะมาตอบเพียงแค่นี้ก่อนครับ 

ด้วยความปรารถนาดี

 

ขออนุโมทนาที่ได้ตอบข้อข้องใจให้ค่ะ

    อ่านและพิจารณาทุกตัวอัษร อยู่หลายรอบ ก็เกิดอาการที่มี น้ำตาซึมที่ขอบตา คงไม่มากไปกับความ ปิติที่เกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นบทเรียนเสมอ ประสบการณ์ เวลา และความมุ่งมั่น เป็นตัวกำกับ ทำไมโยคีน้อยจึงยังทำไม่ได้ เพราะการแก้โจทย์ของโยคีน้อย ยังมีน้อยไป อย่างประติมากรรมน้ำแข็ง ช่างชัดเจน และเข้าถึงใจ เมื่ออ่านตามพร้อมกับกำกับความรู้สึก ตามเหตุที่เกิดจนจบ

    นี่อาจไม่ใข่การจุดความสว่างให้แก่โยคีน้อย เพียงคนเดียว แต่พี่โยคี กำลังสร้างความสว่างไสวแก่จิตดวงอื่นไปด้วย ขณะเดียวกัน อาจจะมีผู้รู้อีกมากมาย ก็ส่งกำลังใจให้โยคีน้อยด้วยเช่นกัน

        ขอจงได้รับความขอบคุณโดยเฉพาะพี่โยคีค่ะ

                    สาธุ    โยคีน้อย

สวัสดีค่ะพี่โยคี

     วันนี้โยคีน้อยส่งการบ้านค่ะ วันหยุดคงมีเวลาตรวจการบ้านนะคะ

  เมื่อเช้านี้ โยคีน้อยได้ปรับปรุงคุณภาพใจ ให้ได้เหมือนเดิมแล้ว ตื่นแต่เช้ามืดและนั่งสมาธิ จนใจนิ่งเหมือนที่เคยเป็น จากนั้นกำหนดออกไปเดินจงกรมที่นอกบ้าน

  การเดินจงกรมวันนี้มีประสบการณ์แปลก ถึงแม้ว่าช่วงนี้ จะเป็นเวลาข้างแรมต้นๆ แต่พระจันทร์สว่างมากเลยค่ะ จึงดับไฟฟ้าภายนอกทั้งหมด ให้มีแต่แสงจันทร์ส่อง ความที่อยากให้ได้ความสงบมากขึ้น จึงถอดรองเท้าเดิน เพราะบางครั้งเสียงรองเท้ากระทบพื้นก็เป็นเสียงรบกวน  เมื่อเท้าสัมผัสพื้นหลังจากกำหนดยืน แล้วเริ่มก้าวหนอ บังเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาด เหมือนโยคีน้อยกลับไปเดินอยู่ที่ใดสักแห่ง มันนึกไม่ออก แต่เหมือนเคยทำอย่างนี้มาแล้ว ซ้ำยังเหมือนมีพี่เลี้ยงมาเดินข้างๆ คอยกำกับ ก้าวต่อก้าว ว่าให้เอาจิตไว้ที่เท้าแบบไหน เมื่อถึงจุดยืน ก็บอกให้กำหนดซ้ำๆ จนรู้ตัวจริง จึงให้เดิน โยคีน้อยมีความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กหัดเดินใหม่ ไม่กล้าว่อกแว่ก กลัวล้มอย่างนั้นเลย ส่วนรายละเอียดโยคีน้อย มีมากกว่านี้ แต่ขอบันทึกไว้ในบันทึกมรณะส่วนตัวของตัวเองก็แล้วกัน

  หลังจากผ่านการเดินจงกรมมาได้เวลาหนึ่ง ก็หยุดและนั่งสมาธิกับพื้นนั้น แต่ไม่ได้หลับตา นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ทำให้เห็นเงาตัวเองทอดมาข้างหน้า เพราะพระจันทร์อยู่ฝั่งทิศตะวันตก โยคีน้อย เลยนั่งมองเงาตัวเองไปเรื่อยๆ จนฟ้าสาง แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า เงาของโยคีน้อยก็ค่อยๆเลือนหายไป ๆ ๆและหายไปในที่สุด ใจโยคีน้อยหวนกลับไปถึงประติมากรรมน้ำแข็งของพี่โยคีทันที อย่างนี้นี่เอง ประสบการณ์จริงสร้างความรู้สึก(บอกไม่ถูก) มากกว่าหลายร้อยพันเท่า

        ประสบการณ์ทั้งหมดมีทั้งคำถามและหมดคำถามที่เกิดขึ้นมาในใจ สุดแท้แต่พี่โยคีจะเลือกตอบเถอะค่ะ

             ขอให้ได้มีส่วนในทุกบุญที่เกิดขึ้นนี้

                                 โยคีน้อย

                                  2 กันยายน 2550

โยคีน้อยครับ

การเป็นนักการทูตอยุ่ในต่างประเทศ ไม่มีวันหยุดครับ เป็นผู้แทนความเป็นประเทศตลอดเวลาทั้ง 24 ชม. แต่ก็เต็มใจครับ.......

ตื่นแต่เช้า นั่งสมาธิและเดินจงกรม ดีแล้วครับ เช้ามืดเป็นช่วงที่เหมาะในการเรียนรู้ พิจารณา อย่างไรก็ดี ถ้าจะลองดูนะครับ ท่านว่าให้เดินจงกรมก่อนแล้วค่อยนั่งสมาธิ จะทำให้สุขภาพสมดุลย์ นั่งสมาธิได้นิ่งและหนักแน่นมากขึ้น แต่ก็แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนนะครับ ที่โยคีน้อยทำก็ดีแล้วครับ นั่งเดินและนั่ง

การถอดรองเท้าโดยเดินจงกรมเท้าเปล่านั้นดีที่สุดแล้วครับ เพราะจะได้รับพลังของแผ่นดินโดยตรง ซึ่งพลังแผ่นดินนั้นยิ่งใหญ่มาก สมควรจะใช้ประโยชน์

ผมยังเน้นเรื่องสติกับการอยู่กับปัจจุบันครับ และอย่าเชื่อในสิ่งที่จะเกิด จะเห็น กำหนดปัจจุบันให้มากครับ เพราะช่างแกะสลักมีฝีมือชั้นเซียน สวยงามเก่งกาจกันทุกคน  ก็ในเมื่อมีความละเอียดต่างระดับกันแต่อยู่ร่วมกัน ทุกขณะจึงมีช่องทางติดต่อสื่อสารกันหมด ขึ้นอยู่กับเราจะใช้เครื่องมือสารแบบใด มีประสิทธิภาพเพียงใด (ไม่ต่างจากเทคโนโลยีมือถือในปัจจุบันเลยครับ ที่มีการพัฒนาไปเร็วมาก)

ถ้าจิตเราถึงระดับความละเอียดหนึ่งก็จะรับรู้สิ่งที่อยู่ในระดับนั้น จากประสบการณ์ของผม มีอยู่รอบตัวเราครับไม่ได้ห่างไกลเลย เปรียบเหมือนเราคลิ๊กเข้าอินเตอร์เน็ต ก็อยุ่ในโลกอินเตอร์เน็ตนั่นแหละครับ ที่สำคัญก็คือมีชื่อ user และพาสเวริ์ดถูกต้องใช่ไหมครับ......

แต่ดังที่เรียนเอาไว้ ทางช่วงนี้จะเข้มข้นขึ้น มีอะไรให้เรียนรู้มากขึ้น ผจญภัยมากขึ้น จึงต้องไม่ประมาท อาราธณาสิ่งคุ้มครองทุกครั้ง และเพื่อรู้เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น เพราะยังมีทางเดินไปข้างหน้าอีกยาวไกล นอกจากนั้น การปฏิบัติธรรมของพวกเราปุถุชน ผมยังยึดหลักปรัชญาของในหลวงครับ ทางสายกลาง จิตที่พอเพียง จะทำให้ยั่งยืนกว่าครับ

เปรียบนะครับว่าเหมือนวงล้อที่ตั้งตรงและหมุนไปแล้วข้างหน้า ด้วยแรงผลักที่เกิดด้วยบุญก็หมุนไปได้.........ถ้าหมนุไปตรงๆ ก็เชื่อว่าจะไปได้นานเท่านาน แต่ถ้าเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็จะเกิดแรงที่หักเห ไม่สมดุลย์และไปในทิศทางที่เปลี่ยนไป....และอาจล้มหยุดลงได้ทุกขณะ.........

