หลังการประชุมคณะอนุกรรมการด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ ติดตามและประเมินผล ในคณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซึ่งผมบันทึกการสะท้อนคิดไว้ที่ (๑) มีการประชุมครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และประชุมครั้งที่ ๓ วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๔
เรื่องสำคัญที่นำเข้าที่ประชุมคือเรื่องระบบข้อมูล กับเรื่องการประเมิน ที่อ่านรายงานและเอกสารการประชุม รวมทั้งเข้าร่วมประชุมแล้วผมอึดอัดขัดใจ แต่ก็ต้องพยายามสวมหมวก positive mindset
เรื่องการบูรณาการระบบข้อมูลนั้น ผมสงสัยมากว่า แม้ไม่มี พรบ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการก็น่าจะได้จัดทำระบบข้อมูลทางการศึกษาที่ทรงประสิทธิภาพมาตั้งแต่เมื่อ ๕ - ๑๐ ปีที่แล้วไม่ใช่หรือ กระทรวงศึกษาธิการมีระบบข้อมูลที่อ่อนแอ ที่ก่อผลเสียหายมหาศาลเช่นนี้ ไม่มีคนรับผิดรับชอบเลยหรือ และเมื่อระบบข้อมูลของพื้นที่นวัตกรรมก็อยู่ในมือของคนชุดเดิมของกระทรวงศึกษาธิการ เพียงแต่เอามาเข้าคณะอนุกรรมการชุดนี้ จะมีผลให้ทำงานได้ผลเช่นนั้นหรือ ผมมีทางเดียวที่จะช่วยดูแลผลประโยชน์ของประเทศได้คือ ขอให้เขาเสนอ timeline ของการดำเนินการ และให้มานำเสนอความก้าวหน้าทุกๆ ๓ เดือน โดยจริงๆ แล้วงานในช่วงนี้เพียง ๖ เดือน เพื่อจัดทำมาตรฐานข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลจากหลายแหล่งเชิ่อมโยงกันได้ สิ่งที่ย้ำกันก็คือ ให้ขอความเห็นของ users ให้มาก
เรื่องการประเมิน ในการประชุมเดือนกรกฎาคม พูดกันชัดเจนว่า เน้นประเมินเพื่อเรียนรู้ แต่ TOR เพื่อว่าจ้างผู้ประเมินภายนอก ก็ออกมาเป็นประเมินเพื่อดูผลลัพธ์ ผมก็ต้องเจริญสติว่าด้วยเมตตาธรรม และรู้สึกชื่นชมท่านประธานคณะอนุกรรมการ คือ ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ว่าท่านอดทนต่อบุคลากรที่ด้อยคุณภาพของกระทรวงศึกษาธิการได้อย่างดีมาก
ผมชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ต้องตีความให้ชัดเจนว่า การมีพื้นที่นวัตกรรมการศึกษานั้น เป้าหมายยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จด้านยกระดับคุณภาพการศึกษาในพื้นที่นวัตกรรมเท่านั้น แต่มีเป้าหมายใหญ่กว่านั้น คือเพื่อเปลี่ยนโฉม (transform) ระบบการศึกษาของประเทศ เพื่อผลลัพธ์การเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูงของนักเรียน และยังมีเป้าหมายลึกๆ ที่ซ่อนอยู่คือ เพื่อเปลี่ยน mindset ของครู ผู้อำนวยการโรงเรียน และผู้บริหารระบบการศึกษา ว่าท่านเหล่านั้นต้องไม่ดำรงตนเป็น “ผู้รู้” แต่เป็น “ผู้เรียนรู้” มุ่งเรียนรู้ต่อเนื่องจากการทำงานของตน เรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ เพื่อยกระดับการทำงานของตนเรื่อยไปไม่รู้จบ โดยระบบการศึกษาต้องสร้างระบบนิเวศเพื่อการเรียนรู้นั้น
ผมทำหน้าที่อนุกรรมการชุดนี้เพื่อเป้าหมายใหญ่สองข้อนี้ โดยมีเป้าหมายข้อที่ ๓ พ่วงเข้าไปด้วย คือ ความเสมอภาค
ที่จริงการประชุมเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ระหว่างเวลา ๑๖.๓๐ น. ถึง ๒๐ น. เศษๆ เป็นการประชุมที่ให้ผลิตภาพสูงมาก ด้วยความสามารถของท่านประธาน สนับสนุนโดยทีมงานจาก ทีดีอาร์ไอ โดยที่วาระหลักคือเรื่องการประเมินพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ตามที่ระบุไว้ใน พรบ. เพื่อดูว่าพื้นที่ใดไม่มีประโยชน์ก็จะได้ยกเลิก
โชคดีที่ฝ่ายเลขานุการเชิญทีมที่สนใจรับงานประเมินชิ้นนี้รวม ๔ ทีม มาคุยกับคณะอนุกรรมการ จึงได้มีการทำความเข้าใจปรับร่าง TOR กันเดี๋ยวนั้น และหลังจากเสวนาทำความเข้าใจกัน ทางทีมเขาก็ขอเสนอแนวทางทำงานของแต่ละทีมให้เราเลือกเลย โดยขอถอนตัวไปหนึ่งทีม มีการนำเสนอแผนดำเนินการประเมิน ๓ ทีม
เมื่อเสนอและซักถามเสร็จ ประธานถามว่าทำอย่างไรต่อดี ผมเสนอว่าฟังข้อเสนอแล้วตัวผมเองตัดสินได้แล้ว กรรมการอีกท่านก็ว่าเช่นเดียวกัน จึงให้ทีมเสนอตัวเป็นผู้ประเมินออกจากซูมไป แล้วก็ถึงคราวออกความเห็น ในฐานะผู้สูงอายุที่สุด ประธานขอให้ผมออกความเห็นก่อน ผมบอกว่า ขอเสนอให้คิด “อาวุโส” ในความหมายที่พระผู้ใหญ่ใช้เรียกพระที่พรรษาน้อยกว่า ตกลงให้คนอายุน้อยที่สุดออกความเห็นก่อน
ซึ่งก็ได้ผลดีจริงๆ เพราะความเห็นเบื้องต้นออกมาไม่เหมือนกัน ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อติดเห็นให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เราหวังผลจากการประเมินที่การเรียนรู้มากกว่าเพื่อดูผลดำเนินการ หวังผลที่การเรียนรู้ของภาคีที่หลากหลายมากกว่าเพื่อทำตาม พรบ. เราหวังผลที่การปรับระบบใหญ่ของการศึกษา และหวังผลการเรียนรู้และยกระดับความมั่นใจของภาคีในพื้นที่ ต่อการเข้ามาร่วมกันยกระดับคุณภาพและความเสมอภาคทางการศึกษาในพื้นที่
วิจารณ์ พานิช
๑๐ ส.ค. ๖๔
ฟังเรื่อง ศธ. แล้วก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น ระบบโบร่ำโบราณที่ยังคงอยู่ ;)…