เยี่ยม บ้านจำรุง แกลง ระยอง


วันนี้ ไปสอนที่ โรงงานปิโตรเคมี แห่งหนึ่ง (นอกเครือ SCG) ที่  มาบตาพุด  ระยอง

สอน มาหลายวัน   พบว่า  ผู้เรียนบางคน (ไม่ทุกคน)  ยัง อยู่ในกรอบเดิม  เช่น

วิศวกร อย่างข้าฯ   นักบัญชี นักกฎหมาย  ช่างกลอย่างข้าฯ  แน่กว่าใคร  เจ๋ง.....  ใครประนามไม่ได้    ปากเสียแต่ไม่รู้ตัว   ข่มขืนสาวๆด้วยวาจาและสายตา   ต่างคนต่างอยู่   ข่มกัน   ฯลฯ

หลายคน  ทำงาน  แบบ โหมดเอาตัวรอด   หรือ รู้สึก unsecure  ก็มักจะแสดงออกด้วยการ  หลบหลีก เงียบ  ต่อต้าน ดื้อเงียบ  องุ่นเปรี้ยว  เครียด  โกหก  ดูถูกกันเอง ฯลฯ

ผม  ก็เลย ต้องแก้เกมส์การสอน  ด้วยการ ทำสุนทรียสนทนา  และ อธิบาย ความวิปริตของชีวิตการทำงานในโรงงาน   ที่วันๆ  เอาแต่งาน ไม่มีสุนทรียสนทนา  ต่างคนเอาตัวรอด  พูดจาแบบทำร้ายจิตใจกันตลอดมา   นายเอาตัวรอด  ลูกน้องกะล่อนไปวันๆ   เป็นต้น ------>   แต่ ไม่สำเร็จครับ      ว้าว ....     คนบางคน "กะลา"หนามากๆๆ    เป็น นัก คิดมากๆๆๆๆ  แต่ ไม่ทำ ไม่คุย   และ   บางคน เป็นนัก "ไม่คิด"   (การศึกษาไทย  ครอบมาแบบเต็มๆเลย)  ......  พวกเขามองตนเองไม่ออก ว่า ตนเองตกอยู่ในวังวน ของสังคมวิปริต   และ  นึกไม่ถึง โรงงานปูน ฯ   และ โรงไก่แช่แข็ง  ฯลฯ ได้ เอาสังคมเรียนรู้  ไปใส่ในโรงงานได้แล้ว

ความที่ งง กับ ข้อมูลใหม่ ที่เปิดโลกให้ดูว่า   สังคมวิปริตในโรงงาน สามารถเปลี่ยนเป็นสังคมเรียนรู้ได้  ....  อาจจะทำให้ พวกกะลาหนา  ใช้ การเถียง เพื่อจัดการความไม่มั่นคงในใจของตนเอง 

   .....  คนที่กะลาหนามากที่สุดคนหนึ่ง   ถึงกับ โกรธผม  ออกอาการถามผมว่า  ที่ผมพูดมา  มีหลักฐานทางวิชาการ และ สถิติอะไรมาวัด ว่าพวกเขา "วิปริต"     .......  เป็นคำถามที่ดีนะ   ผมก็บอก   ผมไม่สนใจสถิตินะ    ผมอยากให้พวกคุณ ผ่านกระบวนการเรียนรู้มากกว่า  ลองค้นเอง เจอเอง  แยกแยะผิดถูกเอง  มาเชื่อผมทำไมล่ะ   

เพื่อจะจัดการกับ คนกะลาหนา .....ผมเลยเปลี่ยนแผนการสอนใหม่  ....  ทำ story telling สะเลย   เอา เจ้ากะลาหนาสุดของห้อง   ให้เป็นผู้เล่า   และ คนอื่นๆ  ทำ TL (ตอแหล)ล้อมวงฟัง .....   โดย เบื้องหลัง ของการทำ storytelling คือ  ให้"เวที" เจ้ากะลาหนา  ได้ พูดๆๆๆๆๆ   พวกเราที่ทำ TL ก็ ฟังๆๆๆๆๆๆ    จะได้ เป็น "จิตบำบัด" (Psycho therapy) ไปเลย 

ผล คือ  ผมได้ "ปม" ในใจ ของเจ้า กะลาหนา   และ  จับจุดได้แล้ว  (แต่ ในฐานะ ครู  จะเปิดโปงไม่ได้  ต้อง  หาช่องแก้ปมนี้) ....  โดยเขาต้องแก้ปมด้วยตัวของเขาเอง    ผมได้แต่ใช้เทคนิค "เนียน นุ่ม ลึก"   

 

คราวนี้  ผมลองฉายภาพนิ่ง  ของ  วิถีชาวบ้าน สังคมเรียนรู้  เปี่ยมสุข และ พอเพียง    เช่น  มูลนิธิข้าวขวัญ  ลุงทองเหมาะ   มหาชีวาลัยอิสาน  ฯลฯ    แต่ก็ไม่สำเร็จ    เจ้ากะลาหนายัง เถียง (   ส่วนใหญ่ของผู้เรียน  เปิดกะลา  Ok กันหมดแล้ว)     .....เจ้า.กะลาหนา  ก็ยังคาใจ  "ไม่เชื่อ" อีก ....  ผมก็ได้แต่นึก  "น่าสงสาร  ...โลกของเจ้ากะหนา (คนนี้)      ดัน ไปนึกว่า  โลกของเอ็ง  คือ ประเทศไทย" 

คราวนี้  ก็ต้องแก้เกมส์  ในฐานะครู   จะไปโกรธศิษย์ไม่ได้    .....  เอางี้   ..... พาทั้งห้อง 30 กว่าชีวิต    บุกไป  บ้านจำรุง ดีกว่า   ใกล้ๆระยอง .....  ไปแบบ ไม่ได้บอกพวกผู้เรียน   ผมติดต่อ คุณเรวัติ (ปูน ฯ แก่งคอย)    นัดเข้าไปชม บ้านจำรุง แบบ นัดเย็นนี้   เจอกัน บ่ายรุ่งขึ้นเลย

ใช้เทคนิค  ข้าฯ พูดเอ็งไม่เชื่อ    พาไปเจอชาวบ้าน ของจริงดีกว่า  ให้ชาวบ้าน  ปอสี่ ปอหก  พูดดีกว่า  ....  ฮ่าๆๆๆ

ไปเจอชาวบ้าน คือ   พี่มานพ กว้างขวาง    ยายๆ ป้าๆ และ พรรคพวก

  • เจอ ชาวบ้าน จัดเก้าอี้ ล้อมวง  ชวน  พวก มนุษย์โรงงาน  มาล้อมวง .... ฮ่าๆๆ    ก็เหมือนกับที่ผมสอนเลย  show & share .....  เป็นอะไรที่ คนโรงงานนี้  ไม่เคยทำ    ทำแต่ล้อมวง  QCC แบบขืนใจทำ  ทำแบบ Format  บ้าเครื่องมือทางสถิติ  ฯลฯ  
  • ภาพด้านล่าง  เป็นภาพ นักร้องสาว คราวแม่ผม  ร้องเพลง สร้างบรรยากาศ    มันเป็นอะไรที่ คนโรงงานไม่รู้จักสร้างขึ้นมา   ..... 