หลวงปู่ หลวงพ่อผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหลายถึงไม่ได้สอนรายละเอียดมากนัก แต่ให้ปฏิบัติครับ อยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้ ดูจิตของตนเอง เพราะข้อเท็จจริงอยู่ที่นั่น คำตอบอยู่ที่นั่น ไม่ใช่ใครและอะไรแต่เป็นกระบวนการความรู้มากกว่าที่อยู่ที่นั่น

ผมเคยปฏิบัติสมาธิแบบธิเบต 7 วัน 7 คืน ก็ปรากฏว่ามีมาแอบดูระหว่างที่นอนทำตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ แต่เมื่อจิตถึงระดับที่จะรู้ ก็สัมผัสเอง รู้เอง............แต่ในที่สุดก็รู้เพื่อเป็นความรู้ ก็เท่านั้นเองไม่สาวต่อให้เป็นเรื่องราว

ก็ยังต้องถอยกลับมาอยู่กับปัจจุบันจะดีที่สุดครับ ละทิ้งสิ่งที่มาเชิญชวนทั้งหมด มีเกร็ดเล็กน้อยมาเล่าให้ฟังก่อนจบก็คือ ผมมักจะฝึกละความอยากของตนเองบ่อยๆในสมัยหนึ่ง ตอนเป็นนักเรียน อยากทานขนมอร่อยๆ และในกระเป๋าก็มีเงินด้วย ใจที่เร็วก็วิ่งไปเพื่อที่จะซื้อขนมทาน แต่สติก็มาคิดได้ว่า ลองดูซิว่าจิตจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้ทาน ดูจิตตัวเองขณะยืนหน้าร้านขนม ก็แค่อารมณ์ที่เกิดขึ้นครับ ไม่ได้ทาน ก็ไม่เห็นเป็นอะไร......เป็นความรู้ที่มีค่ามากกว่าความสุขที่จะได้ทานด้วยซ้ำไป ฝึกบ่อยๆ ละบ่อยๆก็คือการที่จะสามารถปรับใจในสิ่งที่จะเกิดในชีวิตในได้.......โดยมีสติและปัญญานำ

มีชีวิตที่สมดุลย์ ทำงานให้ดีที่สุด ก็คือการปฏิบัติธรรมครับ H2O ก็อาจบอกอีกความหมายหนึ่งว่าได้ว่า คือhappiness ทั้งทางโลกและทางธรรม และ O ก็คือค่าศูนย์ตรงกลางระหว่าง  1 กับ ลบ 1

ผมเองก็เพิ่งทราบว่า ตัวเลข O (ศูนย์) นี้ คนอินเดียเป็นคนค้นพบ ทำให้เกิดประโยชน์กับวงการคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก น่าสนใจมาก ผู้รู้ท่านใดจะเข้ามาบอกเล่ากันในเรื่องนี้ ก็จักขอบคุณมากครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

  รับทราบปฏิบัติเจ้าค่ะ

      ขอบพระคุณค่ะพี่โยคี

สวัสดีค่ะ

  ทราบว่าคงเหน็ดเหนื่อยทั้งวัน กับภารกิจของชาติ สำหรับผู้ได้รับเกียรติสูงส่ง เช่นท่านทูตพลเดช แต่คนเราถ้ามีหัวใจในการกระทำ สิ่งอื่นใดก็ไม่มีความหมายมาขวางกั้นได้ มุ่งมั่น มั่นคง สำเร็จ

    วันนี้โยคีน้อยมาให้กำลังใจพี่โยคีก่อน เพราะตัวเองรู้สึกมีความสุขมาก เมื่อเช้า ได้เริ่มปฏิบัติตามคำชี้แนะคือ ฝึกเดินจงกรม ก่อนค่อยนั่งสมาธิ ปรากฏว่า ได้เรียนรู้ อีกสภาวะที่เกิดขึ้น ในขณะที่เดินนั้น มีสติ และสมาธิต่อเนื่อง ไม่ขาดตอนเลย เป็นเวลาเชื่อมต่อกันนาน ธรรมดา สติจะพร่องบ้างขณะกลับตัว แต่วันนี้ เหมือนเชื่อมต่อเป็นสายเดียว อาการที่เกิด ก็พลอยแตกต่างไปด้วย เหมือนอิ่มอกอิ่มใจ เหมือน......จากนั้น ก็ลงนั่งสมาธิกับพื้นดินเลย จริงด้วยค่ะ การนั่งคราวนี้ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างอีกเช่นกัน แต่เดิมจะต้องนั่งเก็บความฟุ้ง หรือเรียกว่า ตั้งสติ กันเป็นพัก แต่วันนี้ โยคีน้อย รวมสติต่อจากเดินจงกรมได้เลย เป็นอัศจรรย์ เขามีชี่อเรียกอาการอย่างนี้ไหมคะ หลังจากเลิกปฏิบัติ จิตใจแจ่มใสมาก และมีความคิดอยากจะทำสิ่งที่ดีๆอีกแล้ว แต่ขออุบไว้ก่อน เย็นนี้ โยคีน้อยถึงจะบอก รับรองพี่โยคี ได้อนุโมทนาแน่ และอาจต้องมีส่วนร่วมด้วยนะ เช้านี้ขอแจ้งให้ทราบเพียงเท่านี้ และขอส่งบุญกุศลที่เกิดขึ้นต่อพี่โยคีตลอดไป

  โยคีน้อย

3 กันยายน 2550

อนุโมทนาสาธุล่วงหน้าครับ

 

ด้วยความปรารถนาดั

พี่โยคีคะ

   พี่โยคีเคยบริจาคโลหิตบ้างไหม และเคยเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของการได้รับโลหิตบ้างไหมคะ

  โยคีน้อยมีประสบการณ์ได้รับรู้เห็นทั้ง 2 เหตุการณ์เลยค่ะ

  การเป็นผู้ให้

 โยคีน้อยบริจาคโลหิตมา 26 ครั้งแล้ว เป็นการสร้างทานบารมีที่ทรหดที่สุด เพราะ เส้นเลือดจะหายากมาก ต้องใช้ระบบสัมผัสเท่านั้น มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเส้นเลือดเลย เคยมีสถิติ การถูกแทงเข็มสูงสุด ถึง 6 ครั้งกว่าจะได้บริจาค โดยไม่ได้พ่นยาชา บางครั้งบางคราว ต้องแทงเข็มข้างซ้ายได้เลือดไปจำนวนหนึ่ง เลือดก็หยุด ต้องมาแทงอีกข้างหนึ่งกว่าจะครบ 350 CC. เดี๋ยวพี่โยคีจะทราบว่า ทำไมโยคีน้อยถึงศรัทธาการทำทานด้วยเลือดถึงขนาดนี้

การเป็นผู้รับ

 ในขณะที่เป็นนักเรียนผดุงครรภ์ มีโทรศัพท์ในยามค่ำคืนของวันหนึ่ง ให้ตามนักเรียนไปตรวจเลือด หาเลือดกรุ๊ปหนึ่ง ที่ต้องการให้คนไข้ด่วน เพราะหาเลือดไม่ได้ โยคีน้อย เป็นผู้นำพาเพื่อนๆไปบริจาค และได้เลือดของเพื่อนคนหนึ่งที่ตรงกับคนไข้ เป็นการให้เลือดแบบสดๆ เพราะคนไข้ ตกเลือดจากการคลอดบุตร สิ้นสติ และกำลังจะสิ้นชีวิต พวกเราเฝ้ารอดูอาการคนไข้ จนได้รับเลือดไปครึ่งขวด ปรากฏว่า คนไข้รู้สึกตัว พูดคุยได้เลย น่าอัศจรรย์จริงๆ และเป็นภาพจำตั้งแต่บัดนั้นว่า ตัวเองจะต้องบริจาคเลือดไว้ช่วยผู้คน นี่คือแรงบันดาลใจของโยคีน้อย

