กุศโลบาย



มน & นิ ลูกรัก

วันนี้พ่อมีเรื่องมาเล่าให้ฟัง 3 เรื่อง เกิดต่างสถานที่ ต่างเวลากัน ฟังรายละเอียดเผินๆ ก็เหมือนแตกต่างกัน…

แต่หนูลองอ่านให้จบ อาจจะเห็นอะไรร่วมกันบางอย่างก็ได้นะ

 


 

เรื่องแรก เกิดที่อังกฤษ…

ว่ากันว่า ตามถนนหนทางในอังกฤษนั้นมักจะเต็มไปด้วยโปสเตอร์คอนเสิร์ตและงานปาร์ตี้ที่แปะรกตาเป็นที่สุด หน่วยงานท้องถิ่นของรัฐต้องเสียเวลาและใช้เงินจำนวนมากในการกำจัด หรือตามฟ้องร้องเจ้าของงาน

แล้ววันหนึ่ง ก็มีคนปิ๊งไอเดียสุดกิ๊บเก๋ โดยทำแถบสติ๊กเกอร์สีส้มสุดแสนโดดเด่น ตรงกลางพิมพ์ตัวหนังสือสีดำเน้นๆ เห็นกันชัดๆ ว่า CANCELLED (ยกเลิก)

จากนั้นก็นำสติ๊กเกอร์ ‘ยกเลิก’ นี่ไปแปะทับโปสเตอร์คอนเสิร์ตและงานปาร์ตี้ทั้งหลาย ;-)

เพียงชั่วข้ามคืน โปสเตอร์เหล่านี้ก็หายไป!


 

เรื่องที่สอง เกิดที่ประเทศชิลี…

ประเทศชิลีนี่อยู่ในทวีปอเมริกาใต้ โดยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่รัฐบาลของชิลีเกลียดชังสหรัฐอเมริกา

ในขณะนั้น ทูตอเมริกันประจำประเทศชิลีชื่อ เฟลตเชอร์ โดยเมื่อแรกไปประเทศชิลีก็ต้องมีพิธีการรับรองตามธรรมเนียม

ในพิธีนั้น บรรดาพวกนักธุรกิจได้มาเข้าร่วมอย่างเสียไม่ได้ แถมยังมีคนหนึ่งพูดตะโกนเสียงดังเป็นภาษาสเปนว่า ตัวเขาเองจะไม่ยอมซื้อสินค้าอะไรจากอเมริกาเลย แม้แต่เชือกผูกรองเท้าเส้นเดียวก็ไม่ซื้อ!

ที่นักธุรกิจคนนั้นพูดเป็นภาษาสเปนก็เพราะว่า ภาษาสเปนเป็นภาษาพื้นเมืองของชิลี อีกทั้งเขายังคิดว่าท่านทูตเฟลตเชอร์คงจะไม่เข้าใจ เพราะในระหว่างการสนทนาท่านทูตพูดแต่ภาษาอังกฤษตลอดเวลา 

พอถึงช่วงกล่าวสุนทรพจน์ ท่านทูตกลับปล่อยภาษาสเปนออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“ท่านสุภาพชนทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้สึกว่างานที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้มานั้นเห็นจะไม่ได้ผลดีเสียแล้ว เพราะว่าหน้าที่อันสำคัญของทูต คือการผดุงความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างชาติพี่น้องทั้งสอง แต่ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี พอวันแรกที่มาถึงก็ได้ทราบว่า ตลาดสินค้าเชือกผูกรองเท้าถูกทำลายลงไปเสียอย่างหนึ่งแล้ว…”

ผู้คนหัวเราะกันครืน แม้แต่ผู้ที่ตะโกนว่าจะไม่ซื้อเชือกผูกรองเท้าก็พลอยหัวเราะไปด้วย แถมต่อมายังกลายมาเป็นเพื่อนของเฟลตเชอร์  

บรรยากาศการค้าระหว่างอเมริกาและชิลีกลับดีขึ้นกว่าเดิม

เพราะกลุ่มนักธุรกิจที่มาร่วมงานพิธีเหล่านี้ต่างก็ช่วยกันสนับสนุน

 



เรื่องสุดท้าย เกิดในเมืองไทยบ้านเรานี่เอง…

เรื่องนี้ พ่อหาหนังสือต้นเรื่องไม่เจอ แต่จำแก่นสาระของเรื่องได้อย่างนี้นะ…

 

ในการแข่งขันวิ่งมาราธอนครั้งหนึ่ง เส้นชัยอยู่ที่จังหวัดสระบุรี 

การวิ่งมาราธอนนี่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าเส้นชัยได้ทั้งหมดนะ เพราะมักจะมีหลายคนที่หมดแรง หรือถอดใจหยุดวิ่งไปกลางทาง ส่วนคนที่วิ่งเข้าเส้นชัยได้ถึงจุดหมาย ก็มักจะหยุดพักผ่อนอยู่แถวๆ เส้นชัยนั้นเอง

แต่มีอยู่คนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว แต่กลับวิ่งต่อ…วิ่งไปเรื่อยจนถึงลพบุรี!

