เมื่อเทพบังธรรม


ก็ในเมื่อตอนนี้สังคมไทยกำลังอยู่ตกอยู่ในกระแสของการ “พึ่งพาเทพ” แล้วนี่เราจะมาเดินขบวน มาโต้เถียงกันทำไม?
        ไม่ต้องบอกท่านก็คงจะพอเดาได้นะครับว่าผมกำลังจะพูดเรื่องอะไรในบันทึกนี้ โปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นพวกที่ปฏิเสธเรื่องปาฏิหาริย์ใดๆ สำหรับผมแล้ว ปาฎิหาริย์ ก็คือสิ่งที่ความคิดของเรายังเข้าไปไม่ถึง  เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเอาตรรกะ (logic) มาอธิบายได้ เพราะหลายๆ เรื่องเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าปัญญาของคนธรรมดาอย่างเรา (อย่างผม) จะเข้าใจได้ มีบางคนเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ธรรมะจัดสรร คือเราทำได้แค่สร้าง เหตุปัจจัย แล้วผลก็จะออกมาเองตามกฎของธรรมชาติ (ที่เราเรียกว่าธรรมะนั่นแหละ)

        ตามความเข้าใจของผม สิ่งที่พระพุทธเจ้าพยายามทำในสมัยของท่าน ก็คือการที่ทำให้คนหันมาพึ่งตัวเอง มากกว่าที่จะคอยพึงพาเทพเจ้าใดๆ พระองค์พยายามทำให้คนเปลี่ยนสภาพจากที่ต้องพึ่งพิงอิงสิ่งอื่น (dependence) มาสู่การยืนได้ด้วยตัวเอง (independence) จนเกิดความเข้าใจว่าในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ดำเนินอยู่นี้ก็คือสภาวะของการเกี่ยวข้องสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (interdependence) นั่นเอง

        พระพุทธเจ้าเองไม่เคยปฏิเสธเทพ ไม่เคยปฎิเสธเทวดา เพียงแต่ท่านเชื่อมั่นว่า สติปัญญา ของมนุษย์จะสามารถทำให้มนุษย์เข้าใจความจริงแห่งชีวิต (อริยสัจสี่) ได้โดยไม่ต้องอาศัยเทพหรือเทวดา ขณะนี้มีการพูดกันอย่างหนาหูว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ผมว่าเป็นคำกล่าวที่ดีมาก เพราะในโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ (unknown) และยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่อาจจะรู้ได้ (unknowable) จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่เราจะต้องไปปฏิเสธสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลบหลู่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ หลงเชื่อ ให้ งมง่าย กันไปอย่างไม่ลืมหูลืมตา

        ผมเองได้แต่ถามตัวเองว่า... ก็ในเมื่อตอนนี้สังคมไทยกำลังอยู่ตกอยู่ในกระแสของการ พึ่งพาเทพ แล้วนี่เราจะมาเดินขบวน มาโต้เถียงกันเรื่องการใส่ข้อความว่า ให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ลงไปในรัฐธรรมนูญทำไม? เห็นข่าวแล้วก็อดขำไม่ได้ มันช่างเป็นอะไรที่  “contrast” กันจริงๆ  แต่เมื่อนึกๆ ไป ผมเองกลับอยากจะร้องไห้มากกว่า...ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม !!
หมายเลขบันทึก: 92786เขียนเมื่อ 27 เมษายน 2007 09:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มิถุนายน 2012 01:44 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (25)

สวัสดีค่ะอาจารย์

อ่านที่อาจารย์เขียนแล้ว เหมือนอย่างที่ใจคิด แต่ก็ไม่อยากไปเครียดอะไร

เห็นด้วยมากๆๆค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ผมเองจึงมองว่าเป็นเรื่อง "ตลกปนเศร้า" ครับ พี่ sasinanda

ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องให้ดีครับ เสกพระให้เป็นพราหมณ์กันทั้งบ้านทั้งเมือง ทุนนิยมครอบงำทุกระบบ ไม่เว้นแม้กระทั่งวัด

สวัสดีค่ะ อาจารย์ประพนธ์ (beyondKM)

เห็นด้วยกับที่อาจารย์ว่าไว้เลยค่ะ ตอนนี้ก็ได้แต่มองคนโต้กันไปโต้กันมาในข่าว ในเรื่องที่เขาเอาจริงเอาจังมากๆ เห็นชัดมากเลยว่าเขายึดมั่นถือมั่นกันมากๆ เลย อยากจะบอกเหมือนกันว่าให้ปล่อยๆ บ้าง มันหนักน่ะค่ะ ; )

 

ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ครับ  ถ้าเทพเหนือกว่ามนุษย์ไงต้องหมดบุญมาเริ่มบำเพ็ญในในถิ่นมนุษย์  แล้วเทพเหล่านั้นมีคำสอนให้เราปฏิบัติตามได้เหมือนพระพุทธองค์ไม่  ก็หาไม่  ฉะนั้นเราอย่าเป็นเป็นคนตื่นข่าว ใช้สติปัญญาให้มาก อย่าเชื่อเพราะเขาเป็นครู ให้เชื่อตามหลักเหตุผลที่ใช้สติปัญญาพิจารณาใตร่ตรองแล้วดีที่สุด ผมว่านะครับ

ขอแสดงความคิดเห็นบ้างนะครับ

 เรื่องนี้ใครตั้งประเด็นขึ้นมาก็ต้องมีทั้งฝ่ายเห็นด้วย ฝ่ายไม่เห็นด้วย และฝ่ายเฉยๆ หรือบางท่านแม้จะมีจุดยืนของตนเองแต่ก็ไม่ต้องการแสดงออกมาเพื่อไม่ให้เกิดความร้าวฉานแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