  วันนี้ได้คิดโครงการขึ้นมาโครงการหนึ่งคือโยคีน้อย อยากตั้งธนาคารเลือดในหมู่บ้าน ทั้ง10 หมู่ ที่อยู่ในความดูแลของสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่ได้ก่อสร้างอาคารห้องเก็บเลือดให้เปลืองงบประมาณหรอกค่ะ แต่โยคีน้อยจะให้ร่างกายคนเรานี่แหละ เป็นธนาคารเก็บเลือดโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ใดๆ    พื้นที่ที่โยคีน้อยดูแล มีถนนระหว่างจังหวัดผ่าน เกิดอุบัติเหตบ่อย มีผู้ประสบเหตุต้องใช้เลือดปีละไม่ใช่น้อย และยังมีผู้ป่วยที่ต้องการเลือดประจำ เช่นต้องถ่ายเลือดก็มาก และเมื่อเร็วๆนี่ แม้แต่คุณพ่อของ โยคีน้อยเองป่วยและต้องการเลือดเพราะซีด โรงพยาบาลเขาก็ยังไม่ให้เลือด อ้างว่ากรุ๊ปนี้กำลังขาดแคลน มีสำรองแค่คนหนักๆเท่านั้น นอกจากต้องหาเลือดกรุ๊ปนี้มาทดแทน ซึ่งเสียเวลามากกว่าจะได้เลือด 

   ถ้าหมู่บ้านเรา มีอาสาสมัครยินดีบริจาคเลือด กรุ๊ปต่างๆ อยู่สัก 100 คน ที่ติดต่อได้ทันที ใครต้องการเลือดเรามีทันที แม้จะเกิดภัยภิบัติ ที่ใดๆ เราก็พร้อมรวมตัวช่วยเหลือ  คนที่บริจาคเลือดทุก 3 เดือน ก็จะได้รับการตรวจเช็คสุขภาพและโรคอันตรายหลายโรค อย่างสม่ำเสมอ เราก็จะมีคนที่แข็งแรง เป็นกำลังในหมู่บ้านเราจำนวนหนึ่ง

   วันนี้ได้หารือกับ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านแล้ว ทุกคนก็ยินดี และเราจะจัดโครงการนี้ เป็นการทำความดีถวายในหลวงในปีมหามงคลนี้ ทั้งยังส่งเสริมการสร้างคุณธรรม การมีเมตตาจิตต่อเพื่อนมนุษย์   การเสียสละ ความสามัคคี และจิตอาสา สังคมนี้คงน่าอยู่มากขึ้น

  นี่แหละค่ะคือเรื่องที่ตั้งใจจะทำ และขอปรึกษาพี่โยคี ว่าเราจะตั้งชี่อโครงการนี้ว่าอะไรดีคะ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนดการ เดือนธันวาคมนี้ โยคีน้อยก็จะได้ทำบุญใหญ่อีกแล้ว คงได้พบเห็นผู้เสียสละ ร่วมอุดมการณ์นอนบริจาคเลือดไม่น้อยกว่า 100 คนค่ะ(กำลังเริ่มรับสมัคร)

   พี่โยคีช่วยคิดช่วยแนะนำและเป็นกำลังใจเพื่อเอาบุญกับโยคีน้อยด้วยนะคะ

   สวัสดีค่ะ

 

  • สวัสดีค่ะ...
  • เป็นบันทึกที่อบอุ่นจังเลยค่ะ
  • ตอนแรกกะจะเข้ามาอ่านเฉยๆ
  • แต่เห็นสิ่งที่คุณ ตันติราพันธ์ ทำแล้ว  ขอเข้ามาชื่นชมค่ะ
  • หว้าบริจาคเลือดมาตั้งแต่สมัยเรียน   ตั้งแต่น้ำหนักยังน้อย  หมอบอกว่าน้ำหนักน้อยเกินไปบริจาคไม่ได้
  • เทียวไปจนกระทั่งบริจาคได้(น้ำหนักเพิ่มขึ้น)  ปกติเวลาบริจาคเลือด  จะเป็นปัญหามากเพราะหาเส้นเลือดไม่เจอ     โดนเจาะแล้วเจาะอีก จนแขนเป็นรอยช้ำสีม่วงไปหมด  จนต้องเปลี่ยนไปเจาะแขนอีกข้างหนึ่ง
  • จนนักศึกษาก็ถามว่า "ทำไมอาจารย์เจอขนาดนี้ยังมาบริจาคเลือดเป็นประจำอีก"  ตอนนี้ทุกสามเดือน ก็จะบริจาคเลือดที่มหาวิทยาลัย   โดนกาชาดจะมาตั้งอยู่ใต้อาคารเรียน  เราสอนเสร็จก็มาบริจาคเลย  ชวนเด็กมาด้วย
  • รู้สึกดีใจ และภูมิใจทุกครั้งที่ได้ทำความดี  และเห็นผู้อื่นทำความดีค่ะ   อย่างน้อยก็รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไม่ใช่โดดเดี่ยว
  • ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณ ตันติราพันธ์ และคุณพลเดช...คงไม่ว่ากันนะคะที่แอบเข้ามาร่วมแจมด้วย

สวัสดีค่ะ อาจารย์ลูกหว้า

  เห็นหน้าอาจารย์บ่อยมาก และติดตามอ่านของอาจารย์เหมือนกัน ขออนุญาต ต้อนรับก่อนเจ้าของ  บลอกตัวจริงจะเข้ามานะคะ และคงจะไม่ว่าอะไรที่รับแขกให้ท่าน กำลังจะทำโครงการทำความดีถวายในหลวงโดยชวนชาวบ้านด้วย วันงานอาจารย์จะพาลูกศิษย์มาร่วมบริจาคโลหิตด้วย ก็จะทำให้งานสมบูรณ์แบบขึ้นนะคะ 

  ยินดีต้อนรับค่ะ

P
อ.ลูกหว้า
เรียน อาจารย์ลูกหว้าครับ
ยินดีต้อนรับครับ ขออนุญาตตอบก่อน
พลังจิตนั้นมีบวกลบ ตามธรรมชาติ พลังบวกดึงดูดให้เกิดพลังบวกต่อไปเรื่อยๆ ครับ คุณตันติราพันธ์ก็กำลังทำความดีถวายในหลวงครับ ซึ่งเธอทำได้ดัมาก ต้องชื่นชมเธอเช่นกันครับ
G2K นี้เป็นเว็บแรกที่ผมตัดสินใจเปิดเผยตัวอย่างเป็นทางการเพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของผู้จัดการความรู้...ซึ่งก็เป็นที่มาของบล๊อคเรียนรู้ ดู เล่นในโลกกว้างกับนักการทูต...ขอให้คิดว่าเป็นที่สำหรับทุกท่านนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ
ด้วยความปรารถนาดี

โยคีน้อยครับ

สถานทูต ณ กรุงนิวเดลีจัดโครงการบวชเฉลิมพระเกียรติ์ 80 พรรษาของในหลวง โดยรับสมัครคนไทย 80 คน และจะไปบวชพระที่วัดไทยพุทธคยาและไปสึกที่วัดไทยกุสินารา ระหว่างวันที่ 29 ตค-7 พย. 2550 ปรากฏว่ามีคนสมัครเกิน 100 คนแล้ว (ปิดรับสมัครไปแล้ว) ผมเองก็จะร่วมบวชด้วยในโอกาสดังกล่าวด้วย

เมื่อโยคีน้อยถามถึงเรื่องโครงการบริจาคเลือดเพื่อเฉลิมพระเกียรติ์ในหลวงเช่นกัน จึงนึกถึงโครงการดังกล่าวของสถานทูต

จึงขอเสนอว่าอาจจะใช้ชื่อทำนอง...."โครงการธนาคารเลือดเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา" โดยรับสมัครอาสาสมัครจำนวน 80 คน เป็นหลักของธนาคารเลือดดังกล่าว เพื่อให้ตรงกับตัวเลข 80 พรรษา  (ทั้งนี้จริงๆ อาจจะเกินร้อยก็ได้)

