โมระปริตต์ ครั้งนี้มีเรื่องมาเล่าสู่กันได้อ่านเป็นพระปริตต์ที่อยู่ในเจ็ดตำนาณ และสิบสองตำนาณ (ใช้ตำนาณเพราะแปลว่าเครื่องป้องกันไม่ใช่ตำนานที่แปลว่าเรื่องราวเก่าก่อน)คือโมระปริตต์หรือปริตต์ของนกยูง เรื่องมีอยู่ว่า อดีตกาลในสมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกยูง มีสีเหมือนสีทอง งดงามน่ารัก มีริ้วสีแดงเป็นเส้นงามอยู่ใต้ปีกทั้งสองโดยอาศัยอยู่ที่ราบบนภูเขาทัณฑกะหิรัญเทือกเขาลูกที่ 4 ตั้งอยู่ในดงลึกเลยเทือกเขาอื่นเข้าไป 3 ลูก นกยูงทองนั้นระวังรักษาชีวิตของตนเองเป็นอย่างดี และเพื่อคุ้มครองป้องกันตัวขณะออกหาอาหารในกลางวัน ทุก ๆ รุ่งเช้า นกยูงทองจะขึ้นไปบนยอดเขาสูงเฝ้ามองดูดวงอาทิตย์กำลังขึ้นแล้วผูกพระปริตต์เป็น พรหมมนต์ขึ้นกล่าวนมัสการพระอาทิตย์กำลังอุทัย และนมัสการพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พร้อมทั้งพระคุณของพระองค์ด้วยเสร็จแล้วจึงออกเที่ยวหาอาหารไปตลอดวัน ครั้งยามเย็นนกยูงทองนั้นจะกลับมาที่พักและขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูง เฝ้ามองดูดวงอาทิตย์กำลังตกแล้วผูก พรหมมนต์ขึ้นกล่าวนมัสการ พระอาทิตย์กำลังอัสดง และนมัสการพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งเสด็จปรินิพพานไปแล้ว พร้อมทั้งพระคุณของพระองค์ด้วย แล้วก็เข้าพักนอน ด้วยอานุภาพของพระปริตต์ ที่กล่าวนมัสการอยู่ทุกเช้าทุกเย็น เช่นนี้นกยูงทองก็อยู่เป็นสุขและปลอดภัยมาช้านาน
ต่อมามีนายพรานผู้หนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านพรานใกล้พระนครพาราณสี ได้ท่องเที่ยวไปในป่าหิมพานต์พบเห็นนกยูงทองบนภูเขาทัณฑกะหิรัญนั้น เมื่อกลับมาบ้านจึงเล่าให้ลูกชายของตนฟัง ต่อมาพระนางเขมามเหสีของพระเจ้าพาราณสี ทรงพระสุบินเห็นนกยูงทองแสดงธรรมถวายแก่พระนาง ครั้นตื่นบรรทมก็กราบทูลพระเจ้าพาราณสีให้ทรงทราบ แล้วกราบทูลวิงวอนว่า พระนางปรารถนาจะได้สดับธรรมของนกยูงทองเหมือนดังในความฝัน พระเจ้าพาราณสีจึงโปรดให้ประชุมหมู่อำมาตย์แล้วตรัสถาม อำมาตย์พราหมณ์ทั้งหลายกราบทูลว่า เคยได้ยินว่า มีนกยูงทองนั้นอยู่ แต่อยู่ที่ไหนนั้นพวกนายพรานคงจะทราบ พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสสั่งให้เรียกพวกพรานมาประชุมแล้วทรงมีพระราชดำรัสถาม บุตรชายของนายพรานผู้ทราบเรื่องจึงกราบทูลว่า นกยูงทองนั้นอาศัยอยู่บนภูเขาทัณฑกะหิรัญ พระเจ้าพาราณสี