มีคนไปถามเขาว่าทำไม? ทำไมถึงวิ่งต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ถึงจุดหมายที่สระบุรีแล้ว?

เขาบอกว่า บ้านเกิดเขาอยู่ที่ลพบุรี และแม่ของเขายังอยู่ที่นั่น

เขาบอกว่า ระหว่างที่กำลังวิ่งมาราธอนพร้อมกับคนอื่นๆ อยู่นั้น เขาไม่ได้คิดถึงเส้นชัยที่สระบุรี

 

แต่เขาบอกตัวเองว่า เขากำลังจะกลับบ้าน…กลับไปหาแม่…กลับไปกราบแม่….

 


 

หนูฟังทั้ง 3 เรื่องนี้แล้ว ลองคิดดูสักนิดว่าทำไมพ่อถึงนำมาเล่าไว้ ณ ที่เดียวกันนี้…

พ่อจะบอกหนูในมุมมองของพ่อก็แล้วกัน...

 

เรื่องแรก – ใช้ ‘สติ๊กเกอร์ CANCELLED ยกเลิก’ ปิดทับพวกโปสเตอร์เลอะเทอะ แม้จะมีค่าใช้จ่ายในการพิมพ์สติ๊กเกอร์อยู่บ้าง (คิดเป็นเงินไทย ราวๆ 17,000 บาท) แต่เงินจำนวนนี้ ช่างน้อยนิด เมื่อเทียบกับวิธีการปกติที่ใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นจ้างคนไปเก็บออก นำไปทำลาย ตามฟ้องร้อง ฯลฯ ซึ่งแทบจะไม่ได้ผลอะไรเลย

แต่การใช้สติ๊กเกอร์นี่ได้ผลชะงัด เข้าทำนอง “หนามยอก เอาหนามบ่ง”

เรื่องที่สอง -  ‘สุนทรพจน์ของท่านทูตอเมริกัน’ นี่เป็นตัวอย่างคำพูดของคนฉลาดแบบเสือซ่อนเล็บ คือ ซ่อนความรู้ภาษาสเปนเอาไว้ แต่ใช้ได้อย่างเฉียบคม & เหมาะสมกับเวลา

และที่สำคัญ คือ ใช้อย่างมีอารมณ์ขัน

เรื่องที่สาม – คิดว่า ‘วิ่งกลับบ้าน กลับไปกราบแม่’ นี่นับเป็นวิธีสร้างแรงจูงใจในเชิงบวก ไม่เกิดผลเสียใดๆ ต่อคนอื่นแม้แต่น้อย แถมยังวิ่งได้สำเร็จ คือ ถึงจุดหมาย (จริงๆ แล้ว เกินจุดหมายด้วยซ้ำ) 

พร้อมยังได้ของแถมคือ กลับบ้านไปหาแม่ อีกต่างหาก

 

 ทั้ง 3 เรื่องนี้ เป็นตัวอย่างของการใช้อุบายอันชาญฉลาด

เรียกสั้นๆ ว่า กุศโลบาย ซึ่งมาจากคำว่า กุศล + อุบาย

 การใช้กุศโลบายนี้จะทำให้เกิดผลดีทั้งต่อตนเองและคนรอบข้าง

และในบางครั้งผลดีนี้อาจขยายไปสู่ชุมชนหรือแม้แต่สังคมได้ทีเดียว


พ่อหวังว่าหนูทั้งสองจะสามารถคิด และเลือกใช้ ‘กุศโลบาย’ อันเหมาะสม

ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ด้วยตนเองนะ :-D



รักลูกเสมอ
พ่อ

จันทร์ 16 เมษายน 2550 ที่บ้าน

 


ปล. เรื่องที่เล่ามานี้มีที่มาดังนี้

  • เรื่องแรก (“CANCELLED”) พ่อนำมาจากหนังสือเล่มเล็กๆ แต่อ่านสนุก ชื่อ an idea a day to change the world มีบรรณาธิการชื่อ ทรงกลด บางยี่ขัน (หน้า 8)
  • เรื่องที่สอง (“เชือกผูกรองเท้า”) มาจากหนังสือ กุศโลบาย เขียนโดย หลวงวิจิตรวาทการ (หน้า 103)
  • เรื่องสุดท้าย (“วิ่งกลับไปกราบแม่”) นั้น คุณหนุ่มเมืองจันท์ เล่าเอาไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง (ตอนนี่ยังหาไม่เจอว่าเล่มไหน)


 
คำสำคัญ (Tags): #กุศโลบาย
หมายเลขบันทึก: 90654เขียนเมื่อ 16 เมษายน 2007 21:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 21:02 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (34)

ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับเรื่องราวที่เป็นแง่คิดดีๆ

ว่าแต่.. บทความจากพ่อถึงลูก จบในตอนเป็นบทๆแบบนี้ ก็เป็น กุศโลบาย ในการเขียนหนังสือที่น่ารักมากๆเหมือนกันนะคะ

ไม่เพียงสามารถเก็บไว้ให้ลูกอ่าน ทั้งยังสามารถรวบรวม รวมเล่มได้ เป็นคอนเซปต์หนังสือที่น่าสนใจมากๆเลย

อีกทั้งเป็นคุณพ่อที่น่ารักมากๆ

ชื่นชมค่ะ  ^________^

 

 

แหม! นี่แหละที่ทำให้คุณ k-jira เป็น blogger ในดวงใจของผม อ่านความคิดทะลุเลย เอาเป็นว่า ถ้าหนังสือเล่มนี้ออกมาจริง คุณ k-jira จะได้อ่านเป็นคนแรกๆ เลย :-)

จริงๆ แล้ว ลูกสาวของผมยังไม่ได้อ่านหรอกครับ แต่หวังว่าอีกไม่นาน และถึงจะไม่ได้อ่าน ผมก็จะหาโอกาสเหมาะๆ เล่าให้เขาฟัง ตอนนี้ ก็เล่าให้ตัวเองฟังไปพลางๆ ก่อนครับ ;-)

สวัสดีค่ะอาจารย์บัญชา

ดิฉันไปประชุมเรื่องการทำแผนฯมาสองวันค่ะ   คราวนี้เขาใช้คำว่า กุศโลบาย แทนคำว่ากลยุทธ์ และใช้คำบาลีต่างๆแทนคำภาษาอังกฤษอันเป็นศัพท์เฉพาะที่เคยใช้แต่เดิมจนชิน  คือแนวๆว่าจะเป็นกุศโลบายที่จะนำ วิถีพุทธ วิถีไทย มาใช้ 

แต่มีข้อจำกัดว่าผู้เข้าประชุมใช้คำฝรั่งมาจนชิน  เลยต้องแปลไทยเป็นไทยกันหลายยก แล้วก็ทำความเข้าใจอยู่นาน.....น้านนาน  ก็ยังไม่ใคร่จะตรงกัน   .....นี่อาจเป็นกุศโลบายของผู้จัดการประชุม   ในการให้ผู้เข้าประชุมฝึกคิด  ปกติดิฉันก็คิดไม่ค่อยทันเพื่อนอยู่แล้ว  เจอกุศโลบายเช่นนี้เข้าก็ถึงแก่วิงเวียนตาลาย

ผู้เข้าประชุมหลายท่านเลยร่วมใจกันกลับไปคุยกันโดยใช้คำฝรั่ง(ศัพท์เฉพาะ)อย่างเดิม  เพื่อให้เข้าใจตรงกัน  แถมด้วยการวงเล็บคำฝรั่งต่อท้ายคำไทยที่ไม่เข้าใจ   ทุกคำ  

......นี่อาจเป็นกุศโลบายในการสื่อสาร  ว่า "ขอให้(ใช้คำ)เหมือนเดิม"ก่อนได้ไหม หรือไม่ก็นิยามศัพท์พร้อมยกตัวอย่างให้ชัด     จะได้ไม่ต้องแปลไทยเป็นกันใหม่ทุกครั้งที่คิดจะทำแผน (คือเอาแนวคิดสำนักไหน ก็ให้แน่ไปสักแนวคิด   จะได้ใช้ศัพท์ของสำนักนั้นให้ถนัดมือ)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่างไรไม่ใคร่แน่ใจ  แต่ที่แน่ๆคือด้วยกุศโลบายเช่นนี้  ในช่วงบ่าย สมาชิกก็ bye-bye กันไปหลายคน 

ดิฉันนึกถึงเรื่อง กุศโลบาย  ของอาจารย์ เชื่อมกับเมื่อวันประชุมแล้วก็นึกยิ้มเพราะเรื่องแรกที่อาจารย์เล่า 

คือเกือบจะได้แปะป้าย CANCELLED (ยกเลิก) อะค่ะ.....

ปล.1. ดิฉันนึกออกอย่างนึงค่ะ  เวลาอาจารย์เขียน  ดิฉันรู้สึกว่าอาจารย์เขียน "ชัด"   (คือเหมือนอาจารย์คิดก่อนแล้วว่าผู้อ่านจะสงสัยอะไร  อาจารย์ก็จะอธิบายไว้ให้ก่อน)   อ่านแล้วไม่เกิดคำถามเพราะไม่สับสน  
ปล. 2. ดิฉันเสียดายมากด้วยค่ะที่โน้ตเรื่อง กุศโลบาย ที่ดิฉันโค้ดมาจากเพื่อนหายไป  ในวันประชุม  ( เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีที่คุณพ่อฝึกคุณลูกเล็กๆ   เรื่องโทษของการไม่ยอมไปโรงเรียน ด้วยกุศโลบายที่น่ารักมาก) เสียดายจังค่ะ
ปล.3. และดีใจจังค่ะ  ที่อาจารย์เขียนบันทึกถึงลูกแล้วรวมเล่ม  ดิฉันคิดว่าผู้อ่านชอบงานเขียนของอาจารย์ เหตุผลหนึ่งก็เพราะอาจารย์มีมุมมองที่ละเอียดอ่อน  และมีวิธีสื่อสารได้อย่างนุ่มนวล  เห็นจริง   เช่นที่อาจารย์บอกลูกในบันทึกหนึ่งว่า

"หากวันใด พ่อบอกหรือสั่งให้หนูทำอะไรที่ไม่เข้าท่า...ก็อย่าลืมถามพ่อกลับด้วยว่า "พ่อจ้ะ...ทำไมหนูต้องทำอย่างนั้นด้วย?"

ดิฉันส่งให้เพื่อนซึ่งเป็นคุณพ่อของลูกวัยหกขวบอ่าน  เขาชอบใจมาก    แล้วก็เอาไปซ้อมพูดกับภรรยา  ว่า " แม่จ้ะ...ทำไมพ่อต้องทำอย่างนั้นด้วย" 

ดิฉันว่าเป็นกุศโลบายของเขาแน่ๆเลยค่ะ :)

 

ให้แง่คิดดีจังครับพี่ชิว ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ อาจารย์ดอกไม้ทะเล

         เห็นด้วยว่า แบบที่อาจารย์เล่ามาควรเรียกว่า กุศโล-bye ครับ เพราะให้คนฟัง bye-bye ไปกันเยอะ ;-)

         เรื่องการใช้ศัพท์ที่ไม่เข้าใจนี่ ผมก็มีปัญหาครับ อย่างถ้ามีคนเขียนว่า "ในเชิงสัญญะ..." หรือ "นี่นับเป็นวาทกรรมร่วมสมัย...." อะไรนี่ ผมต้องนึกซ้ำคิดซ้อนไปสักพักกว่าจะเข้าใจ...เฮ้อ!

         เขียนให้ "ชัด" นี่เป็นรูปแบบหนึ่งครับ ผมใช้ในกรณีที่ต้องการให้คนอ่านรับสารไปอย่างสบายๆ หน่อย

        แต่ถ้าต้องการ "ซ่อน" ความหมายเอาไว้ ก็ต้องทำแบบอื่น ใช้ในกรณีที่ต้องการให้คนอ่านคิด หรือกรณีที่ไม่อยากให้ตัวเองโดนฟ้องร้อง! ;-)

        ส่วนเรื่องสุดท้ายของอาจารย์นี่ เป็นกุศโลบายของเขาแน่ๆ ครับ...แต่ถ้าไม่ work ขึ้นมา ผมต้องโดนด้วยแน่ๆ (ในฐานะแหล่งข้อมูล + ต้นคิด)...อิอิ

       

สวัสดีค่ะ เฮียชิว

 อ่านบทความข้างบนรู้สึกดีใจแทนซี้ซิ้มกับซี้เจ็กค่ะที่สร้างเฮียมาได้ดีหยั่งเงี้ยะ

ชอบเรื่องที่เฮียเขียนค่ะ

 แล้วจาเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่เรื่อย ๆ นะคะ

 ระลึกถึง

กุ้ง

สวัสดีครับ กุ้ง

        ดีใจจังที่แวะเข้ามาคุยในนี้

        เมื่อวันก่อนเสียดายที่ไม่ได้เจอเนี้ยวกับอ๊อด ฝากความคิดถึงด้วย

        อ่านแบบซึ้งๆ แล้ว ลองไปอ่าน 'ขำได้ก็ดี' หน่อย ออกแนวเฮฮาครับที่ http://gotoknow.org/blog/funny-stuffs

สวัสดี คุณชิว   ผมแวะมาเยี่ยมครับ เขียนดีจริง ๆ  น่าติดตามมากครับ
  • ขอชมว่าอาจารย์มีอารมณ์ขันแบบมีสาระจริงๆ ครับ
  • ชักอยากเป็นลูกสาวอาจารย์แล้วซิครับ อิอิ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ สงสัยเมืองไทยต้องนำวิธีแรกมาใช้แล้วค่ะ ชอบค่ะหนามยอกแล้วเอาหนามบ่ง 

ขอบคุณค่ะที่นำเรื่องดี  ๆ มาเล่าให้ฟังค่ะ น่ารัก แถมแฝงเรื่องความเป็นจริงได้อย่างแยบยลค่ะ