เป็นกุศลจิตที่น่าชื่นชมครับ อย่าลืมกำหนดปัจจุบัน ปีติหนอๆ ด้วย นะครับ

ขอร่วมต้อนรับอาจารย์ลูกหว้าเข้ามาแจมด้วยนะครับ

ขออนุโมทนาบุญกุศลที่ทำด้วยดีแล้วครับ

ด้วยความปรารถนาดี

ในที่สุด พี่โยคี ก็มีใจเป็นมหากุศล นอกจากจะเป็นต้นบุญให้คนอื่นได้บวช ได้ทำความดีแล้ว  ก็ยังสร้างมหากุศลให้ตนเองอีก ด้วยการบวชเอง ถึงตรงนี้ โยคีน้อย ก็ได้แต่ยกมือไหว้อนุโมทนาสาธุ กับบุญที่โยคีน้อยไม่มีวาสนาได้ทำในชาตินี้ แต่จะสาธุทุกวินาที ตลอดแห่งการบวชบำเพ็ญบุญของพี่โยคี และนำมหากุศลทั้งหลายที่ต่างก็มีส่วนร่วมในบุญซึ่งกันและกัน ถวายแด่พ่อหลวงของเราตลอดไปนะคะ นิพพา นะ ปัจจะโยโหตุ

  สาธุ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   วันนี้โยคีน้อยลองนึกๆดูแล้ว โจทย์ของโยคีน้อยคราวนี้ เรื่องการตั้งธนาคารเลือดฯ ก็คงจะไม่ง่ายสักเท่าไหร่ เรื่องการมีใจอยากทำความดีถวายในหลวงของเราไม่ห่วงเลย ดูแต่โครงการบวชที่อินเดีย ยังมีคนสมัครล้นหลาม และปิดรับสมัครอย่างรวดเร็ว สำหรับกิจกรรมบริจาคโลหิตนี่ต่างหาก                   อาจจะหาสมาชิกยากหน่อย คนทั่วไปมักจะกลัวเข็มกัน ต้องให้กำลังใจขนาดไหน เขาจึงจะยอมเจ็บกัน ความกลัวนี่ มันไม่มีเหตุผลเสียด้วย พี่โยคีกลัวเข็มไหม ถ้าสมมุติว่าโยคีน้อยชวน พี่โยคีจะกล้าบริจาคไหม หรือต้องพูดขนาดไหน จึงจะเต็มใจมาร่วมกิจกรรมกับเรา  ถ้าผ่านพ้นขั้นตอนนี้ได้ โยคีน้อยก็ไม่ห่วงเลย พอจะมีถ้อยคำยกใจ หรือวิธีการใดที่จะแนะนำบ้าง เชื่อว่าแกนนำที่ออกไปเชิญชวน จะต้องมาขอคำปรึกษาแน่ๆเลยค่ะ แต่ก็เชื่ออย่างหนึ่งว่า           "ยโต ธรฺมสตฺโต ชยะ" ใช่ไหมคะ

   ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ใช้ประโยคเดียวครับ "ทำความดีถวายในหลวง"

แล้วอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด กำหนดหนอ และอย่าลืมดูปัจจุบันครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะ

  วันนี้มีเรื่องถามพี่โยคีสักหน่อย และรายงานผลการปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ

โยคีน้อยนั่งสมาธิแล้วเหมือนมี จุดสว่าง เท่าปลายนิ้วก้อย เป็นแสงวิ่งวน ไม่อยู่กับที่ จะให้กำหนดเห็นหนอ หรือ จะทำอย่างไร มันไม่ยอมไป จะไม่สนใจ มันก็โผล่ เหมือนมาล้อ รบกวนถามนิดเดียว เกรงใจจังค่ะ

  ขอบพระคุณค่ะ

โยคีน้อยครับ

กำหนดเห็นหนอ ไปเรื่อยๆ ครับ แล้วจะได้เรียนรู้จากการเห็นนั้น เหมือนกับการดูสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่มีผลประโยชน์อะไร ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร สิ่งนั้นจะเป็นอะไร จะทำอย่างไร ก็กำหนดเห็นไปเรื่อยๆ ก็แค่เห็นเพราะไม่เกี่ยวกับเรา

ความรู้จะเกิดขึ้นเอง จะทำให้เราได้ข้อสรุปเอง

ที่สำคัญอยู่กับปัจจุบันนะครับ อย่าไปอยากรู้ อยากเห็น และเมื่อถึงเวลา ก็ออกจากสมาธิตามปรกติ ด้วยใจที่ปรกติ 

โชคดีครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

   โยคีน้อยมีเรื่องดีๆ จะเล่าให้ฟังค่ะ พี่โยคีจำเรื่องที่โยคีน้อยเล่าได้ไหม ว่ามีคุณลุงคนหนึ่งได้ให้พระธาตุมา 18 องค์ วันนี้โยคีน้อยเข้าหมู่บ้าน หมู่ที่ 8 แล้วเลยแวะเยี่ยมคุณลุง สนทนาธรรมกัน ประมาณ 2 ชั่วโมง ได้เรื่องราวน่าสนใจ ทั้งการปฏิบัติธรรม ท่านก็ให้คำแนะนำไม่ผิดไปจากพี่โยคีหรอกค่ะ แต่มันรู้สึกเข้าใจ แจ้งใจ เหมือนเวลาถาม แล้วพี่โยคีตอบ สั้นๆ แต่เข้าใจนั่นแหละค่ะ มีบางอย่างทีคุณลุงแนะนำว่า บางวัน เราก็อาจปฏิบัติธรรม ไม่ได้ดีก็ได้ เพราะสิ่งแวดล้อม สิ่งที่มากรทบระหว่างวัน รวมถึงอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อ ก็ส่งผลด้วยเช่นกัน มิน่า บางวันโยคีน้อยปฏิบัติ แล้วมันเหมือน อย่างไรก็ไม่ใช่ ไม่ลื่นไหลเหมือนบางวันเลย คุณลุงห้ามฝืน ถามคุณลุงว่าทำไมแค่การเราอ่านข้อเขียนทางธรรม เราจึงบังเกิดความรู้สึกตาม เข้าใจทั้งๆที่สื่อความหมายทางเดียว คุณลุงว่า เกิดจากผู้เขียน ได้ใช้สภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ในขณะนั้นๆเขียน แล้วเราเองก็สามารถทำจิตตามเขาทันด้วย และมีอีกหลายเรื่อง ก็ทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจกันทั้ง สองฝ่าย

     จากนั้น โยคีน้อยก็ได้พูดถึงความตั้งใจ ในการจะชักชวนคนในหมู่บ้าน ทำความดีถวายในหลวงกัน โดยตั้งธนาคารเลือด และอธิบายตามนั้น ปรากฏว่า คุณลุงก็อนุโมทนา และกล่าวถึงว่าคนเราทุกคน อยากทำความดีทั้งนั้น แต่ไม่มีผู้ริเริ่มมากกว่า ลืมบอกไป คุณลุงอายุ 71 ปี สุขภาพแข็งแรง สามารถเดินมาที่ทำงานของโยคีน้อยซึ่งห่างประมาณไปกลับสัก 2 กม.ได้สบาย คุณลุงเคยเล่าว่า ถอดจิตได้ตั้งแต่ 2 เดือน ต่อมาเติบโตขึ้น เล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ และได้มีโอกาส ที่พบกับโยคีน้อยตอนอบรมผู้สูงอายุ แล้วเห็นว่าโยคีน้อยพูดเรื่องความตายได้ดี ก็เลยมาสนทนา และเล่าเรื่องให้ฟัง ทุกวันนี้ ที่บ้านคุณลุงจะขายของเครื่องดื่มเล็กๆน้อย และภรรยา ทำกับข้าว ขาย โยคีน้อยไปทีไร ต้องได้ของฝากกลับมาทุกที แต่ที่น่าสนใจคือ คุณลุงจะมีเด็กหนุ่มๆ มานั่งพูดคุยทุกวัน เล่าว่า คุยกันแบบเพื่อน แลกเปลี่ยนความรู้กัน แล้วคุณลุงก็จะสอดแทรกธรรม เสมอ เน้นให้เข้าวัด ทำบุญฯลฯ บางครั้งก็มีมาปรึกษาว่าจะสวดมนต์บทไหนดี นี่คือขุมปัญญาของชุมชน ที่คุณลุงเฝ้าทำเรื่อยมา

    ที่เล่ามานี้โยคีน้อยคิดถึงบทความที่พี่โยคี เขียนในWeb Polpage ถึงขุมทรัพย์ของชาติ ที่จำได้ว่าถ้าคนในประเทศไม่ได้มีความสนใจในประวัติศาสตร์ หรือในประเทศชาติของตน ต่อให้มีสมบัติที่ดีขนาดไหน ก็ไม่ก่อเกิดประโยชน์ (จับใจความได้แบบนี้) พี่โยคีคะ อ่านแล้วรักชาติขึ้นมาก และเห็นว่าเราต่างก็มีส่วนสำคัญต่อการรักษาแผ่นดินเกิดทั้งนั้น โยคีน้อย จะพยายามเริ่มที่ชุมชน ที่อยู่ในความดูแลก่อน จะสร้างให้คนรักบ้านเกิดกันก่อน

      ในขณะที่พูดคุย ก็มีแฟนคลับของคุณลุงเข้ามา 2 หนุ่ม คุณลุงเลยบอกว่า "เอ้า! คุณหมอเขามาชวนไปทำความดีถวายในหลวงกัน สนใจหรือเปล่า" โยคีน้อยเลยอธิบายว่าเราจะตั้งธนาคารเลือดในหมู่บ้าน โดยถือเป็นการร่วมกันทำความดีถวายในหลวงกัน ปรากฏว่าทั้งสองคน แสดงความเต็มใจ และว่าอยากทำมานานแล้ว และจะได้ไปชวนเพื่อนมาอีกหลายคน ต้องทำอย่างไรบ้าง ที่สุดก็เลยต้องบอกว่ารายละเอียดจะเอามาฝากไว้กับคุณลุง

   พอได้เวลาอันสมควร โยคีน้อยก็ลากลับ เด็กๆพากันยกมือไหว้ และยืนยันเข้าร่วมโครงการแน่นอน โยคีน้อยเล่ามาถึงตรงนี้ ต้องกำหนด ปิติหนอๆๆ  และนำเรื่องราวมาฝากพี่โยคี จะได้สบายใจว่า ในส่วนนี้ โยคีน้อยจะร่วมสร้างอุดมการณ์รักชาติเช่นเดียวกับที่พี่โยคีทำเป็นแบบอย่าง และจะได้ถ่ายทอดความชื่นใจซึ่งกันและกันค่ะ  ขอจงมีส่วนร่วมกุศลที่เกิดขึ้นด้วยกันค่ะ   

โยคีน้อยครับ

อนุโมทนาสาธุครับ รวมทั้งทุกท่านที่ติดตามอ่านกระทู้นี้ด้วย ขอให้เจริญสุขครับ

สวัสดีค่ะพี่โยคี

  วันนี้ขอรายงานผลการปฏิบัติธรรมแต่เช้าก่อน เนื่องจากวันนี้ ที่บ้านฝนตกแต่เช้า โยคีน้อยไม่สามารถลงไปเดินปฏิบัติธรรม นอกบ้านได้เหมือนเดิม จึงใช้ห้องโถง ที่ปูด้วยพื้นไม้แทน ก็กว้างพอประมาณ เดินได้ ยี่สิบกว่าก้าวได้สบาย แล้วโยคีน้อยก็เริ่มปฏิบัติ ถ้าจะให้ประเมิน วันนี้ นับว่าผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจระดับหนึ่ง โดยเฉพาะพอใจมาก กับสมาธิขณะกลับตัว เป็นการกำหนดที่ถ้าจะให้เห็นภาพ ก็คือ การผ่อนและดึง เชือกอย่างต่อเนื่องนุ่มนวล ขณะหันกลับเป็นช่วงที่ใช้สติมากที่สุด พอยืนหนอ 3 ครั้ง ก็เป็นการรู้ตัวตนที่ดี และหนักแน่น เมื่อปฏิบัติได้ระยะหนึ่งก็นั่งสมาธิต่อเนื่อง สวดมนต์ทำวัตรเช้าต่อไปเลย แต่วันนี้     โยคีน้อย อยากทำอะไรแปลกๆ ด้วยการลงนอนหงาย แล้วกำหนดอารมณ์ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น โยคีน้อย กำลังจะบอกว่า จะซ้อมอารมณ์ก่อนตาย ขณะนี้โยคีน้อยกำลังจะสิ้นใจแล้ว โยคีน้อยนึกอะไรได้บ้าง ปล่อยวางภาระได้ไหม อารมณ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นยังอยู่ไหม โยคีน้อยทำได้ และไปอย่างหมดห่วง แต่ทั้งนั้ นี่คือการซ้อม ไม่มีทุกข์เวทนาใดๆมาเป็นตัวแปร  ซึ่งถ้าในสภาวะจริง คงต้องกำหนดอย่างยิ่งยวดทีเดียว ก็ขอเล่าให้พี่โยคี รับทราบเป็นคนแรก และขอให้เพิ่ม เติมคำแนะนำให้โยคีน้อยด้วยค่ะ จักเป็นพระคุณอย่างสูง

                    ขอจงอนุโมทนาในบุญด้วยกันค่ะ

      

โยคีน้อย

สาธุกับจิตใจที่ใฝ่ธรรมและมีความก้าวหน้า

อย่างไรก็ดี ตามที่เคยเรียน ทางสายนี้ เป็นทางที่หากยังไม่เคยได้เดินผ่าน จะเป็นทางที่ต้องผจญภัยอย่างหนัก อันตรายสำคัญที่สุดคือความอยาก......(ของเราเอง)

ขอให้โยคีน้อยจงระวังให้มากครับ ถอยทุกอย่างมาอยู่ที่ความพอดี พอเพียงแต่ต่อเนื่อง สม่ำเสมอและปรกติ...ก็จะปลอดภัยครับ

ที่สำคัญ เรียนรู้ข้อเท็จจริงจากสิ่งที่จะเกิด....ที่มาให้ดู นำมาพิจารณาธรรม เพียงแค่นี้ถือว่าก้าวหน้าอย่างยั่งยืนแล้วครับ

การได้อะไร หรือการไม่ได้อะไร สำคัญอยู่ที่ตัวสติปัญญาเกิดขึ้นในใจเราเท่านั้นครับ

การเตรียมตัวตายโดยท่านอนนั้น ความจริง ทำเวลานอนตามปรกติก็ได้ครับ แต่ก็ยังต้องกำหนดสติให้มาก (เหนื่อยก็หลับไปเลย) เพราะความสงบนั้นตรงข้ามกับความไม่สงบ ซึ่งความไม่สงบนี้มีอยู่เป็นปรกติของโลก เวลานั่งสมาธิสงบดี แต่พอออกจากสมาธิก็ต้องเจอความไม่สงบของโลก จึงต้องมีสติเพื่อทำใจให้สมดุลย์ทั้งสองด้านด้วยครับ 

การเตรียมตัวที่ดีคือการให้ครับ ก็หมายถึงว่าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นในลาภ ยศ  ไม่ตระหนี่บุญ ไม่ตระหนี่ความเมตตา กรุณา มุทิตา และมีอุเบกขาได้ง่าย....ทั้งหมดนี้ถ้ามีสติว่องไว สติมา ปัญญาก็เกิด ก็จะอยู่อย่างใจสมดุลย์ ใจพอเพียง สุขปรกติอย่างยั่งยืน

ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งหนึ่งครับ

ถึงพี่โยคี

  โยคีน้อยอยากจะบอกกับพี่โยคีว่า นับจากนี้ จะเรียนรู้อย่างระมัดระวัง ซึ่งบางอย่างที่พี่โยคีบอก ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เอาเป็นว่า โยคีน้อยจะรายงานพี่โยคีให้สม่ำเสมอก็แล้วกัน งั้นวันนี้ขอรายงานเสียเลย

