Acad.-Edu.
นางสาว ธันย์ชนก ปานทะโชติ

Blog Tag : อย่าเดินลัดสนาม ◕‿-。..


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าเดินลัดสนาม"

                   ก่อนอื่น ก็ต้องขอโทษท่านอาจารย์ราณีค่ะที่เข้ามาร่วมเล่น Blog Tag ช้าไปหน่อย ขอแก้ตัว หรือจะเรียกว่า สารภาพก็ได้ค่ะ ว่า จะหาเรื่องลับ-ลับให้ครบ 5 เรื่องก่อนแล้วค่อยนำมาลงให้อ่านทีเดียวเลย แต่ใช้เวลามาเป็นสัปดาห์แล้วค่ะ ก็ยังรวบรวมไม่ครบ 5 เรื่องสักที เพราะมัวคัดสรรเรื่องลับจริง-จริงมาลงค่ะ

                   เอาเป็นว่า เพื่อไม่ให้กิจกรรมนี้หมดสนุกไปซะก่อน ขอลงทีละเรื่องแล้วกันนะคะ  

                   เริ่มเรื่องลับ-ลับเรื่องแรกกันเลยดีกว่าค่ะ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...

                   มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ช่วงนั้นเป็นช่วงกีฬาสีของโรงเรียน และด้วยความที่เป็นเด็กเก่งกีฬาม๊าก-มาก เลยทำหน้าที่ได้แค่เป็นกองเชียร์ แฮะๆๆๆ  พอเล่ามาถึงตอนนี้ ก็ขออธิบายลักษณะภูมิประเทศของสถานที่ในการซ้อมเชียร์ก่อนค่ะ

 กองเชียร์ของสีต่างๆ ก็จะซ้อมเชียร์ที่ใต้ถุนตึกเรียน ซึ่งเป็นตึกเรียนกลาง กว้างเลยทีเดียว มีนักเรียนมากมายที่สุด ทั้งกองเชียร์ของแต่ละสี ทั้งนักกีฬาที่ซ้อมอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น เอาเป็นว่า นักเรียนเขาไปรวมอยู่ที่นั่นกันมากมายคับคั่ง ฮั่นแน่ เริ่มสงสัยใช่ไหมคะว่า ทำไมถึงต้องอธิบายเรื่องนี้ ก็คือว่า เป็นเรื่องที่สร้างความอับอายที่สุดในชีวิต ไม่มีวันลืมเลยค่ะ ...

                   ตึกที่เราไปซ้อมเชียร์ก็เป็นตึกใหม่ บริเวณโดยรอบ ปลูกหญ้า เขียวเชียว มีต้นเฟื้องฟ้าเตี้ยๆ โดยรอบ และเพื่อให้ต้นเฟื้องฟ้า ตั้งตรงเป็นแถวเป็นแนว สวยงาม คนสวนเขาก็เอาลวดมาขึงให้เป็นรั้วสำหรับเฟื้องฟ้า อีกทั้งถัดจากต้นเฟื้องฟ้าไป ก็จะเป็นท้องร่อง ทำราวกับเป็นลำธารเล็กๆ และคนสวนเขาก็ปักป้ายด้วยว่า "ห้ามเดินลัดสนาม" 

                  เดากันถูกแล้วแน่เลยว่าเกิดอะไรขึ้น... เมื่อซ้อมเชียร์เสร็จ ด้วยความกระหายน้ำอย่างมาก และร้านขายน้ำก็อยู่ใกล้ๆ แค่ข้ามรั้วเฟื้องฟ้าไปก็ถึงแล้ว และด้วยเหตุนั้นเอง  จึงไม่คำนึงถึงป้ายห้ามปราบใดๆ หรือแม้กระทั่งคำเรียกของเพื่อนว่า "อย่าเดินลัดสนาม เดี๋ยวครูตีนะ"  แต่เด็กหญิงคนนั้นก็คิด (ในใจ)   ว่า ถ้าเราวิ่งไป ครูคงไม่ทันเห็น คงไม่ถูกตีหรอกน่า

                  ทันใดนั้น เด็กผู้หญิงคนนั้น ก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว และแล้ว เท้าก็สอดเข้าไปพอดีกับลวดที่ขึงต้นเฟื้องฟ้าไว้ เท่านั้นเอง จึงล้มหน้าคะมำ ลงไปในท้องร่องที่มีน้ำอยู่เต็มเปี่ยมเลย เท้าก็ยังค้างอยู่กับลวด แต่ทั้งตัวและหน้าคว่ำอยู่ในท้องร่อง วูบค่ะ เพื่อนๆ ที่วิ่งเข้ามา นึกว่าจะช่วยเรา กลับยืนดูหัวเราะกันท้องแข็งเลย รวมไปถึงคนที่คับคั่งบริเวณนั้น ก็ฮากันยกใหญ่ รวมไปถึงลุงคนสวนด้วยที่คงจะสมน้ำหน้าอยู่ในใจ 

                   พอช่วยตัวเองลุกขึ้นมาได้ ก็วิ่งต่อแบบไม่คิดชีวิตเลย  วิ่งขึ้นตึกเรียนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ดีนะที่เอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนสำหรับซ้อมเชียร์ ไม่งั้นนะ แหม ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะกลับบ้านยังไง คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็อายขึ้นมาทุกที

                    บอกตรงๆ ค่ะว่า วันรุ่งขึ้นไม่อยากไปโรงเรียนเลย นอนคิดมาทั้งคืนแล้วว่าจะทำยังไงดี เพราะอายมากจนอธิบายไม่ได้ถึงระดับความอายที่มีอยู่ ณ ตอนนั้น ก็เลยตัดสินใจ เปลี่ยนทรงผมใหม่ โดยการเปลี่ยนจากแสกผมข้างขวามาแสกผมข้างซ้าย แล้วใช้กิ๊บติดผมตัวอื่น ส่วนตัวที่ใช้เมื่อวาน ทิ้งเลยค่ะทิ้งไป นั่นคือความคิดเด็กๆ คิดว่าใครคงจะจำไม่ได้   แล้วก็เดินก้มหน้าก้มตาเข้าไปตั้งแต่หน้าโรงเรียนถึงห้องเรียนเลย แต่ก็ไม่พ้น โดนเพื่อนในห้องล้อให้อายอยู่ดี จึงกลายเป็นเรื่องขำประจำห้องไปอยู่หลายเดือนทีเดียว เฮ้อ อายค่ะอายสุด-สุด

                      จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่มักง่ายอีกเลย ไม่เดินลัดสนาม เข้าตามตรอก ออกตามประตู ถูกต้องตามประเพณีนิยมทุกอย่าง (เกี่ยวกันไหมเนอะ?) ก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของตนเองและทรัพย์สินของผู้อื่น ดีนะที่ไม่ทำรั้วเฟื่องฟ้าของคุณลุงเสียหาย ไม่งั้นโดนครูตีแน่ๆ 

           นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "อย่าเดินลัดสนาม"  นะคะ

                       โปรดติดตามตอนต่อไป...

หมายเลขบันทึก: 79949เขียนเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2007 22:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 19:05 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
  • ตามมาขำๆๆ
  • ล้มแล้วเจ็บไหมครับ
  • เป็นผมคงอายครับ
  • สนุกดีเขียนบ่อยๆนะครับจะตามมาอ่าน
  • ขอบคุณครับ
...อาย...จนลืมเจ็บไปเลยค่ะ...
  • ดีนะครับที่มีเสื้อมาเปลี่ยน
  • ติดตามมาอ่านครับ และจะอ่านต่อไป
  • ป้ายเขียนว่า "อย่าเดินลัดสนาม"
  • แต่เด็กคนนั้น "วิ่งลัดสนาม" เลยเกิดเรื่อง
  • เรื่องนี้ลับจริงๆ ไม่บอกไม่รู้
  • น่าจะมีป้ายที่เขียนว่า "ห้ามวิ่งลัดสนาม"  บ้างนะครับ
  • และถ้าวันนั้นเขียนเช่นนี้ ก็อาจจะไม่มีเหตุการณ์นั้นอุบัติขึ้น หรืออาจจะกลายเป็นเดินลัดสนามและหกล้มก็เป็นได้เช่นกัน
  • ยิ้ม ๆ 

สวีดัด(สวัสดีค่ะ)

    อาจารย์เขียนซะมองเห็นภาพไปกับอาจารย์ด้วยเลย  แค่เรื่องแรกก็ขำกลิ้ง (ยกนิ้วให้เลยค่ะ)  อย่างนี้เขาเรียกกรรมทันตา ทำนองรู้ว่าห้ามทำแล้วยังทำ ถ้าราณีอยู่ในเหตการณ์ก็ต้องหัวเราะ  อะล้อเล่นค่ะ เข้าไปช่วยทันทีเลย  จะติดตามเรื่องที่ 2 นะค่ะ

   ขอบคุณค่ะที่เขียน ยังติดหนี้อีก 4 ข้อนะค่ะ

แค่ข้อแรกก็ขำแล้วค่ะ  อีก4 ข้อก้มาบอกเ็ร็วๆนะคะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท