อิทธิ เป็นบาลี ฤทธิ์ เป็นสันสกฤต ทั้งสองคำนี้แปลเหมือนกันว่า สำเร็จ และก็มีใช้ทั้งสองคำในภาษาไทย ... ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่า อิทธิ ใช้ในความสำเร็จทั่วๆ ไป... ส่วน ฤทธิ์ ใช้ในความสำเร็จของสิ่งที่เหนือธรรมชาติ....
ว่าตามรูปศัพท์ อิทธิ มาจากรากศัพท์ว่า อิธ ในความสำเร็จ บวกกับ ติ ปัจจัย แล้วแปล ติ เป็น ทธิ... และลบที่สุดของรากศัพท์คือ ธ.ธง ออกไป ก็จะสำเร็จรูปเป็น อิทธิ (อิธ+ติ = อิทธิ)
อิทธิ คือ ความสำเร็จ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าใช้ในความสำเร็จทั่วๆ ไป น่าจะมาจากหลักธรรมหมวดอิทธิบาท ๔ คือ หลักธรรมว่าด้วยแนวทางประสบความสำเร็จประกอบด้วยองค์ ๔ ประการ ได้แก่
๑. ฉันทะ คือ ความพอใจในการกระทำสิ่งนั้นๆ
๒. วิริยะ คือ ความเพียรพยายามในการกระทำสิ่งนั้นๆ
๓. จิตตะ คือ การจดจ่อ ไม่ปล่อยวางธุระนั้นๆ
๔. วิมังสา คือ การรู้จักใคร่ครวญพิจารณาสิ่งกำลังทำอย่างรอบคอบ
อิทธิบาท (อิทธิ+บาท) เป็นหลักคำสอนเบื้องต้นซึ่ง เรารู้จักกันโดยทั่วไป ดังนั้น อิทธิ ในความหมายว่า สำเร็จ โดยทั่วไป ผู้เขียนจึงสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากหลักธรรมนี้
ฤทธิ์ ในภาษาไทยมักจะเป็นความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาหรือเหนือธรรมชาติ เช่น หายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ ดำดินได้ ยิงฟันไม่เข้า หรือแปลงกายเป็นอย่างอื่นได้ ...เป็นต้น ...
บางครั้ง อาจใช้ควบกันเป็น อิทธิฤทธิ์ ซึ่งหมายถึง การมีอำนาจมีความสามารถเหนือคนทั่วๆ ไป ประมาณนี้....
หมายเหตุ
ฤทธิ์ อ่านว่า ริด ...ซึ่งเป็นการยากในภาษาไทยที่จะอ่านตัว ฤ ได้ เพราะตัวนี้อ่านได้สามอย่าง คือ ริ เรอะ รึ ...ซึ่งผู้เขียนได้สูตรการอ่านมาจากครูท่านหนึ่งว่า คืน นี้ พี่ มา หา (ค น พ ม ห) นั่นคือ ถ้าตามหลังอักษรไทย ๕ ตัวนี้ ให้อ่านว่า รึ เช่น
ค - คฤหัสถ์ (คะ - รึ - หัด)
น - นฤพล (นะ - รึ - พน)
พ - พฤหัส (พะ - รึ - หัด)
ม - มฤคทายวัน (มะ - รึ - คะ - ทา - ยะ - วัน)
ห - หฤทัย (หะ - รึ - ไท)
ส่วนนอกนั้นให้อ่านว่า ริ เช่น ฤทธิ์ (ริด) ...และบางตัวเท่านั้นที่อ่านว่า เรอะ เช่น ฤกษ์ (เริก) ..
คุณโยมขำ
หลงรู้ไม่จริง ? น่าจะเข้าข่ายนี้นะครับ...
ตอนแรกบวชใหม่ๆ อาตมาก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดพระมหาเถระ รูปหนึ่ง ท่านชอบซื้อหวย (แต่ชอบอ่านหนังสือท่านพุทธทาส) ญาติโยมก็ชอบมาคุยเรื่องหวยกับท่าน วันหนึ่ง หลังจากญาติโยมกลับแล้ว ท่านก็พูดเปรยๆ รูปเดียวว่า หลงกันเหลือเกินแล้ว ทั้งพระทั้งโยม ...ตอนนี้ท่านก็มรณภาพไปเกือบยี่สิบปีแล้ว...
ผู้อิทธิพล แปลตรงตัวก็ พลังแห่งความสำเร็จ...รู้สึกว่าคำนี้จะใช้แทน เจ้าพ่อ เจ้าแม่ และใกล้เคียงกับคำว่า ผู้กว้างขว้าง....
รู้สึกง่วง ครับ จะจำวัดก็ไม่ได้ บ่ายสามโมงก็จะลงรื้อกุฎิเก่าๆ (เพิ่งได้ฤกษ์ชวนพระเณรรื้อเมื่อวาน) ตอนนี้เปลี่ยนหน้าที่จาก นักบ็อกเกอร์ มาจับงานนวกรรม คงอีกหลายวันกว่าจะเสร็จ ...โยมขำหายไปหลายวัน อาตมาก็ไม่ค่อยมีใครมาคุย 5 5 5...
เจริญพร
พิมล มองจันทร์
อ่านถึงสะดุดใจนิดหน่อย แต่พออ่านจบก็นึกได้ว่า คำนี้ใช้เรียกพระภิกษุของอิสานในบางท้องถิ่น ก็รู้สึกปลึ้มเพราะไม่เคยฟังคำนี้มานานแล้ว...
อาตมาเคยเที่ยวอยู่ทางอิสานประมาณครึ่งปีตอนบวชไม่นานนัก เท่าที่พอจำได้ อยู่บัวใหญ่โคราชประมาณ ๒ เดือน แล้วไปเที่ยวอำเภอชนบทขอนแก่น ๒-๓ วัน ไปเข้าปริวาสที่อำเภอนาเชือกสารคาม แล้วไปเยี่ยมเพื่อนที่วัดกลางกาฬสินธุ์อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปสกลนคร ข้ามไปชมหม้อโบราณที่บ้านเชียงอุดร แล้วย้อนกลับมาเพื่อไปเยี่ยมพระเถระที่ปลาปากนครพนม...
พักกับท่านที่นั้นราว ๒เดือน หลังจากไปเที่ยวงานไหว้พระธาตุพนม ก็กลับมาเยี่ยมพระเถระอีกรูปที่ศรีษะเกษ จำได้ว่ามีงานบุญเข้าจี่ที่นั้น อันที่จริงท่านก็ใคร่จะให้พักอยู่นานๆ แต่คิดถึงบ้านเต็มที่แล้ว จึงกลับมาทางบุรีรัมย์ ปราจีน แปดริ้ว แล้วก็กลับปักษ์ใต้บ้านเรา...
ตอนกลับมาก็ตั้งใจว่าไปอีก แต่ก็กว่ายี่สิบปีแล้วยังไม่ได้ย้อนกลับไป... "ญาครู" หรือบางครั้งก็ "ญาครูญาซา" เคยมีโยมเรียกตอนครั้งนั้น พอจำได้ แต่ไม่เคยเห็นว่าเค้าเขียนคำนี้อย่างไร... ก็เพิ่งเห็นจากคุณโยมนี้แหละเป็นครั้งแรก...
ใครที่เล่าเรื่องอดีตได้มาก บ่งชี้ว่า แก่แล้ว ! (........)
เจริญพร
นมัสการ
"ญาครู" ความจริงเป็นสมณศักดิ์ที่เกิดจากพิธีเถราภิเษกที่เรียกว่า "ฮดสรง" (สรงน้ำพระ) กล่าวกันว่าเมื่อพระภิกษุเจริญพรรษาถึงพร้อมด้วยปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท ชาวบ้านจะพากันนิมนต์ให้เข้าพิธีฮดสรง เมื่อผ่านพิธีแต่ละครั้งก็จะเรียกนามต่างกัน ดังนี้
ครั้งที่
1 เรียก สำเร็จ, สมเด็จ
2 เรียก ซา
3 เรียก คู
4 เรียก ราชคู
5 เรียก คูฝ่าย
6 เรียก คูด้าน
7 เรียก คูหลักคำ
8 เรียก คูลูกแก้ว
9 เรียก คูยอดแก้ว
ตำแหน่งที่ 1-4 เป็นฝ่ายปริยัติ
ตำแหน่งที่ 5-9 เป็นตำแหน่งฝ่ายบริหาร
(แต่บางท้องที่อาจมีเพียง สำเร็จ, ซา, คู, ราชคู, คูหลักคำ, คูยอดแก้ว ตามความเชื่อของแต่ละท้องที่)
ส่วนคำว่า "ญา" มาจากคำว่า "อัญญา" ซึ่งในภาษาลีผมไม่ทราบว่าแปลว่าอะไร แต่ในภาษาอีสานหมายถึงคำนามก่อนหน้าชื่อของเชื้อพระวงศ์ฝ่ายล้านช้าง เช่น อัญญาไชยสุริยวงสา หมายถึง พระเจ้าไชสุริยวงศา เป็นต้น ชาวอีสานจึงเอาคำท้ายอัญญาว่า "ญา" มาเรียกพระสงฆ์ที่ ซึ่งจะเรียกนับตั้งแต่ "ซา" ขึ้นไปว่า ญาซา ญาคู
ญาราชคู เป็นต้น
นมัสการลาขอรับ