สวัสดีครับ หมอจิ้น

         ดีใจครับที่แวะมาเยี่ยมอีก ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ตอบใน G2K เพราะไปม้วเตรียมค่ายสำหรับเด็ก และจัดการงานคั่งค้างอยู่ครับ

สวัสดีครับ คุณธรรมาวุธ

         ขอบคุณสำหรับคำชมซึ่งเป็นกำลังใจครับ

         เอ่อ...ถ้าคิดจะมาสมัครเป็นลูกสาวผม หรือลูกสาวใครก็ตาม ขอแนะนำให้ไปผ่าตัดแปลงเพศก่อน แล้วค่อยมาว่าว่ากันอีกทีครับ ;-)

สวัสดีครับ คุณ Ranee

         ผมคิดว่า ถ้าจะลองน่าจะหาวิธีจัดการกับการทิ้งขยะในที่สาธารณะก่อนครับ ใครมี 'กุศโลบาย' ดีๆ ไหมเอ่ย?

อาจารย์ชิวคะ

พลาดบล็อกนี้ไปนาน ได้อย่างไร

ค่อยๆอ่านทีละบล็อก อย่างช้าๆ ยาวรวดเดียว

มีความสุข ตอนอ่าน ทั้งที่อาจารย์เขียน และที่โต้ตอบกัน

 เห็นด้วยกับที่คุณ ดอกไม้ทะเลและหลายๆคน เขียน   เลย

นึกถึงเมื่อได้ช่วย รุ่นพี่(คุณหมอศิริราช)เปิดคลินิกสมัยก่อน (ตอนนี้หยุด เพราะ รวยซะแล้ว ) มีคนไข้เด็กมาตรวจไม่ต่ำกว่าวันละ 60 ส่วนมากจะมีคุณ แม่มาส่ง

มีสัก 1 ในสิบมั้งที่เป็นคุณพ่อ

ตอนคุยด้วยเรื่องราวอาการเจ็บป่วยก็ ได้เรียนรู้ ว่าคุณแม่คุณพ่อ มีหลากหลายแบบ มากมาย

มัก คิดในใจแทนลูกๆ   ว่า ถ้าเราเป็นเด็ก  พ่อแม่ที่เราอยากจะได้  สำหรับเด็กๆ น่าจะเป็นแบบไหน อย่างไร

แล้วให้ Rating คุณแม่ คุณพ่อ

คัดไว้ในใจ ตอนนี้ก็ยังจำได้ คุณแม่คุณพ่อในดวงใจมีใครบ้าง  ซึ่งก็มีไม่มากนัก

อ่าน เขียนไว้..ให้ลูกอ่าน  แล้วน่าชื่นใจกับน้องทั้งสองคน ที่มีคุณพ่อที่เข้าใจเหลือเกิน

จะเรียน อาจารย์ ว่า

อาจารย์ ได้รับคัดเลือกเป็นคุณพ่อในดวงใจ ด้วยค่ะ

สวัสดีครับ อาจารย์หมอรวิวรรณ

          ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

ผมจะเล่นกับลูกเปลี่ยนไปเป็นระยะ ตอนเขาเล็กๆ จะพยายามอ่านหนังสือให้ฟังก่อนนอนทุกวัน (ยกเว้นวันไหนที่กลับดึกมาก เขาหลับไปก่อน หรือผมเพลียจริงๆ)

ช่วงต่อมาก็วาดการ์ตูนให้เขาระบายสี ต่อมาหัดเล่นปิงปองด้วย (ทำให้รู้ว่า เด็กสัก 5-6 ขวบนี่ ก็เล่นได้แล้ว และเล่นได้อย่างมีสมาธิด้วย)

แต่ตอนนี้เจ้าคนโต (มน) เขียนการ์ตูนเองได้แล้ว เขียนเป็นเรื่องด้วยครับ

ปล. ลูกของคุณหมอทั้งสามคนนี่อายุเท่าไรแล้วครับ ของผม ตอนนี้ (มิ.ย. 50) มน 9 ขวบครึ่ง ส่วน นิ 7 ขวบเดือนนี้ครับ ;-)

คำถามอาจารย์ ชิว ทำให้รำลึกอดีต เลย

มีความสุข กับการมองดูเด็กๆ เขาเติบโต  เติบโต จน ตอนนี้ เขาหยุดโต แล้ว

 

 

ไม่รู้สึกว่านาน เลย แป๊บเดียวเขาก็ โต

 

 

พี่เป็นคน จัดระเบียบ และเลี้ยงสไตล์ คุณ โอ๋ อโณทัย ที่นี่ เลยค่ะ  

 

รูมเมทพี่  (คุณหมอชำนาญ) เป็นคนให้ความสุขสนุกสนานเฮฮา ลดความเครียดให้ลูก

พาลูกเที่ยว  เล่นเกมส์ต่างๆ สอนปิงปองให้ลูกเหมือนอาจารย์ ด้วย  เราเลยได้ ลูก ทั้ง 3 คนที่ภูมิใจทุกครั้งเมื่อคิดถึงเขา