  • ผู้เรียนส่วนใหญ่  เข้าใจเรื่องการเรียนรู้ดี  ยกเว้น  สองสามราย ที่ผมมาเปิดโลก      ผู้เรียนกลุ่มนี้  รู้จักการตั้งคำถาม  การสักถาม การฟัง ฯลฯ  ช่วยผม  เปิดกะลา ให้ เจ้ากะลาได้มากจริงๆ
  • ชาวบ้าน เข้าประชุม แบบ ไม่ทะเลาะ แบบไม่โหวต   ตัดสินใจกันวันนี้ไม่ได้ก็คุยกันคราวหน้า     ไม่มีการคุยกระทู้ที่ตกลงกันไม่ได้นอกเวที   ไปถกกันในเวที ฯลฯ  ......  พวกโรงงาน ช็อค   โอโห  พวกชาวบ้านเขามีความสนุข   พวกเรา มีแต่ หน้าดำหน้าแดง จะฆ่ากันตายเพื่อเอาชนะ   
  • ชาวบ้านเขารู้จักกันหมด ใครเป็นใคร   ...    แต่พวกโรงงาน เห็นแต่หน้า ไม่เคยคุย       เพิ่งมารู้ตนเองว่า  "สังคมโรงงานวิปริต" ไปเยอะเลย  มีแต่ โหมดเอาตัวรอด  หรือ Unsecure mode  รู้สึกแต่ว่า ตนเองไม่ปลอดภัยที่จะพูด ที่จะแสดงออก ที่จะคิด ที่จะทำ  ฯลฯ

 

ผมก็ไม่รู้ว่า   เจ้ากะลา  ป่านนี้  กะลาเปิดออกหรือยังนะ    เพราะ เรื่องแบบนี้   ผมต้องให้ผู้เรียน มีระยะเวลาส่วนตัว   ได้ย่อย  ได้คิด  ได้บ่ม   ค้นหาตนเอง   ฯลฯ  ถ้าโชคดี   เขาอาจจะ Hansei  เจอตัวตนของเขา

(Hansei   ภาษาญี่ปุ่น  = สำนึกผิด    มี 3 ขั้นตอน  คือ 

ยอมรับว่าผิดด้วยตนเองไม่มีใครบังคับ +  หาต้นตอสาเหตุที่ผิดพลาด + นำเสนอ ลงมือป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ)

ถ้ายังไม่ได้อีก เดือนหน้า   ทั้งหมด จะเจอผม ที่ป่าช้า ฯ ขอนแก่น    ไปแบบสมัครใจ   ถ้าเจ้ากะลาหนา  เบี้ยวไม่ไปป่าช้า    ก็คงต้อง หาอุบายใหม่   หรือ ตัดหางปล่อยวัดไปก่อน    ช่วยคนอื่นๆก่อนดีกว่า  เอาไว้เวลาว่างๆๆๆๆ ค่อยมาจัดการเจ้ากะลาครับ

ผมนึกถึง  ยุทธศาสตร์ในการสอน   คือ ถ้า มี บัวสี่เหล่า

การจัดการ บัวต่ำสุด    ผมต้องใช้ พลังงานมาก เช่น 100

สู้   มาใช้ พลังงานแค่ 20  จัดการให้ บัวขั้นบนสุด   ได้ ค้นพบ   และเมื่อค้นพบแล้ว   ก็มาช่วยผม จัดการ บัวชั้นรองๆลงมา   

ดีกว่าผมคนเดียว   หมดแรงกับ บัวล่างๆ   จนไม่ได้จัดการบัวสูง  สุดท้ายไม่มีสักบัว  ที่ "ค้นพบ"  จบกิจเลย

 

 

คำสำคัญ (Tags): #บ้านจำรุง
หมายเลขบันทึก: 111051เขียนเมื่อ 12 กรกฎาคม 2007 23:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 10:32 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (45)

Hansei คืออะไรครับ? ผม search เจอแต่ภาษาเยอรมัน -_-! (ใน wikipedia อะนะครับ).  ถ้าประเทศไทยจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  รัฐบาลก็คงเอามาตั้งที่ระยองนี่หละมั้ง มีของดีตั้งหลายอย่างแล้วมีอีกซักอย่างก็คงไม่เป็นไร.  (แต่หาที่เรียนยากหน่อย)  ผมไม่รู้ว่าสังคมจะวิปริตหรือเปล่า  ขอให้อากาศและน้ำรอบๆ โรงงานอย่าวิปริตไปด้วยแล้วกัน.  เลือกตั้งรวมเขตสงสัยส.ส.แกลงได้อีกท่า. (นอกเรื่อง :-P)

 

ขออนุญาต นะคะ 

hansei เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะค่ะ น้องบ่าววีร์  พี่หนิงเข้าใจว่า หมายถึงการระลึกตัวและสำนึกผิด  ค่ะ

อย่างไรรอผู้รู้ท่านอื่นอีกนะคะ

น้องบ่าววีร์ลองแวะไปที่ http://www.emsstrategies.com/dd080104article2.html

หน่อยไหมคะ  พี่หนิงเจอว่า...

Use Hansei: Responsibility, Self-Reflection, and Organizational Learning.  In a nutshell, this concept is about reflecting on mistakes/weaknesses and devising ways to improve.  Hansei is a concept that Toyota uses as a practical improvement tool like Kaizen.  Toyota actually conducts Hansei events (like Kaizen events) to improve products and processes.  As hansei is utilized, the improvements are fed back into the organization and disseminated.

