โลกและชีวิต (8) : โลกแคบและความเป็นจริงของใครบางคน


เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันราวกับอยู่ในโลกแคบใบหนึ่งที่ฉีกแยกออกจากโลกใบนี้ที่เราอยู่รวมกัน

การค้นหาความเป็นจริงของสรรพสิ่งในโลกใบนี้

เต็มไปด้วยความยากลำบาก

เพราะในแต่ละมุมของสรรพสิ่ง

มักเต็มไปด้วยความซับซ้อนของหตุและผลที่แตกต่างกัน

 

ดังนั้น

การค้นหาความเป็นจริงของสรรพสิ่ง

เพื่อทำความเข้าใจต่อกลไกการดำเนินชีวิต

จึงต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้และค้นหาตัวเองเสียก่อน

 

เพราะสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด

ก็คือ "ตัวเรา" นั่นเอง

.........

ผมพูดคุยกับนิสิตท่านหนึ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่  7  มกราคม  2550  ซึ่งเป็นอีกวันหนึ่งที่ผมต้องโลดแล่นและร่งรีบอยู่กับภาระกิจของทางราชการตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงมืดค่ำ  โดยเริ่มตั้งแต่  05.00  น.  ตื่นมาดูนักกีฬาฝึกซ้อม 08.00  น.  ตรวจความเรียบร้อยของการรับรายงานตัวนักเรียนที่มาสอบโควตาศิลปวัฒนธรรม  และปิดท้ายด้วยการประชุมพิจารณาผลยาวนานตั้งแต่  09.00 - 21.00  น.

ก่อนหน้านี้ผมสังเกตเห็นเขาพยายามเดินตามผมมาตั้งแต่เช้า...แต่ผมไม่ใคร่มีเวลามากนัก  จึงทำได้แต่เพียงการทักทายด้วยคำพูดสั้น ๆ ตามประสาคนคุ้นเคย 

นิสิตท่านนี้เป็นนิสิตที่ได้รับทุนการศึกษาต่อเนื่องจนสำเร็จการศึกษา  เขาเคยเกือบจะไม่ได้เรียน เพราะฐานะที่ยากจนข้นแค้น  ในช่วงปิดภาคเรียนเมื่อสองปีก่อน  เก็บกระเป๋าเดินทางกลับบ้านและใช้ชีวิตเข้าออกระหว่างบ้านกับวัดอยู่แทบทุกวัน .....  ซึ่งเราก็ตามกลับมาเรียนพร้อมพิจารณาให้ได้รับทุนการศึกษาต่อเนื่องปีละ 2 หมื่นบาท....

และหลังจากนั้นผมก็เดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเขาที่บ้านเกิดเมืองนอน  รับรู้และรับฟัง "ชะตากรรมชีวิต"  ของเขาจากคนในชุมชน ซึ่งต้องยอมรับว่า "หน่วงหนักและหนักหน่วง"  เป็นที่สุด  ...

วันนี้,,  เขามาบอกกับผมในแบบซื่อ ๆ เฉย ๆ ว่า "ผมกำลังมีความรัก"

ถึงแม้ความรักของเขาจะเป็นความรักในแบบ "หลงรัก" และ "รักเขาข้างเดียว"  ก็เถอะ  แต่ผมดีใจเป็นที่สุด !  ดีใจราวกับตนเองเป็นคนมีความรักซะเอง  ดีใจทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิสิตหญิงท่านนั้นชื่อเสียงเรียงนามเป็นเช่นไร... เป็นใคร ..พักที่ไหน... เรียนสาขาอะไร  ...?

ผมดีใจเป็นที่สุดเพราะก่อนหน้านี้เขามักจะเก็บตัวเงียบ  ไม่คบค้าสมาคมกับใครมากนัก  ทั้งมหาวิทยาลัยเรียกได้ว่ามี "เพื่อนสนิท" เพียงคนเดียว  กินนอนที่วัดใกล้มหาวิทยาลัย  เคร่งขรึมและเคร่งครัดในศีลธรรม  ชอบอ่านหนังสือธรรมะ  กินและอยู่อย่างสมถะ  ราบเรียบและไม่มีสีสัน....

ผมเคยบอกกับเขาว่า,  เขาควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมบ้าง  เพราะเขายังอยู่ในโลกอุดมคติจนเกินไป ปฏิเสธความเป็นจริงที่ "เป็นจริง" ของสังคมวันนี้อย่างสิ้นเชิง  และมักตั้งคำถามอยู่เสมอว่า "ทำไมใคร ๆ ต้องมีพฤติกรรมเช่นนั้น?"  ทั้งที่จริงก็เป็นภาพและวิถีที่พบดาษดื่นอยู่แล้วในทั่วทุกวิถีถนน 

เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันราวกับอยู่ในโลกแคบใบหนึ่งที่ฉีกแยกออกจากโลกใบนี้ที่เราอยู่รวมกัน...  ผมย้ำกับเขาเสมอว่า  โลกยังคงหมุนรอบตัวเอง..สังคมเปลี่ยนไปเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองบ้าง มิใช่กลายเป็นคนชายขอบที่แปลกแยกแบบสุด ๆ เช่นนี้  ซึ่งวิถีที่เขาเลือกแทนที่จะนำพาความสุขมาเยือนเขา   แต่ซ้ำร้ายกลับนำพาความทุกข์มาถมทับตัวเองอยู่ทุกวัน  

จริงอยู่ภาพความเลวร้ายบางอย่างยังฝังแน่น  เกาะกุมและกัดกินอยู่ในเบื้องลึกจิตใจของเขา  แต่ผมก็ย้ำเสมอว่า  เขาเองต้องเปิดใจที่จะ "รัก"  และ "รับรัก"  จากคนรอบข้างเสียบ้าง  และไม่ควรใช้เวลาในแต่ละวันกับการตั้งคำถามและหาคำตอบว่าคนละคน "เป็นอยู่และดำเนินไปเช่นไร ?"  และ "ทำไมถึงไม่เป็นเหมือนตัวเอง !"  จนลืมที่จะมองย้อนกลับมาดูตัวเองว่า "เป็นอยู่และดำเนินไปเช่นไร ?"

การที่เขานำข่าวความรักมาบอกครั้งนี้,  ผมดีใจเป็นที่สุด  เพราะอย่างน้อยก็เป็นสัญญาณการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขา  และดูเหมือนเขากำลังก้าวออกมาจากโลกแคบของตนเองบ้างแล้ว 

ผมก็ได้แต่เฝ้าหวังว่าความรักที่เกิดขึ้นกับเขาครั้งนี้  จะช่วยให้เขาเรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริงอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความเป็นจริงที่เกี่ยวกับตัวเขาเองเป็นสำคัญ....

ผมอยากให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับสังคมของวันนี้มากกว่าโลกแคบอันเป็นอุดมคติของตนเอง  ผมฝากหนังสือ "ยูโทเปีย"  ให้เขาอ่าน  แต่ย้ำว่า นั่นคือความปรารถนาดีที่เราอยากให้โลกเป็นเช่นนั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าในโลกวันนี้ก็มิอาจเป็นเช่นนั้นได้ทั้งหมด !

เพราะโลกยังคงหมุนรอบตัวเอง  สังคมเปลี่ยนไปตามที่โลกหมุน คงเหลือแต่เฉพาะเขาเท่านั้นที่ยังไม่เรียนรู้ตัวเอง..  ยังไม่แม้แต่จะค้นหา "ที่ว่าง"  ให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงของวันนี้

แต่วันนี้เมื่อความรักมาเยือน  ผมก็เชื่อว่าเขาได้เริ่มต้นที่จะเรียนรู้ "ตัวตน" ของเขาบ้างแล้ว 

ภาวนาก็แต่ให้เขามีความเข้มแข็งที่จะเรียนรู้รสชาติของความสมหวังและผิดหวังจากความรักเท่านั้นเอง

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 71546เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2007 08:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 21:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (20)

ดีใจด้วยกันน้องนิสิตที่กำลังเริ่มมีความรัก แต่จากที่อ่าน น้องเค้าคงต้องใช้เวลาเรียนรู้ที่จะรักอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป กลัวว่าเค้ารีบออกจากโลกเค้าเกินไป แล้วจะสะดุดล้ม เสียหลักได้

จากที่เค้ามาบอกคุณแผ่นดิน แสดงว่าเค้ามีความไว้ใจอย่างมาก คิดว่าเค้าคงจะมาปรึกษาบ่อยๆ อย่างน้อยๆ เค้าต้องรับรู้ว่า ความรัก มีทั้งที่สมหวัง และไม่สมหวัง เอาเถอะ ...แค่รู้จักความรัก ก็ได้เรียนรู้เยอะแล้วล่ะเนอะ (แต่จากที่คุณแผ่นดินเขียน ออกจะน่าเป็นห่วงนิดๆ ถึงปานกลาง)

ความรัก...เอ๋ย อยู่กับใครทำให้คนตาบอดสี เห็นแต่สีชมพู ฮ่าฮ่าฮ่า

^____^

มาเยี่ยม

รักแรกพบนั้นรุนแรงไปด้วยไฟแห่งราคะ  ฮา ๆ เอิก ๆ

ความรักของผู้ชายมักมาเยือนทางตาก่อนเข้ามาโดนใจ  แต่ความรักของผู้หญิงนั้นมักมาทางหูแล้วติดอยู่ที่ใจ...

