ช่วงเย็นของวันที่ 27 ธันวาคม 2549 ผมและเจ้าหน้าที่กลุ่มงานกิจกรรมนิสิต ประชุมร่วมกับผู้นำองค์กรนิสิตร่วม 50 คน เป็นการประชุมประจำเดือนที่เป็นเสมือนเวทีทางความคิด หรือสภากาแฟที่กองกิจการนิสิตจัดขึ้นต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าเป็น "วัฒนธรรมทางปัญญา" ของหน่วยงานกับผู้นำองค์กรนิสิตที่มาใช้เวทีนี้ร่วม "แลกเปลี่ยน - เรียนรู้" สืบมาตั้งแต่ปี 2542
อันที่จริงก็มีเรื่องหลายเรื่องและหลายประเด็นที่ถูกนำมาหารือแลกเปลี่ยนกัน แต่ที่ผมเน้นย้ำและให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ "วันเด็กแห่งชาติ" ที่กำลังจะมาเยือนในเดือนมกราคม 2550
ผมกล่าวต่อที่ประชุมว่าไม่ต้องการให้ "วันที่มีคุณค่าและความหมายอันงดงาม" อย่างวันเด็กกลายเป็นวันธรรมดาสามัญที่ผู้นำองค์กรนิสิตละเลย หรือแม้แต่จัดกิจกรรมขึ้นมารองรับกระแสนิยมดังที่เคยทำ ๆ กันมาเท่านั้น แต่มันต้องมีความพิเศษ โดยเฉพาะนิสิตที่ซึ่งเรียกตนเองว่า "คนหนุ่มสาว" ผู้ซึ่งเป็นปัญญาชนและถูกเรียกขานว่าเป็นกลุ่มคนความหวังของสังคม ก็คงต้องทำอะไรเพื่อสังคมกันบ้าง ...
การประชุมวันนั้น ผมได้เสนอแนะในแง่มุมที่ไม่ซับซ้อนเกี่ยวกับงานวันเด็กแห่งชาติที่จะมีขึ้นหลายประการ เป็นต้นว่า
และให้ถือว่าวันเด็กแห่งชาติเป็นพันธกิจหนึ่งที่มหาวิทยาลัยพึงมีและให้บริการต่อชุมชน โดยเฉพาะชุมชนเขตอำเภอกันทรวิชัย รวมถึงเด็ก ๆ ลูกคนงานก่อสร้างที่ยังปักหลักชีวิตอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย....นิสิตต้องหยิบยื่นโอกาสเหล่านี้ไปยังพวกเขา
นอกจากนี้ ผมยังสะท้อนแนวคิดที่ว่า ...เด็กจะเรียนรู้วิถีชีวิตจากผู้หลักผู้ใหญ่ นิสิตที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวก็คือกลุ่มคนที่เด็ก ๆ เฝ้ามองอยู่อย่างไม่ลดละ ....
การจัดงานวันเด็กแห่งชาติปีนี้ อยากให้นิสิตมองงานวันเด็กในวันวัยของเด็กที่ครั้งหนึ่งตนเองเคยเป็นอยู่และดำเนินไปอย่างมีชีวิต มิใช่มองวันเด็กในมุมมองของ "วันนี้" ที่ตนเองมีอายุล่วงพ้น ๑๘ ปีกันแล้วทั้งนั้น
ขณะที่นิสิตอยู่ในฐานะผู้จัดที่หยิบยื่นและแบ่งปันให้กับเด็ก ๆ นิสิตเองก็ยังจะได้คืนกลับไปสู่วันและวัยที่ล่วงผ่านมา กลับไปสู่โลกแห่งจินตนาการและความรื่นรมย์ พร้อมทั้งต้องไม่ลืมทบทวนการเรียนรู้ชีวิตและการใช้ชีวิตของตนเองผ่านรอยเท้าที่ยาวนานจาก "เด็ก" มาสู่ "วัยหนุ่มสาว"
บางทีคำถามที่ว่า สังคมวันนี้ แตกต่างจากวันก่อน อย่างไรบ้าง ? (อาจแจ่มชัดขึ้นในวันเด็กที่กำลังมาถึงในต้นมกราคม.... )
โปรดอย่าได้หยิบยื่นสิ่งแปลกปลอมในระบบบริโภคนิยมเข้าไปสู่เด็ก ๆ ....เพราะเขายังเด็กเกินไปที่จะมีภูมิต้านทานที่เข้มแข็ง...เพราะนับประสาอะไรคนหนุ่มสาวและผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่ว่าผ่านชีวิตมาพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังเอาตัวเองแทบไม่รอดอยู่เหมือนกัน
.........................
รู้สึกเช่นกันใช่ไหม...เราต่างโหยหาอดีตที่ผ่านมากันทั้งนั้นแหละ !
และวันเด็กแห่งชาติ ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราโหยหาความงดงามของชีวิตที่ล่วงผ่านมาแล้ว
วันเด็กยังไม่มีโปรแกรมหรอกครับ แต่ถ้าไม่อยู่ แถว รพ. สารคาม ก็คงอยู่ใน มมส.
ในการประชุมเพื่อเตรียมงานวันเด็ก พบว่าผู้ใหญ่หลายคน ได้พยายามยัดเยียดสิ่งแปลกปลอมในระบบบริโภคนิยมให้เด็กๆ ผมรู้สึกไม่เข้าใจคนพวกนี้
ยังดีว่า ผมเป็นผู้บริหารรุ่นพี่ คนพวกนี้จึงเรียนรู้ร่วมกันได้
วันเด็กปีนี้ ขออวยพรให้เด็กทุกคนเป็นเด็กดี และเป็นตัวอย่างของผู้ใหญ่หลายๆคนที่ไม่เห็นความสงบสุขของบ้านเมืองด้วยเจ้าค่ะ
ใครมีสาส์นวันเด็กปี 2550 กรุณาส่งให้เป็นด้วยนะคะ จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูง โดยส่งที่