    เมื่อโยคีน้อยนั่งสมาธิได้ระยะหนึ่ง ไม่นานเท่าไหร่ น่าจะเรียกว่าจิตรวมได้ที่ มีความรู้สึกแบบนี้ค่ะ มันเกิดความนิ่งโดยฉับพลัน แล้วเหมือนเป็นความโล่งๆสว่างๆ แต่ไม่ใช่เห็นด้วยตานะคะ อธิบายไม่ถูก เป็นว่าถ้าเทียบกับการเห็นด้วยตาคือ ความสว่างประมาณ 40 แรงเทียน ไม่เห็นภาพอะไรหรอกค่ะ นิ่งอยู่แบบนั้น และค่อยๆเปลี่ยนแปลงคือ มีการขยายความสว่างอย่างกับการที่เราเอานิ้วจุ่มไปที่น้ำนิ่งแล้วเกิดความขยายแต่แผ่วเบามาก ก็เพิ่มความสว่างได้อีกนิด ๆๆ ถึงตรงนี้โยคีน้อยเลยหยุด เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร ใช่สิ่งที่ถูกต้องไหม

  มีอีกเรื่องที่มักเกิดกับโยคีน้อย คือบางครั้ง พอหลับตาทำสมาธิปั๊บ โยคีน้อยมองเห็นภาพรอบข้างทันที เห็นชัดจนคิดว่านี่เราลืมตาหรือเปล่า จนทำให้ทบทวนด้วยการลืมตายืนยัน มันเหมือนกับเราไม่ได้หลับตา แต่ไม่ได้เกิดบ่อย เพียงแต่สงสัย เลยนำมาสอบถามค่ะ

  ขอพี่โยคีชี้แนะให้โยคีน้อยด้วยค่ะ

     ด้วยความระลึกถึงผู้มีพระคุณเสมอ

โยคีน้อยครับ

ผมคิดว่าความตั้งใจปฏิบัติและของเก่าที่มีอยู่แล้วทำให้ฐานสมาธิอยู่ในขั้นที่แน่นพอสมควร

ก็ยังยืนยันครับว่า เน้นเรื่องการฝึกสติจะปลอดภัยที่สุด จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องกำหนดสภาวะนั้นให้ตรงตามความเป็นจริง นิ่งก็กำหนดรู้ความนิ่งนั้น ไม่นิ่งก็กำหนดรู้ความไม่นิ่งนั้น เห็น ก็กำหนดรู้ว่าเห็นเท่านั้น 

สติอยู่กับปัจจุบันเท่านั้นครับ

ด้วยความปรารถนาดี

อยากเล่าให้พี่โยคีฟัง

 วันนี้ เป็นวันหยุด แต่โยคีน้อยก็นัตรวจสุขภาพชาวบ้านที่อายุ 35 ปีไว้ เป้าหมาย 2,500 คน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขต้องการ และเขาบอกว่าเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติให้ในหลวง จะรู้สึกระอายใจมาก ถ้าผลงานจะเป็นแค่ตัวเลข จึงต้องพาน้องๆ ออกทำงานในวันหยุด เพราะวันปกติ งานประจำก็ล้นมือ น้องๆก็ดีใจหาย ถึงจะเหลือกันแค่ 3 คนก็ตาม ได้ให้น้องตั้งหน่วย โดยมี อาสาสมัครสาธารณสุขเป็นผู้นำชาวบ้านมาและช่วยกันตรวจสุขภาพ ตามกำหนด ส่วนโยคีน้อยออกไปตามบ้านที่เขาไม่สามารถเดินทางมาได้ บอกน้องว่า งานนี้เฉลิมพระเกียรติ เราต้องทำจริง น้องเขาก็รู้สึกดีไปด้วย พรุ่งนี้อีกวัน ก็คงไม่ใช่วันหยุดของพวกเรา และตลอดสัปดาห์หน้า ผลงานวันนี้ก็เป็นร้อยคนค่ะ

    ตอนนี้ชาวตำบลเขาคันทรงคือที่นี่ กำลังตื่นตัวเรื่องธนาคารเลือดค่ะ แทบไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดกระแสขึ้นมาอย่างมากมาย เห็นแววตาที่เขาตั้งใจทำความดีถวายในหลวงแล้ว รู้สึก ว่าตัวเองได้ทำอะไรตอบแทนแผ่นดินจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ โยคีน้อยก็จะถือโอกาสแห่งการออกตรวจสุขภาพประชาชนนี้ สร้างเครือข่ายธนาคารเลือด ให้มีทุกหย่อมหญ้าของพื้นที่ที่โยคีน้อยดูแลทีเดียว

  หลังเสร็จสิ้นภาระกิจในวันนี้ ด้วยความเบิกบานโยคีน้อยเลยถีอโอกาส เดินทางไปเรื่อยเปื่อยตามแต่ใจจะไขว่คว้า ไปสู่หมู่บ้านใกล้เคียง แต่คนละอำเภอและเคยทำงานที่นั่นเมื่อ10 ก่อน แวะกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่า ยังอร่อยเหมือนเดิม ผ่านร้านขายผลไม้ที่ยังขายเหมือนเดิม เขายังจำเราได้ แล้วเอากล้วยน้ำว้า สองหวี ใส่ถุงให้เรากลับมากิน และอีกหลายๆคน ที่ยังเหมือนเดิม และยังบอกต่อกันสำหรับคนที่ทำถ้าจะนึกไม่ออก ว่าเราคือใคร  หลังจากออกจากหมู่บ้านนั้น ก็ให้นึกถึงวัดๆหนึ่งที่เคยไปเที่ยว และเมื่อเร็วๆนี้อาสาขับรถไปส่งคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อเลี้ยงพระวัดนี้ ชื่อวัดบุญญาวาส เป็นสายหลวงพ่อชา สงบ สะอาด สงัด มาก มีแต่ป่า ทุกชีวิตทั้งพระ และผู้ปฏิบัติธรรม เหมือนหายเข้าไปในป่า มองภายนอก แทบจะไม่รู้เลยว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอยู่ตรงไหน ได้ไปนั่งไปเดินอีกครั้ง เรื่อยๆ ไม่พบใคร และไม่ได้ตั้งใจมาพบใครด้วย ไปอ่านเจอกระดานที่ท่านเขียนไว้ว่า สิ่งที่ของดรับเพิ่ม แล้วก็มีรายการของแห้งที่คนนิยมนำมาถวายเช่น ปลากระป๋อง มาม่า ข้าวสารฯลฯ

และแจ้งสิ่งที่ต้องการด่วน คือ โสดาบันผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตผล

 ที่นี่รับผู้มาปฏิบัติธรรมทั้งหญิงชาย แต่เป็นลักษณ์ปลีกวิเวก ให้อยู่ตามลำพัง เพื่อศึกษาจิตตนเอง จะพบพระอาจารย์เมื่อต้องการสอบถามธรรมะเท่านั้น

 วันนี้โยคีน้อยก็รู้สึกว่าเป็นวันแห่งความสุขใจอีกวันหนึ่ง เป็นวันที่อยากทำอะไร ก็ทำ อิสระทั้งร่ายกายและจิตใจ จึงอยากจะเผื่อแผ่ความรู้สึกดีๆ ให้กับพี่โยคีบ้าง เพื่อเพิ่มพลัง ในการคิดทำสิ่งดีๆ ที่กำลังรอเราอยู่ค่ะ

  นำสุขมาให้ แด่พี่โยคี  และผู้ที่ได้อ่านกระทู้นี้ทุกท่าน......

สวัสดีค่ะพี่โยคี

     โยคีน้อยเพิ่งกลับมาจากไปเดินออกกำลังกายริมหาดมาได้สักพักค่ะ ที่จริงโยคีน้อย ก็ซ้อมการเดินจงกรมในบรรยากาศใหม่ด้วย พอไปถึงสะพานที่ทอดยาวลงสู่ทะเลระยะทางประมาณ 300 เมตร เนื่องจากไปเย็นมากไปหน่อย พระอาทิตย์ตกดินแล้ว แต่ยังไม่มีด และก็ไม่เปลี่ยวด้วย เพราะชายหาด มีชาวบ้าน มานั่งกินข้าวปลากัน ร้านค้าก็ขายอาหารกันไป เพราะฉะนั้น โยคีน้อยเดินลงไป ในทะเลคนเดียว จึงอยู่ในสายตาของพวกเขา เป็นสะพานปลาแคบๆ กว้างสัก 1.5 เมตร วันนี้เด็กๆที่มาเล่นน้ำ จับปูปลากลับหมดแล้ว และน้ำก็ขึ้นสูงมากด้วย

