หลังจากที่ได้พิมพ์บันทึกกรณีศึกษา (Case Study) กับปัญหาการหางานทำในที่ที่ศิวิไลซ์
เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้ผมมีโอกาสคิดต่อยอดโดยการเปรียบเทียบกับ Tacit Knowledge ของตัวเองว่า เอ๊ะ ทำไมเราถึงกลับมาอยู่บ้านและมีเหตุผลอะไรบ้างล่ะที่ทำให้เราถึงต้องออกไปทำงานที่ต่างจังหวัดอันแสนไกล
สิ่งที่ผมพบซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่อึดอัดใจนั่นก็คือ คำถามแทงใจที่มีคนถามว่า "ทำงานที่ไหน?" เป็นคำถามที่ได้ยินทีไร อื่ม.... ถามง่ายแต่ตอบยากจัง
ตั้งแต่ผมกลับมาอยู่บ้านเพื่อช่วยพ่อและแม่ทำงานที่บ้านเป็นเวลาประมาณ 3 เดือนเศษ คำถามที่ผมต้องพบเจอร้อยละ 90% ไม่ว่าจะเจอใครก็ถาม นับตั้งแต่เพื่อน พี่ น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย ลุง ป้า น้า อา นั่นก็คือคำถามที่ว่า "ทำงานที่ไหน?"
จนคำถามนี้กลายคำทักทายแทนคำว่า "สวัสดี" ไปเสียแล้ว
คำถามสั้น ๆ แต่มีความหมาย เป็นคำถามที่แฝงไว้ด้วยความหวัง การแข่งขัน และการเปรียบเปรย
อื่ม.... เป็นคำตอบที่ยากมาก ๆ สำหรับคนที่ไม่มีงานทำและคนที่คิดจะกลับมาช่วยทำงานที่บ้าน โดยเฉพาะคนที่เรียนจบมาสูง ๆ (ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป)
ถ้าถามผมว่าตอนนี้มีความสุขไหมกับการกลับมาอยู่ช่วยพ่อช่วยแม่ทำงานที่บ้านก็ตอบได้เลยครับว่า "มีความสุข" มาก โดยเฉพาะเมื่อยึดหลักมรณังคสติและเศรษฐกิจพอเพียงผนวกเข้าด้วยกันแล้ว บอกได้เลยครับว่า "มีความสุขสุด ๆ"
แต่ธรรมดาของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม คำถามนี้เป็นคำถามที่ตอนแรกผมก็เฉย ๆ แต่พอโดนถามไปถามมาบ่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อเดินไปไหนกับแม่แล้วโดนถามว่าลูกชายทำงานที่ไหน ก็เริ่มจะตอบยากทั้งคู่
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งไหมที่บัณฑิตไม่ค่อยอยากกลับมาที่บ้าน
คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการด้วยกันคือ
สาเหตุหรือปัจจัยทั้งสองข้อนี้แสดงให้เห็นว่า "เราแคร์คนอื่นมากกว่าแคร์ตนหรือครอบครัวเราเอง" เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัยในการดำเนินชีวิตต้น ๆ ของสังคมไทย "การเปรียบเทียบ และการแข่งขัน"
เพราะฉะนั้น หลาย ๆ คนจะได้ยินคำพูดตามมาที่ว่า "ส่งไปเรียนจบตั้งปริญยงปริญญา จบแล้วก็กลับมาทำนาเหมือนเดิม" แล้วส่งไปเรียนทำไม???? เจ็บนะ เจ็บ....
คำพูดนี้เป็นคำพูดที่แทงใจใครหลาย ๆ คน หรือแม้กระทั่งผม
แต่ผมก็โชคดีอยู่อย่างครับที่ที่บ้านเป็นร้านขายของ ไม่มีนาให้ทำ ไม่งั้นก็อาจจะโดนเปรียบเปรยด้วยคำพูดนี้ก็ได้
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อแสดงภาพในมุมมองของบัณฑิตคนหนึ่งที่กลับมาอยู่บ้านเพื่อให้ทุกท่านได้ทราบว่า
เด็กเขาก็อยากอยู่บ้าน อยากอยู่ใกล้พ่อใกล้แม่กัน แต่ทว่า คำพูดของ "ชาวบ้าน" เนี่ยแหละ "ปัญหา" ยิ่งผนวกกับสายตาในการมองของคนที่ไม่เคารพความเป็นคนนี่ด้วยแล้วล่ะก็ "ยอมไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า..."