โดยส่วนตัวผมมองว่านี่เป็นเรื่องหน้าที่ใครหน้าที่มัน

สำหรับพระ หน้าที่ของท่าน กิจของท่านโดยตรงเรื่องหนึ่งก็คือการ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านโกนศรีษะ นุ่งเหลือง ห่มเหลือง ไม่ใช่เพียงเพื่อบอกว่าท่านสละแล้ว แต่ยังเป็นเครื่องแบบ เป็นเครื่องหมายที่ท่านใช้แสดงว่าท่านอยู่ในพระพุทธศาสนา หรือเมื่อมีโอกาสก็สร้างวัด สร้างศาลา โบสถ์ วิหาร เพื่อใช้ในการประกอบศาสนกิจ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงอิฐหินดินทรายที่อาจเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ท่านก็ได้ชื่อว่าทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญแล้ว ในเรื่องบ้านเมืองท่านก็แสดงจุดยืนของท่านคือขอให้บัญญัติไว้ เพราะถ้าท่านเป็นผู้เขียนเองได้ก็คงไม่ลังเลที่จะเขียนด้วยมือตนเอง เช่นเดียวกับว่าถ้ามีโอกาสท่านก็จะสร้างโบสถ์ ปรับปรุงวิหาร ฯลฯ ทั้งหลายนั้น ดังนั้นผมเห็นด้วยในเรื่องนี้

ผมเคยเจอพระรูปหนึ่ง ซึ่งเมื่อได้คุยกับท่านแล้วผมก็เลื่อมใสศรัทธาท่านมาก วัดของท่านมีเนื่อที่หกสิบกว่าไร่ ท่านปลูกป่าเสียเกือบหมด มีโบสถ์ มีวิหารอยู่ก็ผุพังเสียเกือบหมดแล้ว เพราะไม่มีปัจจัยเงินทอง ไม่ได้สร้างพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังอะไร เหลือกุฎิอยู่ไม่กี่หลังก็เพียงอาศัยได้ตามสภาพ ซึ่งท่านก็ทำนุบำรุงให้อยู่อาศัยได้ตามสมควร ท่านก็ว่าสร้างโบสถ์ วิหารนั้นก็ดีอยู่ แต่สร้างป่าก็ได้ประโยชน์อยู่เหมือนกัน ให้เป็นร่มเงาได้ เวลาว่างก็ยังพอได้เด็ดสมุนไพรมาทำยาให้ชาวบ้านไว้ใช้ ส่วนที่เป็นอิฐหินก็ให้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ท่านสอนธรรมะให้ผมเยอะแยะๆ ผมก็เห็นด้วยกับท่านในเรื่องนี้อีก

ส่วนตัวผมจึงมองว่าทุกฝ่ายก็ถูก ทุกฝ่ายก็มีเหตุผล ถ้าเช่นนั้นตัดสินกันอย่างไร ผมก็คิดเอาเองตามประสาตัวเองก็คือ เราคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ประเทศชาติหนึ่งเกิดขึ้นจากปัจเจกชนนับล้านๆ คน การอยู่ร่วมกันเหมือนจะยากแต่ก็ไม่ยาก เพียงแต่กระทำอะไรอย่างตรงไปตรงมา และยอมรับความคิดเห็นคนอื่น แค่ถามใจตัวเองว่าถ้าเป็นเรา เราจะเขียนหรือเปล่า เราจะทำหรือเปล่า ก็เท่านั้น ไม่เห็นต้องไปอ้างการเมืองมั่ง พราหมณ์มั่ง พุทธพาณิชย์มั่ง ศีลธรรมมั่ง ชาวใต้มั่ง ฯลฯ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันตรงไหน มีแต่จะพยายามดึงดันให้มาเกี่ยวข้องกันเท่านั้น แถมยังทำให้เกิดความเบื่อหน่ายต่อพุทธศาสนา กลายเป็นละเลยการปฏิบัติบูชา แล้วก็อ้างปล่อยวางบ้าง พระอยู่ที่ใจบ้างกันไป ส่วนเรื่องจะเขียนหรือไม่เขียน ปากกาไม่ได้อยู่ในมือผม สุดท้ายก็อยู่ที่ท่านผู้มีอำนาจก็เท่านั้น เขียนแล้วก็แล้วกัน ไม่เขียนก็เท่านั้น มากที่สุดเท่าที่ผมในฐานะปัจเจกชนคนหนึ่งจะทำได้ก็คือใช้อิทธิพลต่างๆ หรือกระบวนการต่างๆ โน้มน้าวให้ท่านผู้เขียน เขียนตามใจผม จนกว่าผมจะขี้เกียจหรือเบื่อไปเองก็เท่านั้น กระดาษแผ่นเดียว ปีหน้า สิบปีข้างหน้า ร้อยปีข้างหน้า ลูกหลานผมจะยังอยากเขียนคำนี้ อยากใช้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธอยู่หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ถึงยุคนั้นเขาจะเขียนอะไรกันลงไปในกระดาษแผ่นนี้ก็สุดที่ผมจะรับรู้แล้ว  ซึ่งหากเราตัดสินใจด้วยตัวของเรา ด้วยความเป็นตัวตนของเรา ถ้าบังจะบังเอิญไปพ้องกับใคร หรือบังเอิญกลายเป็นเครื่องมือของใคร เราก็ย่อมไม่เดือดร้อน เพราะใจเราบริสุทธิ์ตั้งแต่ต้น ไม่ได้กระทำไปด้วยเจตนาแอบแฝงอะไร ก็ไม่เห็นต้องมาคิดมาก

ส่วนเรื่องปล่อยวาง ก็เป็นขอบเขตของแต่ละท่านว่าปล่อยแค่ไหนวางแค่ไหน ไม่งั้นก็คงไปบวช สำเร็จเป็นอรหันต์กันถ้วนหน้าแล้ว สำหรับผมก็คืออยู่ในระดับที่พอจะมาแสดงความคิดเห็นในเว็บ หรือเมื่อมีคนถาม แต่ไม่ได้ไปดึงดันตากแดดประท้วงกับเขา ก็เท่านั้นครับ

ขาดสติอีกแล้วครับ ลืมใส่ชื่อ

ส่วนเรื่องเทพก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลอีกแหละครับ มีมากมายที่คนเรานับถือ หรือใช้เป็นสรณะประจำใจ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พ่อแม่ ครูอาจารย์ พระเจ้าแผ่นดิน นักปราชญ์ผู้มีความรู้ ดังนั้นจะนับถือเทพขึ้นมาด้วยก็ไม่เห็นแปลกอะไร ทำไมเราต้องเอาหลายเรื่องมาปนกัน ทำไมเราต้องระแวงชีวิตขนาดนี้ จะนับถือใครหรืออะไร ก็ต้องระแวงว่าตกเป็นเครื่องมือทางการค้าหรือเปล่า จะพุทธหรือเปล่า จะพราหมณ์หรือเปล่า จะโง่หรือเปล่า ฯลฯ มองดูเด็กๆ สิครับ ไม่เห็นคิดอะไรมาก มีซูเปอร์แมนเป็นสรณะ สะสมตุ๊กตุ่นตุ๊กตาสารพัดฮีโร่ ล้วนกระทำด้วยใจบริสุทธิ์ ยิ่งหากว่าอยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถอาศัยตุ๊กตุ่นตุ๊กตา ฮีโร่ต่างๆ เหล่านั้นเป็นอุบายอบรมสั่งสอนลูกได้ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย หรือแม้แต่บ้านไหนที่ไม่มีปัญญาอบรมลูกหลาน ฮีโร่ต่างๆ ก็ยังพอเป็นแนวทางให้เติบโตมาเป็นคนดีในสังคมได้ เอาไว้เมื่อไหร่ลูกหลานเราเกิดเอาฮันนิบาล เล็คเตอร์มาเป็นฮีโร่อยากประพฤติปฏิบัติตามสิครับ ค่อยน่าห่วง

สำหรับตัวเองนั้น ขอรับรองว่า"ไม่ใช่ชาวพุทธแต่เฉพาะในทะเบียนบ้านเท่านั้น"   เพราะได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์  เท่าที่มีสติระลึกรู้ได้ และเคารพสักการะเทิดทูนพระองค์ไว้เหนือเกล้าแต่ก็มิได้ปฎิเสธเทพหรือเทวดาที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้ประพฤติดีประพฤติชอบ  ให้ความเคารพด้วยใจที่บริสุทธิ์  เมื่อได้ทำบุญหรือกุศลครั้งใดก็จะถวายให้กับเทพเทวดามากกว่าที่จะร้องขออะไรจากท่าน ที่จะขอก็ คือ ให้เทพเทวดาช่วยปกป้องคุ้มครองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินีและประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าให้พ้นจากเหล่ามารและมีความปรารถนาที่ดีต่อกัน   ในความคิดเห็นของตัวเองปัจจุบันนี้   เหล่ามารอาจมีมากจนทำให้เทพเทวดา  ท่านไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ที่เห็นผู้คนลำบากจึงต้องมาให้ความช่วยเหลือ  (ขอบคุณที่ให้โอกาสแสดงความคิดเห็น)

 

เห็นแล้วเครียดและเป็นห่วง   แต่ก็ต้องทำใจค่ะ   อยากให้คนไทยมีปัญญาดีกว่านี้ค่ะ  
เห็นด้วยครับ
  2-3 วันก่อนคุยกับเพื่อนซี้เรื่องการ ใส่ข้อความ ที่บ่งบอกความคับแคบของใจคนลงในกฎหมายแม่แล้ว ชอบใจที่เพื่อนบอกว่า .. ใส่ก็ดีนะ  แต่ให้มีบทลงโทษด้วย  เมื่อคนพุทธ ทำผิด หรือ ออกนอกลู่ของศาสนาพุทธ .. งานนี้ผมว่า ถ้ามีโทษถึงขั้นติดคุก .. จะมีพุทธศาสนิกชน(ตามป้าย) เข้าไปอยู่ในคุกกันจนต้องขยายคุกเป็นแน่แท้ .. ที่สำคัญจะมีคนนุ่งห่มเหลืองอยู่ในนั้นด้วย  และจำนวนจะมากอย่างน่าตกใจ

สวัสดีค่ะอาจารย์...

กะปุ๋มขอมองในประด็นที่ว่า "คน" ตอนนี้มีความทุกข์กันมาก ทุกข์ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว... ทุกข์หยาบและทุกข์ละเอียด... และมากมายที่มองไม่เห็นทุกข์ และยอมรับไม่ได้ว่าตนเองนั้นมีทุกข์... แต่การแสดงออกทั้งสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทีออกเป็นทั้งการกระทำ คำพูด และหรือแม้แต่ความคิด สะท้อนถึงสิ่งที่พยายามจะหาทางพ้นทุกข์ทั้งแบบที่รู้ตัว และไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน

และหากใครที่พอมีปัญญา...ตามที่ทุกศาสนาว่าไว้นั้น ก็สามารถที่นำตนไปสู่เส้นทางที่ผู้นำแต่ละศาสนาท่านชี้เส้นทางให้เดินไป ... แต่ก็อีกนั่นแหละค่ะ... คน..เรานั้นยังมีอีกมากที่ขาด "ปัญญา" ทำความเข้าใจเหตุแห่งความจริง... จึงได้แต่วนไปวนมา...ในความคิด และประสบการณ์เดิมของแต่ละตน.. ไม่หลุดออกจากหลุมหรือกักดักของตนเอง.. แต่ก็ยังยืดและทะนงตนอยู่ได้ว่าตนนั้นแน่และเจ๋ง.. เป็นผู้ฉลาดแล้ว... แต่ไม่สามารถดิ้นออกจากทุกข์นั้นของตนเองได้..