  โยคีน้อยเลยถอดรองเท้าเดินไปเรื่อยๆ และหยุดเป็นระยะ กำหนดยืนหนอ ๆๆ แล้วค่อยไปต่อ อย่างนี้ แรกๆก็มีเสียงน้ำซัดโขดหินบ้างแต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็สร้างความรู้สึกนิ่งได้ ท่ามกลางธรรมชาติ ก็เป็นประสบการณ์อีกแบบ ที่พี่โยคีบอกให้ทำให้ได้ ทันกระแสโลก แต่นี่ก็แค่บททดสอบที่ไม่ใช่ของจริงทั้งหมด ที่ต้องมีเรา มีเขา มือารมณ์ เหตการณ์ที่สมจริงสมจังมาร่วมด้วย แต่ละสิ่งที่จะได้มาไม่ง่ายเลย

   อยากสนทนากับพี่โยคีอีกสักเรื่อง ที่บอกว่าเราต้องปล่อยวางทุกอย่าง เพราะเป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่การปล่อยวางทางจิตใจทำไมยากจัง บางสิ่ง บางอย่าง บางเหตุการณ์ มันทำให้เราหวลระลึกถึงอยู่ได้ โดยเฉพาะสิ่งเหล่านั้น เป็นเหมือนกรรมผูกพันกัน มันจะมาย้ำเตือน ให้เราต้องไปแบบนั้น แบบนี้ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งดี ด้วยซ้ำ แล้วจะละ จะวางกันอย่างไร โยคีน้อยยังไม่เข้าใจ บางทีโยคีน้อยก็ปล่อยตามกรรมเหมือนกัน ทำให้รู้สึก ไม่ค้างคาใจดี แต่โยคีน้อยก็ต้องปรึกษาพี่โยคีอยู่ดี เพื่อแนวทางที่ถูกต้องต่อไป นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่  โยคีน้อยก็เคยคิดว่า ทำไมต้องเป็นพี่โยคีก็ไม่รู้ คงเคยเชื่อฟังกันมา

  รบกวนเท่านี้ก่อนก็คงต้องคอยตอบคำถามให้โยคีน้อยเรื่อยไปจนกว่าจะหายโง่ค่ะ

        กราบพี่โยคีค่ะ

โยคีน้อยครับ

พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ที่สูงมากครับ เมื่อปฏิบัติธรรม ก็จะเรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง เหมือเราเข้าห้องปฏิบัติการ ทดลองสูตรต่างๆ แล้วได้เห็นผลที่เกิดขึ้น สรุปได้ หายสงสัย

ที่ต้องละสุขก็เพราะสุขนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะสุข-ทุกข์เป็นของคู่กัน เหมือนขาวกับดำ ผู้มีปัญญาจึงเห็นภัยของความสุข.....

ชีวิตนั้นสั้นนัก ถ้าไม่รู้กลไกของจิต ไม่รู้ไตรลักษณ์(ซึ่งไม่ได้แอบแฝงหรือซ่อนเร้นต่อจิตใจของมนุษย์เลย) ที่มีให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ก็จะหลงไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นการเดินทางที่ผิดทางครับ

ถ้ามีสติ อยู่กับปัจจุบันได้ จะเห็นว่าในขณะนั้นมีแต่ตัวรู้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโลก ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์.......

พุทธะจึงหมายถึงผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานครับ

ด้วยความปรารถนาดี

ถึงพี่โยคี

   โยคีน้อยอ่านทบทวนข้อความของพี่โยคี หลายเที่ยวมาก เพื่อให้เกิดปัญญารู้ตามพี่โยคี การปฏิบัติธรรมก็คือ การทดลองและพิสูจน์ วันนี้โยคีน้อย กลับไปเดินที่สะพานที่ทอดลงสู่ทะเลอีกครั้ง ครั้งแรกเห็นน้ำขึ้นสูง และคลื่นลมแรงมาก ทางเดินเปียกเพราะคลื่นสาด ดีเลย โยคีน้อย จะได้ทดลอง การใช้สติของตนเองเสียเลย

  ถอดรองเท้าได้ก็เดินกำหนดไปเรื่อย เหมือนเดิม แต่คราวนี้ นอกจากระวังสติแล้ว ต้องระวังลูกคลื่นที่กระทบขอบสะพานแล้วตีขึ้นมาบนพื้น เป็นระยะๆ ถ้าเราดูให้ดี เราก็จะหลบคลื่นที่กระเซ็นขึ้นมา ได้อย่างสบาย ขอเพียงจ้องดูให้ทัน พี่โยคีเชื่อไหม ความรู้ที่มันเกิดขึ้น กับระยะทางที่โยคีน้อยเดิน 600 เมตรนี้ มันทำให้โยคีเข้าใจข้อความที่ว่า

 "ถ้ามีสติ อยู่กับปัจจุบันได้ จะเห็นว่าในขณะนั้นมีแต่ตัวรู้ ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีโลก ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์" โยคีน้อยรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ จากกระทู้ก่อนที่เขียนว่า การเดินทะเลเป็นแค่บททดสอบ แต่นี่คือบทพิสูจน์ที่แท้จริงต่างหาก เพียงคลื่นกระทบฝั่งเท่านั้น มันไม่สามารถเข้ามาทำอะไรเราได้เลย ถ้าเราเดินอยู่บนสะพานอย่างมีสติ แล้วโยคีน้อยก็เดินกลับ โดยมีเพียงเท้าเปียกน้ำที่นองพื้นเท่านั้น แทนที่จะเปียกปอนทั้งตัว ตามที่คิดไว้แต่แรก สาธุค่ะพี่โยคี

โยคีน้อย

10 กันยายน 2550

สาธุครับ

โลกของคนทั่วไป ชีวิตคือการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขทางโลก

โลกของผู้ปฏิบัติธรรม ชีวิตคือการต่อสู้ของสติกับอารมณ์ที่เกิดในจิต

ด้วยความปรารถนาดีครับ

สวัสดีค่ะ

   โยคีน้อยติดประชุมวิชาการประจำปี ที่แอมบาสเอดร์ พัทยา ครั้งแรกว่าจะไปกลับ แต่เห็นว่ามีงานเกษียณด้วย เลยไม่อยากขับรถกลับ เลยค้างหนึ่งคืน มีประชุมแต่โยคีน้อยก็ได้มาฟังธรรมด้วยนะคะ มีอาจารย์หมออดีตผู้อำนวยการโรงพบาบาลภูมิพล ได้เมตตามาเป็นวิทยากร เรื่องการตกผลึกทางปัญญา ท่านบรรยายไดดีมากค่ะ และคิดว่าท่านก็นักปฏิบัติท่านหนึ่ง ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ทุกคนตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เป็นการบรรยาย กฎแห่งกรรม การฝึกสมาธิให้อยู่กับปัจจุบัน แต่ไม่ได้ลงลึกมากนัก อาจเห็นว่า กลุ่มใหญ่มาก 600 คน

   เวลาอาจารย์ถามตอบ โยคีน้อยอยู่ไกล แต่ก็ตอบในใจ ได้ถูกต้องนะคะ คิดถึงพี่โยตีเหมือนกัน เพราะไม่มีใครสนทนาธรรมกับโยคีน้อย ได้ดีเท่าพี่โยคี

  ค้างทีโรงแรม เช้ามืดลุกขึ้นมานั่งสมาธิ แต่แอร์เย็นจนสุดขั้วหัวใจ ลดไม่ได้ ครั้นจะเดินจงกรม ก็เกรงใจคนที่นอนด้วย เดี๋ยวตื่นมาเห็นจะตกใจ สถานที่นี่ก็สำคัญสำหรับการปฏิบัติธรรมเหมือนกันนะคะ

 อ้อ! ในงานยังมีคนพูดถึงหนังสือ ถ้าพรุ่งนี้....ต้องตาย เนื่องจาก คนที่เป็นพิธีกรวันตรวจสุขภาพพระ วันนั้น ได้เอาหนังสือ ไปให้ ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ทุกแผนก มีคนอ่านแล้ว บอกว่าดีมาก และมีคนทำบุญค่าหนังสือกับโยคีน้อยด้วย  เอาบูญมาฝากพี่โยคีค่ะ

  ปีนี้สาธารณสุขชลบุรี ตั้งใจร่วมกันว่า เราจะทำงาน ให้  ดี  เก่ง   สุข  ดูจะเป็นคำที่สร้างความสดใส แก่ชีวิตการทำงานภายหน้านะคะ     สวัสดีค่ะ

 โยคีน้อยครับ

สาธุ......เราทุกคนเป็นนักเดินทางชีวิตนะครับ เป็นเส้นทางเดียวกัน ที่ยาวไกลและทุกย่างก้าวมีความหมาย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเดินก้าวไปข้างหน้า เพราะนั่นหมายถึงจุดหมายที่ใกล้เข้ามาทุกที .........ไปเจอกบอนที่เขียนไว้นานมากแล้วครับ ตั้งแต่ 2533 จึงขอนำมาลวตรงนี้ครับ 

 

.......................................................... 

