งดเหล้าเข้าพรรษา


งดเหล้าเข้าพรรษา

นายพิเชฐ  คำถาเครือ

 โรงพยาบาลแม่สรวย   จังหวัดเชียงราย

 

             ช่วงนี้เป็นเทศกาลเข้าพรรษา ที่จริงหากพิจารณาแล้วกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่ต้องปฏิบัติตามพระธรรมวินัยไม่เดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆต้องอยู่จำพรรษาเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานก็นับเป็นโอกาสอันดีที่พุทธศาสนิกชนจะได้ตั้งใจในการทำความดี จึงมีการถือศีล ปฏิบัติธรรม ละเว้นสิ่งที่ชั่วและ อบายมุขทั้งปวง ปัจจุบันก็มีการเชิญชวนให้งดเหล้าในช่วงเข้าพรรษาด้วยนับว่าเป็นสิ่งที่ดีฉบับนี้ก็เลยมีเรื่องเกี่ยวกับเหล้าหรือสุราตามความเชื่อของคนล้านนามาเล่าสู่กันฟัง

          เหล้าหรือสุรามีประวัติความเป็นมาซึ่งเขียนเป็นอักษรล้านนาลงในคัมภีร์ใบลานกล่าวว่า           สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดนางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้กล่าวถึงความเป็นมาของเหล้าว่า ในเมืองพาราณสีมีพรานป่าผู้หนึ่งชื่อสลา ได้เข้าไปหาผลไม้ในป่าหิมพานต์ และพบต้นไม้ซึ่งภายในกลวงมีน้ำขังอยู่ในโพรง เมื่อผลไม้ต่างๆ หล่นตกลงไปก็หมักแช่อยู่ในนั้น ครั้นนกและสัตว์มากินก็เมามายไม่ได้สติ นายพรานจึงตักน้ำนั้นมาดื่มกิน พร้อมกับนำสัตว์ที่สลบอยู่มาย่างกินด้วย ต่อมาพรานป่าไปพบกับฤาษีชื่อวรุณณะ ซึ่งสร้างอาศรมอยู่ในป่าแห่งนั้น จึงนำน้ำเมาและเนื้อย่างไปถวาย ฤาษีกินแล้วก็เมามายจนเลิกบำเพ็ญพรตในที่สุด และเรียกน้ำเมานี้ว่าสุราเมรัย ต่อมาพรานป่ากับฤาษีได้นำน้ำเมานี้ ไปเผยแพร่ในเมืองพาราณสี พระเจ้าพรหมทัตได้ลิ้มรสก็ติดใจ ชาวเมืองทั้งหลายจึงเรียกน้ำชนิดนี้ว่า "เหล้า" และเมื่อผู้คนในเมืองดื่มกินแล้วก็ขาดสติไม่มีความยั้งคิด ทำให้เกิดเรื่องร้ายต่างๆ ตามมา นายพรานสลากับฤาษีวรุณณะกลัวความผิด จึงหนีไปยังเมืองสาเกตุ เจ้าเมืองทราบข่าวจึงขอให้คนทั้งสองต้มเหล้าขาย เมื่อผู้คนในเมืองได้ดื่มกินแล้วก็เมามาย สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ทั้งสองคนจึงพากันหนีไปยังเมืองสาวัตถี พระเจ้าสัพพมิตต์ผู้เป็นกษัตริย์ จึงโปรดให้เข้าเฝ้า และสั่งให้หมักเหล้า 500 ไห แต่ทั้งสองเกรงว่าหนูจะมากินเหล้า จึงจับแมวมัดติดไหเหล้าไหละ1ตัว บังเอิญน้ำเหล้ารั่ว เมื่อแมวได้กินก็เมาสลบอยู่ คนรับใช้มาพบเข้าคิดว่าแมวตาย จึงกลับไปกราบทูลให้พระเจ้าสัพพมิตต์ทราบว่า ในไหเหล้านั้นมียาพิษ พระเจ้าสัพพมิตต์จึงสั่งประหารชีวิตพรานป่าสลาและฤาษีวรุณณะ ต่อมาแมวฟื้นจากอาการเมาแล้ว คนรับใช้มาพบเข้าจึงไปกราบทูลให้พระเจ้าสัพพมิตต์ทราบ พระเจ้าสัพพมิตต์สงสัยในรสชาติของเหล้า จึงลองเสวยดูพร้อมกับเสนาอามาตย์  ในขณะนั้นพระโพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระอินทร์เล็งเห็นมนุษย์กระทำบาป จึงแปลงร่างเป็นพราหมณ์มาปรากฏกายต่อหน้าพระพักตร์  เมื่อพระเจ้าสัพพมิตต์ได้เห็นรัศมีแผ่ออกมาจากร่างกาย ก็ถามพราหมณ์ว่าเป็นพระอินทร์จริงหรือ พระอินทร์ตอบว่าจริงและกล่าวถึงโทษของเหล้าว่า ถ้ากินในเมืองมนุษย์ก็ทำให้คนขาดสติ สามารถกระทำความชั่วต่างๆ ได้ง่าย หากกินในเมืองสวรรค์ก็ทำให้เกิดความเดือดร้อนเช่นเดียวกัน หลังจากได้รับคำชี้แจงสั่งสอนจากพระอินทร์แล้ว พระเจ้าสัพพมิตต์จึงสั่งให้ทำลายเหล้าทั้ง 500 ไหนั้น และเลิกเสวยเหล้า หันมาถือศีลบำเพ็ญทาน เมื่อตายไปแล้วก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ ส่วนคนทั้งหลายยังเกิดความเสียดาย จึงเก็บเชื้อเหล้าไว้ ทำให้มีเหล้าแพร่หลายสืบมา ตราบจนกระทั่งปัจจุบัน