 

เทวดา เพี๊ยบเลยนะครับ

สาธุๆๆๆ

  • อาจารย์บุกไปเปิดวิชาติ๋งต๋องศาสตร์ อย่างน่าทึ่ง
  • ใช้ครบกระบวนการ ทึ้ง ดึง เด็ด ดีด
  • จับไปเจอชาวบ้าน
  • ยังจับไปไปเจอแม่นาคที่ป่าช้าอีก
  • ประเภทนี้แหละที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการ
  • "อย่างหนาตราช้าง ไง ครับ"
  • เจอหนาๆให้มาจ้ำจี้มะเขือเปราะ ก็ดีนะครับ
  • จะได้สมองแฉะ ทั้งคู่
  • ผมขักอยากรู้จักเสียแล้วสิ
  • คืนวันที่18จะไปนอนป่าช้าด้วย เลือกนอนหลุมเดียวกันท่าจะดี

 

อ่านแล้ว เห็นเลือดหยดติ๋งติ๋งๆ เลยครับ

สวัสดีครับอาจารย์

  • อ่านแล้วเห็นความเป็นครูที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อศิษย์จริงๆ ...เกิดปีติครับ
  • เทคนิค เนียน นุ่ม ลึก...ผมนึกถึงเบเกอรี่เลย ฮ่าๆๆ
  • ยุทธศาสตร์ทำน้อยได้ผลมาก...น่าเลื่อมใสยิ่งนักครูของผม
  • ขอบพระคุณมากครับ
反省 ของวิศวกรอาจจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมก็ได้. โรงงานของเขาจะดี ไม่ปล่อยของเสียออกมาจนทำให้ คนที่อยู่รอบเดือดร้อน. ถ้าเขาทำไม่ได้ เขาก็คงจะลาออกไปทำงานอื่นแทน. (หวังว่าจะทำได้นะ อยากให้ชุมชนกับโรงงานไปกันได้ ไม่เบียดเบียนกัน) ผมเอาใจช่วยนะครับ.


เมื่อสัปดาห์ก่อน...ก็เจอสองรายค่ะ...จากการไปเป็นวิทยากรเรื่อง "วิถีพุทธสู่ความสุขในการทำงาน" ... เจอคนที่ท้าทายต่อ "ความจริงของชีวิต" เขาถามกะปุ๋มว่า... "เอาอะไรมาตัดสินความดีความชั่วของเขาในเมื่อเขาพอใจจะทำ...เขาบอกว่ากะปุ๋มมีสิทธิ์อะไรที่จะมาตัดสินว่า..เขาทำดีหรือไม่ดี"...

แหม!!!...เจอแบบนี้ไม่อยากเสียเวลานานค่ะหลังจากพยายาม...นำเข้าสู่...แห่งความจริงของชีวิตแล้ว...ก็ยังไม่ซึ้งซาบ...ในความหมายแห่งคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...ก็ได้แต่สงสารและเมตตา....แต่ก็จำต้องปล่อยและวางไว้ก่อน...ไปพยุงอีกเจ็ดสิบกว่าคนที่พออาจร่วมเดินทางไปกับเราได้...

ซึ้งใจเลยค่ะที่ครูบาอาจารย์...ท่าน...สอนเสมอว่าสิ่งที่เราพูดที่เราสอนนั้น...อย่าไปหวังว่าคนฟังนั้นจะรับได้เท่ากัน...

อ่านบันทึกนี้อ่านไปยิ้มไปเลยค่ะ...

(^_____^)

กะปุ๋ม

ช่วงนี้รู้สึกว่าจิตเกิดบ่อยค่ะ

 ต้องฝึกมากกว่านี้อีก ถ้าวันที่ 18 นี้ได้ไปขอนแก่นด้วย ก็จะเยี่ยมมากๆ เลยค่ะ

แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้ไปรึเปล่า รอหัวหน้าอนุมัติ อิอิ :D

ลูกศิษย์ ที่เคยปั่นจักรยานไปเรียน

 สวัสดีดีค่ะ อาจาร์ย

  หุหุ อาจาร์ยนึกไม่ออกล่ะสิว่าใคร ....

 ไป ป่าช้า..อยากไปแก้ตัวอีกครั้งจังค่ะ

ปีที่แล้ว ปล่อยให้ความกลัว และ อะไรๆๆ ที่คิดไปเองทำให้ไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป

ขอให้รุ่นต่อไป พยายามเข้านะคะ และเก็บสิ่งต่างๆที่ได้เรียนรู้ในแต่ละครั้งที่เรียนให้ได้เยอะๆ เก็บได้แล้วก้ออย่าลืมเอามาใช้ด้วยนะจ๊ะ

1.คนที่กะลาหนาเราควรจะปฏิบัติหรือ treat เขาอย่างไรครับเพื่อให้เขาเข้าใจอย่างที่เราสอนและสามารถดึงเขาให้มาทำกิจกรรมตามที่เราวางไว้ครับ

2.ในสังคมที่สับสนวุ่นวายและยิ่งประเทศแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เราซึ่งมีความรู้และความสามารถเราควรจะช่วยเหลือชาติบ้านเมืองอย่างไรครับช่วยบอกเป็นรูปธรรมเพื่อนำไปปฎิบัติได้จริงด้วยนะครับ

3.ร่างรัฐธรรมมนูญปี 2550 เราในฐานะที่เป็นประชาชนชาวไทยเราควรจะไปลงใช้สิทธิ์เพื่อแสดงประชามัตติในฐานะที่อาจารย์มีความรู้ความเข้าใจเราควรลงว่ารับหรือไม่รับครับ

น่าสงสารคนที่ได้รับการอบรมเน๊อะ  ปกติคำว่า "กะลา" ในที่นี้น่าจะหมายถึงพวกที่หนาแน่นด้วยกิเลส พวกที่แหงนหน้ามองหาพระศาสดาเป็นนิจ ซึ่งก็คือ "ปุถุชน" ที่แปลจากภาษาบาลีว่าพวกหนาแน่น  และความจริงก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ผู้เขียนจึงไม่น่าจะใช้คำนี้ให้  ทิ่มแทงใจลงไปอีกเลย  เพราะหากผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมมะจริงๆจังๆก็คงรับกับความจริงไม่ได้ จึงอยากให้ผู้อบรมเปิดใจสงสารพวกที่รับการอบรมหน่อยว่า อ่านแล้วทนไม่ได้ว่าต้องถูกเรียกว่ากะลา หรือกะลาหนาอีก  อย่าซ้ำเติมฉันอีกเลย

Synergize  =  ไม่มีอัตตา  ใช้โยนิโสมนสิการให้มากๆ  จึงจะประสานเป็นหนึ่งได้
  • แม้คิดต่างกัน ก็ไม่โกรธกัน    ยอมรับกัน
  •    "ไม่เห็นใครสูง(เก่ง ดี)กว่าเรา  ไม่เห็นใครต่ำ (โง่ เลว) กว่าเรา  ไม่เห็นใครเสมอกับเรา" นี่เป็น พุทธพจน์ นะครับ
  • ไม่คิดแบบ เหมารวม  
  • ไม่คิดแบบ One size fit all  หรือ "หลักสูตรเดียวทั้งประเทศ" "เครื่องมือเดียว ทุกชุมชน"

เมื่อเข้าสู่ สภาวะธรรมของจิตว่าง จะพบว่า ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นเนื้อเดียวกัน  นี่แหละ หล่อหลอมกัน  เป็น synergize ที่มีพลังอยู่

การเปิดใจ คุยกัน  ทำ AAR  จึงเป็น "เรื่องเล่าเร้าพลัง"  เพราะ ทุกคนไม่มีอัตตา  

ได้อ่าน Web  เรื่องคนไร้กรอบแล้วรู้สึก อึ้ง  ทึ้ง   เสียว  และประทับใจอาจารย์เป็นอย่างมากที่สามารถ.... จัดการ... หรือแก้ไขเกมส์  คนวิปริต  ที่ท่านพูดถึงถึงพริกถึงขิง     ตอนแรกก็ไม่ทราบวัตถุประสงค์ของโรงงานที่ต้องการจัดอบรมในครั้งนี้ว่ามีวัตถุประสงค์อันใด      แต่คาดว่า    น่าจะเป็นการจัดการเรื่อง.... ความเก๋า... ของพนักงานซะมากกว่า    เพราะอ่านไปแล้ว  ก็มีเพียงประสงค์เดียว      สำหรับเรื่องนี้ขอชมเชยยกย่องผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง...

  •  ท่านอาจารย์ผู้สอน    ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า  ระหว่างการเรียนการสอนท่านมีปัญหาอะไรกับตัวผู้เรียนหรือเปล่า    แต่ด้วยความรู้สึกของคนที่อ่าน  Web  ของท่านแล้ว    มีความรู้สึกว่า   หนักไปนะ  ท่านอคติกับตัวผู้เรียนหรือเปล่า    (ระหว่างเรียนท่านคงจะถูกกดดันจากคนที่ท่านว่า  กะลาหนา   น่าดูทีเดียว)  ข้าพเจ้าไม่เข้าใจว่าท่านสื่ออะไร..... หรือเพียงเพื่อต้องการด่า  วิพากษ์  วิจารณ์พนักงานของโรงงาน ...... หรือต้องการบอกใครต่อใครว่าตัวเองเก่งในการจัดการ.....   ก็ต้องยอมรับว่าท่านเก่งที่เดียว   แต่เท่าที่ทราบคนที่เป็นอาจารย์จะต้องไม่มีอคติต่อผู้เรียนไม่ใช่หรือ?    ครูสอน ป.1  ของข้าพเจ้าที่อยู่บ้านนอกบอกมา      คนสมัยก่อนเขาจบมาแค่  ป.4   ป.6    มาเป็นครูสอน  ไม่ได้จบตรี   จบโท   เอก   เหมือนกับอาจารย์สมัยนี้  (ที่บอกใครต่อใครว่าเก่ง)    แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า   คนสมัยนั้นเขามีวุฒิภาวะทางอารมย์สูงมากที่เดียว   รักศิษย์ด้วยความบริสุทธิ์     ตั้งใจประสิทธิประสาทวิชาให้ศิษย์โดยไม่เกี่ยงงอน    ไม่ต้องจ้างสอนมาสอนพิเศษด้วย     ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ต้องมาเรียนกันไม่รู้จักจบสิ้น  แพงมากแค่ไหน    ก็ต้องจ้าง  ได้บ้าง  ไม่ได้บ้าง  ไม่ต้องมองที่จุดคุ้มทุน   เพราะการศึกษา คือการลงทุนอย่างที่เขาพูดว่าไม่มีผิด   กลับมาสู่เรื่องนี้กันดีกว่า   ข้าพเจ้าเข้าใจว่า   ท่านคงจะพยายามชี้ให้เห็นว่าอะไรคือปมปัญหา   เพื่อนำไปสู่การจัดการที่ดี    และเพื่อเป็นวิทยาทานต่อผู้อื่นที่ได้อ่าน Web  ท่าน      แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะถามท่านตรงๆ  ก็คือ  อะไร คือ  จรรยาบรรณ    ปกติจะต้องเก็บเป็นความลับหรือวิจารณ์ลง Website  เพียงเพื่อตอบสนองอารมณ์ของท่าน  หรือต้องการประกาศศักดิ์ดาหาลูกค้ารายใหม่   เพื่อจะต่อท่อธุรกิจของท่านต่อไป     หรือเพียงเพื่อให้ใครต่อใครเห็นถึงความผิดปกติของคนในโรงงาน      สุดท้ายแล้ว    ท่านถามพวกเขาว่า ....  เป็นบัวระดับไหน    แล้วตัวท่านละ   ท่านตอบตัวเองได้หรือยัง?

เราไม่รู้หรอกว่า ท่านและคนกะลาหนาคนนั้นมีปัญหาอะไรกัน...ถ้าให้เราวิเคราะห์ด้วยสมองอันน้อยนิด เรากลับมองว่า...ในฐานะที่ท่านเป็นครู ควรหรือไม่ที่จะนำเอาองค์กร ๆ หนึ่งมาวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่ให้เกียรติใด ๆ ออกสู่โลกภายนอกอย่างดุเดือด ท่านมีปัญหากับคนคนเดียว แต่ท่านเหมารวมทั้งโรงงาน...ทำไมหรือ...คนโรงงานมันไม่ดีตรงไหน แถมยังมีการเปรียบเทียบกับเครืออื่น ยิ่งเป็นการบ่งชี้ชัดว่าโรงงานนี้อยู่เครือใด...โอ้พระเจ้า...ใยน้ำใจมนุษย์ที่คิดว่าตนเองเป็นบัวที่สูงว่ากว่าคนอื่น มีเท่านี้เองหรือ....ท่านคิดผิดไปหรือเปล่าที่ปล่อยอารมย์ตัวเองเหยียดหยามคนอื่น (โดยรวม) ไม่ใช่เฉพาะคนกะลาหนา....แล้วยังจะเรียกตัวเองว่า "ผู้รู้"

เรียน ท่าน อาจารยไร้กรอบที่นับถือ

  • ท่านอาจารย์ Dr.Ka+Poom โทรมาแจ้งว่า มี "JJ "มาแสดงความคิดเห็นรุนแรงเลยตามมาดูครับ
  • ตัวจริงต้องมีรูปปรากฎครับ
  • จะได้ไม่สับสน

คุณ b เป็นพวกบัวกลุ่มใต้พื้นภิภพครับ ถ้าคุณได้ไปสัมนากับโรงงานนี้ คุณคงจะไม่โพสอย่างนี้หรอกครับ คงได้ฟังเจ้ากะลาหนาพูดมามากกว่า ไม่รู้รึป่าวว่า มีการทดสอบอารมณ์เกิดขึ้นคุณ B

ก่อนอื่นต้องกราบขอโทษคุณ JJ ตัวจริง ที่ทำให้คณได้รับผลกระทบ... จริง ๆ แล้ว เราอยากจะกราบขอโทษท่านอาจารย์ที่ผู้น้อยอย่างเราบังอาจต่อว่าต่อขานค่อนข้างรุนแรง...เป็นเพราะเราเอาอารมย์ส่วนตนชั่ววูบมาตัดสิน...เมื่อคิดได้อารมย์โกรธหายไปก็รู้สึกผิดต่อคุณ JJ ที่ชื่อตรงกัน...และรู้สึกผิดต่ออาจารย์ที่มีความตั้งใจดีที่จะอบรมสั่งสอน...ถูกของคุณ man ที่ว่ามีการทดสอบอารมย์...และนี่อาจจะเป็นการทดสอบอารมย์ของคนอ่านคนนี้ก็เป็นได้....ฉะนั้นจึงอยากจะบอกว่า...ขออโหสิกรรมให้ด้วย จักเป็นพระคุณอย่างสูง....

ขอออกตัวว่าผ่านเข้ามาเลยอยากแสดงความเห็น

     เราพบความจริงข้อนึงว่าเจ้าของเว็บหรือคนไร้กรอบ"อริยชน" คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าลัทธิ  ชอบยัดเยียดกรอบของตัวเองให้คนอื่นต้องเชื่อตามคุณ

    คุณค่าของคนอื่นหรืออาชีพอื่นคุณไม่เคยเคารพในความเป็นตัวตนของเขาและชอบกล่าวโทษคนอื่นๆว่ามีปมแต่บางครั้งกลับลืมสำรวจใจตัวเองว่าสะอาดหรือเปล่า

ตัวเองนั่นเหละที่มีปมเคยถามตัวเองบ้างไหม?         รูปร่างมีความพิการแต่ทำไมใจต้องพิการด้วยหรือ?

     การที่ตัวเองหาเลี้ยงชีวิตด้วยการสอนใครๆว่าต้องละลายพฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ดีหรือเรียกว่ากิเลศจริงๆแล้วผู้เข้าอบรมเขาไว้ใจคุณอยากจะทำให้องค์กรน่าอยู่จึงเปิดใจและปฏิบัติตาม

     ซึ่งมันควรจะจบใน  class แต่"อริยชน"ที่ตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิเกิดหางโผ่ล เอาเรื่องใน class มาเผยแพร่แบบนี้คนบ้านผมเรียกหน้าตัวเมีย

     คุณไม่คู่ควรจะสอนใครได้อีกเพราะคุณคือพ่อปูที่จะสอนให้ลูกปูเดินให้ตรงแต่คุณเป็นตัวอย่างไม่ได้

      ในบางครั้งตอนที่คุณสอนปากที่มันพูด ก็อยู่ใกล้หูของตัวคุณเอง แต่ตัวคุณเองกลับไม่ได้ยิน คนแบบนี้หรือที่มีค่าสำหรับการนับถือ

       ผมว่าคุณควรจะแก้ปมของคุณก่อน หัดนับถือคนอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง

        เพราะตอนนี้ความคิดคุณมันไม่ใสสะอาดสอนคนอื่นก็จะปนปมด้อยของตัวเองเข้าไปอยู่เสมอๆ

ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงา

ถึงอาจารย์เจ้าของบันทึก และศิษยานุศิษย์ ทุกท่านครับ  ด้วยความบังเอิญของเวลา และสถานที่ ทำให้มิติของผม และของทุกท่านได้มาทับซ้อนกัน  เพราะปกติก็ธรรมดาของสันดานผมไม่ค่อยจะมาค่อนแคะกับเรื่องราว หรือบันทึก(ความประทับใจ) ของใครๆ มาเก่าก่อน. แต่เมื่อโอกาสแวะเข้ามา ทำให้มิติของเราได้พบกัน.  ยอมรับว่าคงไม่ได้อ่านและสนใจทั้งหมดในเนื้อหาของ อ.ไร้กรอบ และศิษย์ๆ นะค่ะ  แต่ดิฉันเองก็ไม่เข้าใจในบางเรื่อง  ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องเชิงความคิดมากกว่า   บางเรื่องในที่นี้อาจเป็นเพราะว่าดิฉันไม่ได้รู้จัก อ. เป็นการส่วนตัว  ไม่ได้รู้จัก เนียน นุ่น ลึก กระทั่งอาจจะไม่รู้ซึ้งดีในเรื่องอัตตา ก็เป็นได้ เพราะตลอดข้อความที่ได้อ่าน ดิฉันรู้สึกว่าเนื้อหาเริ่มต้นด้วยการไร้สามัญสำนึก ความสับสน ความขัดแย้ง และรู้สึกว่าเป็นการ "ยกตนข่มท่าน" นะค่ะ 

ดิฉันมีความคิดว่า เราทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ (ไม่ว่าจะเป็นดิฉัน คุณคนนั้น หรือคุณคนนี้) โดยธรรมชาติกำหนดให้เราเป็นสัตว์สังคม และทางธรรมมะ ก็บอกว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีกรรม  ตลอดระยะเวลาที่มีลมเข้าและออกอยู่ก็ควรทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้ผ่องใส ใช่หรือเปล่าค่ะ แต่สิ่งที่ได้อ่านมาทั้งหมด กลับไม่ได้เห็นจากกลุ่มก้อนที่มี "ความรู้" และ ศึกษามาแล้ว  ดิฉันยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้น เมื่อความรู้สึกนึกคิดที่บิดเบี้ยว กลับได้รับการสรรเสริญ และยกย่อง

ดิฉันได้รับการศึกษาอยู่บ้าง เพียงพอที่อาจจัดอยู่ในบัวสี่เหล่าได้ อย่างน้อยๆ ก็เหล่าสุดท้าย แต่ก็ยังไม่เคยได้รับรู้ว่า พระผู้เป็นอาจารย์ หรือ ท่านศาสดา เคยได้ยกตัวอย่างของคนแต่ละเหล่าเวลาที่ท่านแสดงธรรมเทศนาบ้างหรือเปล่า  ยินเพียงพระสารีบุตรผู้เสียสละให้มารดาของตนเป็นกรณีศึกษาเพื่อสอนศิษย์ของตนให้รู้จักธรรมชาติของสตรี   

อย่างไรก็ดีคนเราเกิดมาต่างกรรม ต่างบริบท ไม่มีใครเหมือนกัน  ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ถ้าเราจะยึดเอาเพียงจุดใดจุดหรือ เส้นใดเส้นหนึ่งเป็นบรรทัดฐาน โดยเอาสิ่งๆ นั้น คนๆ นั้นเป็นศูนย์กลางของทั้งจักวาล ดิฉันเชื่อว่า ไม่มีใครจะสามารถตัดสิน ใครอีกคนด้วยบริบทของเขาเท่านั้น อย่างลืมว่า อวิชา ที่เกิดจาก วิชา(แต่ไม่ดีพอ) เองก็ยังมีในตัวของมนุษย์ทุกคน ถ้าเพียงแต่ลืม ตักน้ำใส่กระโหลก แล้วชะโงกดูเงา

ด้วยความเคารพ และนับถือทุกท่าน

สาธุ

ผู้ยังอ่อนต่อการปฏิบัติธรรม

พวกท่านทั้งหลาย ไม่เห็นอาการที่ส่งไปยึดหรอกเหรอ

คำพูด หรือคำต่อว่าทั้งหลายมันอยู่ที่ไหน  ????

1. อยู่ที่ตัวคนเขียนกระทู้

2. อยู่ที่อักขระตัวหนังสือ หรือ

3.อยู่ที่คุณ (คนอ่าน หรือ คนโต้ตอบกระทู้)

คำตอบ ... ถ้าคุณรู้คุณคงไม่โต้ตอบ ไม่ให้ค่ากับสิ่งเหล่านี้ เพราะทั้งหมดเกิดขึ้น เเละดับไปเเล้ว เเต่สิ่งที่ไม่ดับ คือใจของพวกคุณต่างหาก ที่ทำให้มันเกิดภพ เเล้วภพเล่าในใจของพวกคุณเอง

คุณยิ่งตำหนิติเตียนเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโทสะในใจคุณ ไม่ได้เพิ่มโทสะในใจของผู้เขียนกระทู้เลย หรือไม่ได้เพิ่มโทสะในใจของคนอื่นๆ เลย เเล้วตกลงคนที่กำลังตกนรกอยู่หน้าจอคอมฯ ณ. ขณะนี้ เดี๋ยวนี้คือใคร ... ถ้าไม่ใช่ตัวของคุณเอง

ยิ่งก่อภพในใจมากเท่าไรยิ่งทุกข์เท่านั้น

เเค่เพียงละวาง ....ว่าง ...ณ.ที่นี้ เดี๋ยวนี้ เเละตรงนี้

ทุกอย่างก็ดับ เมื่อดับย่อมไม่ก่อภพ

เมื่อไม่ก่อภพ ย่อมไม่ทุกข์ 

นี้คือ ตรรกะของธรรมชาติ ไม่ใช่หรือครับ

 

ผู้ยังอ่อนต่อการปฏิบัติธรรม

 

 

 

ถูกต้องแล้วครับ ผู้ยังอ่อนต่อการปฏิบัติธรรม..คนที่เข้ามาอ่านแล้วหลงตามกระแสของกิเลสที่พาไป ไม่ลองมาย้อนดูข้างในของตัวเอง เอาแต่ส่งออกไปสิ่งที่คิดว่าตัวกูแน่ ตัวข้าแน่ คนอื่นคิดยังไม่รู้ ข้าแน่ ข้าถูก โดนทดสอบข้างในแท้ๆๆ ดันไม่รู้ตัวอยู่นั่นแหล่ะ เถียงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องในทางโลก แต่ในทางธรรมเค้าเรีกยว่า พวกอ่อนต่อโลก มันถึงได้เวียนว่ายในภพนี้อีกกี่กัปป์ กี่กัลป์ กี่อสงไขย ย้อนมาดูข้างในใจกันเยอะๆๆ สร้างเวรสร้างกรรม แค้นในอก สุมในอก คีย์ไปก็แค้น อ่านไปก็แค้น เลิกยึด เลิกแค้น สิ่งที่มากระทบในจิตมันกระทบเราขนาดไหน รู้กันมั่งไหม หวั่นไหวไหม คนเขียนกระทู้มาโพสแล้วจบ แต่พวกคุณมาสานต่อ ต่อแบบทางโลก ไม่ใช่ทางธรรม อ่านไปชักพวกมากลากไป แล้วเมื่อไหร่จักจบจักสิ้น หยุดเถอะครับมาดูใจกัน แล้ววางซะ หยุดเถอะ เราหยุดแล้ว

คุณกะลาหนามีความคิดเห็นแตกต่างจากคนอื่น   ไม่ได้หมายความว่าแตกแยก  รือว่าอยู่ในสังคมนี้ไม่ได้  อยากให้ลองคิดดูให้ดีว่าคนที่นำลูกศิษย์มาประจานแบบนี้  เป็นบัวเหล่าไหนกันแน่ครับ

เจ้าของกระทู้ไม่ได้ด่าใครนะครับ...อย่าเข้าใจผิดคิดว่าด่าคนกะโหลกหนา นั่นได้เรียกว่าด่าคุณกะโหลกหนา ถ้ารู้ธรรมะ หมายถึงด่ากิเลสที่มันเกาะอยู่ภายในจิตของคุณกะโหลกหนามากกว่า ...ด่ากิเลสที่มันเป็นเครื่องกั้นไม่ให้คนที่จะพ้นทุกข์ ให้มันวนเวียนอยู่ในโลกนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น

ถึงพี่แมน

ผมว่านะทุกคนก็ไม่มีใครต่อว่าคนไร้กรอบหรอกแต่เขาว่ากิเลสที่อยู่ในตัวของคนไร้กรอบต่างหากหล่ะครับมีใครไหมที่ไปต่อว่าคนไร้กรอบตรงๆก็ไม่มีซักคน......ท่านคนไร้กรอบได้ป่าวร้องว่าตนเองสำเร็จมรรคผลแต่ทำไมกิเลสในใจยังหนาอยู่หล่ะครับเวลาพูดก็มองแต่ผลประโยชน์มองแต่ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเพื่อนๆที่เรียนรุ่นเดียวกันว่าปัจจุบันท่านเหนือกว่าเพื่อนเยอะแยะทั้งที่พวกเป็นหมอและเป็นวิศวกร..ไม่เป็นไรครับคนที่ศึกษาธรรมที่ถึงแก่นอาจจะเป็นแบบคนไร้กรอบก็ได้พวกเราอาจจะเป็นเพียงผู้อ่อนในธรรม..ผมก็แปลกใจนะที่ท่านแมนยังตามอ่านทั้งๆที่บอกว่าหยุดแล้ว......แต่ก็นั้นหล่ะครับคนพวกเดียวกันย่อมไม่แตกต่างกันระวังนะครับจะเป็นพวกคลั่งลัทธิเรื่องน้ำท่วมโลก.........ตายแล้วไม่มีใครรู้ว่าไปไหนเพราะคนตายไม่ได้มาบอกส่วนคนที่บอกว่าระลึกชาติได้ผมว่าน่าจะพวกหลงอะไรผิดๆนะครับ หุหุหุ

    ในกลุมสาวกของกลุ่มคนไร้กรอบมีอยู่แนวคิดเดียว ถ้าคนอื่นมีความเห็นแตกต่าง คือคนพวกนั้นมีกิเลสเป็นบัวใต้น้ำ พวกคุณมีเหตุผลดีๆมายัดให้คนอื่นเสมอ

    มียู่อย่างนึงที่พวกคุณไม่มีคือการเติมหัวใจของคนอื่นด้วยความรัก ชอบยกตนข่มท่าน และดูถูกคนอื่น

     วันนี้เอาเรื่องดีๆมานำเสนอเพื่อขัดเกลาจิตใจและจะได้เห็นความแตกต่างของการสัมผัสกันด้วยความรักเป็นความรู้สึกที่ดีงามจริงๆและไม่จำเป็นต้องยัดเยียดกรอบของตัวเองให้คนอื่นว่าข้าคือความถูกต้อง

คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป. 5 ของครูทั้งชั้นซะแล้วตั้งแต่วันแรกเลย

ด้วยคุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลยแต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้

เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆท่าทางขี้เกียจคนนึงชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์

ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและ สังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ

กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่ เสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่ง

อยู่ตลอดเวลาด้วยแหละและบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วย

ถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจงานของเท็ดดี้ ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไป

หนาๆและใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ

ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอนคุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย

และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่เมื่อคุณครู

ตรวจแฟ้มเข้าครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลย

เมื่อพบว่าครูชั้น ป. 1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า"น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและ

ร่าเริง ทำงานเรียบร้อยมารยาทดี เป็นเด็กที่ น่ารักมากทีเดียว"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า"เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน

แต่กำลังมีปัญหา เพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนักและชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป. 3 เขียนว่า"เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไป เขาพยายามเต็มที่แล้ว

แต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรัก ความสนใจเขาเท่าไหร่และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งผลกระทบต่อ

เขาแน่ๆถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ"

คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า"เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการ เรียน

เท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อน และหลับในห้องเรียน

ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม

อีกเมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้นแต่

ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว

ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่นๆเด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้

กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้นและขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอแต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ

เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใดสวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย

เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ อยู่เย็นให้นานพอที่จะพูดว่า"ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ"

หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้าน ครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง วันนั้นเองคุณครูเลิกสอนหนังสือ

เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน

คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษเมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น

ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้องและแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่า

กันเท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น"ศิษย์โปรด" ของครู

หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี

หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบ ม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคง

เป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต

สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือและจะจบ

ปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง)และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่า คุณครูเป็นครูที่ดีที่สุด

และเป็นครูคนโปรดในชีวิตเขา

จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มาครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้วเขาตัดสินใจที่

จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมีแต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีก

หน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่านพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อด ดารด์

เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีกเท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน

เขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับ

พ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น

คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูกและต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาล

คริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน

ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลยและคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า

"ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผมขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง

สิ่งต่างๆได้"

ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า

"หมอเท็ด เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่า ครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้

พบ ได้รู้จักเธอนั่นแหละ"

เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้...........

 

ถึงคนไร้กรอบ ผมในฐานะตัวแทนพนง. (นอกเครือSCG)  ผมเลือกที่จะเสพแต่สิ่งดีๆใส่ตัว ในบางครั้งผมอาจจะมองสังคมในแง่ลบไปบ้าง  แต่ผมคิดว่าผมคิดเองได้ที่จะเชื่อคนไร้กรอบ  หรือเชื่อตัวเอง  ถ้าผมเชื่อคนไร้กรอบผมก็ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลย  วันหนึ่งข้างหน้าถ้าผมไปเรียนกับครูท่านอื่นผมก็เชื่อครูท่านอื่นโดนจูงจมูกไปเรื่อย  ผมคิดว่าผมโชคดีนะที่ไม่ได้ทำงานบริษัทในเครือSCG   และได้แต่หวังว่าองค์กรผมคงไม่จ้างคนไร้กรอบมาเป็นที่ปรึกษา  เพราะฉะนั้นคนไร้กรอบอย่าคิดว่าคนที่มีความเห็นแตกต่างใช่ว่าจะกะลาหนา   ถ้าคนไร้กรอบศึกษาพระธรรมมาจริงๆ  (พระธรรมในที่นี้ไม่ใช่จำได้แค่คำบาลีแล้วนำมาพูด,มาสอน)  จะต้องเข้าใจว่าโดยธรรมชาติแล้วทุกสังคม , ทุกองค์กร , มีดีมีชั่วปะปนกันไปเป็นสมดุล แต่เราเป็นผู้กำหนดที่จะเลือกดีเลือกชั่วใส่ตัว  ผมเห็นมาเยอะแล้วพวกที่เริ่มเข้าวัดเริ่มศึกษาธรรมมะ  ก็มักจะพูดว่าตัวเองรู้เรื่องธรรมมะมามากมายปฏิบัติธรรม มาก็เยอะแต่ยังอยู่ในรูปของ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่รู้จักปล่อยวาง  มีอัตตาเป็นที่พึ่งผมคิดเสมอว่าการดำรงชีวิตในสังคมเพื่อความอยู่รอด เราควรเหนือกว่าคนอื่นก้าวหนึ่ง  แต่ไม่ใช่คิดที่เอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา  แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
ถ้าทุกคนเดินทางสายกลางก็คงไม่ด่ากันไปมาแบบนี้หรอก ถ้าทุกคนคิดว่าตัวเองถูกแล้วก็ทำต่อไปชาว นอกเครือscg  ก็ไม่ต้องมาจ้างคนไร้กรอบ  คนไร้กรอบก็ไม่ต้องไปพูด ทุกอย่างจบ แล้วจะด่ากันทำไม่ครับท่านทั้งหลาย
เท่าที่อ่านดู โต้ตอบกันไปมาอย่างดุเดือด อาจทำให้โลกร้อนมากขึ้นไปกว่านี้ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ได้แต่อ่าน ก็อาจตีความกันไปผิดๆ ก็ได้ และมันก็เป็นเรื่องของมุมมอง ความคิดส่วนตัวที่แตกต่างกันไป ไม่มีใครผิด หรือถูก ขอร้องเถอะค่ะ โปรดอย่าได้นำองค์กรเข้ามาเกี่ยวข้อง พนักงานท่านอื่นๆ ก็ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วย บริษัทใคร ใครก็รัก จริตคนแต่ละที่ก็ไม่เหมือนกัน ทุกที่ย่อมมีคนหลากหลายประเภทแตกต่างกันไป ความคิดก็ไม่เหมือนกันไปซะหมด

ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ต้องการจะตอบท่านที่มาแสดงความเห็น โดยเฉพาะคุณ คนรักดี ค่ะ

เรียนท่านอาจารย์ ทำอย่างนี้ถูกต้องแล้วเหรอครับ ท่านไปเป็นวิทยากร แล้วเอาเค้ามานินทาลับหลังแบบนี้มันสมควรแล้วเหรอครับ แล้วท่านมีสิทธิอะไรเอาเค้ามาว่าเป็นพวกกะลาหนา มีสิทธิอะไรมาว่าคนทำงานโรงงานว่า เอาแต่งาน ไม่มีสุนทรียสนทนา  ต่างคนเอาตัวรอด  พูดจาแบบทำร้ายจิตใจกันตลอดมา   นายเอาตัวรอด  ลูกน้องกะล่อนไปวันๆ   แล้วคุณล่ะดีแค่ไหน ถึงได้มีสิทธิมาตัดสินคนอื่น น่าสงสารบริษัทที่เชิญท่านไปเป็นวิทยากรจริงๆ....

กิเลสหาพวกแล้วคร้าบบบบบ

กิเลสทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่

 

ตอบคุณ Citrus                   ก่อนอื่นอยากทราบว่า  ไม่ทราบว่าคุณรู้หรือไม่ว่า ผมอยู่ในเหตุการณ์หรือว่าเป็นแค่คนที่เข้ามาอ่านที่คนไร้กรอบโพสไว้  หรือเข้ามาอ่านความคิดเห็นคนอื่น แล้วโต้ตอบกันไปมา ไม่ทราบว่ารู้แค่ไหนถึงได้ตัดสินผม    ที่ผมแสดงความคิดเห็นก็เพียงแค่                        1 . แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากคนไร้กรอบ  เพียงแค่ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  ปกป้องศักดิ์ศรีของอาชีพผม ปกป้องบริษัทผม การที่มีการอบรม หรือ สัมมนาใดๆ ก็แล้วแต่ ทุกคนมี  สิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเอง  ถึงสิ่งที่เข้าใจมา แล้วบังเอิญเกิดไปขัดแย้งกับผู้อื่นหรือตัวผู้สอน ก็ใช่ว่าคุณเป็นคนไม่ดีไม่ใช่หรือครับ  และถามในสิ่งที่ไม่เคยรู้  หรือผมต้องเชื่อทุกคนที่จบดอกเตอร์  บริษัทเสียทั้งเงินให้ไปเรียนเสียทั้งเวลาในการทำงานให้บริษัท  ไม่ทราบว่าผมทำได้ไหมครับ                        2 . ที่ผมบอกว่าผมโชคดี  ที่ไม่ได้เป็นคนในองค์กรคุณ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ผมว่าองค์กรคุณไม่ดีนี่ครับ  เพียงแต่ผมมีความภูมิใจในตัวบริษัทผมก็เท่านั้น  ถ้าเกิดจริตของผมทำให้คุณCitrus ต้องกังวลในความรักองค์กรของคุณ  ก็ขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย   สิ่งอื่นที่ผมโพสไว้  ไม่ถูกต้องเลยหรือ  คุณอ่านแล้วถึงจับประเด็นแค่ผมเอาองค์กรเข้ามาเกี่ยว  และรวมไปถึงพาดพึงพนักงานคนอื่นๆ                          3.  ที่ผมโพสไม่ได้ว่า พนง. คนอื่นผมแค่ตอบข้อสงสัยของคนที่เข้ามา แสดงความคิดเห็นแทนคนไร้กรอบก็เท่านั้น ถึงผมจะไม่ใช่เจ้ากะลาหนา ที่คนไร้กรอบกล่าวถึง  แต่ก็รู้สึกไม่ชอบใจอะไรหลายอย่างที่คนไร้กรอบแสดงออกมาด้วยคำพูด                           คุณ Citrus คงพอจะเข้าใจในสิ่งที่ผมตอบนะครับ ถึงจะเรียบเรียงไม่ดีเท่าไหร่  และหวังว่าคงเข้าใจนะว่า  ผมไม่ใช่เป็นเพียงแค่ผู้อ่านและเก็บมาเป็นอารมณ์โต้ตอบ

ใจขุ่นๆๆ = เห็นจิตไหมว่าขุ่นขนาดไหนเอ่ย...หุหุหุ

 

ตอบ อาหล๋วง

      การตอบของคุณก็ไม่ต่างจากที่คุณว่าคนอื่นๆ     ที่บอกว่าหาพวกเพราะคุณเองก็มีข้าง แต่การที่คนอื่นแย้งพวกคุณคุณกลับเรียกว่ากิเลส

      พยายามบอกว่าคนอื่นๆว่าใจขุ่น ทำไมใจพวกคุณช่างคับแคบแบบนี้  คุณมันก็แค่พวกหลงตัวเอง

กบบางพวกก็อย่ากอยู่ในกะลา บางตัวก็ตายในกะลาครับ

ตอบคุณเชียงใหม่

OK !เป็นกบก็ได้

แต่ดีกว่าพวกคุณที่ต้องมีคนมาสีสอให้ฟัง

"ควาย"มั๊ยครับพ่อแม่พี่น้อง

ประทับใจมาก

สุดท้ายเมื่อพวกท่านทั้งหลายที่คิดต่างๆนา จะไปไหน เมื่อคุณไม่มีแรงทำงานเมื่อคุนเป็นคนที่ บริษัทที่ใหญ่โตของคุนเขาไม่ต้องการคุณ

- กลับบ้าน ใช่รึไม่ ?

- เงินเป็นสิ่งที่พวกคุณต้องการ แตบบ้างครั้งเงินซื้อไม่ได้ทุกสิ่ง ซื้อสุขภาพ หรือความสุข ที่หายไปขณะที่พวกคุณไม่เคยใส่ใจได้ไหม เพราะเงินซื้อเวลากลับไปไม่ ความสุขมันไม่มาด้วยเงิน แต่มันมาจากใจ

- ถ้าคุณไม่สร้างฐานให้มั่นคง น่าอยุ่ คุณจะกลับไปยังไง จะเข้าสังคมบั้นปลายชีวิตยังไง

ค่าของคนอย่ที่ผลของงาน ถ้าคุณไม่มีค่าสำหรับเขา เขาจะจ้างคุณไปเพื่ออะไร แล้วคุณจะไปไหน ทำอะไรต่อ ?

ทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไปในที่สุด

ทุกคนก็มีตัวตนเป็นของตน มีเหตุผลเป็นของตน

ก่อนจะวิจารณ์ใครให้ดูตนเองเสียก่อนครับ

เห็นด้วยกับคนรักดี

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท