ผมได้รับบล็อกแทคจาก คุณวันเพ็ญ [บันทึกนี้] ความจริงแล้วผมติดตามกิจกรรมบล็อคแทคอยู่เหมือนกัน ตั้งใจว่าถ้าผมโดนแทค คุณวันเพ็ญจะเป็นคนแรกๆ ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะแทคต่อ แต่ปรากฏว่ากลายเป็นโดนคุณวันเพ็ญเป็นฝ่ายแทคเสียเอง
ความจริงผมโดนแทคหลายวันแล้ว แต่ด้วยช่วงนี้สำนักหอสมุดกำลังจะประเมินตรวจสอบตนเองภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์นี้ ผมเลยขอเฉลยความลับของตัวเอง 5 ข้อดังนี้ครับ
ความลับที่ 1 ชอบแกล้งน้อง
ความลับเรื่องนี้คือ ผมเป็นพี่คนโตครับ น้องคนรองเป็นผู้หญิง ห่างกันไปสองปี ส่วนน้องคนสุดท้องเป็นผู้ชายห่างกับคนผู้หญิงอีกสองปี แม่เคยบอกว่า มีลูกสามคนเวลาสองคนทะเลาะกันจะได้มีกรรมการ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่อย่างนั้น กลายเป็นว่า อีกสองคนสุมหัวกันรุมอีกคนหนึ่ง ผมเป็นคนที่ชอบแกล้งชอบแหย่น้องมากโดยเฉพาะน้องชาย เวลาโดนแกล้ง เค้าจะส่งเสียงร้องเพื่อบอกให้แม่รู้ว่า อย่าเห้! อย่าเห้! ซึ่งผมก็มักจะล้อเลียนเค้าว่า เป็นพม่าเหรอถึงร้องว่าอย่าเห้ แต่ปัจจุบันนี้แกล้งไม่ได้แล้ว ครับเพราะน้องคนนี้ เค้าเป็นตำรวจ ย้ายไปเป็นปลัด และสุดท้ายพ่อจับย้ายมาเป็นสรรพสามิตเหมือนพ่อครับ
ความลับที่ 2 ถ้าโมโหหรือโกรธจะอารมณ์ร้ายมากๆ
หลายๆคนที่ได้ใกล้ชิด หรือทำงานกับผมจะรู้ว่าผมเป็นคนใจดีมากๆ ไม่ค่อยดุใคร (ไม่รู้จริงหรือเปล่าหรือว่าคิดเอาเอง) ผมจะค่อนข้างพยายามมองโลกในแง่ดี เพราะจะทำให้เราทำงานแล้วสบายใจ ไม่เอาเรื่องที่เครียดๆ หรือมุมมองที่ไม่ดี มาคิด แต่ถ้าผมได้โมโห หรือโกรธขึ้นมาแล้วผมจะเป็นอีกคนหนึ่งเลย บางทีหยุดตัวเองไม่อยู่ เรียกว่าสามารถทำร้ายคนได้ถ้าโมโห ดังนั้นถ้าผมโมโหหรือโกรธใครผมจะเลี่ยงหนีไปซะ อยู่นิ่งๆ เงียบ ไม่โต้ตอบ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปสักพัก เมื่ออารมณ์เย็นขึ้น เหตุการณ์ก็จะคลี่คลาย ผมจำได้ครั้งหนึ่งผมเคยพาเพื่อนไปเที่ยวบ้าน แล้วสุนัขที่บ้านผมเกิดไม่ยอมกันกัดกันอย่างบ้าเลือด ผมนำน้ำไปสาดเพื่อให้แยกยังไงก็ไม่หยุด ความโมโหของผมทำให้ผมคว้าไม้ไล่ตีสุนัขทั้งสองตัวแบบไม้ยั้ง จนเพื่อนที่ไปด้วยตกใจในความโมโหของผม แล้วเค้าพูดว่าผมดูน่ากลัวมากเวลาโกรธ
ความลับที่ 3 ผมกลัวเมีย
เรื่องนี้อาจกลายเป็นเรื่องตลกในวงเหล้าของผู้ชายแล้วมั้งครับ "เอ้า ! ใครไม่กลัวเมียบ้างยกมือขึ้น" ผมจำได้ว่า ศาสตราจารย์ ดร.พนัส หันนาคินทร์ เคยปาฐกถาให้พวกเราฟังว่า ใครที่กลัวเมียแล้วจะเจริญก้าวหน้า ผมเป็น ลูกศิษย์ที่ดี ก็เลยปฏิบัติตามคำสอนของท่านอาจารย์พนัส ผมว่าเมียผมเค้าดุ จริงๆ ครับ ผมไม่ทานเหล้า ก็เพราะเมียสั่งไว้ว่าเหล้าไม่ดี เวลาไปอยู่ในวงเหล้าแล้วผมปฏิเสธไม่ได้ ผมก็จะอ้างอยู่สองอย่างครับ คือไม่สบาย กับเมียสั่งไว้ (555) อีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าได้เงินได้ทองมาให้เอามาส่งให้เมียก่อน แล้วถ้าอยากได้อะไร ก็ให้มาเบิก ผมว่าอันนี้ก็เป็นกุศโลบายที่ดีสำหรับผู้ชายครับ (แต่บางทีผมก็เม้มๆ ไว้บ้างครับ จุ๊...จุ๊...จุ๊ อย่าไปบอกเมียผมนะคร๊า....บ)
ความลับที่ 4 ผมนิสัยขี้เหนียว
อันนี้เป็นนิสัยอันฝังลึกที่ผมแก้ไม่หายสักที เรื่องนี้ต้องเล่ากันยาวเป็นนิยายปุรัมปุรา เลยครับ เพราะการที่ครอบครัวผมถูกปลูกฝังมาแต่เล็กๆ ครับ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวยากจน ยายทวดผมได้รับฉายาว่าขี้เหนียวมาก (อันนี้พ่อพูด) พ่อผมเป็นคนที่ค่อนข้างใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ทั้งๆ ที่มาจากครอบครัวยากจนเหมือนกัน แต่ฝั่งแม่นั้นเป็นคนตระหนี่ และชีวิตผมค่อนชีวิตได้รับการอบรมเลี้ยงดูโดยแม่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคนิคการใช้ยาสีฟัน ที่บีบยาวแค่เม็ดถั่วเขียวก็พอแล้ว แค่นี้ก็ฟองฟอด(แม่บอก) และเมื่อใช้หมดก็ต้องไล่บีบจากก้นหลอดให้หมดจดจริงๆ การใช้สบู่ก้อน เมื่อใช้จนบางแล้วก็ต้องนำไปรวมกับสบู่ก้อนใหม่ ไม่ทิ้ง ถุงพลาสติกใส่ของเมื่อใช้แล้วก็ต้องนำมาตากเก็บไว้ใช้ใส่ของได้อีก จนเมื่อเก่ามากๆ แล้วจึงนำไปห่อฝรั่งต่อไป ส่วนแป้งทาตัวเราก็จะเททาแต่พอตัว ไม่เททิ้งมากๆ จวบจนผมแต่งงานมีครอบครัว เมียผมจะเป็นคนใจสปอตมากๆ ซื้อของอะไรก็จะซื้อครั้งละมากๆ ที่บ้านผมตอนนี้ยาสีฟันที่วางอยู่บนอ่างล้างหน้ามีเป็น สิบๆ หลอด แต่ละคนมียาสีฟันประจำตามความชอบของตนเอง สบู่ที่ใช้ก็เป็นสบู่เหลว เรียกว่าเวลาอาบน้ำจะใช้ครึ่งหนึ่งทิ้งซะครึ่งหนึ่ง แป้งทาตัวใช้ไม่ทันหมดกระป๋องก็หยิบกระป๋องใหม่มาใช้แล้ว น้ำหอมมีเป็นสิบๆ ขวด ใช้ไม่หมดต้องนำไปฉีดแทนยาดับกลิ่นรองเท้าบ้างก็มี จะเห็นว่าสองคนที่มาจากสองครอบครัวที่แตกต่างกัน ต้องมาปรับตัวเข้าหากัน ความสปอตจ่ายง่าย กับความตระหนี่ถี่เหนียว ก็มีทั้งด้านดีและด้านเสีย แต่ทั้งนี้มันมาจากการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันนี่เอง ที่ปลูกฝั่งนิสัยของคนให้แตกต่างกัน
ความลับที่ 5 ผายลมดัง
ความลับนี้ดูเหมือนไม่ค่อยน่าจะภิรมณ์นัก แต่ต้องบอกว่าด้วยการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษครับ คือในบ้านผม พ่อจะเป็นคนผายลมดัง แต่ในบ้านก็จะเห็นเป็นเรื่องตลกครับ แม่และน้องสาวก็จะไม่รับสืบทอด เรื่องนี้ แต่ผมกับน้องชายจะได้รับสืบทอดกันมา และเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งความตลก และเรื่องที่น่าอายก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปในครอบครัว บางครั้งแม่ผมก็นึกสนุก ทำเรื่องธรรมชาตินี้ออกมาผสมโรงบ้าง เราก็จะแกล้งแหย่แม่กัน ด้วยการทำเสียง ว่า อานแน๊! แม่ก็จะยิ้มๆ เราก็สนุกกัน และเมื่อผมต้องมามีครอบครัว สิ่งที่เคยทำมาเมื่อต้องมาอยู่กับครอบครัวพ่อตาแม่ยาย ก็ต้องกระมิดกระเมี๊ยนกันบ้าง แต่เมื่อแยกครอบครัวออกมา และอยู่ที่บ้าน (เฉพาะที่บ้านเท่านั้นจริงๆ) เราก็จะปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องธรรมชาติของครอบครัว (คนภายนอกไม่เกี่ยว) สำหรับคนที่ผมอยากรู้จักกับเขามากขึ้นก็คือ
- ยุพา สุวรรณมณี http://gotoknow.org/blog/acadamic
- สุนิสา พรหมมณี http://gotoknow.org/blog/sunisaphom
- ศศิธร http://gotoknow.org/blog/information
- พิษณุ http://learners.in.th/blog/negative
- ดรีม http://gotoknow.org/blog/suikadream
เฮ้อ .. โล่งอก .. โชคดีจริงๆ ที่ตูนเป็นลูกสาวคนเดียวแต่ไม่ได้รับมรดกชิ้นเดียวกับอาจารย์มาจากคุณพ่อน่ะค่ะไม่งั้นคงดูกันไม่จืดแน่ๆ เลยค่ะ