  • ผมมีโปรแกรม แอบหลงมาตั้งแต่เด็กประถมสี่แล้วครับแต่เรื่องนี้ไม่บอกใคร
  • มามัธยมต้นก็มีโปรแกรม แอบหลงรัก อีกคราวเรื่องนี้บอกเพื่อนสนิทครับ
  • มามัธยมปลาย ขอใช้โปรแกรมแอบหลงรัก ตอนนี้เป็นรุ่นน้อง เออตอนนี้กล้าบอกคนที่เราแอบรักด้วย
  • ปริญญาตรี ก็ต้องพึ่งอีกคราวแต่บอกกับเพื่อน ๆ ถึงเรื่องราวแอบรักนี้ เปิดเผยมากขึ้นและทำให้เขารู้ว่าเราแอบใช้โปรแกรมนี้อยู่

 

คุณ  IS

  • ขอบคุณครับที่แวะมาทักทายและสะท้อนมุมมองที่ดี ชวนต่อการขบคิด
  • ผมมีทัศนะของเสนีย์ เสาวพงศ์ มาฝากนะครับจากนวนิยายเรื่องอะไรจำไม่ได้  แต่ก็น่าจะเป็น "ชัยชนะของคนแพ้"

"ความรักมิใช่การเป็นหนี้ แต่ความรักเป็นดนตรีของชีวิต  ซึ่งอาจบรรเลงได้อย่างไพเราะ  อย่างเศร้าและอย่างเดือดแค้นเสียดแทงใจ  สำหรับบางคนมันอาจเป็นเพลงสั้น ๆ  แต่สำหรับบางคน อาจเป็นเพลงที่ยืดยาวไปตลอดชีวต"

  • นิสิตท่านนี้ค่อนข้างสนิทกับผม แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก  แต่ทุกครั้งที่เจอะเจอจะต้องหยุดทักทายกันประจำ  แกเป็นคนที่ยังอ่อนต่อโลกและชีวิต  มีปมชีวิตที่เจ็บและน่าสงสารมาก
  • เคยเรียนคณะศิลปกรรม ชอบขับร้องและเล่นดนตรีไม่ได้สักชิ้นเลย  และไม่ชอบที่จะเล่นดนตรีแต่อยากร้องเพลง
  • ผมแนะนำให้เปลี่ยนสาขาไปเรียนที่ตนเองถนัด เพราะเรื่องร้องเพลงก็ไม่จำเป็นต้องเรียนในคณะศิลปกรรม เพราะขืนเรียนต่อไปมีหวังไม่จบแน่  ปัจจุบันก็ย้ายไปเรียนที่คณะอื่นแล้ว ซึ่งการเรียนไม่มีปัญหา แต่ชีวิตมีปัญหาพอสมควร
  • จึงยังต้องดูแลและประคองไปอีก
  • แต่ก็ยังดีที่เขาเริ่มเปิดกว้างสำหรับคนรอบข้าง
  • ที่เหลือก็คงต้องดูแลใกล้ชิด แต่ห่าง ๆ ต่อไป

คุณแผ่นดินครับ

ผมเห็นด้วยว่าการเรียนรู้ตนเองสำคัญเท่ากัน หรือมากกว่าการเรียนรู้คนอื่น

เราไม่ค่อยจะรู้รากเหง้าของตัวเอง เมื่อเราเป็นคนหมู่มากครับ ผมอยู่ในสังคมคนชั้นกลาง ในกรุงเทพฯ มาตลอดชีวิต รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าตัวเองไม่มีรากเหง้า วัฒนธรรมชัดเจน แต่เมื่อมาเป็นคนกลุ่มน้อยในต่างประเทศ ก็รู้สึกว่าตัวตนของเราชัดเจนขึ้น 

คงเหมือนที่อาจารย์ผมพูดไว้ว่า
"เรารู้จักตัวเอง
ไม่ใ่ช่โดยการรู้ว่าเราเป็นใคร
แต่โดยการรู้ว่าเราต่างจากคนอื่นอย่างไร"

แต่เราจะรู้ว่าเราต่างจากคนอื่นอย่างไร ก็ต้องออกไปดูโลกครับ ต้องสังเกต และคิดอย่างหนัก จึงจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเราเป็นใคร

ที่คุณแผ่นดินพูดว่า ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ห่างๆ ผมเข้าใจว่าหมายถึง  ให้คำปรึกษาอย่างจริงใจ หวังดี แต่ไม่เข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของเขา ใ่ช่ไหมครับ?