สิ่งที่อาจารย์...กล่าวถึงนั้น... จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า และน่าสงสาร..ในความทุกข์ที่คนเหล่านั้นมีและพยายามดิ้นรนออกจากทุกข์ และหาสิ่งที่คิด และเข้าใจว่าจะพาตนเองไปสู่ความสุขได้... อย่าว่าไปถึงขั้น "หลุดออก" จากทุกข์เลยนะคะ... แค่ให้ได้ปาฏิหารย์มาชะโลมหัวใจ... ที่มันร้อนรุ่มให้เย็นลงได้... ไม่ว่าจะเป็นปาฏิหารย์ใดใดก็พอใจแล้ว

...

"คน"...ตอนนี้จึงน่าสงสารยิ่งใน... "ทุกขเวทนา"ที่มีอยู่...ไม่ว่าจะเป็นดอกเตอร์หรือ...คนเก็บขยะ...ทุกสภาวะ...ต่างหนีไม่พ้นและดิ้นรนอยากพ้น แต่หาหนทางไม่เจอ...เพราะถูก "กิเลส" บังมืดไว้... ดังนั้นคว้าอะไรได้จึงพากันรีบคว้า เพราะเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตตนนั้นพ้น...จากบางสิ่งบางอย่างได้... โดยขาดทั้ง สติพิจารณา...ก่อเกิดปัญญา...ในการนำทางชีวิต

ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ

กะปุ๋ม

 

สังคมวันนี้มีเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นแต่กลับได้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ครับ บอกไม่ได้ว่า "คน" ทำให้ "สังคม" เป็นแบบนี้  หรือ "สังคม" ทำให้ ''คน " เป็นแบบนี้...

ขอบคุณมากครับ...

  • อาจารย์ตั้งชื่อบันทึกได้ชัดและตรงมากครับ...อ่านแค่ชื่อบันทึกก็ยิ้มออกแล้วครับ (แต่ก็ยิ้มปนไปด้วยความเศร้านะครับ)
  • ขอบพระคุณมากครับ

ผมคิดว่า ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีแล้ว ที่เรา-ท่านผู้อ้างตัวว่าเป็นพุทธศาสนิกชน จะได้หันมาเสริมสร้างปัญญากันด้วยการถกเถียงด้วยเหตุและผลกันให้ถึงแก่นแท้แห่งพระศาสนา อย่ามัวแต่ปิดประตูบ้านด่ากันอยู่เลย และโปรดอย่าได้คิดว่าเป็นหน้าที่ใครหน้าที่มัน ใครจะทำอะไรก็ทำไป ความคิดนี้ผิดถนัด ในสังคมและในบ้านเมืองเรานั้น ทุกสิ่งหาได้อยู่อย่างเป็นเอกเทศไม่ ทุกสิ่งล้วนดำรงอยู่อย่างพึ่งพาอาศัย เกี่ยวพันกันไปทั้งสิ้น เหตุและผลเท่านั้นที่พอจะทำให้มนุษย์เราสามารถที่จะเข้าถึงและเข้าใจความเป็นไปของสรรพสิ่งได้ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้แนะเอาไว้ให้แก่มนุษย์ทุกคนได้ใช้ใตร่ตรอง เพื่อฝ่าความมืดแห่งอวิชชา และฉุดดึงมนุษย์ให้สูงขึ้นมาจากหุบเหวแห่งกิเลสตัณหา

เดี๋ยวนี้ เรามักจะใฝ่แต่การเสริมสร้างศรัทธา แต่ไม่เสริมสร้างปัญญา ศรัทธานั้นไม่ดีไม่ชั่วในตัวของมันเอง ศรัทธาเป็นการเตรียมความพร้อมของจิตใจ ให้พร้อมที่จะยอมรับเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเอาเข้ามา เปรียบเหมือนกระบุงที่เปิดอ้าพร้อมรับเอาทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้นจะต้องมีปัญญาเป็นตะแกรง กลั่นกรองเอาแต่สิ่งที่ดีงาม ขบคิดพิจารณาเอาสิ่งที่เป็นสัจธรรมและสาระประโยชน์ กากเดนที่เหลือก็ทิ้งไป นี่จึงจะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธครบถ้วนบริบูรณ์ด้วยศรัทธาและปัญญา

เรื่องจตุคามรามเทพนี้น่าสนใจ อย่างที่เรียกว่าฝีหนองในสังคมไทยเรากำลังบวมเป่งสำแดงอิทธิฤทธิ์กันออกมาแล้ว ในสังคมไทยเรามักคุ้นชินกับคำว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" เป็นคำพูดที่ติดหูคนไทยมาช้านาน และคำๆนี้ก็ได้มีส่วนหล่อหลอมให้คนไทยมีลักษณะนิสัยอย่างหนึ่ง คือ "หัวอ่อน" อ่อนในที่นี้คือ "อ่อนปัญญา" หรือปัญญาอ่อนนั่นแหละ อย่าหาว่าด่ากันเลยนะครับ เราควรจะต้องใช้คำพูดที่กระแทกกระทุ้งความรู้สึกให้มันถึงก้นบึ้งหัวใจกันเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่รู้สึก คำๆนี้อาจมีส่วนถูกอยู่บ้างไม่เถียง แต่ที่ผิดและให้ผลเสียก็มีมากและจะต้องพูดถึงให้รู้ดำรู้แดงกันไป

"ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"เป็นคำแก้ตัวของคนโง่ และคนขี้เกียจ ที่ว่าเป็นคำของคนโง่ก็เพราะ

1.ไม่รู้เหตุแห่งความเชื่อ ไม่รู้ว่าสิ่งที่เชื่ออยู่นั้นแท้จริงคืออะไร? ทำไมถึงเชื่อ? และ

2.ไม่รู้ผลแห่งความเชื่อ ไม่รู้ว่าเชื่อแล้วจะนำไปสู่ผลอย่างไร? จะชักพาให้เกิดปัญญาและความเจริญงอกงามแก่ชีวิตหรือไม่? เป็นทางแห่งความดับทุกข์แท้จริงหรือไม่? และเป็นคำพูดของคนขี้เกียจเพราะ

3.ไม่สนใจที่จะใฝ่รู้เหตุแห่งความเชื่อนั้น ไม่สนใจที่จะทำให้ความลับกระจ่างแจ้ง

4.ไม่สนใจที่จะใฝ่รู้ว่าเมื่อเชื่อแล้วนั้นจะให้ผลแก่ชีวิตอย่างไร ปล่อยชีวิตให้ไหลลอยไปตามกระแสแห่งความเชื่ออย่างเคว้งคว้าง ลมๆแล้งๆประหนึ่ง หมาเน่าลอยตามแม่น้ำฉะนั้น มันหาได้รับรู้ว่าน้ำจะพามันไปไหน

เทพเจ้าหรืออิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ นั้นไม่จำเป็นเลยสำหรับมนุษย์ผู้มีปัญญาและความเพียรที่จะพ้นทุกข์ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการจะบอกกับมนุษย์ทุกคน เพราะเหตุว่า แม้เทพเจ้าเองนั้นก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นออกจากความทุกข์เยี่ยงปุถุชนได้เลย แล้วจะช่วยให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้อย่างไร ไม่เชื่อก็ลองศึกษาคัมภีร์ทางฮินดู หรือกรีกโรมันเอาเถิดจะเห็นว่าเทพเจ้านั้นไม่ต่างกัน คือยังเกลือกกลั้วอยู่กับกิเลส และกามเหมือนๆกัน มิหนำซ้ำบางองค์ยังมีโลภะ โทสะ โมหะจริต แรงยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก ฉะนั้นแล้วการนับถือเทพเจ้ามิได้จะทำให้มนุษย์สูงส่งขึ้นแต่อย่างใด คงจะเปรียบได้กับคนกระจอกที่ยอมเข้าสวามิภักดิ์กับนักเลงใหญ่เพื่อหวังการคุ้มครองฉะนั้น

การที่พระสงฆ์หลายรูปบอกว่า ท่านใช้สิ่งศักดิ์สิทธิ์วัตถุมงคลก็เพื่อเป็นกุศโลบายนำคนมาสู่ธรรมมะนั้น หากเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็ขออนุโมทนา หากแต่สิ่งที่สงสัยก็คือนั่นเป็นเหตุผล หรือเป็นข้อแก้ตัวกันแน่ ตรงนี้ต้องถามความจริงใจ ทุกวันนี้ต่างคนต่างมีเหตุผลแต่หาความจริงใจกันแทบไม่ได้ ผมอยากจะให้ทัศนะว่า การเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ที่จะประดิษฐานธรรมของพระพุทธองค์ให้อยู่ในจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ธรรมนี้จะนำพุทธศาสนิกชนออกสู่ที่แจ้ง ธรรมนี้ปฏิบัติแล้วไม่มีโทษ ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นโทษ ปฏิบัติธรรมนี้แล้วย่อมเจริญทั้งธรรมาสมบัติและโลกาสมบัติ ผิดจากนี้ย่อมไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า

การเอาเทพหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทั้งหลายมาเป็นสื่อเพื่อชักนำคนนั้น พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ เพราะมีส่วนให้โทษ เป็นเครื่องกั้นขวางปัญญา คนทั้งหลายผู้มีพลังปัญญาอ่อนแอก็จะติดยึดอยู่กับสิ่งเหล่านั้นไม่มี สิกขา คือการฝึกฝนพัฒนาตนให้สูงขึ้น หลงยึดถือสิ่งเหล่านั้นเป็นสรณะที่พึ่งตลอดไป

ในสังคมไทยเราทุกวันนี้ ขาดการทำให้กระจ่าง เพราะมัวแต่เกรงใจกันอยู่ไปมา นานเข้าก็มั่วพัวพันกันอีรุงตุงนังกันไปหมด ไม่รู้อันไหนเปลือกอันไหนแก่น คนไทยเดี๋ยวนี้นั้นไม่ใช่ไม่มีภูมิแห่งปัญญา หากแต่ถูกอวิชชาเคลือบไว้มาช้านาน หลงยึดติดเป็นมิจฉาทิฏฐิ หากแต่ในใจลึกๆก็ยังคงโหยหาทางแห่งความพ้นทุกข์กันอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อทางแห่งปัญญาไม่เปิด ก็เหลือเพียงทางแห่งอวิชชาเท่านั้นที่พอจะปลอบประโลมใจได้ เปรียบเหมือนคนป่วยที่เจ็บหนักไม่ได้รับการรักษา ต้องหันหน้าเข้าพึ่งสารเสพย์ติดเพื่อบรรเทา หน้าที่แห่งสงฆ์คือรีบรักษาด้วยธรรมมะบริสุทธิ์ ค่อยๆบำบัดกันไปนานเข้าอาการก็จะดีขึ้นอย่างถาวร ไม่ใช่ประวิงคนไข้ด้วยสารเสพย์ติด มอมเมากันอยู่อย่างนั้น แล้วเมื่อไหร่คนจะหายป่วย ก็จะมีชีวิตกันไปเรื่อยๆ แบบไม่มีอะไรดีขึ้น ฉะนั้นก็ขอสรุปว่าเรื่องเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นประหนึ่งสารเสพย์ติด ที่บำบัดได้ทันใจแต่ไม่ได้รักษาโรค แล้วเรา-ท่านอยากหายขาดจากโรค หรือว่าอยากเป็นเรื้อรังอยู่อย่างนั้นเล่า

เมื่อมีปรากฏการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะปรากฏการณ์ทางศรัทธานิยม หรือ ทานนิยม ก็จะก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันทีหนึ่ง โดยมากฝ่ายศรัทธานิยมก็จะถูกวิพากษ์ทำนองว่าโง่เง่างมงาย โดยเฉพาะจากฝ่าย(คิดว่ามี)สตินิยม โดยยกคัมภีร์ต่างๆ มาอ้าง หรืออ้างการปล่อยวาง อ้างปัญญา อ้างอนัตตา ด้วยภาษาเทพเทวดาที่ชาวบ้านร้านตลาดฟังแล้วก็ไม่เข้าใจว่านักวิชาการเทพเหล่านี้พูดอะไรกัน

คำถามตรงๆ คือ ปรากฏการณ์ศรัทธา เช่นกรณีจตุคามนี้ ส่งผลให้

1.มีผู้ปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้นหรือลดลง

2.มีผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นหรือลดลง

3.มีผู้ใส่ใจในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นหรือลดลง

4.มีผู้มีโอกาสได้เข้าวัดเพิ่มขึ้นหรือน้อยลง

ถามเองตอบเองได้เลยครับ

ส่วนกรณีงมงายไร้สาระ พุทธพาณิชย์ มีคนได้เงิน มีคนเสียเงิน ก็เป็นเรื่องธรรมดาโลกครับ กรณีจตุคามก็ไม่ได้ต่างกับกรณีแดจังกึม หรือกรณีกัลโช่ซีรี่อาร์ หรือกรณีต้องส่งลูกเรียนโรงเรียนอินเตอร์ หรือกรณีอื่นๆ ความจริงนักวิชาการศาสนา นักวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ น่าเอากรณีต่างๆ เหล่านี้มาเทียบเคียงกัน แล้วดูว่าเกิดผลกระทบอะไรกับพระพุทธศาสนา แล้วดูว่าจะใช้ประโยชน์จากการนี้ได้อย่างไรเพื่อยังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนามากกว่าที่จะมัวค่อนขอดค่อนแคะกันนะครับ

มีมากมายที่พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ แต่ท่านก็ไม่หน่ายอุบายครับ

ผมชอบลืมใส่ชื่อแฮะ.. เล่าประสบการณ์อีกดีกว่าครับ

สมัยวัยรุ่น ผมเคยไปศึกษาพวกวิชาอาคมคงกระพันหนังเหนียวอะไรกับเขาอยู่บ้าง พอให้รู้ว่าของอย่างนี้มีจริง ทำได้ สิ้นสงสัยแล้วก็แล้วกัน จากนั้นก็ไม่ได้ยุ่งด้วยอีก เพราะกระบวนการมันวุ่นวายนัก แต่เพราะสงสัย ก็เลยไปศึกษา ก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ แต่พอหลายปีให้หลัง ได้คุยกับพระเกจิอาจารย์หลายๆ ท่าน ท่านก็ว่าเดี๋ยวนี้ทำอะไรมากก็ไม่ได้ เขาหาว่าไม่ใช่กิจสงฆ์ พระดีๆ ท่านก็หน้าบาง ไม่ให้สอนท่านก็ไม่สอน ไม่ให้ทำท่านก็ไม่ทำ เลยเหลือแต่พวกปาหี่ปาฏิหาริย์หลอกลวงชาวบ้าน ที่กล้าทำกล้าหลอก ส่วนของแท้ๆ วิชาแท้ๆ ก็ค่อยๆ สาปสูญไปด้วยข้อหา...ไม่ใช่กิจสงฆ์ พวกนักวิชาการก็ดีใจไชโยโห่ร้องกันที่สามารถกวาดล้างทำลายวิชาโบราณคร่ำครึโง่งมงายเหล่านี้ไปได้ เหมือนกับยุคหนึ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันสามารถกวาดล้างแพทย์แผนโบราณ กวาดล้างยาสมุนไพรให้หายไปจากประเทศไทยสำเร็จ

จนกว่าจะมีฝรั่งหัวแดงมาบอกว่าเออ..ยาสมุนไพรมันก็ดีนะ

ก็จนกว่าจะมีฝรั่งหัวแดงมาบอกว่าเออ..วิชาคาถาอาคม เครื่องรางของขลัง...นี่มันก็ดีนะ (ก็คงไม่ไกลความจริงหรอกครับ เพราะเพื่อนต่างชาติเล่าให้ฟังว่าบ้านเขามีศูนย์ศึกษาเรื่องเหล่านี้กันเป็นเรื่องเป็นราว อย่างน้อยเท่าที่รู้เขาก็มีการซื้อหนังสือเกี่ยวกับยันต์ต่างๆ ของบ้านเรากลับไปศึกษา เพียงแต่ด้วยวิธีการศึกษาแบบตะวันตกมันคงยังยากที่จะเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้...แต่ก็คงไม่นานเกินรอ)

ส่วนนักวิชาการบ้านเราก็มีวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์มาก คือเห็นอะไรที่ดูไม่สมเหตุสมผลในสายตาตนเองหรือไม่มีกระบวนการที่จะพิสูจน์ได้ (ไม่มีเครื่องพิสูจน์ขายใน ebay) ก็ทึกทักเอาว่ามันต้องไม่มีอยู่จริง มันต้องงมงายไร้สาระ  ...คิดถึงกาลิเลโอจังเลยครับ

ตอบคุณที่ไม่แสดงตน ที่คุณคัดค้านความเห็นคนอื่นๆมานั้นก็พอฟังได้ แต่ก็คค่ำๆคูๆลอดใต้ขื่อใต้แปเหลือเกิน ผมไม่ได้เป็นนักวิชาการเทพนะ เพราะผมไม่ใช่เด็กเตบ แต่จะลองตอบคำถามที่คุณไม่แสดงชื่อถามไว้ 4 ข้อให้ดูนะ

1.มีนักเลงพระคนไหนหรือคนที่ห้อยจตุคามแล้วอยากไปปฏิบัติธรรมบ้างถ้ามีช่วยบอกที สาธุ๊!! แต่ถ้าไปขอหวย รดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ก็ค่อยว่ากัน

2.ลดลง!! ชัวป้าบ ฟันธง!! ที่บำรุงน่ะเขาไม่ได้บำรุงศาสนาดอก บักหำน้อยเอ้ย เขาโดนหลอก อยากให้เป็นเหมือนวัดธรรมกายก็เอาดิ

3.ยังจะมีหน้ามาถามอีก!! นี่คิดไม่ออกจริงอ่ะ คุณเอ๊ย แต่ไหนแต่ไรมาคนที่สนใจในพระพุทธศาสนาจริงๆมันน้อยอยู่แล้ว ก็ไอ้ที่คุณด่า ค่อนแคะ ทั้งสติ ปัญญา อนัตตา ปล่อยวาง อยู่นั่นแหละคุณ พุทธศาสนาทั้งนั้นเลย ก็ไม่แน่ใจที่คุณว่า คนจะใส่ใจในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นนั้นมันพระรุ่นไหน? ฮา.....

4.ข้อนี้ยากแฮะ!! บ้านผมอยู่ใกล้วัดทุกวันเห็นคนเข้า-ออกวัดเพิ่มขึ้นจริงๆ แต่ไม่ได้มาทำบุญหรอกนะ มาติดต่อขอจองจตุคามแฮ่ะๆ โอ้ข้อนี้ไม่เถียงจริงๆ แต่ที่เห็นอีกอย่างก็คือ พระก็ออกนอกวัดเพิ่มขึ้นด้วย ไม่เชื่อก็ลองไปเดินดูแถวท่าพระจันทร์ดิ หลวงพี่ หลวงน้า หลวงอา หลวงลุง ไปมุงซื้อจตุคามกันให้แซ่ด!

เห็นด้วยกับคุณเด็กเวรจริงๆค่ะ ถึงแม้ภาษาจะเฮี้ยวไปหน่อยก็เถอะ ความจริงก็คือความจริง คุณที่ไม่แสดงชื่อนี่เขาเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาใช้ปะปนกันมั่วไปหมด ไม่ได้แยกแยะว่ามันคนละเรื่องกัน อย่างเรื่องพุทธพานิชย์กับเรื่องแดจังกึม หรือฟุตบอลนี่เอามาเปรียบกันได้อย่างไรเอาส่วนไหนคิดไม่ทราบคะ ซ้ำยังมีหน้ามาบอกว่ามีได้มีเสียเป็นเรื่องธรรมดาโลก ก็เอาสิคะ ดิฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่า ถ้าวันหนึ่งมหาเถรสมาคมจะเข้าตลาดหุ้นบ้างท่านจะว่าอย่างไร ดิฉันว่าถ้าเข้าตลาดหุ้นคนทั่วโลกคงจะรู้จักพุทธศาสนาเยอะนะ หรือไม่ก็ขายหวยในวัดมันซะเลย คนจะได้เข้าวัดเพิ่มขึ้น เอาไหมคะ? คุณอย่าไปว่านักวิชาการเขาเลยที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เสียบ้าง พวกคุณนั่นแหละช่วยกันส่งเสริมศาสนาไปในทางที่ล่มจม 

ที่ไม่แสดงชื่อคือผมเองครับ คือลืมใส่ชื่อครับ อย่างว่าแหละครับ ผมก็ไม่ใช่พวกสตินิยม

ความจริงเรื่องศาสนานี่เขาห้ามเถียงกัน เพราะจะเป็นปัจจัยให้ทะเลาะกันได้

ผมเองครับ ห้อยจตุคามแล้วปฏิบัติธรรมครับ 8>  ถ้าบอกว่าเริ่มจากฝันเห็นแต่ไม่รู้จัก จากนั้นไม่นานอยู่ๆ ก็เกิดอยากขับรถเข้านครฯ ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยคิดจะแวะเข้าไปเลยเพราะคิดว่าเมืองนี้ไม่มีอะไร อยู่ๆ ก็อยากไปเที่ยววัดพระธาตุ โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่าเขาทำจตุคามกันที่นั่น แล้วก็จับพลัดจับผลูเช่าพระมา ทั้งๆ ที่ผมไม่ชอบเช่าพระแพงๆ จากนั้นปีนึง พระที่ผมบังเอิญเช่ามาก็เกิดแพงขึ้นร้อยเท่า  แล้วก็มีคนมาขอเช่าต่อ ผมก็เลยให้เขาไป เอาตังค์มาใช้ ...นี่ผมเลวมากเลยใช่ไหมครับ พุทธพาณิชย์ หากินกับพระ ฯลฯ

จบภาคปาฏิหาริย์ครับ ทีนี้มาดูความเป็นจริง

เพื่อนผมส่วนมากก็เป็นนักปฏิบัติธรรมครับ ต่างสายต่างวัด ต่างกระบวนการกัน แต่ก็พอเรียกว่าเป็นนักเลงพระได้ ก็ไปวัดกันเป็นกลุ่มตั้งแต่สมัยเรียน คุยกับพระเป็นวัน นอนค้างวัด ฝึกสมาธิ เช่าพระ บางทีถ้ามีคนมาขอซื้อแพงๆ ก็ขายๆ ไปบ้าง ได้เงินมาก็เอามาเป็นค่าขนมบ้าง เอาไว้ทำบุญบ้าง ผมเองไม่ค่อยนิยมเช่าพระ แล้วก็เลยไม่ค่อยมีเงินทำบุญ ส่วนพวกที่เช่าพระกันเยอะๆ เช่ามั่งขายมั่งนั่นว่าไปแล้วเขาทำบุญกันคนละเป็นล้านๆ แล้วครับ พระพุทธศาสนาที่คุณรักกันนักหนาน่ะอยู่ได้ด้วยเงินเหล่านี้แหละครับ เงินเหล่านี้แหละครับที่จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่ายารักษาโรค ฯลฯ ไม่ใช่ลมปากนักวิชาการครับ

อ้อ..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...ทรงสวมพระจตุคามครับ ถึงได้ดังไงครับ

เคยเห็นพระเดินตามร้านคอมพิวเตอร์ใช่ไหมครับ บางท่านก็รังเกียจว่านี่ไม่ใช่พระแท้ นี่ไม่ใช่พระปฏิบัติ

แล้วถามว่าสักกี่คนครับเคยเห็นศูนย์คอมพิวเตอร์ของเถรสมาคม ซึ่งถ้าได้มีโอกาสเห็นคงจะตกใจ เพราะแทบจะไม่ต่างจากห้องคอมพิวเตอร์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ใดๆ เลย หนังสือที่พระเรียน ข้อสอบที่พระสอบ ทะเบียนประวัติ บัญชี ฯลฯ ต่างๆ เหล่านี้ทำโดยพระครับ ท่านเหล่านี้อาจดูย่อหย่อนในธรรม ดูเหมือนผิดศีลเยอะแยะ แต่พระพุทธศาสนาก็ถูกค้ำจุนด้วยสิ่งเหล่านี้อีก  ถ้าไม่มีท่านเหล่านั้นที่เสียสละทำเรื่องเหล่านี้ คิดว่าพระพุทธศาสนาจะยังคงอยู่ในประเทศไทยได้หรือครับ คิดว่าเงินสำหรับกิจกรรมเหล่านี้มาจากไหนครับ ปัญญาชนหลายๆ ท่านก็ชอบพูดทำนองว่าแทนที่จะบริจาคเงินเข้าวัด สู้เอาเงินไปทำบุญกับโรงพยาบาล กับโรงเรียนดีกว่า ...คิดกันอย่างนี้มากๆ สิครับ ได้บุญเยอะครับ แต่ศาสนาอยู่ไม่ได้

พระพุทธศาสนาไม่ได้ดำรงอยู่ได้ด้วยคำพูดครับ แต่ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่างเกื้อหนุนกัน หากขาดปัจจัยเหล่านี้ พระไม่สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนา ขณะที่ฆราวาสแย่งกันบรรยายธรรม ...นี่อยู่ในพระไตรปิฏกเลยนะครับ ว่าด้วยความเสื่อมของพุทธศาสนา

 เคยเห็นการ์ตูนชุดประวัติศาสตร์ไทยไหมครับ วิชาประวัติศาสตร์เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเด็กมายาวนาน พอมีการ์ตูนชุดนี้ ตอนแรกๆ ครูก็ต่อต้าน ต่อมาก็ตูม..ขายได้หลายแสนเล่ม แล้วเด็กที่อ่านการ์ตูนก็เกิดสนใจประวัติศาสตร์กันเป็นแถวเป็นแนว มากบ้างน้อยบ้าง แต่คะแนนเฉลี่ยดีขึ้น ตอนหลังเขาก็เลยต้องมาไล่แจกรางวัลให้กับหนังสือ  กรณีเดียวกันเคยเกิดขึ้นกับเกมคอมพิวเตอร์ชุดสามก๊กเมื่อสิบกว่าปีก่อน จนเกิดกระแสพิมพ์สามก๊กไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเป็นหนังสือที่มีไว้ประดับตู้

ดังนั้นปัญหาสี่ข้อนั่น ขอให้พิจารณาด้วยใจเป็นธรรมครับ

ท่านอาจารย์ประพนธ์ที่เคารพ

    ผมว่าเทพคงไม่ได้บังธรรมหรอกครับ  แต่ที่คนพึ่งเทพในขณะนี้คงเพราะไม่รู้จะพึ่งพาอะไร  บางคนบอกว่าพึ่ง คมชหรือรัฐไม่ได้ก็เลยพึ่งเทพดีกว่า  ผมว่าคนที่จะพึ่งธรรมได้คือต้องรู้ธรรมก่อนครับ  คือมีปัญญา   และปัญญาก็ต้องกิดมีในตนนั่นเอง  พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้มนุษย์พึ่งตนเองคือที่พึ่งที่ดีที่สุดครับ

อึม...ต้องนึกถึงคำที่หลวงพ่อฯ สอนบ่อย ๆ ว่า "ตถตา"

แม้แต่สุริยันยังต้องอับแสง  เพราะแรงบังของเมฆก้อนใหญ่...แต่มิได้หมายความว่าสุริยันพักการทอแสง

แม้จะมองว่าเมฆบดบังแสง...มิได้หมายความว่าเมฆไร้ประโยชน์...สรรพสิ่งที่ปรากฏให้เห็น...มิใช่เหตุบังเอิญ...แต่เจตนารมณ์แห่งฟ้าจะเป็นเช่นใด...เกินวิสัยปุถุชนจะหยั่ง

อริยบุคคลรู้ได้...ปุถุชนรู้เพียง "ตถตา" ก็พอจะได้ไม่ทุกข์

อาจารย์รู้สึกอยากจะร้องให้...ก็ปล่อยออกมาเลยครับ...อย่าเก็บไว้เลยความรู้สึกไว้เลย...อารมณ์ที่อ่อนไหว  ไวต่อความรู้สึก..เป็นของมนุษย์ที่สมบูรณ์ครับ

ศาสนา อาจจะคงอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ
เทพหรือธรรมจะยังคงอยู่หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ

ความจริง ต่างหาก ความจริงที่ว่า ทุกอย่างเกิดแล้วดับ

หลายคนรับไม่ได้ ที่ศาสนาจะเสื่อมสลาย โลกจะแตกดับ มนุษย์จะสูญพันธ์

มีใครบอกสิ่งนี้หรือเปล่า วันข้างหน้าอาจจะไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาจจะเป็นใครก็ได้

มันเป็นเรื่องที่ยอมรับยากมากนักหรือ?????

ปล. ผมไม่ได้พูดเกี่ยวกับบันทึกเลย แต่ก็คงเกี่ยวอยุ่บ้าง

เอาเป็นว่า ลองนึกดูว่ ถ้าไม่มีเมื่อวานนี้แล้วล่ะ วันนี้จะมีประโยชน์อันใดเล่า(หรือว่ามันไม่เกี่ยวอยุ่ดี)

ความจริงคือ  ความจริงและไม่จริงใช่ไหมครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท