วันนี้ (อาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน 2561) รับบทบาทวิทยากรบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่อง “การเขียนบล็อก” (Blog) แก่นิสิต ณ ห้องประชุม 2 อาคารพัฒนานิสิต กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจัดโดยเครือข่ายนิสิตจิตอาสาทำดีเพื่อสังคม (ทำดีเพื่อพ่อ ทำดีเพื่อแผ่นดิน) และเครือข่ายนิสิต ๙ ต่อBefore After
กิจกรรมวันนี้ เป็น “แนวคิดร่วม” ระหว่าง “ผมกับนิสิต” ทั้งสององค์กร เพราะต้องการให้แกนนำที่ขับเคลื่อนกิจกรรมจิตอาสาในวิถีกิจกรรมนอกหลักสูตร ได้ฝึก “ถอดความรู้” หรือ “จัดการความรู้”ด้วยตนเอง ผ่านการเขียนที่คนใน Gotoknow.org เรียกกันว่า “การเขียนเพื่อการจัดการความรู้”
อันที่จริง ผมเปรยกับบรรดาแกนนำนิสิตเหล่านี้ว่า “... การเขียน Blog คือระบบและกลไกอันสำคัญในการเผยแพร่เรื่องราวการเรียนรู้ของตัวเองและองค์กรไปสู่สาธารณะ และอยากให้แกนนำได้ตระหนัก หรือให้ความสำคัญต่อการเขียนเพื่อเผยแพร่อย่างสร้างสรรค์ เป็นไปได้ก็อยากให้ถือเป็นอีกหนึ่งพันธกิจของการขับเคลื่อนกิจกรรม อันหมายถึง “ทำแล้วก็เขียนสื่อสารอย่างสร้างสรรค์” นั่นเอง...”
นั่นคือ ส่วนหนึ่งที่ผมพูดกับนิสิตในเวทีวันนี้
บรรยายเชิงกระบวนการ
เวทีครั้งนี้ ผมเลือกใช้กระบวนการหลัก คือการบรรยายเชิงกระบวนการ ไม่ได้มุ่งไปยังเทคนิคการเขียนโดยตรง เพราะเทคนิค หรือทักษะของการเขียนคงต้องปฏิบัติการให้มากกว่านี้ เพื่อให้เกิดความรู้คู่ไปกับทักษะ หากแต่คราวนี้ผมเลือกปฏิบัติการทางความคิดมากกว่า ย้ำให้เกิด “ทัศนคติที่ดีต่อการเขียน-เข้าใจหลักของการเขียน-เชื่อมั่นในตัวเอง-กล้าที่จะเขียน”เสียมากกว่า
พร้อมๆ กับการชวนคิดชวนคุยเรื่องจิปาถะอันเป็นความรู้ทั่วๆ ไปเพื่อให้นิสิตเข้าใจถึงบริบทอื่นๆ ที่สามารถเชื่อมโยงมาเป็นข้อมูลการเขียน - เสมือนการสอนให้นิสิตได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องราวระหว่างทางพอๆ กับปลายทาง หรือการให้ความสำคัญกับกระบวนการ พอๆ กับผลลัพธ์ –
หลายต่อหลายครั้ง ผมโยนคำถามกว้างๆ แบบไม่เจาะจงให้นิสิตได้ขบคิดไปเรื่อยๆ เช่น
เขียนอะไรดี
ประเด็นสำคัญที่ผมย้ำเน้นมากมายในครั้งนี้คือ “ต้องเชื่อว่าตนเองมีศักยภาพที่จะเล่าเรื่องต่างๆ ผ่านงานเขียน” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ “คนทุกคนเขียน Blog ได้” โดยสะท้อนว่า เป็นไปได้ก็เขียนจากเรื่องที่ตนเองคุ้นชิน สันทัด -สัมผัสด้วยตนเอง (พูดในสิ่งที่ทำ ย้ำในสิ่งที่มี) หรือการเขียนจากเรื่องที่ตนเองทำจริงด้วยตนเอง เขียนจากเรื่องที่ตนเองสนใจ เขียนเท่าที่รู้ ซึ่งคำว่า “รู้” ในที่นี้เน้นการรู้จากการลงมือทำ ที่เหลืออาจค้นคว้าเพิ่มเติม หรือเรียนรู้จากคนรอบข้างก็ไม่ผิด
เช่นเดียวกับการย้ำถึงการเขียนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเขียนสม่ำเสมอจะตกผลึกในเรื่องการของใช้คำ (ร่ำรวยถ้อยคำ) เกิดทักษะลีลาการเขียน ประเด็นของการนำเสนอ หรือกระทั่งการอ่านให้มากๆ เพราะการอ่านคือรากฐานของการเขียน
และการอ่าน คือกระบวนการของการ “มองโลกและชีวิต”
มีความหมายใดในการเขียน
ผมยังคงยืนยันวิธีคิดของผมเกี่ยวกับการเขียนเพื่อการจัดการความรู้ผ่าน Blog ในวิถีเรื่องเล่า กล่าวคือ เขียนในลักษณะเล่าเรื่อง เสมือนเรากำลังนั่งพูดคุยนั่งเล่าเรื่องให้คนฟัง ทำให้คนอ่านรู้สึกราวกับว่ากำลังนั่งสบตาเสวนากับเรา -
รวมถึงการบอกย้ำว่าเรื่องที่เขียนต้องสื่อให้เห็นวิธีคิดของเราต่อสิ่งที่ทำ เช่น
ที่สุดแล้ว ผมบอกกับทุกคนว่าการเขียนไม่ใช่สิ่งที่จะมาร่ายมนต์เชิงทฤษฎีโดยไม่ผ่านการลงมือทำ/การเขียน ดังนั้นคนทุกคนต้องลงมือเขียน มิใช่ฟังแล้วก็ไม่พยายามที่จะลุกขึ้นมาเริ่มต้นที่จะเขียน
ครั้งนี้ ผมโยงกระทั่งว่าการเขียนบล็อกก็เป็นการเขียนไดอารี่ชนิดหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้เก็บไว้อ่านคนเดียว เพราะเขียนแล้วสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ เสมือนการนำเรื่องราวตนเองอันสร้างสรรค์มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้สู่การพัฒนาตนเอง
หรือกระทั่งการยกตัวอย่างว่า เมื่อผมเขียนบล็อก ผมก็มีสังคมที่กว้างขึ้น ทั้งในเชิงบุคคล เครือข่ายทำงาน ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงการนำเรื่องราวที่เขียนมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือเรียนนอกฤดู โดยปัจจุบันก็ยังคงมีแฟนคลับของเรียนนอกฤดูหลงเหลืออยู่บ้าง
แต่ที่แน่ๆ ผมใช้ข้อเขียนในบล็อกไปประกอบการสอนหนังสือ และจัดกระบวนการเรียนรูู้มาเป็นระยะๆ
และนี่คือส่วนหนึ่งที่นิสิต ได้เริ่มเขียนในเวทีที่ว่านี้ –
ขอจดจำไปใช้อีกคนค่ะอาจารย์
จริง ๆ การเขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้นี้เป็นเทคนิคและพรสวรรค์ของแต่ละคน แต่ถ้ามีหลักการเขียนที่ถูกต้องมันก็ทำให้การเขียนง่ายขึ้น และสามารถผูกโยงเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ ไม่สับสน คล้าย ๆ กับการผูกปม และกระตุกปม ผ่อนความคิดให้แผ่ขยายออกไปนั่นเอง
ขอไปเรียนด้วยสิครับ คุณแผ่นดิน ;)…
มาเรียนรู้ด้วยคนครับ
เขียนบ่อยๆ ทำให้มองโลกในแง่บวกได้ด้วยนะคะ
สวัสดีครับ อ.แม่มด
จวบจนวันนี้ ผมก็ยังคงเขียนในแบบ “ใจนำพาศรัทธานำทาง” ครับ เน้นเล่าเรื่อง ถามตัวเอง อธิบายกับตัวเอง ยังค้นหาสูตรสำเร็จรูปในแบบฉบับตนเองชัดๆ ไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ในเวทีนี้ ผมเน้นให้ “นิสิต” ได้เริ่มต้นจากการบทวทวนมุมมองตัวเองที่มีต่อการเขียน เพราะผมเชื่อว่า หากทัศนคติไม่เอื้อต่อการเขียน ก็ลำบาก
ทัศนคติที่ว่านั้น คือ ต้องเชื่อว่าตนเองมีเรื่องที่จะเขียน-เชื่อว่าตนเองเขียนได้ โดยเริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว เรื่องที่ถนัด เรื่องที่ทำอยู่แล้ว ฯลฯ
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ อ.Wasawat Deemarn
ไฉนเลย ผมจะกล้าสอนครูให้ฝึกจับไม้เรียว ละครับ 5555
สวัสดีครับ คุณnobita
ยินดีและเป็นเกียรติครับ-เพราะเราต่างเชื่อในพลานุภาพของการเขียน —
สวัสดีครับ พี่แก้ว..อุบล จ๋วงพานิช
แท้จริงแล้ว ในอีกนิยาม การเขียน ก็คือการเจียระไนชีวิตนั่นเอง กระมังครับการเขียนเสมือนการใคร่ครวญต่อการที่เราได้เฝ้าสังเกตปรากฏการณ์ของโลกและชีวิตว่าเป็นเช่นใด และเราต้องดำเนินชีวิตไปเช่นใด ทั้งในมุมของส่วนตัว และสังคม
ขอบคุณครับ