เมื่อวันศุกร์ (15 มิ.ย.50) ผมประชุมเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเกษตรจังหวัด ก็มีหัวหน้ากลุ่มท่านหนึ่งถามผมว่า "หัวหน้าตกลงแล้ว...เรา ต้องทำ KM กันทุกคนเลยเหรอ" และ "หัวหน้า KM มันคืออะไร...มันทำยังงัยครับหัวหน้า......"
ผมก็เลยถามว่า "พี่ ๆ หุงข้าวเป็นมั้ย?" เขาก็บอกว่า "หุงเป็น" ผมก็ถามต่อว่า "พี่ใช้ความรู้อะไรเพื่อหุงข้าว...พี่เอามาจากไหน" คำตอบก็คือ "อ่านจากคู่มือ" แล้วมีคนเสริมว่า "เมียบอกมั้ง?" เขาก็เลยบอกว่า "อ่านจากคู่มือ และเมียบอกด้วย" ผมก็เลยถามว่า "ตอนนี้พี่เอาความรู้ที่มาใช้ในการหุงข้าวจาก 2 แหล่ง นะ...แล้วพี่เชื่อใคร?" เขาก็บอกว่า "ก็เชื่อทั้ง 2 แหล่ง"
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า...ความรู้จากเมียบอกมานั้น..เขาทำเองอยู่ ทุกวัน และทำแล้วได้ผล ส่วนความรู้ที่อ่านคู่มือ เขาก็ทำมาแล้ว ฉะนั้น เวลาคุยกันเรื่องการจัดการความรู้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราใช้คำว่า "รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้" หรือ "เรื่องนี้คิดว่าน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้" หรือ "ควรเป็นเช่นนั้นเช่นนี้" แล้วก็แสดงว่า "เราใช้ความรู้สึกในการคุยกัน" เราก็จะคุยกันไม่จบ คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะ
เป็นความรู้ที่มาจากความรู้สึก แล้วเรานำมาคุยกันมาแลกกัน แต่ถ้าเราเอาสิ่งที่เราทำมาคุยกัน เราก็จะคุยกันรู้เรื่อง เหมือนเรื่องหุงข้าว ที่เราเคยหุงและทำมาแล้ว เราจึงฟังเขาและคุยกันรู้เรื่อง
ฉะนั้น การจัดการความรู้ จึงต้องเอาสิ่งที่เราทำแล้วมาคุยกัน ไม่ใช่เอาความรู้สึกมาคุยกัน ซึ่ง KM ก็เหมือน "การหุงข้าวเป็น" เราต้องทำเองก่อน ถ้าไม่ทำเราก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็จะมีแต่คำถาม ๆ และคุยกันไม่จบครับ...ฉะนั้น ลองกลับไปหุงข้าวด้วยตัวเองดูนะครับ.
สวัสดีครับคุณมิสเตอร์หวัง
ยินดีที่ได้รู้จักครับ แวะมาเรียนรู้ KM ของผู้เข้าถึง KM ครับ
แล้วจะแวะมาเยี่ยมอีกบ่อยๆนะครับ...ขอบคุณครับ
เรียนมิสเตอร์หวัง
ผมตั้งใจมาแวะเยี่ยมครับท่าน ขอบคุณที่แบ่งความรู้ครับ สั้นฯได้ใจความ เป็นความรู้ที่มีประโยชน์มากครับ ผมจะมาแวะเยี่ยมบ่อยฯฯนะครับ
สวัสดีค่ะ
ชอบการเปรียบเทียบ KM กับการหุงข้าว ขออนุญาตนำไปใช้บ้างนะคะ
ขอบพระคุณมากครับที่นำมา ลปรร. KM ไม่ได้ยากนะครับ ที่หลายคนไม่เข้าใจก็เพราะ
-สวัสดีครับ มิสเตอร์หวัง..
-แวะมาอ่านครับ
-จะลองกลับไปหุงข้าวครับ...