จึงสั่งให้นายพรานไปจับเป็นๆมา อย่าฆ่าให้ตาย นายพรานก็ไปทอดบ่วงดักตามสถานที่นกยูงทองออกหากิน แต่แม้ว่านกยูงทองจะเหยียบบ่วงที่พรานดักไว้ บ่วงก็ไม่คล้องเท้า นายพรานพยายามอยู่ถึง 7 ปี ก็จับนกยูงทองไม่ได้ จนตัวเองตายอยู่ในป่า พระนางเขมาก็มิได้ทรงสดับพระธรรมจนสิ้นพระชมน์ พระเจ้าพาราณสีจึงทรงอาฆาตว่า พระมเหสีของพระองค์ต้องสิ้นพระชมน์เพราะนกยูง จึงโปรดให้จารึกอักขระลงลานทองไว้ว่า “ในประเทศป่าหิมพานต์มีภูเขาชื่อทัณฑกะหิรัญ มีนกยูงทองอาศัยอยู่ที่ภูเขานั้น ผู้ใดได้กินเนื้อของนกยูงทอง ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตายและมีอายุยืน” แล้วโปรดให้บรรจุลานทองจารึกนั้นใส่ในผอบทองคำเก็บรักษาไว้
เมื่อพระเจ้าพาราณสีสวรรคตแล้ว พระราชาองค์อื่นสืบราชสมบัติต่อมา ได้อ่านจารึกลานทองนั้น ก็มีพระราชประสงค์จักไม่แก่ไม่ตายบ้าง จึงโปรดส่งนายพรานอีกคนหนึ่งไปจับนกยูงทอง พรานผู้นั้นไปพยายามจับอยู่หลายปี ก็จับไม่ได้ จนตัวตายอยู่ในป่า เป็นดังนี้ สืบมาถึง 6 ชั่วพระราชา ก็จับนกยูงทองไม่ได้ ครั้งมาถึงรัชกาลของพระเจ้าพาราณสีองค์ที่ 7 ก็โปรดส่งนายพรานอีกคนหนึ่งไปจับ นายพรานผู้นี้รู้เรื่องที่ว่านกยูงทองเหยียบบ่วงแล้วไม่คล้องขา และรู้ด้วยว่านกยูงทองร่ายพระปริตต์ป้องกันตัวก่อนออกหากิน นายพรานจึงจับนกยูงทองตัวเมียตัวหนึ่งเอามาฝึกหัดให้ฟ้อนรำขับร้องชำนาญดีแล้วก็นำเอาไปด้วย พอรุ่งเช้าก่อนที่นกยูงทองจะร่ายพระปริตต์ นายพรานได้ปักหลักทอดบ่วงไว้เสร็จแล้วให้นางนกยูงขับร้องขึ้น ฝ่ายนกยูงทองได้ยินเสียงมาตุคาม ก็มีใจเร่าร้อนด้วยกิเลส มิสามารถร่ายพระปริตต์ได้เช่นเคย แล่นถลันเข้าไปหา เลยติดบ่วง นายพรานจึงจับตัวได้พาไปถวายพระเจ้าพาราณสี เมื่อพระเจ้าพาราณสีทอดพระเนตรเห็นรูปสมบัติของนกยูงทองก็ชอบใจโปรดให้จัดอาสนะประทานแก่นกยูงทอง
พระโพธิสัตว์ขึ้นบนอาสนะที่จัดไว้แล้วทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงตรัสสั่งให้จับข้าพเจ้ามา พระเจ้าพาราณสีตรัสว่า เขาว่าผู้ใดได้กินเนื้อของท่าน ผู้นั้นจะไม่แก่ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ฉันก็อยากจะกินเนื้อท่าน แล้วไม่แก่ไม่ตายบ้าง จึงให้จับเอาท่านมา นกยูงทองจึงทูลว่า ผู้ที่กินเนื้อของข้าพเจ้าแล้วไม่แก่ไม่ตาย แต่ตัวข้าพเจ้าต้องตาย พระราชาตรัสว่า ถูกแล้วท่านต้องตาย นกยูงทองจึงว่า ก็เมื่อข้าพเจ้าเองยังตาย แล้วทำไมคนที่กินเนื้อข้าพเจ้าจักไม่ตายเล่า พระราชาตรัสว่า เพราะท่านมีสีเหมือนสีทอง คนที่กินเนื้อท่านแล้วจักไม่ตาย นกยูงทองทูลว่า การที่ข้าพเจ้าเกิดมามีสีเหมือนสีทองนั้นมิใช่จะไม่มีเหตุผล ในชาติก่อนข้าพเจ้าเคยเป็นพระราชาจักรพรรดิอยู่ในพระนครนี้ ตัวข้าพเจ้าเองรักษาศีล 5 แล้วชักชวนประชาชนทั่วทั้งจักรวาล ให้รักษาศีล 5 ด้วย ครั้นตายแล้วข้าพเจ้าไปเกิดในภพดาวดึงส์จนตลอดอายุจึงจุติจากนั้น ด้วยอกุศลกรรมบางอย่าง ได้มาเกิดเป็นนกยูง แต่ด้วยอานุภาพของการถือศีล 5 ในครั้งก่อนจึงมีสีเหมือนสีทอง พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสว่าที่ท่านพูดว่าท่านเคยเป็นพระราชาจักรพรรดิ์รักษาศีล 5 แล้วมาเกิดเป็นนกยูงมีสีเหมือนสีทองด้วยผลของศีล 5 นั้น เราจะเชื่อได้อย่างไร มีใครเป็นพยาน นกยูงทองทูลว่า มีมหาราชเมื่อข้าพเจ้าเป็นพระราชาจักรพรรดินั้น เคยนั่งรถประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ ท่องเที่ยวไปในอากาศ รถคันนั้นเวลานี้ฝังอยู่ใต้สระมงคลโบกขรณี โปรดขุดขึ้นมาจะได้เป็นสักขีพยานของข้าพเจ้า พระเจ้าพาราณสีจึงตรัสสั่งให้ไขน้ำออกจากสระแล้วให้นำเอารถนั้นขึ้นมา ครั้นพระราชาได้ทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงเชื่อคำพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงแสดงธรรมถวายแก่พระเจ้าพาราณสี เป็นความว่า ดูก่อนมหาราชนอกจากพระนิพพานแล้ว สิ่งทั้งหลายนอกนั้นล้วนเป็น สิ่งผสมปรุงแต่งขึ้น เป็นของไม่ยั่งยืนถาวร เพราะมีขึ้นแล้วก็หาที่จะดำรงคงอยู่ได้ เป็นของสิ้นไปเสื่อมไปโดยธรรมชาติ แล้วทูลให้พระเจ้าพาราณสีทรงรักษาศีล 5และพระเจ้าพาราณสีจึงยกราชสมบัติมอบให้แก่พระโพธิสัตว์แล้วทรงทำสักการะพระโพธิสัตว์เป็นการใหญ่ พระโพธิสัตว์รับราชสมบัติไว้แล้วกลับถวายคืนแก่พระเจ้าพาราณสี พักอยู่สองสามราตรีแล้วถวายโอวาทกำชับว่า ขอพระองค์อย่างทรงประมาท แล้วบินขึ้นสู่อากาศกลับไปยังภูเขาทัณฑกะหิรัญ ตามเดิม
ที่จริงแล้วในการเจริญพระพุทธมนต์พระท่านจะเอาเนื้อหาที่นกยูงโพธิสัตว์ร่ายเป็นพรหมมนต์มาเป็นเนื้อหาในการสวดพระปริตต์เท่านั้น อย่างไรก็ตามจากเรื่องที่เล่ามานี้เป็นนิทานประกอบซึ่งจะมีข้อคิดที่เตือนสติอยู่หลายประการคือ นกยูงนั้นร่ายมนต์อยู่เสมอทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยแต่พอถูกกลลวงคือความดึงดูดใจจากนกยูงตัวเมียทำให้เกิดความลุ่มหลงจนลืมในการท่องมนต์และถูกบ่วงนายพรานในที่สุด