อาจารย์  umi ...ที่เคารพ

  • ขอบคุณครับที่อาจารย์แวะมาเติมเต็มและเสนอแนะอย่างลุ่มลึก  ...
  • ท่านอาจารย์ครับนักเขียนท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า "การจูบอาจจะเป็นเพียงการสัมผัสภายนอกสำหรับผู้ชาย  แต่มันหมายถึงรอยแผลเป็นในหัวใจของผู้หญิง" 
  • ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมาจากเรื่อง "ทุ่งมหาราช"  ของเรียมเอง  ซึ่งผมชอบนวนิยายเรื่องนี้มาก อ่านจบไปแล้ว 3 ครั้ง
  • หยิบยกมาแลกเปลี่ยนกัอาจารย์ในวาระที่ว่าด้วย "รัก"  นะครับ

คุณ ออต ครับ

  • ขอบคุณอย่างมากเลยนะครับ
  • เห็นทีต้องขอแรงมาช่วยให้คำปรึกษานิสิตผมแล้วกระมัง
  • เพราะดูเหมือนจะเชี่ยวชาญกับการ "หลงรัก" ซะเหลือหลาย
  • แต่จะช่วยนิสิตผมในฐานะใดดีครับ ...สมหวัง หรือ ผิดหวังดี น้อ......

คุณแว้บ  ครับ

  • ขอบคุณนะครับที่ผ่านเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
  • ผมเองก็มีทัศนะไม่ต่างกันนัก ดังที่คุณแว้บกล่าวไว้ข้างต้นว่า "เราจะรู้ว่าเราต่างจากคนอื่นอย่างไร ก็ต้องออกไปดูโลก"
  • และเช่นกันครับ..."ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่ห่างๆ "  หมายถึง  "ให้คำปรึกษาอย่างจริงใจ หวังดี แต่ไม่เข้าไปก้าวก่ายการตัดสินใจของเขา"
  • วันนี้ช่วงก่อนเลิกงานเขาก็มาพบกับผม มาเพื่อบอกว่า หลังจากได้คุยกับผมแล้วรู้สึกดีขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น และร้องขอที่จะมาพบผมบ่อยครั้งขึ้น  พร้อมทั้งขอเบอร์โทรศัพท์ไปด้วย
  • นี่คือครั้งแรกที่เขามีโทรศัพท์มือถือ....แต่ก็หวังว่าเขาจะเรียนรู้โลกวันนี้ได้โดยไม่หลงทาง หรือแม้แต่หาเส้นทางไม่เจอ...

งวกมาเว้านำอีก...

เห็นด้วยที่รอยจูบยากจางหายไปสำหรับหญิง  การประทับจูบแรกของชายมันอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอทั้งชีวิตเลยครับ

การรูจักตัวตน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของทุกคนครับ

ผมชอบเนื้อหาบันทึกนี้

ผมคิดว่า

  • ต้องเข้าใจตนเองก่อนเป็นเบื้องต้นถึงจะเข้าใจโลก
  • งานที่คุณแผ่นดินทำมีคุณค่าและทุ่มเท ทำงานด้วยใจแลกใจ
  • นิสิตท่านนั้นให้ความเคารพคุณแผ่นดินมาก ถึงขั้นไว้เนื้อเชื่อใจ
  • "ความรัก" ทำให้คนปลดปล่อยพันธนาการแห่งตนเอง อานุภาพความรักทำให้โลกอีกด้านดูละมุน

คุณว่ามั้ยละครับ???

........................

ps: ใช้เวลาในการประชุมยาวนานเกินไป ผลเสียมากกว่าผลดีครับ

 

เข้ามาอ่านเป็นรอบที่ 3 ครับ
ว่าแต่ พี่พนัส-แผ่นดิน ให้นิสิตคนนั้นเข้ามาอ่านบันทึกนี้บ้างหรือยัง...

.. เพราะโลกไม่แคบเสียแล้ว

อาจารย์  umi ที่เคารพ..

  • เห็นด้วยกับมุมชีวิตที่มีต่อโลกของอาจารย์อย่างยิ่งและประทับใจถ้อยคำมากครับ "การประทับจูบแรกของชายมันอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอทั้งชีวิต"
  • ยังมีมาแลกเปลี่ยนว่าด้วยวาทะแห่งรักอีกสักกระบวนความนะครับ..."เริ่มต้นของความรัก  คือ ความต้องการถูกรัก"
  • เป็นวาทะของ 'รงค์  วงษ์สวรรค์ จากนวนิยายเรื่อง "สนิมสร้อย"

 

  • สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน...ได้เข้ามาอ่านมุมมองในเรื่องความรักของใครบางคนและข้อคิดเห็นต่างๆมากมายต่างมองต่างมุม ในเรื่องๆเดียวกันก็ได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่าง...ดีค่ะ ได้รู้เขารู้เรา...
  •    สิ่งที่ผู้หญิงมักมองข้าม ยามที่มีความรักคือทุ่มเทให้เขาก็เพื่อที่ ต้องการจะเป็นคนรู้ใจเขา ก็ได้รู้ใจเขาทั้งหมดจริงๆนั่นแหละ แต่ไม่รู้ใจตัวเองเลย.. นานๆทีได้มีเวลาส่องกระจกดู ... อ้าว...  จำตัวเองไม่ได้เสียแล้ว ก็เพราะว่ารักเขาจนลืมดูตัวเองนั่นเอง
  •   ผู้หญิงเราต้องส่องกระจกดูตัวเองเสียหน่อยซิว่าเราละเลยตัวเองไปหรือเปล่า  แล้วเริ่มมาดูแลตัวเองเสียบ้าง..
  •    จงเข้าใกลความรักดวยการปลอยวาง....

อาจารย์  เม็กดำ 1

  • ขอบคุณมากครับกับแง่มุมที่มาช่วยเติมแต่งและเติมเต็ม การรูจักตัวตน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของทุกคน
  • วาทะโกเล้งกล่าวถึงความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ว่า "ความสับสนซับซ้อนของจิตใจมนุษย์นั้น  ย่อมเหนือกว่าวิชาบู๊ใดๆ ในพื้นพิภพมากนัก"
  • ขอบคุณอีกครั้งครับ

 

 

บันทึกนี้ได้ให้อะไรหลายอย่างมากคะ  จริงอยู่คนเราจะเรียนรู้ตนเอง เมื่อพบว่าเราอยู่ในกลุ่มคนที่แตกต่างไปจากเรา แต่การเรียนรู้ให้คิดเป็นเชิงบวกได้นี่สิคะ มันขึ้นอยู่กับแนวคิดด้านใน หากเรารู้และยอมรับความแตกต่างที่เกิดขึ้น แล้วปฏิบัติตัวเรา ให้ดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการ เราก็จะมีสุขได้  แต่หากเมือ่ไหร่ เรา นำความแตกต่างของเรามาเป็นปม คอยกัดกร่อนตัวเรา ก็คงจะยากที่จะหลุดออกจากจุดนี้ได้    เหมือนเมื่อครั้งที่  สิงคโปรไม่ยอมแพ้ ที่มาเลเซียไม่ยอมรับเค้า  จนเค้าต้องพัฒนาตัวเค้าเองตามวิธีทางที่เค้าทำได้  จนบัดนี้ เกิดอะไรขึ้น  (เอะ จะเกี่ยวกันหรือเปล่าคะเนี่ย)

คุณ  จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

  • ขอบคุณในทัศนะที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตดังที่คุณเอกกล่าวถึงว่า "ต้องเข้าใจตนเองก่อนเป็นเบื้องต้นถึงจะเข้าใจโลก"
  • บ่อยครั้งในเวลางานปกติผมแทบไม่ได้ทำงาน เพราะมีนิสิตมานั่งปรึกษานานาปัญหา ทั้งที่ตนเองก็ไม่ใช่ครูแนะแนว  บ่อยครั้งนั่งเรียงคิวรอเลยก็มี  จนต้องหอบงานกลับมาทำที่บ้าน...(ลำพังแฟ้มที่ต้องเซ็นก็มีมากมายก่ายกอง)
  • แต่ก็เป็นความสุขนะครับที่ได้กระทำเช่นนั้น เดินไปไหนมาไหนอบอุ่นเสมอเพราะมีน้อง ๆ นิสิตเป็นเสมือนเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม...
  • เหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ชอบงานบริหารและผมก็พูดเสมอในทุก ๆ ที่ ๆ มีโอกาส "เรามักพูดเสมอว่าประชุมเพื่อนำมติมาสู่การปฏิบัติ  แต่เรากลับประชุมยาวนาน จนไม่เหลือเวลาให้เราได้นำมติมาปฏิบัติอย่างจริงจัง" 
  • และหวังว่านิสิตท่านนั้น  จะโชคดีดังทีคุณเอกเชื่อว่า  "ความรัก" ทำให้คนปลดปล่อยพันธนาการแห่งตนเอง (ผมเองก็เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน)

และสำหรับคุณ บอน!-กาฬสินธุ์

  • ขอบคุณเช่นกันที่สู้อุตส่าห์กลับมาอ่านถึง 3 ครั้ง แต่สงสัยว่าแต่ละครั้งอ่านจบหรือเปล่า
  • ก็เป็นธรรมดาแหละ..ทั้งวันผมก็มีบันทึกเดียวนี่แหละ  จึงเลยจำยอมอ่านซ้ำใช่หรือเปล่าครับ....
  • ผมยังไม่ได้ให้นิสิตท่านนั้นอ่าน  และกำลังนึกอยู่ว่าควรให้อ่านหรือไม่
  • แต่ก็เห็นพ้องกับคุณบอนว่า บัดนี้, โลกไม่แคบอีกแล้ว...อยู่ที่ว่าเขาจะเรียนรู้จากการก้าวเดิน  หรือแม้แต่การหกล้มได้มากแค่ไหน
  • คุณ  nutim
  • ขอบคุณมากนะครับที่ยังไม่ลืมแวะมาทักทายและแลกเปลี่ยน
  • ผมประทับใจกับวาทะกรรม จงเข้าใกลความรักด้วยการปล่อยวาง...นี้มาก
  • การหันกลับมารักตัวเองเสียบ้าง  แต่ก็ต้องไม่หลงลืมที่จะดูแลคนรักของเราบ้างเหมือนกัน  เพียงแต่ทุกอย่างต้องมีจังหวะที่ดีและพอดีอย่างสม่ำเสมอ ..
  • ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเพิ่มเติม.....ผมเชื่อเช่นนี้นะครับ "หัวใจคนเราเปราะบางต่อความรักเสมอ และยากยิ่งต่อการลืมความสูญเสียทุกอย่างที่เป็นความรัก"

คุณ  ก้ามปู ..

  • ขอบคุณครับที่แลกเปลี่ยนมุมมองได้อย่างน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อผมมาก
  • "การคิดเป็นเชิงบวก"  คือ การเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยให้การลงมือทำสิ่งใดประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น
  • และการมีวิถีของตนเองก็จะช่วยให้การเดินทางใด ๆ ชัดเจนและรวดเร็วขึ้นเช่นกัน
  • แต่ทั้งปวงก็ยังคงต้องสัมพันธ์กับวิถีทางสังคมอื่น ๆ ด้วย 
  • ผมเชื่อเช่นนี้นะครับ
  • ขอบคุณมาก ๆ ครับที่แวะมา ลปรร.

เมื่อวานผมพบเจอเด็กคนนี้อีกครั้ง..

เขามาลากลับบ้านด้วยแววตาอันหม่นเศร้า พร้อมๆ กับบอกด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า "ผมเรียนไม่จบ..ผมจะกลับบ้าน"

ผมเข้าไปแตะบ่าเบาๆ ..พร้อมๆ กับการสื่อสารให้เขาได้รับรู้ว่า ผมกำลังแบ่งเบาความเจ็บปวดนั้นมาจากเขา-แต่มันก็ทำได้เพียงน้อยนิด

ก่อนนั้น ผมพบเจอกับเขานานๆ ครั้ง  และทุกครั้งก็ได้รับรู้ชัดเจนว่า "เขาคงเรียนไม่ไหวแล้ว..."

ทุกครั้งก็ได้แต่ให้กำลังใจ,... แนะนำให้ใจเย็นและตั้งสติ  และอย่าพยายามปลีกวิเวกไปจากสังคม

วันนี้...
ผมได้แต่อวยพรให้เขาพบเจอกับสิ่งดีๆ ...
ดูแลตัวเอง...
ดูแลคนในครอบครัว...
อย่าคิดสั้น...
กลับมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้....

....

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท