ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และแน่นอนเคยเป็นเด็กมหาลัยมาก่อน ... ผมผ่านการรับน้อง ที่ผมไม่ค่อยชอบนักมา แม้ที่ที่ผมจบมาจะดูมีเหตุผลไม่โหดมาก แต่ก็ยังไม่ชอบมากอยู่ดี รูปแบบการรับน้องมีเปลี่ยนไป แต่บางทีก็ได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยดีนัก จากหลายมหาลัยไม่ว่าเก่าใหม่ ... สมัยเรียนมหาลัย เคยลองแอบถามเพื่อนที่เป็นว๊ากเกอร์ ว่าไม่ทำอย่างนี้ไม่ได้เหรอ เพื่อนบอกว่า ...ไม่ทำอย่างนี้แล้วจะหาอะไรมาแทน
เออจริง ...แล้วจะหาอะไรมาแทน ...
นี่คือคำถามคาใจ...ที่ผมรอคำตอบ.. ไปว่าเขา เขาบอกให้หาอะไรมาแทน ก็หาคำตอบไม่ได้
โดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาสไปสอนนักศึกษาปี 3 ป.ตรีบริหารที่มหาลัยแห่งหนึ่ง ..ผมจัด Thoery U ครับ
สองสิ่งนี้จะทำให้คนที่อยู่ในวง Theory U เห็นความเขื่อ ความคิดตนเอง เกิดการทบทวน ปรับเปลี่ยนตัวเอง รวมทั้งเกิดพลังกลุ่มได้ นำมาสู่ Action Reseach อันนี้คือการสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
... คนหนึ่งฟัง คนหนึ่งพูด 1 ชั่วโมง ประมาณพูดอะไรก็ได้ ..สลับกัน จากนั้นมาทำ Reflection ซึ่งก็คือถามว่าคุณชอบเรื่องที่คู่สนทนาพูดตรงไหน แล้วคุณเห็นความเชื่อคุณตรงไหน แล้วคุณจะทำอะไรต่อไป ..ประมาณนี้
ผมเชิญมาหน้าเวทีสามสี่คู่ เพราะเวลาจำกัด
คู่แรก ...
“เพิ่งรู้ค่ะ นี่อยู่ด้วยกันมาสามปีแล้ว เพิ่งรู้ว่าเพื่อนที่อยู่ข้างหน้าเป็นนักกอร์ฟเยาวชนทีมชาติ เล่นกอร์ฟมาตั้งแต่ 6-7 ขวบ”
ใครเพิ่งรู้บ้าง ...ยกมือกันเต็ม...
ผมเลยจัดต่อนิด .. เอาว่าถ้านักศึกษาไม่ได้มาทำอะไรเป็นของตัวเอง ต้องไปเป็นลูกจ้าง ก็อยากทำงานในบริษัทดีๆ .. แต่คุณเรียนมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ตำราเดียวกับเด็กจุฬา ธรรมศาสตร์ ... จบไปถ้าสมัครงาน ถ้าดี และเกรดเหมือนกัน เขาจะเลือกใคร?
แต่ถ้าคุณรู้จักว่าเพื่อนเล่นกอร์ฟคนนี้ตั้งแต่วันแรก ...เล่มตามๆกันไป เพื่อนสอนกอร์ฟให้. คุณจบมา คุณจะรู้มากกว่า...ถ้าดีเหมือนกัน เกรดเท่ากัน แต่ถ้าคุณเล่นกอร์ฟเป็น... จะเกิดอะไรขึ้น
รายที่สอง ..
ออกมาน้ำตาแตก...
“ทำไมแกไม่บอกฉัน ...ทำไมเป็นอย่างนี้" เธอออกมาชี้เพื่อนไป ร้องให้ไป.. หนึ่งในกลุ่มคุณหนู Hiso ถือกระเป๋าหลุยส์ ที่เพิ่งรู้ว่าเพื่อนในกลุ่มที่อยู่ดีๆ ก็ Drop ไป เรียนตก ขาดเรียนบ่อยๆ อยู่ดีๆหายไปจากกลุ่มเพื่อน... สาเหตุมาจากพ่อแม่เลิกกัน พ่อแม่เดิมไปมีครอบครัวใหม่ และเริ่มมีลูกเล็กๆ ไม่กล้าเดินเข้าบ้านไหน จะไปขอเงินก็รู้สึกลำบากใจ ที่สุดเลยเลือกมาทำงานพิเศษไปขอเฝ้าร้านอินเตอร์เน็ต ส่งตัวเองเรียน ... ชีวิตลำบาก .. ฐานะที่เปลี่ยนไปจากรวยมาจนมากๆ ..ไม่อยากสู้หน้าใคร..”
รายที่สาม...
“เพิ่งรู้ว่าเพื่อนลำบาก เข้าใจแล้วทำไมชวนลง Summer ไม่ลง เชื่อไหมอาจารย์เห็นเพื่อนที่ตัวเล็กๆ เท่านี้ ไม่น่าเชื่อต้องไปรับจ้างขับรถตัดอ้อยช่วง Summer ...ไม่รู้เลยเพื่อนลำบากขนาดนี้”
รายที่ 4
"เพื่อนหนูลำบากค่ะ อาจารย์คะ เพื่อนเล่าว่า ..ทุก Summer ต้องหาเงินเรียนด้วยการ ไปรับจ้างเป็นคนงานในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์".... เธอเล่าว่า “อาจารย์คะ ไม่สำคัญว่าอาจารย์มาจากไหน การศึกษาอะไร เขาดูแค่เนี๊ยว่าตาดีรึเปล่า เพราะต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ทำงาน...คนเรามันมีค่าเท่านี้จริงๆ”
แล้วผมก็น้ำตาแตกเอง...