แสนสุขใจ ที่ได้วาด ธรรมชาติ

แสนผุดผาด อาจทนง วงศ์ช่างศิลป์

ดุจหนอนกลาย เป็นผีเสื้อ ที่โผบิน

หัวใจสิ้น ริ้นและไร ที่ไต่ตอม

 

สีนี่หรือ อยู่ที่ใจ จะให้สี

เขียวขจี ม่วงแสดแดง เหลืองขาวหลอม

น้ำเงินส้ม ฟ้าชมพู ดูพยอม

สีทั้งผอง พอใส่ดำ ก็คล้ำพลัน

 

หากเปรียบสี เป็นความดี และความชั่ว

คนหลงมั่ว มัวแต่งเติม เพิ่มสีสัน

ล้วนสุดสวย เริ่มสดใส ใส่แข่งกัน

ต่างประชัน ขยันป้าย งมงายใจ

 

มัวแต่งเติม เพิ่มแต่งกาย แต้มป้ายสี

ไม่เคยมี คำว่าพอ หรือไฉน

ยิ่งพอกพูน ยิ่งป้ายทับ สุดหนักใจ

กิเลสใคร กิเลสมัน ขยันเติม

 

คงจะต้องเอาธรรมะ เข้าชะฟอก

สีที่พอก ลอกหลุดไป ให้ตื้นเขิน

ค่อยค่อยล้าง ให้สีจาง ทางเจริญ

แสนเพลิดเพลิน เชิญล้างใจ ให้สกาว

2533------------

ด้วยควมปรารถนาดี

...........ขอบคุณมากค่ะ..........

......จะจดจำ และก้าวเดินต่อไป ด้วยความร่าเริง สุขใจ ตลอดไปค่ะ...สาธุ สาธุ สาธุ

สวัสดียามเช้าค่ะ

  ไม่ได้รายงานผลการปฏิบัติธรรมเสียหลายวัน วันนี้โยคีน้อยส่งการบ้านพี่โยคีค่ะ  การปฏิบัติธรรมวันนี้ โยคีน้อย จะเรียกว่าถูกทดสอบ หรือเป็นอาการที่เกิด ขี้นจากอะไร ก็ไม่ทราบได้ หลังจากเดินจงกรมก่อนด้วยการมีสติ ค่อนข้างหนักแน่น แล้วโยคีน้อยก็นั่งสมาธิ ต่อ มีความโล่งที่กว้างขวางกว่าทุกวัน เหมือนไม่มีอะไรมากางกั้น ขณะนั้นบังเกิดสิ่งที่เป็นคลื่นความสว่างกว่า ลอยวนเข้ามา แต่คราวนี้ มีแรงสั่นสะเทือนมาด้วย เหมือนเราสัมผัสกับมอร์เตอร์ เกิดอาการสั่นสะเทือนไปทั้งสมอง โยคีน้อยระลึกถึงคำสอนของพี่โยคี ที่ให้ดูเฉยๆ ให้มันเป็นไป ช่างเถิด แล้วก็ใช้การตั้งสติอย่างเดียว อาการก็เกิดเป็นระยะ นานพอสมควร ที่สุด ก็เหมือนคลื่น ค่อยๆสงบ สั่นน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น เหมือนพื้นสีขาวนิ่งๆ โยคีน้อย ก็รู้สึกว่า วันนี้ สติดี อดทนมาจนถึงขณะนี้ ไม่เอาใจไปเกาะเกี่ยว ได้ ซึ่งตามปกติ จะต้องแอบ เอ๊ะ อ๊ะ นิดหน่อย พอรู้สึกว่าหมดสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว โยคีน้อยก็ออกจากทำสมาธิ แล้วลองนอน ท่าตายดู ปรากฎว่า พอหลังถึงพื้น ร่างกายมันหายไปหมดเลย เหลือแต่ความรู้สึกอย่างเดียว สักพัก โยคีน้อยจึงลุกขึ้น เมื่อเกิดอะไรใหม่ โยคีน้อยไม่อยาก แช่อยู่นานเกินไป กลัวการปรุงแต่งจะเข้ามา ซึ่งก็ที่จริงควรทำอย่างไรจึงจะถูกต้องละคะ

    วันนี้ฝากการบ้านให้พี่โยคีตรวจให้ละเอียดด้วย โยคีน้อยจะรอผลการตรวจสอบค่ะ

    กราบรบกวนพี่โยคีเหมือนเดิม  ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

                                 โยคีน้อย

                                13 กันยายน  2550

ดูเฉยๆ นั้นดีแล้วครับ กำหนดสติเห็นหนอๆ ไปเรื่อยๆ จะได้รู้อะไรจากการกำหนด....อนิจจัง ครับ.... ในที่สุดก็ต้องเปลี่ยน..ไม่ว่าจะวิจิตรแค่ไหนก็ตาม ก็ดูเฉยๆ เห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปอีกๆๆๆๆ....หน้าที่ของจิตมีแค่นี้

เมื่อเกิดอะไรใหม่ โยคีน้อยไม่อยาก แช่อยู่นานเกินไป กลัวการปรุงแต่งจะเข้ามา

นั่นแหละครับ รู้ด้วยตัวเองแล้ว อันตรายอยู่ตรงการปรุงแต่ง.....ง่ายนิดเดียว คือการละจากสิ่งที่ต้องการ เหมือนการแบมือออก คนทั่วไป ถ้าแบมือออก ของที่อยุ่ในมือก็จะหล่นหรือหลุดลอยไป เลยไม่ค่อยยอมปล่อย......

หลวงพ่อจรัญท่านบอกว่า ....ให้...ให้มากที่สุด..........

เราต้องตั้งต้นจากจิตของตัวเองว่า เราปฏิบัติธรรม ไม่ได้ต้องการอะไร  ไม่ได้ต้องการเป็นอะไร หรือจะไม่ได้ ได้หรือจะไม่ได้เป็นอะไร แต่ทำเพื่อกำหนดสติรู้ปัจจุบัน ซึ่งทุกขณะที่เข็มนาฬิกาหมุนเวลาผ่านเข้ามาเป็นปัจจุบันขณะทั้งนั้น..........

การละวาง นี่คนทางโลกอาจบอกว่าคือการพ่ายแพ้ หรือถอยหลังแต่สำหรับผม ในทางธรรมคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

เมื่อละวางได้ ครั้งหนึ่ง ก็ทำบ่อยๆ และกลับมาดูที่หน้าที่ทางโลก การปฏิบัติหน้าที่ทางโลกให้ดีที่สุดตามฐานะและสิ่งแวดล้อม คือการปฏิบัติธรรมขั้นสูง.....ในเรื่องนี้ ขอเราจงดูพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นตัวอย่างครับ........ไม่ต้องอธิบายกันมาก พอจะเห็นกันอยู่แล้ว

มีคำกล่าวว่า คนไทยเราดูในหลวงทุกวันแต่ไม่เห็นพระองค์ เราฟังพระราชดำรัสของพระองค์อยู่ทุกวันแต่ไม่ได้ยินพระองค์ท่าน 

ในปีมหามงคลนี้ ปฏิบัติอะไรได้ ปฏิบัติไปเลย ขอถือเป็นการทำความดีถวายในหลวง...ก็จะได้กุศลกันโดยไม่ต้องอยากครับ

ความยากสุดอยู่ตรง ละวางความอยากครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

                                    

 

                           เอารูปนี้มาฝากพี่โยคี   

              (ทดลองเอารูปลง-อ่างเก็บน้ำบางพระ)     

 

                                                

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท