อนุทินล่าสุด


กวิน
เขียนเมื่อ

(ไตรลักษณาการ) ไปแล้วกลับ หลับแล้วตื่น ฟื้นมี  ต้องหนีจึงจะพ้น :

ไปแล้วกลับ : บางคนใช้ชีวิตแบบหลงทาง (หมาแมวเอาไปปล่อยยังกลับบ้านถูก คนที่ปล่อยให้ชีวิตหลงทางนี้ ไม่อายแมว อายหมา มันบ้างบ้างหรือ)   
หลับแล้วตื่น : บางคนก็เคย ไสยะ แต่แล้วก็ พุทธะ
ฟื้นมี : บางคน ตายจากอัตภาพหนึ่ง แต่แล้วก็กลับตื่นฟื้นขึ้นมาในอีกอัตภาพหนึ่ง คือตายแล้วจากอัตภาพเดิมที่ชั่ว ฟื้นตัวมาทำความดี (งั้นใครที่รู้ตัวว่า ชั่ว ก็รีบๆ ไปตายแล้วเกิดใหม่ซะ)
ต้องหนีจึงจะพ้น : คนบางคนรู้ว่าตัวทำชั่วแล้วต้องทุกข์ใจในภายหลัง ก็ยังทำ (ดูดู๋ดู ดูเธอทำ) เมื่อทำแล้วก็ทุกข์ เมื่อทุกข์แล้วก็โอดครวญ (สมควรจะสงสาร หรือสมควรจะสมเพช ดีนะ จริงๆ แล้วสมควรจะอุเบกขา) ถามหน่อยอะไรเป็นต้นตอแห่งความทุกข์ ไม่รู้หรือ? ถ้ารู้จักต้นตอแห่งความทุกข์ ก็ย่อมหลีกหนี และหลุดพ้นจากความทุกข์นั้นๆ ได้ ต้องหนีจึงจะพ้นทุกข์นะ (การอดนอนเป็นทุกข์ หนีไปนอนดีกว่า)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ห้องเรียนกวี 1 กลอนล้อบทครู @ 230617 โดย ครูกานท์ 

Bee04
*ผึ้ง มีท้องที่ลาย สีเหลืองสลับดำ (1)

ภาษาดอกไม้ ฟังไม่รู้เรื่อง ;
 
เสียงไม้ดอกงอกข้างเส้นทางหนึ่ง
บ่นกับผึ้งสหายท้องลาย ว่า

" บินไปเถิดที่รัก อย่าชักช้า
เดี๋ยวคนบ้ายิงกระต่ายอาจตายเอย"

(คนบ้าจ้องจะยิงกระต่าย แต่ผึ้งอาจโดนลูกหลง ดอกไม้ที่เป็นเพื่อนกับผึ้งจึงร้องเตือนสหาย โถ ช่างเป็นห่วงเพื่อน ขนาด ดอกไม้ (ข้างถนนผู้ต้อยต่ำ) ยังรักและห่วงเพื่อน ไม่รู้ว่าคุณผึ้ง (สหายผู้มีท้องลาย) จะเชื่อคำเตือนของ คุณดอกไม้มั้ยนะ ดูท่า คุณผึ้ง (สหายผู้มีท้องลาย) กำลัง มัวเมาลุ่มหลงกับการเสพย์สุข อยู่) สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

อ้างอิง
(1) ภาพผึ้งและดอกไม้.[cited 2008 November 22] Available from: URL; http://www.rmutphysics.com/charud/oldnews/84/chemistry/bee04.jpg00133



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

โคถึก:

พ่อแม่ที่คิดว่า ลูกคือ โซ่ทองคล้องใจ (คนสองคนให้ผูกพันกัน+อยู่ด้วยกัน)  แต่อยากจะแนะว่าให้เปลี่ยนเป็นโซ่ ที่ทำจาก  ไทยทำเนียม เอ้ย ไทเทเนียม (Titanium) (เพราะเป็นธาตุที่แข็งแกร่งกว่าทอง) จะดีกว่า เพราะทองน่ะโดนกระตุก กระชาก หน่อยก็หลุดตามคนอื่นไปได้ (ผูกได้แต่ไม่แน่น) แถมแก๊งค์ ตกทองน่ะ มีกลุ่มเป้าหมายคือ คนที่ชอบ อวด ทองเส้นเท่าโซ่  รอดจากแก๊งค์ตกทองแล้ว แต่ชาวบ้านอาจจะสงสัยว่าเป็นทองเก๊ ก็ได้เพราะมันดูเส้นใหญ่โอเวอร์ (Over) เกิน ไป (นึกว่าหมดยุคตื่นทอง แล้วนะเนี่ย มีทองเท่าหนวดกุ้ง (ยัง) นอนสะดุ้งจนเรือนไหว คนที่มีทองนี่ก็ ทำให้ ทุกข์หนอ) จริงๆ ใจของคนเรา นั้นไม่มีอะไรมาคล้องไว้ได้หรอกมั้ง (ร.6 ท่านว่า ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิว์ขังไว้ ก็โลดจากคอกไป บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง) คนเมื่อไม่มี กิเลส/ตัณหา/อุปาทาน (คือหมดตัวหมดตน) ก็ย่อมไม่มีอะไรให้กักให้ขัง เมื่อไม่มีคนถูกขัง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้โซ่ เพื่อใช้ล่าม/คล้อง/ผูก (เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ถึงอย่างไรซะ โบราณท่านว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี (ลูกคือวัว สามีคือพ่อวัว โซ่คือ อุปกรณ์ที่ใช้ฟาดวัว ไม่ก็ผูก)  ผูกไว้ก็ดี ดีกว่าไม่ผูก เพราะเดี๋ยวจะเข้าทำนอง วัวหายแล้วล้อมคอก เมื่อวัวหายก็จึง คิดถึง คุณูปการของ รั้ว+โซ่ทอง ที่ใช่ คล้อง/ล่าม โคถึก)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ศักยภาพทางความคิด!