เห็นคณะๆหรู ผู้หญิงผู้ชายเริดๆ จริงๆแล้วเขาก็คือคนธรรมดานั่นเอง ที่หลายคนไม่โชคดีเท่าคนอื่นๆ... หลายคนมีฐานะ เป็นคนดี แต่มองไม่ออกว่าใครกำลังเดือดร้อน. เลยไม่รู้จะให้ความช่วยเหลืออะไร"
นี่ขนาดอยู่ด้วยกันมาสามปี ....
แล้วนักศึกษาคนหนึ่งก็มาบอกผมว่า... “อาจารย์ผมอยากเอา Theory U ไปรับน้องจังเลย...”
อาจารย์เจ้าของวิชามาบอกผมว่า... “อาจารย์ภิญโญ ไปทำอะไรหน่ะ อยู่ดีๆ นักศึกษาผมเปลี่ยนไป แต่เดิม มันดื้อจัง แต่ก่อนจะพยายามเลื่อน class ไปให้สอนเสาร์อาทิตย์ เร่งเรียน ตอนนี้ไม่..”
“เท่าที่ดูครับพี่ เด็กๆ น่าจะพยายามช่วยเพื่อนๆ ที่ต้องทำงานเลี้ยงตัวเองช่วง Weekend”
นี่ไง คำตอบครับพี่
หนึ่งในวิธีการรับน้องที่น่าจะแทนการทำอะไรโหดๆ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ นั่นคือ Theory U
นักศึกษาหลายคนอาจมีตรรกกะที่สืบทอดกันมาว่า ต้องทำให้รักกัน สามัคคีกันไว้ .. ต้องอดทน เพราะโลกในวันหน้าจะโหดร้าย...
แต่สิ่งที่โหดร้ายที่สุดอาจไม่ได้มาจากการกระทำของใคร ...แต่อาจมาจากเราเอง ความเชื่อและประสบการณ์ของเราเอง ...
เราอยู่ร่วมกับคนเก่งแต่ไม่รู้ว่าเขาเก่ง นี่ก็พลาดโอกาสแล้ว
ไม่รู้ว่าเขามีปัญหา เพื่อนที่เจอเหตุการณ์โหดร้าย เลยได้อยู่อย่างโหดร้ายต่อไป ... นี่ก็พลาดอีก...
เอาแค่สองเรื่องหลังนี้ ถ้าคุณพลาด คุณโตยากครับ เรียกว่าคุณนี่โหดร้ายกับตัวเอง เพราะอะไรครับ
รับน้องแบบเดิม..น่าจะทำได้ดีกว่านี้ นี่แสดงว่าไม่ (ผมพูดที่นี่ที่เดียว)
SOTUS ยังไง มันไปคนละทาง ...ที่สุดก็ตัวใครตัวมัน ..กลุ่มใครกลุ่มมัน
เพราะถ้าดี ลูกศิษย์ผมคงไม่อยากเอา Theory U ไปแทน ผมเองก็คงสนับสนุนให้โหดๆ ต่อไป
ตามประสบการณ์ผม...ผมว่าคนไม่อาจเรียนรู้อะไรจากการถูกบีบคั้น
ความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ผ่านกระบวนการที่แสนธรรมดาเช่นการฟัง และทำในสถานการณ์ปรกตินี่แหละ ผมว่าสร้างสรรค์กว่า เพราะทำที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องแค่ช่วงเชียร์... มันควรทำเป็นนิสัย ไปตลอด
ความร้ายกาจของมนุษย์ที่น้องจะเจอในวันทำงาน ที่รุ่นพี่พูดๆกัน ..อาจไม่ใช่กับความโหดร้ายของคนอื่น ...อาจเป็นตัวคุณนั่นเองที่โหดร้าย หรือทอดทิ้งคนอื่น ทั้งที่คุณก็ดูเป็นคนดี หรืออาจถูกทิ้งให้ล้าหลัง เพราะมองคนไม่ออก เลยไปไม่ไกลพอ
การรับน้องคงต้องมีต่อไป ...
แต่อาจด้วยเครื่องมือใหม่ๆ ที่ทำให้เขาได้ทบทวนตัวเอง และสร้างประสบการณ์ใหม่ ได้เห็นคุณค่าคนอื่น ได้ช่วยคนอื่น ได้ตั้งแต่เรียน ความโหดร้าย มันคือโลกธรรม 8 มันเกิดขึ้นตั้งแต่การเป็นนักเรียนแล้วครับ สร้างสังคมที่สามารถทำให้คนดูแลกันได้ เด็กแก้ปัญหาได้ตั้งแต่สมัยเรียนจะประเสริฐมากๆ ... ถ้าของเดิมทำไม่ได้ คิดใหม่เลยครับ
ก็เป็นอีกความคิดหนึ่ง
เพียงเล่าให้ฟัง ...อย่างน้อยผมก็ตอบคำถามเพื่อนว๊ากเกอร์ของผมได้แล้ว
วันนี้พอเท่านี้ เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ
Note: วิธีทำ Theory U อย่างละเอียดดูได้ที่นี่
https://www.gotoknow.org/posts…<p>
</p><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p>
ขอบคุณครับท่านอาจารย์ สบายดีนะครับ
ปีนี้ มข รับน้อง มีคนชื่นชมเยอะ เป็นนิมิตรหมายที่ดีนะคะ