 

               มีนิทานอีกเรื่องหนึ่งกล่าวถึงเหล้าไว้ว่า  ในเมืองหนึ่งมีแม่หม้ายคนหนึ่งลูกชายคนเดียวของนางเป็นคนนิสัยไม่ดี นางจึงไล่ออกจากบ้าน และด่าว่า "มึงเป็นแดดมา กูก็ไม่ตากข้าว มึงเป็นพระเจ้ามา กูก็ไม่ไหว้มึง" ต่อมาลูกชายนางได้ไป อยู่กับชาวบ้าน แล้วก็กลับใจทำตัวเป็นคนดี ขยันแข็งแรง ตั้งใจทำงาน ต่อมามีหญิงสาวคนหนึ่งมาชอบ และอยากได้เป็นสามี แต่พ่อแม่ของนางกีดกันบอกว่า ถ้าหากแต่งงานกับชายคนนี้ก็จะไล่ออกจากบ้าน ด้วยความรักที่ผูกพันเสน่หาทั้ง ๒ คนก็ลักลอบแต่งงานกัน และหนีไปอยู่อีกที่หนึ่ง ตั้งใจทำมาหาเลี้ยงชีพจนพอมีเงินทองและทั้งคู่ก็มีจิตใจดีชอบทำบุญเข้าวัดฟังเทศน์ ฝ่ายสามีคิดจะไปขอขมาแม่ของตน จึงได้เก็บเอาผลไม้ พริก มัน เผือก และข้าวของจำนวนมาก ใส่เกวียนเดินทาง ไปหาแม่ที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้าน แม่ของตนไม่ยอมรับ เพราะว่าได้พูดคำสัตย์ไว้แล้ว เขาเสียใจ แล้วนำของไป ถวายพระที่วัดพอไปวัด พระก็ไม่รับโดยบอกว่าแม้แต่แม่ของเจ้ายังรับไม่ได้แล้วอาตมา จะรับได้อย่างไร ทั้ง ๒ สามีภรรยานำของเหล่านั้นเดินทางกลับบ้านของตน ขณะที่กลับไปได้ครึ่งทางคิดว่าตนจะกลับบ้านก็รู้สึกละอายเพื่อนบ้าน  ก็ไปพบต้นไม้ต้นหนึ่งมีโพรงไม้ใหญ่ จึงคิดว่าที่ไหนๆก็มีพระอาศัยอยู่ทุกที่ ได้นำเอาของเหล่านั้นมาเทใส่โพรงไม้เพื่อทำบุญ ต่อมาฝนตกหนัก น้ำฝนได้ เข้าไปท่วมข้าว เผือกมัน พริก ผลไม้และรากไม้ต่างๆที่อยู่ในโพรงไม้นั้น ต่อมามีนกและกวางสัตว์ต่าง ๆ มากินน้ำ ในโพรงก็มีอาการมึนเมาพากันร้องและเต้นอยู่เรื่อยไป ขณะนั้น พรานป่าคนหนึ่งมาเห็นนกมากินน้ำแล้ว ก็เต้นไล่จิกกัน พรานป่าได้ยิงนกจนลูกธนูหน้าไม้หมด นกตายเป็นจำนวนมาก แต่พวกที่เหลืออยู่ก็ไม่หนีไป นายพรานจึงไปจับนกที่เมาซึ่งยังไม่ตายมาใส่ย่ามและย่างกิน และไปตักน้ำที่ขังนั้นมากินไปพร้อมๆ กันด้วย เมื่อได้กินนกย่างและกินน้ำไปสักครู่หนึ่งเกิดอาการเมาและหลับไปโดยไม่รู้ตัว พอรุ่งเช้านายพรานรู้สึกตัวว่าเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ คิดว่านกมากินน้ำนั้นคงเมากันแน่ จึงเปิด ถุงย่ามหมายจะดูนกที่จับไว้ พอเปิดถุงย่ามเท่านั้น นกที่หายเมาก็พากันบินหนีไปหมด จึงได้รู้ว่าน้ำนี้กินแล้วเมา จึงได้ตัดกระบอกไม้ แล้วตักน้ำนั้นใส่เพื่อนำไปถวายเจ้าเมือง เมื่อไปถึงเจ้าเมืองก็นำน้ำนั้นถวาย และทูลว่าน้ำนี้กินแล้วก็เมา และบอกว่าถ้ากินน้ำนี้ต้องกินกับไก่ขอให้ฆ่าไก่หลาย ๆ ตัว และกินกันหลายคน จึงจะสนุก ต่อมาเจ้าเมืองจึงสั่งให้ฆ่าไก่แล้วมากินแก้มเหล้าจนเหล้าหมด แต่เนื้อไก่ยังไม่หมด จึงใช้ทหาร และพรานนั้นไปเอามาอีก พรานจึงไปตักมาอีกเจ้าเมืองก็กินจนเมา ตักมาเท่าไรก็ไม่หมดจนเนื้อไก่หมด เจ้าเมืองจึงให้ฆ่าเป็ดอีกจนเป็ดหมด จึงให้ฆ่าหมูกินแก้มเหล้าต่อไปจนเหล้าหมด ก็ใช้เสนาไปตักมาอีกแล้ว กินต่อไปจนต้องฆ่าวัวควายช้าง ต่อไปเรื่อย ๆ ฝ่ายมเหสีโกรธ จึงพูดว่าช้างก็หมด อะไรก็หมด ฆ่าตัวข้า และลูกกินให้หมดก็ได้ ด้วยความมึนเมาเจ้าเมืองจึงให้ทหารจับมเหสีและลูกไปฆ่า ฝ่ายทหารฆ่ามเหสีและลูกของเจ้าเมืองนำมาปรุงให้เจ้าเมืองกิน และตัดเอาท่อนแขนของมเหสีและลูกเจ้าเมืองใส่หม้อเอาฝาหม้อปิดไว้ ๗ ชั้น เมื่อทำเช่นนั้นแล้วก็เกิดความกลัวจึงได้หนีเอาตัวรอด ฝ่ายเจ้าเมืองเมามากนอนฟุบอยู่ พอรุ่งเช้าเจ้าเมืองสร่างเมาแล้วก็ตามหาลูกและมเหสีแต่หาที่ไหนก็ไม่พบ เจ้าเมืองพิโรธจึงเอาฆ้อน ไปตีกลองเรียกทหาร แต่ก็ไม่มีใครมาพบ มีแต่เสนาเฒ่าคนหนึ่งได้มาเฝ้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองได้ถามว่าทหารหายไปไหนหมดและลูกเมียของตนหายไปไหนหมด เสนาเฒ่าจึงบอกว่าลูกแลมเหสี เจ้าเมืองได้ฆ่ากินหมดแล้ว โดยสั่งทหารฆ่าและทหารทำไปด้วยความกลัวเมื่อฆ่าแล้วจึงไม่กล้ากลับมา เจ้าเมืองจึงบอกว่าไม่เป็นไรให้เรียกทหารมาเจ้าเมืองจึงถามว่าเรื่องที่เกิดขึ้น จริงหรือไม่ ทหารก็บอกว่าจริง ตนได้ฆ่าและเอาท่อนแขนเก็บไว้ จึงนำเอาท่อนแขนมาให้ดู เจ้าเมืองจึงให้ไปตามพรานป่ามาและถามว่าพรานน้ำนี้มันมาจากไหน พรานตอบว่ามาจากโพรงไม้ในป่าแห่งหนึ่ง เจ้าเมืองจึงไปหาพระและเล่าเรื่องให้ฟัง พระจึงเล่าเรื่องหญิงแม่หม้ายและมีลูกชายเกเรให้ เจ้าเมืองฟัง จนถึงตอนที่ลูกชายคนนั้นเอาของมาทิ้งไว้จนกลายเป็นเหล้า ฝ่ายเจ้าเมืองจึงคิดว่า ยังดีที่ เราไม่ตาย ถ้ากินมากกว่านี้คงจะต้องตายเป็นแน่ เจ้าเมืองจึงให้ยึดถือเป็นศีลข้อหนึ่ง และไม่ดื่มเหล้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รวมทั้งสั่งเสนาอำมาตย์ไปตัดทำลายต้นไม้ต้นนั้น ซึ่งได้พบ รากไม้ ผลไม้ พริก  จึงลักลอบเก็บมาเป็นสูตรทำเหล้าทำให้เหล้าปรากฎจน ตราบเท่าทุกวันนี้       จากนิทานทั้งสองเรื่องทำให้เราได้ทราบความเป็นมาของเหล้าตามความเชื่อของคนล้านนาที่เป็นนิยายเชิงธรรมอิงพุทธศาสนานำมาอบรมสั่งสอนให้ทุกคนเว้นจากการดื่มสุราหรือเหล้าหากดื่มไปแล้วก็เกิดโทษทำให้ขาดสติเกิดความวุ่นวาย ฆ่าและทำลายทุกสิ่งได้

 

                    ฉะนั้นการดื่มน้ำเมาจึงมีโทษและผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง  ตามปกติประชาชนคนไทยเราชอบดื่มสุราไม่ว่างานเลี้ยง งานบุญ งานบวช งานแต่งงาน งานศพ ภายหลังจากทำไร่ทำนา รับจ้าง จะดื่มสุรากันเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในเทศกาลต่างๆยิ่งดื่มมากเกิดอุบัติเหตุตามมาเป็นทวีคูณ ถึงแม้ว่าการดื่มสุราเป็นเสรีภาพของแต่ละบุคคลก็ตาม พวกเราที่อยู่ในในโรงพยาบาลชุมชนและวงการสาธารณสุขซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลหลักที่จะนำพาการสร้างเสริมสุขภาพร่วมกับหน่วยงานในภาครัฐและเอกชนเป็นพหุภาคีอันนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีน่าจะช่วยกันรณรงค์โดยกระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาชนฉะนั้นควรงดการดื่มสุราในช่วงระยะเวลา 3 เดือนนี้และถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะงดดื่มตลอดไปเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพตนเอง ครอบครัว สังคมและประเทศชาติต่อไป

คำสำคัญ (Tags): #ธรรมะ
หมายเลขบันทึก: 75279เขียนเมื่อ 30 มกราคม 2007 13:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 17:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
เป็นเรื่องจริงค่ะ ใช้ธรรมะข่มใจให้ได้ เพื่อตัวเอง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท