สวัสดีค่ะ
วันนี้มีเรื่องราวที่ได้พบมา
เป็นประสบการณ์ที่ดีสุดๆๆ อันนึงในชีวิต
จึงอยากแบ่งปันค่ะ
เราได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับ
กลุ่มจิตตปัญญา สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล
สู่ผืนป่า และ อารยธรรมที่เรียบง่าย
แต่เต็มไปด้วยความลุ่มลึกแห่งจิตวิญญาณของชนเผ่าปกาเกอญอ
ตามวิถีแห่งการเติบโตทางจิตวิญญาณอีกรูปแบบหนึ่ง
ที่เรียกว่า นิเวศภาวนา
การไปครั้งนี้ อ.ณัฐฬส วังวิญญู ซึ่งเป็นวิทยากรที่พาพวกเราไปนั้น
ได้เล่าถึงการจาริกครั้งนี้ว่า
เป็นการแสวงหาแก่นแท้ของชีวิตและจิตวิญญาณ
รวมทั้งหาคำตอบให้กับชีวิต (vision quest)
ซึ่งเป็นพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิต (rite of passage) อย่างหนึ่ง
ที่กระทำกันในหลายๆวัฒนธรรม
โดยเฉพาะในชาวชนเผ่า
เพื่อค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของตนเอง
เพื่อค้นหาปัญญา
รวมถึงการได้พรและคำตอบแห่งชีวิต
จากธรรมชาติ แผ่นดิน ผืนป่าและ สายน้ำ ฯลฯ
พวกเรากลุ่มจิตตปัญญา จำนวน 25 คน
เดินทางมาที่ หมู่บ้านสบลาน ต.สะเมิงใต้ อ. สะเมิง จ. เชียงใหม่
ได้พักอยู่กับชาวชุมชน เผ่าปกาเกอญอบ้านสบลาน
ซึ่งทำให้ได้เรียนรู้อารยธรรมของชาวชนเผ่า
ที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง
มีความหลักแหลมทางปัญญา
และ ลุ่มลึก เต็มไปด้วยการเติบโตทางจิตวิญญาณ
ผู้เฒ่าซึ่งเป็น ผู้นำชุมชน
ได้พูดจาอันแหลมคมมาจากประสบการณ์จริงของท่านเอง
(หาใช่เอาคำพูดหรูๆ โก้ๆ มาจากทฤษฎีไม่)
ที่ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
ทำให้ท่านเติบโตด้านจิตวิญญาณและโลกทัศน์ภายใน
คำพูดประโยคหนึ่งที่เราเกิดความเลื่อมใสท่านอย่างมาก
คือ ท่านว่า
”ในวัยหนุ่มท่านส่องกระจกเห็นรูปร่างหน้าตาตัวเอง แต่ในวันนี้เมื่อท่านส่องกระจกท่านเห็นภายในจิตใจของตัวเอง”
หรือ ผู้เฒ่าอีกท่านบอกว่า
“ในธรรมชาติทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ดังนั้นอะไรในเราล้วนเป็นไปได้”
ยิ่งมา ยิ่งเห็นด้วย ยิ่งเห็นว่าจริง
ถ้าเป็นภาษาหนังจอมยุทธ ต้องบอกว่า
"ข้าน้อย นับถือ นับถือ"
และวิถีชีวิตของชาวชนเผ่า
อยู่กันอย่างเรียบง่าย พอเพียง
บรรยากาศเปี่ยม ไปด้วยมิตรไมตรี
ความอ่อนโยน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่แบ่งชนชั้น
เห็นคุณค่าของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไร้การยึดติด
และ พร้อมจะยอมรับทุกคน สิ่งแวดล้อม
และ ตัวเองอย่างมีเงื่อนไขน้อยที่สุด
ทุกอย่างเป็นไปอย่างสมดุลแห่งชีวิต
ซึ่งบรรยากาศที่อบอุ่นอ่อนโยนแบบนี้
หาได้ยากยิ่งนักในเมือง
ซึ่งเต็มไปด้วย การเห็นแก่ตัว ชิงดีชิงเด่น
แข่งขันเพื่อความยิ่งใหญ่
ต้องการให้ทุกคนยอมรับตนเอง
แต่ตนเองกลับไม่ค่อยยอมรับใคร
แม้กระทั่งธรรมชาติยังไม่ยอมรับ
พยายามฝืนธรรมชาติทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายได้อย่างเดียว
บรรยากาศในเมืองจึงเต็มไปด้วยการเอาชนะ
ความไม่เป็นมิตร ร้อนรน กระวนกระวาย และ เป็นทุกข์
การที่ชนเผ่าปกาเกอญอ ใช้ชีวิตเรียบง่าย
ธรรมดา ๆ แต่งดงาม
เพราะพวกเขาใกล้ชิดธรรมชาติ
พวกเขารักธรรมชาติ
และ ตระหนักว่าป่าไม่ใช่ของเขา
แผ่นดินนี้ไม่ใช่ของเขา
แต่เป็นของธรรมชาติ ของโลกใบนี้ร่วมกัน
และมีจิตวิญญาณที่จะดูแลป่า ดูแลธรรมชาติ
พร้อมยืนหยัดรักษาธรรมชาติของโลกใบนี้ต่อไป
ทำให้รู้สึกละอายแทนคนเมือง
ที่ชอบจับจองที่ดินนี้เป็นของฉัน
ใช้พลังงานและธรรมชาติอย่างขาดจิตสำนึก
มักเข้าใจว่าตนเองเป็นคนมีอารยธรรม(civilized person)
และเรียกคนชนเผ่าว่าคนไร้อารยธรรม
มาถึงตอนนี้ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ไร้อารยธรรม !!!
และแล้ว ก็มาถึงตอนที่สำคัญทีสุด คือ
การออกจาริก ออกจากหมู่บ้านเพื่อเข้าไปอยู่ในป่าต้นน้ำ
และกิจกรรมที่สำคัญของการจาริกครั้งนี้
คือการปลีกวิเวกค่ะ
แล้วจะมาเล่าต่อนะคะ ว่าการปลีกวิเวกคืออะไร
และ ทำให้ชีวิต สุก และ สุขมากขึ้นได้อย่างไรค่ะ
คลิ๊กที่นี่ เพื่อติดตามตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบค่ะ
ผมได้สัมผัสกับชาวเขาอยู่บ้างเนืองๆ (ตามหน้าที่การงานที่ต้องทำ) ผมก็เห็นเหมือนกับที่ซันซันเห็น ชีวิตเรียบง่าย แอบอิง+เกื้อกูลกับธรรมชาติ (ไม่ใช่เอาชนะ+ทำลาย) การเกิดการตายของเขาถูกมองเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในช่วงหลังๆ ความเจริญเข้าไปในหมู่บ้านมากขึ้น เมื่อก่อนใช้ใบตองตึงทำหลังคา เดี๋ยวนี้ใช้สังกะสี เริ่มมี TV เริ่มเปลี่ยนรูปแบบการแต่งตัว ใช้รถยนต์ เริ่มการเกษตรเพื่อขาย(ทุนนิยม) มากกว่าการเกษตรเลี้ยงชีพพึ่งตัวเอง โลกกำลังเปลี่ยน ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราเห็นในวันนี้ อีก 10 ปีข้างหน้าอาจไม่ได้เห็นอีก ก็หวังแต่ว่าชาวเขาจะเข้าใจ+เลือกใช้ technology อย่างเหมาะสมกลมกลืน เพื่ออยู่กับธรรมชาติtechnolgy และโลกที่เปลี่ยนไปได้อย่างสันติสุข
สวัสดีค่ะ คุณหมอซันซัน
เห็นด้วยเลยค่ะว่าเราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย เราเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้น มาใช้สิ่งที่เราเรียกว่าชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งเท่านั้น
แล้วจะรออ่านตอนต่อนะคะ ขอบคุณค่ะ
ติดตามอย่างละเอียดด้วยความสนใจครับ
บังเอิญตอตนเป็นเด็กโชคดีที่เกิดบ้านนอก นอกเสียจนรู้สึกอายผู้คน เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกเช่น ถนน รถยนต์ ไฟฟ้า ประปาก็ไม่มีกับเขา ไปตัวอำเภอระยะ 10 กม. ก็ต้องเดินเอา แต่บรรยากาศแห่งไมตรีจิต มิตรภาพของผู้คน และความสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ นั้นมีมาก เหมือนความฝันเลยทีเดียว .. ระยะหลังมาก็พบและเชื่ออย่างเดียวกันว่าที่แท้ เราเกิดมาท่ามกลาง Civilisation อย่างแท้จริง ไม่อายอีกแล้ว กลับภาคภูมิใจด้วยซ้ำไป .. เพราะมันเป็น Spiritual Civilization ที่หาไม่ได้ในสังคมเมืองครับ.
ช่วยพิสูจน์อักษรครับ .... ผู้เฒ่าซึ่งเป็น ผู้นำชุมชม
"ข้าน้อย นับถือ ข้าน้อย นับถือ"
จะคอยติดตามตอนต่อไป ว่าจะ สุก และ สุข อย่างไร
คุณ โรจน์
หวังไว้เช่นกันค่ะ ว่าชาวบ้านคงความเป็นธรรมชาติต่อไป
ทราบว่าชนเผ่าปกาเกอญอ เป็นเผ่าอนุรักษ์ธรรมชาติมากๆค่ะ
แต่เมื่อวัตถุเข้ามามากๆๆๆๆๆๆๆก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าชาวบ้านจะทานกระแสไหวหรือเปล่านะคะ
คุณ กมลวัลย์
เราแค่มาใช้ชีวิตช่วงหนึ่งจริงๆ แค่มาอาศัยธรรมชาติช่วงหนึ่งจริงๆค่ะ
เห็นด้วยมากๆเลยค่ะ
ขอบคุณนะคะ
คุณ Handy
ใช่ค่ะ การอยู่แบบธรรมชาติเป็น Spiritual Civilization จริงๆค่ะ
ขอบคุณมากๆๆเลยค่ะ ที่ติดตามอย่างละเอียดและช่วยพิสูจน์อักษร ^+^
คุณ join_to_know
ยินดีมากๆๆๆๆๆๆๆเลยค่ะ
การไปป่าครั้งนี้ได้อะไรมากกว่าที่คิดไว้เยอะเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณซันซัน
สูงสุดคืนสู่สามัญ
4 ยอดปรารถณา
อาจารย์และลูกศิษย์กำลังนั่งสมาธิกันอยู่ ลูกศิษย์เกิดสงสัยถามขึ้นว่า
อาจารย์ครับ ท่านมีความปรารถณาอะไรบ้างหรือไม่
อาจารย์หยุดคิดแล้วตอบว่า สุดยอดปรารถณาของเราก็คือ
ส่ำสัตว์ในใต้หล้าล้วนหมดทุกข์
ไร้สิ้นความกังวลทั้งมวล
ศึกษาธรรมะที่ไร้ขอบเขต
บรรลุวิถีธรรมขั้นสูงสุด
พูดจบก็หัวเราะด้วยความชอบใจ
เณรน้อยฟังแล้วร้องเรียกขึ้นว่า อาจารย์ เราก็มี 4 ยอดปรารถณาเหมือนกัน คือ
1 มีอาหารกินเมื่อยามหิว
2 มีเสื้อผ้าใส่เมื่อยามหนาว
3 ได้ล้มตัวนอนเมื่อยามเพลีย
4 มีลมพัดให้คลายร้อน
กลอนท้ายเรื่อง
ต่างก็มาจากแดนไกลในป่าลึก
มาพบกันโดยบังเอิญณ.ที่นี้
อย่าถามถึงวิถีทางแห่งธรรมะ
เราเพียงคนเดินดินกินข้าวเท่านั้นเอง
ธรรมะสวัสดีครับ
คุณ ขจิต ฝอยทอง
อิ อิ
อืม อืม ไม่ได้จริงๆด้วยค่ะ
ข้าน้อยขอคารวะ ^+^
คุณ อ.หนู
ดีใจจังค่ะ ที่มาติดตามกันนะคะ
เข้าไปดูบล๊อกของอาจารย์หนู ได้ข้อคิดดีๆ
นับถือ นับถือ ค่ะ
สวัสดีค่ะ
ตามมาอ่านค่ะ
คุณ Man In Flame
ชอบการ์ตูนเซนที่คุณใส่ให้มากๆเลยค่ะ
แต่มีปัญหาว่าอ่านภาษาไม่ออกน่ะค่ะเลย บางครั้งไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ชอบๆนะคะ ตลกดีด้วย และมีแฝงแยบคายทางสัจธรรมได้น่ารักทีเดียวค่ะ (แต่ถ้าอ่านออกจะเจ๋งมากๆเลยค่ะ )
และ ชอบที่คุณเขียน
สิ่งที่ธรรมดาที่สุดก็คือสิ่งที่มหัสจรรย์ที่สุด
และ สี่ยอดปรารถนานะคะ
ได้คติสอนใจดีค่ะ
คุณ ธรรมาวุธ
ขอบคุณนะคะ ดีใจจังค่ะ ที่มาอ่านกันค่ะ
และจะรีบเอาลงให้เร็วที่สุดๆๆค่ะ
ธรรมมะสวัสดีค่ะ
คุณ sasinanda
ขอบคุณนะคะ ^+^
ตามมาอ่าน..เหมือนเดิมค่ะ
คราวนี้มีสีสันสดใสด้วย เหมือนผู้เขียนทีมีความสว่างสดใสเสมอ...ในความเห็นของตัวเองน่ะค่ะ
ได้อ่านข้อความที่ช่วยเตือนสติ แล้วรู้สึกดีจังค่ะ เช่นเรื่องการยอมรับ.... รู้สึกกำลังติดเรื่องนี้เป็นพัก ๆ เหมือนกันช่วงนี้ กำลังเฝ้าดูธรรมชาติภายในใจตัวเองอยู่ค่ะ
ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
คุณ serenity
สำหรับตัวเอง คุณ serenity เป็นความสงบ และ ความเย็น นะคะ ^+^
การยอมรับ ฟังดูเหมือนทำง่าย แต่ที่จริงยากนักค่ะ
เพราะ เรายังมีความยึดติด มีบางครั้งที่พอรู้ตัวและหลายๆครั้งอาจไม่ค่อยรู้ตัว
กำลังเฝ้าดูธรรมชาติของตัวเองเช่นกันค่ะ
ขอบคุณนะคะ ที่มาเยี่ยมเยียนกัน
และที่เป็นกำลังใจให้เสมอด้วยค่ะ
น่าสนใจมาก ๆ เรื่องที่คุณซัน เล่ามา ไม่เคยรู้มาก่อนนะครับว่ามี กลุ่มจิตตปัญญาที่ ม.มหิดล และสนใจที่จะศึกษาถึงจิต วิญญาณ การเปลี่ยนแปลง และ นิเวศภาวนา ดีใจครับที่บ้านเราก็มีอีกกระแสที่เห็นการแปรเปลี่ยนชีวิต
ผมว่ามนุษย์เราแสวงหาและรู้ความลับของโลกมากมายจนทำให้ผู้คนล้วนแสดงความอหังการ คิดว่าธรรมชาติ และโลกถูกควบคุมไว้หมดแล้ว แต่ที่จริงธรรมชาติก็แสดงให้เห็นว่ามีอีกมากมายที่มนุษย์ไม่มีทางรู้ได้
อีกทั้งผลร้ายจากความรู้ที่นำมาสนองความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของพวกเรา นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เราควรน้อมหาสู่ธรรมชาติดีกว่าที่เราจะมุ่งไขความลับของโลกอีกต่อไปหรือไม่
"หากวันนั้นอาดัมไม่ขโมยแอปเปิลที่สวนอาเด็นกิน มนุษย์เราคงไม่ดิ้นรนไขว่ขว้ากันขนาดนี้"
ขอบคุณบันทึกและเจ้าของบันทึกนะครับที่นำเรื่องราวดีเยี่ยมมาเล่าให้ฟังอ่าน จะติดตามต่อไปครับ