1.คิดไม่ถึง ว่าเธอจะยัง คิดถึง (เขาขนาดนี้) 
2.ความคิดถึง(ของเธอ) ถึงคิดไป ก็ไปไม่ถึง (เขาหรอก) ฮา

3. คิดได้ (ตั้งนานแล้ว) ว่า  เธอ ก็ยังคง  เลิกคิดไม่ได้
4. แต่ก็ไม่ได้คิดว่า เธอจะคิดไม่ได้  T-T



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

‘แหวนหมั้นของยายเนียม’



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

เพลง Take Me To Your Heart ที่ร้องโดย Michael Learns To Rock หรือดู MV จาก YouTube ท่อนที่ร้องว่า "Standing on a mountain high Looking at the moon through a clear blue sky" คนร้องพยามเน้นเสียงเพื่อส่งสัมผัสอักษร throu gha clear blue sky ฟังเป็นกลอนเพราะดี (ธรู้ คฮา เคลียร์ บลู้ สไก)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

เพลงที่มีทำนองเดียวกัน :

Jacky Cheung
(จางเซี่ยะโหย่ว) : Wen Bie (Kiss Goodbye)  หรือดู MV จาก YouTube
เก่ง วัชระ : กลับบ้านเฮาเต๊อะ หรือดู MV จาก YouTube
Michael Learns To Rock : Take Me To Your Heart หรือดู MV จาก YouTube



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ขอบคุณ คนไม่มีราก @29186 สำหรับข้อคิดดีๆ จากหนังสือ เคยอ่าน หนังสือ หิโตปเทศ (กถาสุนทรานุศาสนี) ที่แปลโดย เสฐียรโกเศศ นาคะประทีป (ศาสตราจารย์ พระยาอนุมานราชธน+พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) มั้ยครับ หนังสือเล่มนี้แทรกคติคิดที่ลุ่มลึกดี เช่นว่า

ผู้ใดไม่ละทิ้งเพื่อนในคราวร่าเริง กับในคราวได้ทุกข์ร้อน ในคราวกันดารอาหาร ในคราววุ่นวายจราจล ติดตามไปถึงทวารพระราชวังและถึงป่าช้า ผู้นั้นนับเป็นเพื่อนแท้

เดี๋ยวช่วงก่อนสิ้นเดือนกวินจะจัดส่งไปให้ตามที่อยู่ที่หน้าประวัติส่วนตัว เป็นหนังสือ นิทานซ้อนนิทานซ้อนนิทาน คล้ายๆ นิทาน พันหนึ่งทิวาราตรี+เอกสาร สุนทรียสนทนา ที่ หมออภิชาต รวบรวมไว้นะครับ 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

นมัสการพระคุณเจ้า TUKKATUMMO @29181 ทำให้นึกถึงเรื่องการลง พรหมทัณฑ์ ในนิยายธรรมะเรื่อง พระอานนท์...พุทธอนุชา ตอนที่ ๓๐ : (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

อาจารย์ของกวินเขียนคำพูดของ อริสโตเติลติดไว้ที่ข้างๆ โต๊ะทำงานว่า "ความดีของมนุษย์ สิ้นสุดเมื่อเล่นการเมือง" (หรืออาจารย์จะเตือนตัวเองว่าอย่าใจอ่อนผันตัวเองไปเล่นการเมือง) สำนวนนี้คงจะหมายถึงว่าคนดีๆ ก็ถูกป้ายสีให้ดูเลวร้ายไปได้ หรือคนที่ดีๆ เมื่อตกอยู่ในวังวนของระบบการเมืองที่ชั่วร้ายก็อาจจะพลอยชั่วร้ายไปด้วย อีกสำนวนหนึ่งที่ได้ยินบ่อยๆ ในวิชารัฐศาสตร์ก็คือ "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร" คงจะหมายถึง ในยามที่มีผลผระโยชน์เกื้อกูล แม้ศัตรูก็อาจจะโอนอ่อนมาเป็นมิตร (เพราะหวังผลประโยชน์) และแม้เป็นมิตร แม้ไม่มีผลประโยชน์เกื้อกูลกัน หรือขัดผลประโยชน์กัน มิตรภาพนั้น ก็อาจจะกลายเป็นศัตรู ไปเสียก็ได้ เมื่อใดก็ตามที่นักการเมืองคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์แห่งตน หรือคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง ก็นับได้ว่าไม่มีความเลวใดที่นักการเมืองจะทำไม่ได้  แต่สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้อภัย ดูอย่าง จอมพลถนอม หรือ พลเอกสุจินดา ที่เคยมีคนเคยออกมาเดินขบวนขับไล่ประท้วง พอถึงบั้นปลายชีวิต พวกเขาก็กลับมายังแผ่นดินไทยได้ จริงๆ การให้อภัย+ลืมง่าย (โกรธง่ายหายเร็ว) นี้ เป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ของสังคมไทยในคราวเดียวกัน นักการเมืองไม่เกรงกลัว กฎหมาย มีเพียง กฎแห่งกรรม เท่านั้นที่นักการเมือง พอที่จะยำเกรงอยู่บ้าง ภาวนา+ให้อภัย ให้แก่นักการเมืองที่เคยทำผิดมาก่อน คงไม่มีใครไม่เคยทำผิด ขอให้เริ่มต้นทำในสิ่งที่ดีๆ และเกรงกลัว อำนาจกรรม ให้เยอะๆ สังคมก็คงสงบสุขกว่านี้นะครับ :)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

เมื่อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดอันกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้ กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมือง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นางได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่กู ดั่งบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย จึงได้เมืองแก่กูทั้ง(ก)ลม (1)

จารึกท่อนนี้ ดีมากๆ เคยเขียนไว้หลายครั้ง ว่าด้วยเรื่องความกตัญญูต่อพ่อแม่และพี่ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กล่าวคือ เวลากินอาหารดีๆ ก็นึกถึงพ่อถึงแม่และพี่ๆ ก่อนที่จะนึกถึงคนอื่น คนสมัยนี้ก็ควรเอาเยี่ยงเอาอย่าง ก่อนที่จะคิดถึงพี่น้องนอกไส้ก็ควรคิดถึงพี่น้องในไส้ก่อน ว่าพ่อแม่พี่น้องของเราจะหนาวมั้ย ร้อนมั้ย หิวมั้ย อิ่มมั้ย สุขมั้ย ทุกข์มั้ย ก่อนที่จะคิดถึงใครคนอื่น เช่นนี้เรียกว่ากตัญญู เมื่อกตัญญู ก็จะเกิดกตเวที (ตอบแทนคุณท่าน) พ้นจากนี้เรียกว่า อกตัญญู ต่อพ่อแม่พี่ และน้องผู้มีอุปการคุณ

อ่านจารึกท่อนนี้ แว๊บๆ ขึ้นมาใน มโนมยจักษุ ว่าในชาติอดีต เราคงจะเคยร่วมขบวนการ ตีหนังวังช้าง โดยการพรากลูกช้างเผือกจากแม่ช้าง หรือพรากช้างเผือกตัวผู้ จากนางช้างตัวเมีย โดยสรุปก็คือพรากช้างจากฝูง ช้างเมื่อจากที่อยู่อาศัยของตนย่อมทุกข์ร้อนทุรายทุรน (ไม่ก็คึกคะนองในแสงสีในเมืองกรุงจนตกมัน) ระลึกถึงในชาตินี้ตัวเองทำไมจึงยังติดนิสัยสำคัญตนว่ามีอาชีพ รังควาญช้าง ระลึกได้ดังนี้ จะต้องพยายามเลิกอาชีพ รังควาญช้าง แล้วพยายาม สนับสนุนโครงการ พาช้างกลับบ้าน (Bring the Elephant Home)  จะดีกว่า คิดว่าเมื่อใดก็ตาม ถ้าช้างกลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ก็คงไม่มีภยันตราย จากการเดินตุปั๊ดตุเป๋ หลงทางอยู่ริมฟุตปาท ซึ่งอาจจะโดนคนใจร้ายหลอกลวง โดยหวัง งา ช้างได้ ช้างนี้ถ้าไม่มีงา เสียแล้วใครๆ ก็คงไม่มาสนใจหรือ จ้องที่จะแสวงหาผลประโยชน์ ไม่สิคนใจร้ายบางคนก็ชอบเอาช้างเป็นเครื่องมือในการ ขอทาน (ซื้ออาหารเลี้ยงช้าง) โครงการพาช้างกลับบ้านนี้ ทำท่าจะยาก แต่เราก็ต้องทำ คิดว่าโครงการคงยืดเยื้อไปอีกสัก 4-5 ปีก็คงบรรลุผลสำเร็จ ถือเป็นการไถ่บาปในชาติอดีต ก็แล้วกันนะคุณช้าง

อ้างอิง
(1) ศิลาจารึกสุโขไท หลักที่ ๑ ด้านที่ ๑ รูปคำปัจจุบัน [cited 2008 December 15]. Available from: http://th.wikisource.org/wiki/ศิลาจารึกสุโขไท_หลักที่_๑_ด้านที่_๑_รูปคำปัจจุบัน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

การทำประกันชีวิตในทางโลก และทางธรรม วิเคราะห์กรณีโฆษณา ไทยประกันชีวิต

โฆษณาไทยประกันชีวิต เปลี่ยนคำบรรยายใหม่จากเดิม ที่ว่า "ผู้หญิงคนนี้ชื่อ ต้อย จนผัวทิ้ง" มาเป็น

"ผู้หญิงคนนี้ชื่อต้อย ชอบเก็บเด็กจรจัดข้างถนนมาเลี้ยง" อะไรทำนองนี้ แค่ปรับเปลี่ยน บางสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อย เช่นคำพูด หรือการกระทำ อะไรๆ ก็ดูดีขึ้นตั้งเยอะ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนควาญช้าง คือมีคำพูดเป็นเหมือน (ตะ)ขอ ซึ่งควาญช้าง มีไว้ใช้ โขกใช้สับ หัวช้างเพื่อบังคับช้าง  รู้สึกบาปกรรมแท้ๆ ก็เลยนึกถึง  » ดุษฎีสังเวยกล่อมช้างคำฉันท์ ว่าควาญช้างสมัยก่อนเขาปราบช้างกันยังงัย เอ๋ อ่านไปอ่านมาพบว่า ควาญช้างสมัยก่อน พูดกับช้างดีๆ โดยพูดหลอกลวงช้างต่างๆ นาๆ ว่าอย่าอยู่ป่าเลยลำบาก ไปอยู่เมืองชลบุรี เป็นช้างทรงดีกว่า มีอาหารเช่น กล้วยอ้อยและหญ้ามากมาย (การคล้องช้างป่า เพื่อ ฝึกให้ละพยศ และเชื่องในความดี นี้ คงต้องพูดจากันดีๆ ไม่ก็ต้องหลอกลวงกันไปวันๆ ก่อน กระมัง พอเชื่องๆ แล้วค่อยเอา (ตะ)ขอ สับหัว) กลัวก็กลัว ช้างจะตกมัน แล้วหันมากระทืบควาญช้าง จนแบนแต๊ดแต๋

ช้างที่ไม่กลัว (ตะ)ขอ ของควาญช้าง ภายหลังถูกนำมาใช้เรียกเป็นสำนวนที่เราคงเคยได้ยิน ที่ว่า พวกเหลือ(ตะ)ขอ (คือโดนตะขอโขกสับที่หัวแรงๆ สักเท่าไรก็ไม่ยอมเชื่อฟัง บอกให้หันไปทางซ้ายก็ดันหันไปทางขวา บอกให้หันไปทางขวาก็ดันหันไปทางซ้าย บอกให้นั่งกลับจะยืน บอกให้ยืนก็กลับนั่ง เหลือกำลังของตะขอ ที่จะใช้โขกใช้สับ แถมเสียแรงควาญช้างผู้ฝึกจริงๆ นะ คุณช้างจ๋า เชิญร้อง แปร๋นๆ อยู่ป่าอยู่ดอยต่อไปก็แล้วกัน) เลิกอาชีพสอนช้าง  แล้วเปลี่ยนไปเป็นครูนักศึกษาในมหาวิทยาลัย คงจะง่ายกว่า ฟันธง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

รักแม่พ่อภาษาอะไร?

สาริกานกแก้วพร่ำ     เพ้อรัก
ฟังมนุษย์จำนรรจ์จัก  พูดบ้าง
รักพ่อรักแม่นัก          ในศัพท์
หาใช่ซาบซึ้ง อ้าง-    เอ่ยเหยี้ยงเดรัจฉาน

คนขานความใคร่อ้าง      อิงรัก
อย่าอย่า อย่าอย่าสัก       แต่แจ้ว-
เจื้อย ไปไม่ตระหนัก-       ณ จิตร  
คนหากคล้ายนกแก้ว-      แกว่งลิ้นเหลือขำ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

พี่ ภูสุภา @28832 

กล้วยไม้ในดงดอน                     บานสลอนในดวงใจ
กลีบขาวแข็งเคียงใบ                   ขอบริมหวานเกินคาดฝัน
น้ำคำส่อสกุล                            ดอกสวยคุ้นส่อสายพันธุ์
ดอกนิดผลิบานพลัน                    สวรรค์สร้างสิ่งแสนงาม

ตัวอักษรสีแดง อ่านแล้วทำไมเนื้อหาไม่เข้ากะบริบท :) อย่างนี้เขาเรียก กลอนพาไป (กวีที่ดีต้องไม่ให้กลอนพาไป แต่เราต้องพากลอนไป เพราะกวีเป็นนายของกาพย์กลอน) เหมือนชีวิตของเรา เราเป็นนายของใจ หรือใจเป็นนายของเรา ถ้าเราบังคับใจเราได้เราก็เป็นนายของใจเรา

เลยถือโอกาสร่วม จีม (จีม เป็นคำไทย ส่วนฝรั่งใช้ jam แปลว่าแทรกเข้าไป จึงทำให้แออัด เบียดเสียด) อ่านแล้วคงไม่ อึดอัดเพราะการ จีม หรือ แจม นะครับ

กายม้วยกล้วยไม้พาด    บนโรง
พระผูกสายสิญจน์โยง-    ยึดไว้
ดีเลวซื่อหรือโกง           เหลือแต่  ชื่อเอย
ชีพดั่งดอกกล้วยไม้-       เหี่ยวแล้วฤาสวย?

บริบทของโคลง
สังขารนี้ไม่เที่ยงหนอ อุปมาเหมือนดังดอกกล้วยไม้ ชูช่อไสวไม่นานก็เหี่ยวเฉา โรยรา ไฉนยังมัวเมาเฝ้าลุ่มหลงพะวงใน สังขารนี้เล่า? คนดี คนเลว (ถึงจะสวย หรือทรามรูปอย่างไร) ตายแล้วก็แล้วกันที่เหลือน่ะคือ ชื่อเสียงความดีที่เคยทำไว้ (ตอนยังอยู่ก็ทำดีเข้าไว้ ตายแล้วคนจะได้ลือชื่อในทางที่ดี อย่าให้คนลือชื่อในทางที่ชั่วเลย) พระท่านเอาด้ายสายสิญจน์ มัดอสุภศพไว้นั้นเล่า  ด้ายสามเส้นมัดที่คอ ที่มือ ที่เท้า นั้นเป็นปริศนาธรรมสอนคนที่ยังมีชีวิตว่า ทุกคนล้วนถูกบ่วงบุตร บ่วงทรัพย์สินเงินทอง บ่วงคู่ชีวิต ผูกมัดไว้ให้จมปลักเป็นความทุกข์ตลอดไป ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะไม่ถูกบ่วงทั้งสามผูกมัดรัดตรึงไว้ ชีวิตเขาย่อมพบแต่ความเป็นอิสระ อันว่าซากอสุภศพแม้นปกปิดโดยโลงไม้จันทน์/ไม้กฤษณา  โลยลาดด้วย ดวงดอกไม้ หรือ กล้วยไม้ อันมีกลิ่นหอมกรุ่น ก็เพื่อปกปิดความอุจาด และสภาวะอันไม่น่านิยมชม นั้นๆ ด้วยเหตุนี้จึงว่า เมื่อ กายม้วยกล้วยไม้พาดบนโรง  เหตุไฉนยังจะมองว่าสังขารเป็นสิ่งซึ่งควรอภิรมย์ใจ  สังขารไม่เที่ยงหนอ ดอกกล้วยไม้นี้ก็ไม่เที่ยงหนอ ง่วงนอนแล้วไปนอนดีกว่าหนอ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

พี่ ภูสุภา  พี่ยังต้องให้คุณหงุ่นสอนอีกเยอะ ยังไม่ผ่านๆๆๆ จริงๆ ใครก็ไม่สามารถสอนเราได้เท่ากะเราสอนตัวเราเอง เนอะ ไปนอนได้แล้วพี่ เป็นหมอไม่ควรนอนดึก ตื่นสายคนไข้จะรอ 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ขับรถระวังชน ซุกซนระวัง... @ 227371

พี่ชิว : สวัสดีครับ กวินเข้ามาเชื่อมต่ออีกนิดเรื่องขับรถ + ขออนุญาตทะลึ่งนิดๆ  เชื่อมต่อ : หลังคารถชนสะพานเชื่อมอาคาร  (กวินเคยอ่านแล้ว คนแรกด้วย แต่มาฝากไว้ เพราะเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถๆ เหมือนกัน)    ทะลึ่งนิดๆ : อันนี้ได้มาจากผู้ใหญ่สุภาพสตรีท่านหนึ่ง ซึ่งคุยเก่งมั่กๆ  เห็นชื่อบันทึกบอกว่า "ขับรถระวังชน ซุกซนระวัง...."  ก็เลยนึกถึงอันนี้ครับ "ตามใจปากเป็นหมู ตามใจ....เป็นเอดส์" เอ๊ะ! เกี่ยวกันใหม่นี่? :-P

กวิน : ขอบคุณครับพี่ชิว ขออนุญาตนำภาพจากบันทึก Safety First - 019 : หลังคารถชนสะพานเชื่อมอาคาร สักหนึ่งภาพมาประกอบบันทึกกวินนะครับ และเพื่อจะได้ ลงรายละเอียดที่มาของภาพ เพื่อเชื่อมต่อไปยัง บันทึกของพี่ชิวด้วย  

ว่าด้วยเรื่องนิรุกติศาสตร์ ในไวยากรณ์ภาษาบาลีสันสกฤต (ว่ากันว่ามีไวยากรณ์ที่ยากที่สุดในโลก) ภาษาบาลีสันสกฤตนี้ พิเศษอยู่หนึ่งอย่างคือมีการแบ่งเพศให้ภาษาด้วย

คำที่มีเพศชายเรียก ปุงลึงค์
คำที่มีเพศหญิงเรียก อิตถีลึงค์
คำที่มีเพศสับสน คือไม่รู้ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย หรือคำที่เป็น กระเทย/ตุ๊ด/ทอม/ดี้ เรียกว่า นปุงสกลึงค์

ดังนั้น สำนวน "ตามใจปากเป็นหมู ตามใจ....เป็นเอดส์" ประโยคนี้ บ่งชี้ ให้เห็นภาพ ปุงลึงค์ และมุ่งที่จะสอนผู้ชายไม่ให้สำส่อน ซึ่งก็ดูจะไม่เท่าเทียมนัก ในยุคที่ชายหญิง มีสิทธิเท่าเทียมกัน ดังนั้นกวินจึงขอแก้ไขสำนวนนี้ให้บ่งชี้ถึง  อิตถีลึงค์ บ้างนะครับ เพื่อ มุ่งที่จะสอนผู้หญิงไม่ให้สำส่อนจนติดเอดส์ เอาไว้ว่า "ตามใจปากเป็นหมูอิ่ม ตามใจ....เป็นเอดส์" แต่สำหรับ  นปุงสกลึงค์ นี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย แถมกวินก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไข สำนวนให้บ่งชี้ ถึง นปุงสกลึงค์ อย่างไร จึงขอละไว้ในฐานะที่เข้าใจนะครับ

(ปล. พวกตีนผี นี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตานะครับ )



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

รถระวังชน ซุกซนระวัง...

กวิน says: ทำนองเพลง ดอกไม้ให้คุณ นี้ฝรั่งเอาทำนองฝรั่งไปร้องใหม่ ว่าแต่ว่ามันพูดเกี่ยวกับอะไรวะ

Jay says: ก็ไม่รู้แม่ง ร้องห่า อะไร เสียงอึ้ง ๆ กูฟังออก คำเดียว น้ำตาในเพชร อะไรซะอย่างซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าฟังผิดฟังถูก กูเลยไม่อยากมั่วเดี๋ยวผิด

กวิน says: สัด สมควรแล้วที่มึงไม่เรียนต่อโท อักษรฯ ฮา..



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

การ เมืองบนเรื่องร้าย         แหลกเหลว
กาฬ ปักษ์ปวงเลว              รอบด้าน
กานท์ เรียกราษฎร์จุดเปลว- ไฟส่อง สว่างเอย
กาล กลียุคต้าน                  แต่งเบื้องบุรีรมย์

ที่มา 216845

คำแปล

-อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวไว้ว่า ความดีของมนุษย์สิ้นสุดเมื่อเล่นการเมือง การเมืองตั้งอยู่บนเรื่องแห่งความเลวร้ายเหลวแหลก
-ในยาม กาฬปักษ์ (ข้างแรม/คืนเดือนดับ) (ย่อมมีแต่ความมืดเข้าปกคลุม) ความมืด นี้คือสัญลักษณ์ของ ความเลว ร้ายทางการเมือง ความมืดปกคลุมอยู่รอบด้าน
-กานท์ (คำประพันธ์) นี้คือ แสงสว่าง ที่ถูกจุดขึ้น และคือเสียงร้องเรียกบอกทางเพื่อให้คนตาสว่าง (มองเห็นในที่มืด/มองเห็นความเลวร้ายเหลวแหลก)
-ยาม กาลกลียุค (ยุคอันกาลี) นี้เราควรร่วมกันจุด เปลวไฟ เพื่อให้แสงสว่างกำจัดความมืด แล้วอาศัยแสงไฟนั้น ทำงานเพื่อพัฒนาบ้าน พัฒนาเมือง ตกแต่ง บุรี ให้รื่นรมย์ (บุรีรมย์/บุรีรัมย์)

คนที่จ้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ เพราะคิดว่า การกระทำนั้นๆ ไม่มีคนรู้คนเห็น ก็ยิ่งได้ใจ จึงแอบทำลับๆ ล่อๆ ในที่ลึกลับ (มืดมิด) แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนมาจุดไฟจนสว่างไสว คนก็จะไม่กล้ากระทำความผิด ในที่แจ้ง ในกรุงเทพฯ การติดหลอดไฟส่องสว่างบนสะพานลอย หรือตามซอยมืดๆ จะช่วยลดอาชญากรรมได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ถึงแม้นว่าการเมืองจะเป็นเรื่อง เลวร้ายเหลวแหลก และมืดมิดเหมือนกับ กาฬปักษ์  แต่ถ้าทุกคนช่วยกันเป็นหูเป็นตา จุดไฟกระจายข่าว ให้ครึกโครม นักการเมือง ที่ชอบทำลับๆ ล่อๆ ก็คงจะละอายแก่ใจอยู่บ้าง

การจุดไฟส่องสว่าง ในที่มืด ให้คนมองเห็นอะไรเป็นอะไร หรือการไขข่าวอย่างนี้ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่นะ :)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ดูเวปไปทำงานไปจะเสร็จมั้ยเนี่ย

แวะมาเขียนธีมนิยายสักหน่อยดีกว่า ในนิยาย เจโตฯ  พี่สาวได้ขอทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกไม่ได้ไปเพราะดันไปปรึกษาแฟนเก่า แฟนเก่าก็ว่าให้เห็นกะลูก ว่าจะไม่มีใครดูแล (ความจริงไม่น่าจะไปปรึกษา ไม่เจอกันมา 10 กว่าปี 10 กว่าปีนี่ถ่านไฟเก่าก็ยังคุได้อีกเนอะ) ก็แฟนเก่าเขาอยากคบหาด้วยเขาก็ห้ามไว้โดยอ้างว่าให้เห็นแก่ลูก ว่าจะขาดแม่ไปหลายปี (ฟังดูดี) แต่เขาแนะนำอย่างนั้นก็เพราะว่า เมื่อพี่สาวไม่ได้ไปเรียนต่อก็ จึงมีโอกาสได้กลับมาคบกันอยู่พักหนึ่ง เออ พี่สาวเรานี่มีที่ปรึกษาที่ดีจริงๆ พอต่างคนต่างคบกันไปก็พบว่า อะไรๆ มันก็ไม่เหมือนเดิม ต่างคนต่างมีลูก โตๆ กันแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะมาเริ่มต้นใหม่ได้อีกแล้ว (คิดได้แบบนี้ น่ะดีมากๆ มีวุฒิภาวะ) พอมาถึงการขอทุนไปเรียนต่อในครั้งที่ 2 ก็ได้อีก แต่ก็ไม่ได้ไป เพราะสามีอยากที่จะปลูกบ้าน อ่ะ เรื่องเรียนต่อที่คิดว่าจะไปทำท่าว่าจะไม่ได้ไป พอตกลงใจปลูกบ้านหลังเล็กๆ เพื่อนข้างๆ ร้านก็แนะนำให้รู้จักนายสถาปนิก (ต่อมาก็ได้เป็นครูสอนขับรถ เอก็ขับเป็นแล้ว ยังจะหาครูสอนขับรถทำไม เป็นครูสอนถ่ายภาพ เอก็ถ่ายเป็นแล้วยังจะมีครูสอนทำไม ครูสอนวาดภาพ เอก็วาดเป็นแล้วจะหาครูสอนทำไม) การปรึกษา เรื่องไปเรียนต่อ กะนายสถาปนิกนั้น ให้เด็ก ป.1 ทายยังทายได้ถูกเลยว่า นายสถาปนิกจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มันก็ต้องไม่เห็นด้วยกะการเรียนต่ออยู่แล้ว เพราะว่าถ้าพี่สาวไม่ไปเรียนต่อ มันก็ได้รับจ้างปลูกบ้านให้กะพี่สาว ไอ้ราคาบ้านน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่มันคงหวังเอาชื่อเสียงของพี่สาวไปหากินมากกว่า อ๋อ หมอคนนั้นน่ะเขาก็ปลูกบ้านกะผมนะครับ (ซึ่งมันก็ไม่ผิดหรอก) แต่ชาญมองว่า เพื่อนที่ดี ก็ควรเห็นแก่ประโยชน์ของเพื่อน ไม่ใช่แนะนำเพื่อให้ได้ผลประโยชน์เข้าตน เช่นนั้น เช่นนี้ แล้วยังมีหน้ามาบอกว่า การได้ทุนคือ ทุกขลาภ (มันทุกขลาภตรงไหน) การได้ไปเรียนต่อเพื่อกลับมาจะได้มาบริหารงานที่ตนทำให้มันดียิ่งๆ ขึ้นนี่มันเป็นทุกขลาภตรงไหน  ถ้าพี่สาวไปเรียนต่อ นั่นคงจะเป็น ทุกขลาภ สำหรับนายสถาปนิก มากกว่ามั้ง  (เพราะจริงๆ แล้วลูกของพี่สาวก็เรียนโรงเรียนประจำ) มันก็ไม่มีห่วงเรื่องการเลี้ยงดูอยู่แล้ว อยู่ทางนี้ สามีก็ดูแลลูกได้ เห้อ นี่ล่ะที่ชาญห่วงพี่สาว ชาญมองว่า พี่สาวเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี คิดว่าเราเป็นคนดี คิดดีทำดี โลกนี้สวยงาม (โถ่เอ้ย) ทำอย่างกะเป็นเด็กอายุ 14 มองโลกสวยงามจังนะ  นี่อายุจะ 44-45 แล้วนะ ยังไม่รู้จักมองคน หรือมองคนไม่เป็นอีกหรืองัย

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่จะขอทุน (จะได้ไปไหมเนี่ย เพี้ยงขอให้ได้ไปเถอะ) คิดมุ่งมั่นจะทำอะไรๆ แล้วก็เลิก  เหมือนกับคนที่คิดจะบวชไม่สึก แต่แล้วก็สึก ออกไปเป็นฆราวาส พอเป็นฆราวาสก็เบื่อหน่ายทางโลกแล้วก็คิดบวชกลับมาเป็นพระใหม่

บวชๆ สึกๆ 3 ครั้ง 3 หน เช่นนี้ คนโบราณท่าน  ประเทียดเสียดแทง ไว้เป็นสำนวนว่า ชายสามโบสถ์ (คนที่มีความโลเลไม่น่าคบ)

แต่เราก็ไม่ควร ดูถูกชายสามโบสถ์ เพราะในสมัยก่อน พระจิตหัตถสารีบุตร ซึ่งเป็น ชาย 7 โบสถ์ ก็ยังสำเร็จเป็นพระอหันต์ได้ พระจิตหัตถสารีบุตร เป็นเด็กที่เกิดในตระกูล ผู้หนึ่งใน พระนครสาวัตถี อยู่มาวันหนึ่งไถนาแล้วขากลับ ได้เข้าไปสู่วิหาร ได้โภชนะประณีตอร่อย มีรสสนิทจากบาตรพระเถระองค์หนึ่ง คิดว่า ถึงแม้เราจะกระทำงานต่าง ๆ ด้วยมือของตน ตลอดคืนตลอดวัน ก็ยังไม่ได้อาหารอร่อยอย่างนี้ แม้เราก็สมควรจะเป็นสมณะ ดังนี้ เขาบวชแล้วอยู่มาได้ประมาณครึ่งเดือน เมื่อไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ตกไปในอำนาจกิเลส จึงสึกไป พอลำบากด้วยเรื่องอาหารก็มาบวชอีก เรียนพระอภิธรรม ด้วยอุบายนี้ สึก แล้วบวชถึง 6 ครั้ง ในความเป็นภิกษุครั้งที่ 7 เป็นผู้ทรงพระอภิธรรม 7 พระคัมภีร์ ได้บอกธรรมแก่ภิกษุเป็นอันมาก บำเพ็ญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัตถ์แล้ว ครั้งนั้นภิกษุผู้เป็นสหายของท่าน พากันเยาะเย้ยว่า "อาวุโส จิตหัตถ์ เดี๋ยวนี้กิเลสทั้งหลายของเธอไม่เจริญเหมือนเมื่อก่อนดอกหรือ?" ท่านตอบว่า "ผู้มีอายุ ตั้งแต่บัดนี้ไป ผมไม่เหมาะเพื่อความเป็นคฤหัสถ์"  (1)

ว่าแต่ว่าจะเขียนให้ พี่สาวของชาญจะเป็น ชายกี่โบสถ์ ดีนะ? กว่าที่พี่สาวจะบรรลุ อรหันต์ (คือพ้นทุกข์+พ้นวิบากกรรม)

อ้างอิง

(1) อรรถกถา กุททาลชาดก ว่าด้วย ความชนะที่ดี. เวปไซต์ 84000 พระธรรมขันธ์ . 2003 November [cited 2008 December 3]. 5 (70) ; (0 screens). Available from: URL;  http://84000.org/tipitaka/atita100/jataka500.php?s=70



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ภาพ:Sechium edule dsc07767.jpg

รูป ฟักแม้ว จาก วิกิ อ่อ ฟักแม้ว มันเป็นแบบนี้นี่เอง 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

ประโยคที่ว่า (I) feel satisfied

feel เป็น เหมือน linking verb แทน verb to be ได้ เพราะฉะนั้น satisfy ต้องเป็น passive voice

เก่งมั้ย ไวยากรณ์ 555 คนเราน่ะมักจะเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น ของตัวเองไม่เห็นหรอก (หมายถึงกวินเองน่ะมักจะเห็นความผิดพลาดของคนอื่น เห็นชัดเจนแจ่มแจ๋ว) 555 เอ แล้วตัวเองทำผิดไวยากรณ์ซะเอง แต่เวลาไปสอนคนอื่นให้ทำในเรื่องที่ถูก ไวยากรณ์ นี่เขาจะเชื่อมั้ยนะ

I don't want you (to) has have the ambition ลำบากจังถ้าเป็นภาษาไทยคงจะพูดว่า  ฉันไม่อยากให้คุณมีความทะยานอยาก  พูดเป็นไทยนี่ถูกไวยากรณ์ แต่อาจจะไม่ถูกกะอารมณ์ศิลปินของพวกเพ้อๆ ฝันๆ (แถมฟังแล้ว ดู ลบๆ ยังไง พิกล)



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

การเป็นกัลยาณมิตร นี่ยากเนอะเวลาเห็นเพื่อนใช้ไวยากรณ์ผิดๆ ก็ต้องใช้ผิดตามเพื่อนด้วย เดี๋ยวเพื่อนจะเขิน ฮา

การกลัวเพื่อนเขิน โดยไม่ทักให้เพื่อนรู้ว่าผิด นี่มันจะดีมั้ยนะ แต่ถ้าทัก แล้วเพื่อนต้องเขิน ล่ะ งั้นไม่ทักดีกว่าเดี๋ยว เพื่อนเขิน แล้วพาลโกรธเราก็จะเสียเพื่อนเปล่าๆ มีเพื่อนหลงผิด  ย่อมดีกว่าไม่มีเพื่อน ใช่ม้า ฮา ไปดีกว่าเขินจัง  



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

เห็นด้วยครับอาจารย์ wwibul @28130 อย่าเสี่ยงกะคนโรคจิตดีกว่าครับไม่คุ้มเลย (โบราณถึงได้สอนว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา)  ^_^



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

กวิน
เขียนเมื่อ

นมัสเต ครับพระคุณเจ้า BM.chaiwut  .@21813 กวี หลี่ไป๋ ชอบ ดื่มเหล้าเดียวดายใต้เงาจันทร์ (Drinking Alone under the Moon) ว่ากันว่า เขาตายเพราะ ไล่จับเงาจันทร์ในแม่น้ำ (ตอนเมา) ปรากฏการณ์ พระจันทร์ยิ้ม (Earth Shine) ทำให้นึกถึงสำนวน  เสี้ยวหลี่ฉางเตา 笑里藏刀  (รอยยิ้มซ่อนดาบ) นะขอรับ
ขอร่วมแต่งโคลงกลอนไว้ ด้วยคน ครับ @ 226735



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท