ผมส่งบันทึกเรื่อง การบริหารโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในยุค ดิจิทัล ดิสรัปชั่น ไปให้ รศ. ดร. เอกชัย กี่สุขพันธ์ อดีตประธาน กพฐ. และตำแหน่งสำคัญทางการศึกษาอีกหลายตำแหน่ง ท่านเขียนคำวิพากษ์ว่านโยบายเรื่องโรงเรียนขยายโอกาสตอนเริ่มต้นนั้นถูกต้อง แต่ใช้มานานกว่า ๓๐ ปี สถานการณ์เปลี่ยนไป จึงกลายเป็นนโยบายที่ผิด ดังผมเอาลงไว้ใน comment ของบันทึกนั้นแล้ว
ยังไม่หนำใจ ท่านโทรศัพท์มาเล่าเรื่องในกระทรวงศึกษาธิการ และใน สมศ. ยืดยาว กว่า ๔๐ นาที ทำให้ผมได้เรียนรู้มายาคติในวงการศึกษาไทยเพิ่มขึ้นมาก ท่านสรุปตรงไปตรงมาว่า ผู้บริหารระดับสูงมุ่งทำเพื่อตนเองและพวกพ้องมากกว่าเพื่อคุณภาพการศึกษา แม้จะมีการทักท้วงใน กพฐ. ก็บอกว่าได้ดำเนินการไปแล้ว
อีกปัญหาใหญ่คือคอร์รัปชั่น ในหลากหลายกิจกรรมที่ท่านเล่าให้ผมฟัง ทั้งเรื่องอาหารกลางวัน เรื่องการใช้โรงแรมเป็นสถานที่จัดประชุม เรื่องสระว่ายน้ำเพื่อให้นักเรียนว่ายน้ำเป็น ซึ่งหากใช้รูปแบบการบริหารงานแบบตรงไปตรงมา ไม่ยากเลยที่จะจัดให้เด็กมีทักษะว่ายน้ำ เป็นทักษะชีวิตอย่างหนึ่ง
ผมตกใจมาก ที่ท่านบอกว่า คน สพฐ. คิดอยู่เพียง ๓ เรื่อง คือ ตำแหน่ง อำนาจ และผลประโยชน์ ผมแย้งในใจว่า น่าจะเป็นคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทุกคน น่าจะมีคนที่คิดเพื่อส่วนรวมอยู่บ้าง
ขอคัดลอกข้อเขียนของท่านที่ผมลงไว้ในบันทึก (๑) “(โรงเรียนขยายโอกาสมาก) แห่งมีนักเรียน ม 1- ม 3 รวม 3 ระดับแล้วต่ำกว่า 15-20 คน บางแห่งมีเพียง 8-9 คน ก็ยังไม่ยอมเลิกทั้งๆที่อยู่ใกล้ รร มัธยม ซึ่งเด็กสามารถไปเรียนได้ เพราะปัญหาการเดินทางปัจจุบันมีน้อยกว่าอดีตมาก แต่ก็ยังยึดอยู่กับแนวคิดเดิมๆ ครับ โรงเรียนขยายโอกาศ จึงทำให้เด็กเสียโอกาสมากกว่า ครับ ถ้า สพฐ ยังให้ความสำคัญกับจำนวนเด็กนักเรียน เพื่อการจัดสรรงบประมาณรายหัว หรือใช้เพื่อการเลื่อนตำแหน่ง หรือย้ายจาก รร ขนาดเล็ก ไป กลาง ไปใหญ่ จะเห็นว่าผลกระทบของระบบที่วางไว้ไม่ได้สนับสนุนหรือมุ่งเน้นที่บริหารสถานศึกษาเพื่อการสร้างงานคุณภาพนักเรียนอย่างแท้จริง แต่กลับเป็นระบบที่สนับสนุนความก้าวหน้าของผู้บริหาร มากกว่า”
ผมเรียนท่านว่า ในระบบสุขภาพมีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สนับสนุนให้มีการวิจัยเชิงระบบ ในเรื่องที่มีข้อถกเถียงทางเลือกที่เหมาะสมหรือมีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล มากกว่า อย่างที่ท่านเล่าให้ผมฟัง น่าเสียดายที่วงการศึกษาไม่มีหน่วยงานสนับสนุนการวิจัยเชิงระบบ การตัดสินใจเชิงระบบหลากหลายเรื่องจึงไม่มีลักษณะ evidence-based และไม่นำสู่คุณภาพการศึกษา
เรื่องโรงเรียนขยายโอกาสจึงเป็นโจทย์หนึ่งของการวิจัยเชิงระบบการศึกษา ที่ท่าน ดร. เอกชัย บอกว่าเป็นโรงเรียนที่ทำให้เด็กเสียโอกาสมากกว่า
ท่านเล่าเรื่อง สมศ. ยืดยาว ที่คำพูดหนึ่งที่ผมตกใจมากคือ สมัยก่อนมีผู้ใหญ่ใน สมศ. รายงานท่าน รมต. กัลยา โสภณพนิช ว่า สมศ. เป็นเพียงกระจกส่องให้โรงเรียนเห็นภาพตัวเอง ที่ผมตีความต่อว่า เป็นมุมมองว่า สมศ. เป็นเพียง passive evaluation ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพัฒนา เป็นมุมมองแบบ summative evaluation แท้ ๑๐๐% ไม่มีมุมมองแบบ formative assessment เลย และนำผมสู่สภาพเมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ที่ผมถูกวางตัวให้เป็นประธาน สมศ. (แต่เทวดาช่วยให้ไม่ต้องเป็น) จำได้ว่าคนจากวงการศึกษาที่เป็นผู้ใหญ่ที่คนนับถือก็พูดอุปมานี้ “ประเมินเพื่อเป็นกระจกส่อง” ซึ่งในตอนนั้นผมฟังแล้วไม่รู้สึกสะดุด
ท่านบอกว่า สมศ. ได้กรรมการครบชุดแล้ว และกำลังสรรหาผู้อำนวยการ โดยท่านได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการ ฟังท่านแล้ว มีความหวังว่า สมศ. ในอนาคตน่าจะเป็นกลไกยกระดับคุณภาพโรงเรียนได้ในทำนองเดียวกันกับ สรพ. เป็นกลไกยกระดับคุณภาพสถานพยาบาล
วิจารณ์ พานิช
๕ ม.ค. ๖๘