ดังนั้นวิธีการแก้ไข
สำหรับในสังคมขณะนี้นั้นค่อนข้างยาก เพราะคนเราในปัจจุบันแข่งขันกันกว่า ใครสวมขัวโขนสวยกว่าใคร ใครรวยกว่าใคร ลูกใครมีเงินเดือนลูกกว่าใคร ลูกชั้นมีเงินเดือนเท่านี้ ลูกเธอล่ะมีเงินเดือนเท่าไหร่ อุตส่าห์ขายวัวส่งลูกไปเรียนปริญญาแล้วเป็นไงล่ะ ก็ต้องกลับมาอยู่บ้านทำนาเหมือนเดิม
แต่... ก็ไม่ยากเกินความพยายาม
โดยเฉพาะยิ่งถ้าเป็นแนวนโยบายของรัฐบาลและแนวโน้มสังคมในอนาคตอันใกล้นี้กับทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงและหลักการสุขนิยม ที่แสวงหาความสุขแบบเพียงพอ ไม่เน้นใช้เงินเป็นสื่อกลางในการเปรียบเทียบความเป็นคน การเป็นคนโดยสมบูรณ์ถ้าวัดกันด้วยการกระทำ การกระทำดีต่อบุพการี กระทำดีด้วยการปฏิบัติ มิใช่ใช้เงินเข้าแลก ถ้าสังคมไทยยอมรับความดีจากการปฏิบัติในข้อนี้ได้ เด็กหรือบัณฑิตอีกหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนคน "เขาอยากกลับบ้าน"
ถ้าสังคมใช้สื่อกลางในการทำงานคือความสุข
ถ้าสังคมใช้สื่อกลางในการทำงานคือปัญญา
และเราศรัทธาความสุขในตนเองมากกว่าศรัทธาคำพูดของคนอื่น
สำนึกรักษ์บ้านเกิดของบัณฑิตนั้น จะไหลกลับมาสู่ท้องถิ่นไทยอย่างแน่นอน....
เรียนท่านปภังกรณ์ และ ท่านขจิต น้องพี่ร่วมอุดมการณ์ร่วมกู่
JJ หนีรถติด มาจากบ้าน กทม ตั้งแต่ปี ๒๕๑๙ อยากกลับบ้านเหมือนกัน แต่คงไปไม่ได้แล้วครับ คุณแม่มาอยู่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ได้แปดเดือนแล้วครับ
บางครั้ง เหตุผล ความจำเป็น ก็ทำให้ไม่ได้กลับบ้านนะครับ เห็นใจ เข้าใจ ช่วยเป็นกำลังใจ
"อย่างไร ก็ ไท.. ไทย....ไท..." ครับ
เรียน อาจารย์ปภังกร
แวะมาทักทายค่ะ
มาเป็นกำลังใจด้วยหนังสือ ชื่อ อุปส์ดวงดาวแห่งหัวใจ ค่ะ
น่าจะได้อิสรภาพแล้วในด้านหนึ่ง คืออิสรภาพ "จาก" อะไรบางอย่าง ถ้าท่านไม่รู้สึกถึงความเศร้าที่กำลังคืบคลานมาสู่ท่านในคืนเดือนมืด ยินดีด้วยครับ ท่านกำลังค้นพบ อิสรภาพ "เพื่อ" อะไรบางอย่างแล้ว ขออย่าให้สถานที่เป็นข้อจำกัดในการเข้าถึง อิสรภาพ "เพื่อ" อะไรบางอย่างเลย...
***พ่อกับแม่นี่แหละ พูดกรอกหูอยู่ทุกวัน ว่าเรียนสูง ไปทำไม ยังไม่มีงานทำเลย
( ตอนนี้เรียนป.โท อยู่ แต่เรียนภาคพิเศษ )
+++ ช่างเป็นช่วงที่น่าเบื่อสุดๆๆ ทำให้ไม่อยากจะอยู่บ้านเลยเนี่ย
จะบอกว่าไม่มีความสุขสักนิดเลยก็ได้ ...ตรงข้ามกับพี่เลยนะที่มีความสุขสุดๆ หนะ
อยากไปที่ๆ อยู่แล้วมีความสุขจัง ....แต่ความฝันนั้นยังอยู่อีกไกล
^________^