 

 

ตอนนี้ คนโต  น้อยหน่า จบแพทย์แล้ว เพิ่งรับ ปริญญา  กำลังใช้ทุน ที่ รพ พาน

 

คนที่ 2  น้ำหนับ นักศึกษา แพทย์ เชียงใหม่อยู่ ปี 3 

 

คนสุดท้าย เจ้านุกนิก อายุ 15 ปี เรียน ม 5 อยากเป็น จิตแพทย์ หรือ สัตวแพทย์ ค่ะ

 

เท  มาทางสายนี้หมดเลยทั้งที่พ่อแม่ไม่เชียร์

ออกจะห้ามนิดหน่อยด้วยซ้ำค่ะ

 

เขาเป็นคนเลือกเองนะคะ และแต่ละคน รู้ชัดดี ทีเดียวว่าเขาเลือกเพราะอะไร

บางที แฮ่ม ! ขอ อนุญาติคุยนิดค่ะ ว่าคนถามว่าเลี้ยงยังไง ถึงได้ แบบนี้

 

บอกได้ แค่ว่า ต้องรีบดูแล

 

 

อย่ามัวเอาเวลาไปทำสิ่งรีบด่วน แต่ไม่จำเป็น

 ให้เวลา รักมากๆ และตั้งใจให้เขาดี และมีความสุข

 

การให้เวลา ให้ความรัก เป็นสิ่งรีบด่วน และจำเป็น  

 

เพราะ เด็กๆ โตเร็ว และเร็วมากเลย

 

นะคะ

สวัสดีครับ อาจารย์หมอรวิวรรณ

          ขอบคุณมากครับสำหรับคำแนะนำที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและความจริงใจ

          ผมคิดว่าเป็นเรื่องจริงที่สุด คือ ทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำในช่วงเวลาที่เหมาะสม

          บางคนบอกว่า หน้าต่าง หรือประตูแห่งโอกาสมักจะเปิดระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานนัก หากไม่ใช้ช่วงเวลานั้น ก็จะหมดสิทธิ์ใช้

          ลูกๆ ของอาจารย์โชคดีจังครับ ที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่น่ารักและเข้าใจ ^__^

          ...............................................

          เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมไปให้สัมมนาที่เชียงใหม่ซะ 2 วัน เลยยุ่งๆ ไม่ได้เข้ามาในนี้

          วันแรกให้สัมมนาเรื่อง ลมฟ้าอากาศ กับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ตกบ่ายได้ขึ้นดอยอินทนนท์ด้วยครับ อากาศดีจัง :-D

          วันที่สองของการสัมมนา มีครูจากโรงเรียนในเชียงรายมาฟังหลายท่านด้วยนะครับ (เป็นครูวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมต้น)

          ไว้ถ้ามีโอกาสไปเชียงราย จะบอกกล่าวให้อาจารย์หมอทราบก่อนครับ ;-)

สุดยอดเลยค่ะพี่ชิว เรื่องโปสเตอร์นี่ชอบใจอย่างแรง create สุดๆ แก้ปัญหาได้แบบไม่ต้องไปตามล้างตามเช็ดลายชั้น เอ็งแปะ ข้าก็แปะทับ ใครเสียมากกว่าก็ดูเอา ไว้จัดการกับพวกที่เห็นแก่ตัวได้ดี ส่วนเรื่องฑูตนี่ต้องบอกว่าฉลาดใช้คำพูดสุดๆ สมกับเป็นนักการฑูต เปลี่ยนบบรรยากาศตึงเครียดให้กลายเป็นผ่อนคลายได้ เรื่องสุดท้ายน่ารัก แต่ถ้าทำตามอาจจะเป็นลมตายได้ นับเป็นวิธีสร้างแรงบันดาลใจที่ดีค่ะ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับหลายๆ เรื่อง positive thinking ดีต่อสุขภาพจิตตัวเองและคนรอบข้าง

สวัสดีครับมาอ่านและลงชื่อไว้ :) ดีจังครับ

สวัสดีครับ

        ซูซาน : เรื่องโปสเตอร์นี่ เข้าใจว่า คุณทรงกลด บางยี่ขัน นำไปรวมเล่มในหนังสือ ต้นไม้ใต้โลก ด้วยครับ (โฆษณาให้ฟรีเลยเอ้า!)

            ส่วนเรื่องวิ่งนี่ คงไม่เอาด้วยแน่ (เป็นลมตายได้อย่างที่ว่ามานั่นแหละ...อิอิ) แต่หลักการน่าจะใช้ได้ คือ สร้างแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่กว่าเป้าหมาย อย่างพี่นี่เวลาเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ลงนิตยสาร หรือเขียนหนังสือ จะคิดเสมอว่า วันหนึ่งเมื่อเราจากไปแล้ว บทความหรือหนังสือนี้จะพูดแทนเราต่อไปอีกนาน...

        กวิน : พี่ยังไม่ได้แวะไปฟังเพลง Puff เลย เพลงโปรดเลยนะเนี่ย

สวัสดีค่ะ

  • พี่เคยเข้ามาอ่านบันทึกนี้ด้วยค่ะ แต่ตอนนั้นไม่ได้ลงร่องรอยไว้ ^^
  • พออ่านแล้วคิดถึง "พ่อ" ค่ะ
  • พ่อพี่เขียนบันทึกตั้งชื่อว่า อัตชีวสาธกสาร เล่าเรื่องครอบครัว ลูกแต่ละคน ทิ้งไว้ให้พวกเราอ่านค่ะ เสียดายตอนนั้น ถ้าพ่อพี่รู้จัก G2K ใครก็คงได้อ่านด้วยแน่ๆ เลย (แต่ อิอิ ดีแล้วที่พ่อไม่เอาไปเผยแพร่ที่ไหน พ่อเล่นเล่าเรื่องชีวิต แล้วใส่มุมมองความเห็นของพ่อ (ในฐานะอาบน้ำร้อนมามากกว่า) ลงในนั้น...เฮ้อ เง้อ...) ตอนนั้นพ่อยัง Hot  บิ๊กบอสอมรินทร์ถามว่าเอามาพิมพ์ไหม ทุกคนลงมติ ไม่เอาค่ะ
  • เขียนต่อไปนะคะ และบอกสองสาวน้อยให้ทราบว่าพ่อมีบล็อกนี้แล้วยังคะ พอเด็กๆ โตอีกนิด จะเขียนตอบพ่อค่ะ เราทุกคนจะได้เห็นมุมมองของเป้าหมายบล็อกนี้ด้วยค่ะ

สวัสดีครับ พี่ดาว

         บันทึก อัตชีวสาธกสาร นี่ต้องถือว่าเป็นเอกสารสำคัญของครอบครัวครับ ในนั้นต้องมีข้อความ & ข้อคิดที่เป็นอมตะหลายอย่างด้วยเป็นแน่ เพราะการที่พ่อเขียนถึงเรื่องในครอบครัวนั้น ย่อมต้องมีความลึกซึ้งจากประสบการณ์ตรงแทรกอยูด้วย

          บล็อกนี้จะมีบันทึกใหม่ก็ต่อเมื่อผมคิดว่ามีประเด็นที่จำเป็นต้องเก็บไว้ให้เป็นทั้งแบบส่วนตัว & แบบสาธารณะในคราวเดียวกันครับ

     

สวัสดีค่ะ

* อ่านแล้วให้แง่คิดดีค่ะ

อาจรย์คะ เห็นลิ้งค์ตั้งนานแล้ว(บันทีกพุงโต*หมอมัทนา) เพิ่งกด..

กุศโลบายค่ะ
อยากมาก ๆ แล้วค่อยอ่าน

ขนลุก ดีใจที่ได้อ่านเรื่องดี ๆ

ปริ้นท์ไปให้ลูกและคุณพ่อขายาวอ่านด้วยค่ะ

เมื่อสักพักที่ผ่านมา ตอนที่ต้องเปลี่ยนแผนการเที่ยวแบบครอบครัวเพราะเพื่อนของลูกที่จะไปด้วยเกิดตัวร้อนขึ้นมา ก็ต้องหยุดสักนิด คิดสักหน่อยจึงลงตัว ม่วนซื่นกันทุกคน

อ่านบันทึกนี้ แล้วคิดว่า คนที่รู้จักคิด คิดเป็น คิดบวก คิดให้ คิดลึก คิดดี...และ...นั้นถ้าทำได้ จะดีจังเลยค่ะ

ส่วนตัวยังต้องฝึกและฝน(ทั่งจนกว่าจะเป็นเข็ม..แหละค่ะ)

ขอบคุณค่ะ

 

 

สวัสดีครับ อาจารย์ นาง พรรณา ผิวเผือก (ไม่มีชื่อกลาง)

        ขอบคุณครับ ถ้าอาจารย์มีข้อคิดเห็นอะไรตอนหลัง ก็ยินดีอย่างยิ่งนะครับ

สวัสดีครับ คุณหมอ จริยา

        รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ชอบบันทึกนี้นะครับ

        ผมคิดว่าข้อคิดจากคุณหมอหน่อย - พญ รวิวรรณ หาญสุทธิเวชกุล ใน comment 14 & 16 ก็มีคุณค่าอย่างยิ่งทีเดียวครับ 

 อย่ามัวเอาเวลาไปทำสิ่งรีบด่วน แต่ไม่จำเป็น

 

 ให้เวลา รักมากๆ และตั้งใจให้เขาดี และมีความสุข

การให้เวลา ให้ความรัก เป็นสิ่งรีบด่วน และจำเป็น  

เพราะ เด็กๆ โตเร็ว และเร็วมากเลย

 

                บันทึกผมเอง - ปิดบล็อกนี้ไปพักหนึ่ง (อีกแล้ว)

                แต่กลับมาเปิดใหม่ เพราะลูกคนโตเป็นวัยรุ่นแล้ว

                             พ่อคงต้องปรับตัวกันยกใหญ่ ;-)

 

น้องชิวคะ..

เป็น"อุบาย" ที่เป็น"กุศล" ยิ่งค่ะ

น้องชิวเป็นคนช่างคิด..ช่างฝัน  รวมทั้งมีความละเมียดละไมในความเป็นวิทยาศาสตร์ที่เป็นเหตุเป็นผล  ยิ่งผนวกกับอารมณ์ขัน  มองบวก จึงทำให้สื่อ..ในสิ่งที่มีคุณค่าสู่สายตาเพื่อนๆ  พร้อมแลกเปลี่ยนด้วยอัธยาศัยที่น่ารัก

ยิ่งมีผู้รู้ที่มีประสบการณ์มาบอกเล่า..จึงนับเป็นมหาโชคของผู้รับสารค่ะ

เรียนรู้ชีวิตด้วยชีวิต..

เก่งจริง..ขอบคุณค่ะ

 

สวัสดีค่ะ อาจารย์บัญชาค่ะ

  • ขอบคุณค่ะที่เปิดบันทึกนี้ให้อ่านกันอีกครั้ง
  • อาจารย์บันทึกไว้ ตั้งแต่ ๑๖ เม.ย. ๒๕๕๐ แหนะค่ะ
  • เป็นกุศโลบายที่แยบคายมากๆ ค่ะ
  • แวะอ่านคอมเมนท์จากคุณหมอรวิวรรณ แล้วเยี่ยมไปเลยค่ะ มีคุณค่าอย่างที่อาจารย์บัญชาว่าไว้จริงๆ ค่ะ
  • อย่ามัวเอาเวลาไปทำสิ่งรีบด่วน แต่ไม่จำเป็น
  • การให้เวลา ให้ความรัก เป็นสิ่งรีบด่วน และจำเป็น  
  • ขอบคุณค่ะ

สวัสดีครับ พี่อ้วน

          ทั้งหมดทั้งปวงเหล่านี้ ล้วนเป็นภูมิปัญญาของคนอื่นที่ผมเคยอ่านพบครับ ต้องยกความดีงามให้กับผู้ที่คิด & ใช้กุศโลบาย รวมทั้งคนที่นำมาถ่ายทอดเป็นหนังสือให้เราอ่านครับ

          เรียนรู้ชีวิตจากชีวิตตนเอง คนร่วมสมัย & คนในอดีต น่าจะเป็นแก่นแกนของการศึกษาไม่ว่าวัฒนธรรมไหน

          ขอบคุณพี่อ้วนที่แวะมาเยี่ยม & ให้กำลังใจครับ ^__^

สวัสดีครับ คุณ ณัฐพัชร์

       ผมเข้าใจว่าการใช้กุศโลบายนี่มีมากมายในชีวิตของคนๆ หนึ่ง เพียงแต่ว่าเราจะจำได้ จดเอาไว้ หรือ (มีใคร) นำไปเล่าต่อหรือไม่เท่านั้น

      น่าเป็นห่วงเหมือนกันที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นัก....ถ้าจะเป็นอุบาย ก็มักจะนำไปใช้ในทางการตลาดซะมากกว่าครับ

      อ้อ! บล็อกนี้เปิดปีละ 1 ครั้ง ครั้งละไม่นานครับ...เลียนแบบ "หน้าต่างแห่งโอกาส" ซึ่งมักจะเปิดๆ ปิด...อิอิ...ล้อเล่นน่ะครับ :-P

พี่ชิวคะ ........ (เสียงสูง)

ขอบคุณมากๆ สำหรับบันทึกน่ารักๆ ที่ทำให้หนูรู้สึกถึงความอบอุ่นและความรักที่พี่ชิวมีให้น้องทั้ง 2 คนค่ะ :)

นอกจากนี้ยังได้เห็นมุมมองและแนวคิดดีๆ อีกด้วย

ชอบใจจังเลยค่ะ

ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้หนูรู้สึกเบิกบาน และมีพลังที่จะวิ่งต่อไป ^__^

ขอบคุณครับคุณพ่อ เอ๊ย คุณพี่ชิว ได้ความรู้อย่างดีเลยครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ ^_^

เห็นด้วยกับทุก ๆ ความคิดเห็นข้างต้นเลย ^^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท