13/07/2556
***********
<p style="text-align: left;"> ผู้เขียนเคยเขียนกรอบแนวคิดการพัฒนาชนบทนานมาแล้ว โดยนำหลักพุทธธรรมทางศาสนามาเป็นกรอบในการเขียน
และครั้งนี้ก็พยายามอ่านและชมวีดิทัศน์หลายแห่งที่กล่าวถึง
“ชาวนา” และ “ข้าวไทย”
พร้อมกันนี้ก็มีประเด็นคำถามของ คุณ
SRที่ถามว่า ชาวนา ควรทำอะไร อย่างไรที่ชวนคิดสะกิดให้อยากเขียนบันทึกนี้(บ่นเสียมากกว่า)
ผ่านมุมมองตามแนวคิดหรือความคิดเห็นของตนในประเด็นดังต่อไปนี้
</p>
1. ทำไมชาวนาไทยถึงยากจน
2. แก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร
หากเราไม่มีอคติหรือมีแนวคิดขัดแย้งเกี่ยวกับหลักธรรมทางพุทธศาสนาว่าไม่ทันสมัย ไม่ใช่หลักทฤษฎีเหมือนแนวคิดของฝรั่งแล้ว ลองหันมาพิจารณาหลักอริยสัจ 4 กันดูสักหน่อยก็แล้วกัน
1. ทุกข์(ผล) คือ ปัญหา ความยากจนของชาวนาไทย
2. สมุทัย(เหตุ) คือ สาเหตุของปัญหา ความยากจนมาจากสาเหตุใด
3. นิโรธ(ผล) คือ ลักษณะที่หมดปัญหาหรือแก้ปัญหาได้แล้วชาวนาเป็นอย่างไร
4. มรรค(เหตุ) คือ ข้อปฏิบัติในการแก้ไขปัญหา วิธีการหรือแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจน
ประเด็นแรกทำไมชาวนาไทยถึงยากจน หากเรานำหลักการนี้มาเทียบเคียงก็พอได้ ดังนี้
อันดับแรกเราต้องมาวิเคราะห์กันก่อนว่า สาเหตุ(2.สมุทัย)ที่แท้จริงของปัญหาเกษตรกรที่เป็นชาวนาไทยที่ทำให้ยากจนนั้นมีอะไรบ้าง ตามแนวคิดของผู้เขียนเท่าที่เห็นและประสบการณ์เคยสัมผัสมาด้วยตนเองพอประมวลได้ดังนี้
2.1 ความอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น โดยลืมไปว่าศักยภาพของเรานั้นมีอยู่เพียงใด ในการที่จะทำให้ตนเองนั้น “รวย” ได้ ถ้ามองตามหลักการแล้วถือว่าเปอร์เซ็นต์เป็นไปได้นั้นมีน้อยมาก ที่สำคัญคือ “แนวความคิด” ผู้เขียนเคยถามชาวนาหลายคนว่าทำไมเราไม่ทำเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เขาบอกว่า “ไม่ทันกิน” มันช้า ไม่ทันการณ์ ได้เงินช้า ไม่พอใช้หนี้ ทำอะไรก็ต้องการความเร็ว ไว เห็นผลทันใจเอาไว้ก่อน ความอยากเป็นเหมือนคนอื่น ชาวนาคิดเหมือนละครทีวีมอมเมาประชาชน คิดเหมือนคนชั้นกลาง คิดเหมือนข้าราชการ คิดเหมือนเศรษฐี อยากมีบ้านหลังใหญ่ ๆ หรู ๆ มีรถกระบะ รถเก๋ง ไทยแลนด์(อีแต๋น) มอเตอร์ไซค์ โทรศัพท์ เครื่องเล่น เครื่องเสียง พร้อมชุดคาราโอเกะ เมื่อคิดมีคิดเป็นเหมือนเขาก็จะทำเหมือนเขา หาเงินแบบเขา และใช้จ่ายแบบเขา เดี๋ยวนี้ชาวนาใช้บัตรเครดิต โดยรัฐจัดทำให้ เพื่อความสะดวกของการซื้อและจ่าย ค่าปุ๋ย ค่ายาค่าอื่น ๆ มีบัตรเอทีเอ็มของธกส. ของออมสิน(เงินกองทุนหมู่บ้าน)ในเมี่อซื้อง่ายจ่ายคล่องแล้วยังใช้เครดิตได้อีกจะเอาอะไรมาเหลือ
2.2 ขาดความรอบคอบรัดกุม ชาวนาไทยขาดการทำระบบการใช้จ่ายเงินภายในครัวเรือนและภายนอกครัวเรือน หรืออาจจะมีน้อยคนนักที่จะคิดทำหรือลองทำ ลองไปสอบถามได้เลยว่าในครัวเรือนต่าง ๆ ของชาวนานั้นมีการ “จดบันทึกรายรับ รายจ่าย” ค่าเครื่องใช้ ค่าวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการทำนากันสักกี่ครอบครัว ค่าพันธุ์ข้าวเท่าไหร่ ค่าน้ำมันเท่าไหร่ ค่าปุ๋ยเท่าไหร่ เมื่อไม่มีการบันทึกไม่มีข้อมูลเหล่านี้ในแต่ละวัน แต่ละเดือน และแต่ละปี จะรู้ได้อย่างไรว่า กำไร(เกินกว่าที่ลงทุนไป)เท่าไหร่ หรือขาดทุน(ต่ำกว่าที่ลงทุนหรือใช้จ่ายไป)เท่าไหร่ เมื่อไม่รู้ก็ย่อมเสียเปรียบผู้ที่รู้และไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดได้
2.3 ขาดการพัฒนาด้านองค์ความรู้ การทำนาของชาวนาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่ทำตาม ๆ กันมา เหมือนกับหลักความเชื่อที่ว่า “ทำตามกันมาอย่าได้เชื่อ” “ทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้” ก็ทำตามและทำกันทุกเมื่ออยู่เช่นเดิม ไม่ได้ยกฐานะตนเองให้เป็น ”ชาวนามืออาชีพ” ไม่ได้ใช้สมองพัฒนาความรู้ ไม่มีใครแนะนำให้ความรู้ที่ถูกต้องเหมาะสม หรือถึงมีผู้เสนอแนะให้ความรู้แล้วก็ไม่สนใจที่จะรับฟังและทำตาม มีแต่การมุ่งทำนาแบบลุย ๆ ตามการตลาดของโลกธุรกิจ โลกของอีแต๋นยกดั๊มได้ รถไถ รถนวด หรือรถเก็บเกี่ยว เครื่องจักรก็คือ “หนี้” ก้อนใหญ่และก้อนใหม่ที่ตามมา ถามว่าแล้วใครรวย ธนาคารผู้ให้กู้เงินและเจ้าของกิจการสิครับ เพราะเขาพัฒนาการ “การกินดอก” อยู่ตลอดเวลา ทุกวันนี้แม้แต่เมล็ดพันธุ์ข้าวชาวนาก็วิ่งหาซื้อกันและถามกันว่าตลาดต้องการข้าวพันธุ์ไหน ขายได้ราคาเท่าไหร่ ยังติดยึดอยู่กับความต้องการของตลาด ไม่ได้อยู่ที่ความต้องการของตนเอง แบบนี้เราก็ลดการเป็นหนี้ไม่ได้
2.4 มีการใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์กันมาก ทางพุทธศาสนาเรียกว่าอบายมุข หมายถึง ปากทางแห่งความเสื่อม ทางนำไปสู่อบาย หรือ “ทางลงเหว” มันอาจจะไม่ถึงกับทำให้ล่มจมในตอนแรก แต่นาน ๆ ไปจะทำให้จนแบบไม่รู้ตัวได้ คล้ายกับดินพอกหางหมู ที่ทำให้แกว่งหางไม่ได้ ดิ้นไม่ออก ทำให้อึดอัดผอมโซและหมดแรงตายได้ อบายมุขมีหลายอย่าง สิ่งแรกที่มองเห็นได้ชัดเจนคือ “การซื้อหวยเถื่อน” เคยเขียนไว้เกี่ยวกับเรื่องวิถีชีวิตชาวบ้านไว้นานมากแล้ว มีเรื่องหวยนี้อยู่ด้วย เช่น หมู่บ้านของผู้เขียนเอง เจ้ามือก็มีทั้งที่อยู่ในหมู่บ้านและต่างหมู่บ้าน เฉลี่ยคนซื้อต่อคน คนละ 200 บาทต่อครัวเรือน(หลังหนึ่งมีกี่คนก็แล้วแต่) รวมแล้วประมาณ 200 บาท ต่องวด (3 หมู่บ้านประมาณ 800 กว่าหลังคาเรือน) เดือนหนึ่งก็ประมาณ 3 แสนกว่าบาท เงินเข้ากระเป๋าคนคนเดียวแล้วใครรวย ถ้าทั้งประเทศหละเป็นเงินเท่าไหร่ นอกจากนี้ก็มีการดื่มเหล้า การเที่ยวกลางคืนผับบาร์คาราโอเกะ(ที่บ้านผู้เขียนยังมีร้านคาราโอเกะ) ความเกียจคร้านทำการงาน สมคบกับพวกค้ายาบ้าทั้งกินทั้งขาย อบายมุขทั้งนั้นครับ
อีกอย่างชาวนาทั่วไปมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขี้เกรงใจ เวลากินเวลาเลี้ยงก็ต้องเต็มที่ “จนไม่ว่า อย่าเสียหน้าก็แล้วกัน” คนกินก็ไม่ได้คิดสงสารเจ้าของนาหรอก เจ้าของพอหายเมาจึงรู้ว่าหมดไปเยอะเหมือนกันนะนี่ การลงแขก ดำนา เกี่ยวข้าวต้องซื้อเหล้า ยา เมี่ยง น้ำแข็ง เครื่องดื่มบำรุงกำลัง หุงข้าว นึ่งข้าว ทำกับข้าวเลี้ยงแขกที่จะมาช่วยงาน ถ้าทำงานเสร็จวันเดียวก็ดี เกิดหลายวันเข้าก็ตัวเบาไปเหมือนกัน เดี๋ยวนี้คนงานเหล้าขาวยาดองก็ไม่กินกันแล้ว ต้องเป็นเหล้าแดงน้ำแข็งกลวง ต้องเลี้ยงเบียร์พร้อมกับแกล้มกันให้อิ่มหนำสำราญ กินจากนามามืดค่ำแล้วต้องมาต่อกันที่บ้านเจ้าของนาอีก พอได้ทีก็จัดคาราโอเกะกันจนดึกดื่น วัฒนธรรมที่ดีงามมันเปลี่ยนไป สร้างวัฒนธรรมกันใหม่ที่ไม่เข้าท่า ชาวนาหรือคนที่เบื่อแบบนี้จึงหันไปจ้างรถหรือเครื่องจักรดีกว่า ประหยัดเงินกว่า “เอาแฮง” (ลงแขก)กันเยอะเลย
นอกจากนี้ก็นำเงินที่ได้หรือจากที่กู้มาไปซื้อรถกระบะ รถอีแต๋น รถไถนา หรือรถมอเตอร์ไซค์ให้ลูกไปเรียนหนังสือ นำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ลองไปถามดูซิเดี๋ยวนี้ชาวนาคนไหนไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กันบ้าง นักเรียนตัวเล็กนิดเดียวก็มีก็ใช้โทรศัพท์มือถือ แม้แต่ผู้สูงอายุอยู่กับบ้านก็มีกันทุกคน(ไม่ว่าเขาหรอกเพราะเขาเป็นคนของรัฐมีเงินเดือนกิน) โทรศัพท์ถ้าเกินกำหนดหนึ่งเดือนไม่เติมเงินได้ไหม รถไถนา มอเตอร์ไซค์กินน้ำมัน โทรศัพท์กินเงินในอากาศ คนกินเหล้ากินยาบ้า(ตอนนี้เริ่มกินกันมากอีกแล้ว) รัฐเจ้าหน้าที่กินหัวคิวข้าว มันสำปะหลัง นอกจากชาวนาจนแล้วชาวบ้านอย่างผู้เขียนก็ต้องพลอยจนเป็นหนี้เขาตามรัฐบาลไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกเป็นหมื่นๆ
ทีนี้ เรามาดูประเด็นที่ 2 แก้ปัญหาความยากจนได้อย่างไร ใช้หลัก อริยสัจ 4 ข้อที่ 4. มรรค คือแนวทางแก้ไขปัญหาความยากจน ผู้เขียนกำหนดกรอบตามหลักการของคาถาหัวใจเศรษฐี 4 คำ คือ อุ อา กะ สะ ดังนี้
1. อุฏฐานสัมปทา ชาวนาควรรู้จักวิธีการหาทรัพย์
2. อารักขสัมปทา ชาวนาควรรู้จักการรักษาทรัพย์
3. กัลยาณมิตตตา ชาวนาควรรู้จักการสมาคมคบหาญาติมิตร
4. สมชีวิตา ชาวนาควรรู้จักการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมไม่ให้เดือดร้อน
ตามข้อ 1. รู้จักขยันหาทรัพย์ทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน
1.1 ต้องเปลี่ยนมุมมอง หรือ “เปลี่ยนวิธีคิด” เสียก่อน การคิดที่จะรวยนั้น เป็นการมุ่งมองไปข้างหน้าเอาผลประโยชน์ข้างหน้าเป็นตัวตั้ง หันกลับมามองที่ตนเองแบบ “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเสียก่อน ด้วยแนวคิดว่า “เราต้องพึ่งพิงตนเองให้ได้” ถ้าเราไม่พึ่งพิงตนเองยังมุ่งหวังพึ่งพิงการเงินนอกระบบ ธนาคาร สหกรณ์ พ่อค้า ข้าราชการ หรือรัฐบาลแล้วไซร้ เราจะไม่ประสบความหลุดพ้นไปได้ ต้องดำเนินตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ได้ ยืนอยู่บนขาของตนเองให้ได้ ด้วยแนวคิดที่ว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลานั้นของจริง” (มจ.จักรพันธุ์เพ็ญศิริ จักรพันธุ์) หรือ “เงินไม่สำคัญเสมอไป” (หลวงพ่อจรัญ) ขอให้คิดว่าไม่มีเงินเราก็ไม่เดือดร้อนเราสามารถอยู่ได้ เป้าหมายไม่ใช่เงิน แต่คือ ความสุข หรือ “ความพออยู่พอกิน” ภาษาพระท่านเรียกว่า “สันโดษ” อย่าอยากมี อย่าอยากเป็นให้มากเกินไป ถ้าเราเปลี่ยนแนวความคิดของเราไม่ได้ ไม่มีพลังศรัทธาอย่างแรงกล้าในการเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่การมีทรัพย์ภายใน http://www.gotoknow.org/posts/319505 ก็อย่าหวังว่าจะแก้ปัญหาความยากจนได้
1.2 รู้จักการเพิ่มมูลค่าการทำนา ด้วยการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้านการเกษตร การทำนามีวิธีการขั้นตอนอย่างไร แต่ละขั้นตอนเราสามารถลดต้นทุนอะไรได้บ้าง เช่น ใช้คำถามนำแล้วตามไปค้นหาแสวงหาความจริงว่า ถ้าเราทำนาแบบไม่ต้องใช้รถไถหรือใช้น้ำมันเราจะทำได้ไหม มีวิธีไหนบ้าง เราจะทำปุ๋ยใช้เองได้ไหม เราจะทำยาฆ่าแมลงใช้เองได้ไหม เราจะทำยาฆ่าหญ้าด้วยตัวเองได้ไหม เราจะเก็บหรือคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ได้ไหม เมล็ดพันธุ์ไหนดีทนโรคควรปลูกช่วงไหนหรือฤดูไหน เมล็ดพันธุ์ไหนดีทนแล้งควรปลูกหรือปลูกช่วงฤดูไหน ผืนนาที่เราทำเป็นดินอะไร ควรแก้ไขปรับปรุงหรือไม่ อย่างไร น้ำที่ใช้ทำนามีความเป็นกรดด่างเหมาะสมกับข้าวพันธุ์ไหนหรือไม่ ค้นหาความจริงให้ได้(ดูตัวอย่างนี้ http://www.gotoknow.org/posts/505173 ) ความรู้ทำให้ชาวนามองเห็นตนเอง เห็นภาพว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรให้ดีขึ้นให้อยู่รอด ถ้าเราลดต้นทุนไม่ได้เราก็ไม่มีเงินเหลือ ชื่นชมกับ ม.เกษตรศาสตร์ที่ส่งเสริมการพัฒนาและวิจัยด้านข้าวเป็นอย่างมาก(ดูตัวอย่างวีดิทัศน์ด้านล่าง)
ตามข้อ 2. ชาวนาควรรู้จักการรักษาทรัพย์
ในเมื่อเรารู้วิธีการหาทรัพย์แล้ว เราก็ควรจะรู้วิธีการเก็บรักษาทรัพย์ด้วย นั่นก็คือ
2.1 เรื่องการจัดทำบัญชี บัญชีครัวเรือน บัญชีการใช้จ่ายกับค่าวัสดุ อุปกรณ์การเกษตรต่าง ๆ ที่เราจำเป็นต้องใช้ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าเมล็ดพันธุ์ข้าว ค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลง ค่ายาฆ่าหรือคุมหญ้า ค่าแรงงานคนงาน ค่าแรงตนเอง(ปกติไม่ได้คิดอยู่แล้ว) ค่ากับข้าวในแต่ละวัน เป็นต้น ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ถ้าเราคุมไม่ได้ ไม่รู้ที่มาที่ไปแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ขาดทุน อยู่ตัว หรือว่ากำไร เมื่อเสร็จฤดูเก็บเกี่ยว ต้องมีการจัดทำบัญชีให้ดี
2.2 เรื่องการใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น การใช้จ่ายของเรานั้น หลายครั้งหลายครามีการใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่เหมาะสมดังได้กล่าวมาแต่เบื้องต้น เราเอาชนะใจตนเองกับสิ่งยั่วยุได้แค่ไหน อดซื้อหวยเถื่อนหรือรัฐบาลได้ไหม อดซื้อรถไถรุ่นใหม่ ๆ ตามที่โฆษณาในทีวีได้ไหม อดซื้อรถไทแลนด์ดั๊มได้ไหม อดซื้อรถเครื่องให้ลูกได้ไหม อดซื้อโทรศัพท์ให้กับตนเองและลูกหลานได้ไหม อดซื้อของใช้ตามตลาดนัดในวันสำคัญ ๆ ได้ไหม อดซื้อเหล้าเบียร์ได้ไหม อดซื้อยาสูบยาบ้าเครื่องดื่มชูกำลังได้ไหม อดซื้อกับข้าวที่คิดว่าจำเป็นมาเก็บใส่ตู้เย็นไว้ได้ไหม สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าเราอดใจไว้ไม่ไหวตามสติไม่ทัน ก็อย่าหวังว่าจะมีเงินได้
ตามข้อ 3. ชาวนาควรรู้จักการสมาคมคบหาญาติมิตร
สมาคม คือ การติดต่อสื่อสาร การเข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น หรือการเข้ามาร่วมแสดงออกทางวัฒนธรรม กล่าวกันให้ง่าย ๆ ว่า “คบหาสมาคม” ในที่นี้ต้องแยกออกเป็น 2 คำ คือ คำว่า “ญาติ” กับคำว่า “มิตร”
ญาติ ต้องส่งเสริมสนับสนุนหรืออุดหนุนชาวนาพี่น้องของเราที่มีฐานะด้อยกว่าให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง เสริมการเงินและเสริมปัญญาให้แก่เขา ขาดเหลืออะไรก็ควรให้ความช่วยเหลือกันก่อนเป็นลำดับแรก เหมือนคนไทยเชื้อสายจีนที่อพยบมาจากแผ่นดินใหญ่มาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ให้การช่วยเหลือกันด้านการเงินลงทุนทำมาค้าขายจนมีเงินมีทอง มีฐานะทางการเงินอยู่ในระดับเดียวกัน โดยไม่คิดดอกเบี้ย ขณะเดียวกันชาวนาผู้ได้รับการช่วยเหลือจากญาติก็ต้องวางตนให้ดูน่าสงสาร วางตนให้เหมาะสมที่จะได้รับการช่วยเหลือด้วย ไม่ใช่เอาแต่เล่นการพนัน ดื่มเหล้า เมาหัวราน้ำไปวัน ๆ แบบนี้เทวดาที่ไหนก็ไม่อยากจะช่วย
มิตร คือผู้ที่ไม่ใช่ญาติ มีทั้งที่เป็นกัลยาณมิตรและ อมิตร ทั้งที่เป็นบุคคลและองค์กร เราต้องเลือกคบมิตรที่ดีแนะนำส่งเสริมสนับสนุนกันไปในทางที่ดี เช่น ฝ่ายพัฒนาชุมชน บรรณารักษ์ห้องสมุด คุณครูในหมู่บ้าน ปู่อาจารย์ ท่านเจ้าอาวาส หรือท่านผู้ที่มีความรู้เป็นปราชญ์ชาวบ้าน หมอดินที่ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้ว มหาวิทยาลัย เข้าไปหาเขาเหล่านั้นเพื่อขอคำชี้แนะแนวทางและขอความรู้จากท่านได้ให้การช่วยเหลือ “อยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ” อยากได้ความรู้ต้องไปเสาะแสวงหา ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ แล้วความรู้มันจะวิ่งมาหาเรา โกทูโนว์ คือ ไปแสวงหาความรู้ที่เป็นมิตรกับเรา อยากรู้เรื่องอะไรข้างในนี้มีให้หมด อยากติดต่อใครสอบถามเรื่องไหน อยากเรียนรู้เกี่ยวกับอะไร ที่นี่มีคำตอบให้ GotoKnow ก็ถือเป็นกัลยาณมิตรของเราได้เช่นกัน
อมิตร มิตรไม่ดีหรือผู้ที่ไม่ใช่เพื่อนเราก็อย่าเข้าไปใกล้ คบได้แต่ให้คบเป็นครูสอนให้เรารู้ว่า ไม่ควรถือเอาเป็นแบบอย่าง และไม่ควรถือปฏิบัติหรือทำตัวอย่างเขา โบราณกล่าวไว้ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล” บาลีว่า “อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวนา เอตัมมังคะละมุตตะมัง” การไม่คบมิตรชั่วการคบมิตรดีทางพุทธศาสนาถือว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง(มงคล 38 ข้อแรก)
ตามข้อ 4. ชาวนาควรรู้จักการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสมไม่ให้เดือดร้อน
ตามรูปศัพท์ภาษาบาลีใช้คำว่า สมชีวิตา หมายถึง การใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับฐานะ ไม่ให้เกิดความเดือดร้อน ฝืดเคือง รู้จักใช้จ่ายเงินเลี้ยงชีพให้พอดี ไม่จ่ายน้อยเกินไปถึงกับอดอยาก ไม่สุรุ่ยสุร่ายจ่ายมากเกินไป รู้จักประมาณฐานะของตนว่ารายรับ รายจ่ายมีเท่าไหร่ และควรจ่ายเท่าไร ไม่สร้างหนี้สินเพิ่มให้กับตนเองและครอบครัว พออยู่พอกิน สันโดษในปัจจัย 4 คือ ข้าว(อาหาร) ผ้า(เครื่องนุ่งห่ม) ยา(ยารักษาโรค) บ้าน(ที่อยู่อาศัย) มีของกินอะไรก็กินตามนั้น มีเสื้อผ้าของใช้อะไรก็ใช้ไปตามนั้นคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก เวลาเจ็บไข้ไม่หนักหนาสากรรจ์ก็ไปใช้บริการตามโครงการของรัฐ ไม่จำเป็นต้องไปคลินิกทุกครั้ง เพราะค่ารักษาที่คลินิกจะแพงกว่าโรงพยาบาล บ้านก็ไม่จำเป็นต้องหลังใหญ่สวยงามเลิศหรูอลังการก็ได้ มีที่พักอาศัยหลับนอนกันแดดฝน ร้อนหนาวได้และไม่ต้องเช่าเขาก็ดีถมไปแล้ว ไม่อยู่อย่างอยาก อยากมีอยากได้เกินกว่าปัจจัย 4 ถ้าลดความอยากไม่ได้ ชีวิตครอบครัวของชาวนาก็จะอยู่อย่างลำบากเดือดร้อนยิ่งขึ้นไป
สรุป ชาวนาควรจะต้องปฏิบัติตามมรรคคือ หลักหัวใจเศรษฐีทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาไปพร้อม ๆ กัน แยกทำเพียงข้อใดข้อหนึ่งหรือหลักการใดหลักการหนึ่งไม่ได้ โดยสรุปเป็นข้อความสั้น ๆ ดังต่อไปนี้
1. มุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติด้วยความขยันหมั่นเพียร
1.1 เปลี่ยนมุมมองวิธีคิดแบบพึ่งผู้อื่นหันมาพึ่งตนเอง ด้วยจุดยืนหรือเป้าหมายเพื่อ “ความมั่นคงยั่งยืน” ไม่ใช่เพื่อ “ความร่ำรวยมั่งคั่ง”
1.2 ขยันทำงานด้วยความอดทนบนพื้นฐานขององค์ความรู้ พัฒนาอาชีพการทำนาด้วยวิชาความรู้ ใส่ความรู้เข้าไปให้มาก มีการสังเกตจดบันทึกช่วยเตือนความจำอยู่เสมอ ๆ
2. รู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาไว้ให้ได้
2.1 รู้จักการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย แยกเป็นบัญชีเฉพาะไป เช่น บัญชีครัวเรือน บัญชีทำนา บัญชีทำไร่ บัญชีเลี้ยงสัตว์ บัญชีค้าขายผลผลิตในไร่นาสวนผสม เป็นต้น
2.2 ไม่ใช้จ่ายทรัพย์ไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและต่อการประกอบอาชีพ(อบายมุข) ให้ใช้จ่ายไปกับสิ่งที่เห็นว่าจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
3. รู้จักการคบหาสมาคมกับญาติมิตร
3.1 ญาติควรให้การสนับสนุน อุดหนุน ส่งเสริมพี่หรือน้องผู้ลำบาก ผู้เดือดร้อนที่เป็นคนดีให้ได้ฟื้นฟู พออยู่พอกิน ลืมตาอ้าปากได้
3.2 ควรคบหรือแสวงหามิตรที่ดี ที่ชักนำส่งเสริมสนุบสนุนให้ได้แต่สิ่งที่ดี ให้ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจให้ได้รู้ได้เข้าใจ
4. รู้จักการใช้ชีวิตให้เหมาะสมกับฐานะหรือความเป็นอยู่ของตน
4.1 รู้จักการใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงชีพอย่างเหมาะสม ไม่ให้ฝืดเคือง ไม่ให้ขัดสน สิ่งไหนควรจ่ายสิ่งไหนไม่ควรจ่ายต้องรู้เท่าทัน รอบคอบ ระมัดระวัง เน้นที่เห็นว่าจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น
4.2 รู้จักการบริโภคปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยา บ้าน อย่างมีสติรู้เท่าทัน คำนึงถึง “คุณค่า” มากกว่า “มูลค่า”
ทั้งหมดที่ผู้เขียนกล่าวมานี้ไม่ได้พูดถึงการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลเลย เพราะถ้าชาวนายังหวังพึ่งพารัฐบาลอยู่ ชาวนาจะไปไม่รอด ไม่สามารถหลุดพ้นวงจรของการเป็นเบี้ยล่างให้กับรัฐหรือพ่อค้าคนกลางได้ ไม่ว่าราคาข้าวจะเกวียนละเท่าไหร่หรือตันละเท่าไหร่ก็ยากจนอยู่ดี ต้องกล้า ต้องบ้า ที่จะแหกคอกเปลี่ยนแนวคิดเปลี่ยนจุดยืน ยืนหยัดด้วยขาของตนเองเท่านั้น ถึงจะหลุดพ้นได้
ขอบคุณโกทูโนว์
ขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจ
เสริมความรู้ดูเพิ่มเติมได้ตามเนื้อหาด้านล่างนี้
http://www.gotoknow.org/posts/188901 ทำไมชาวนาไทยถึงยากจน
http://www.thairath.co.th/content/edu/349042 วิธีแก้ปัญหาความยากจน
http://www.gotoknow.org/posts/86917 ต้องเปลี่ยนแนวคิด
http://www.gotoknow.org/posts/149433 ต้องยึดติดวิถีชุมชน
http://www.krobkruakao.com/video.php?type=videoDetail&video=23&path=19734 ต้องเริ่มต้นทำวิจัย
http://www.gotoknow.org/posts/509674 ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรวย
http://www.gotoknow.org/posts/450475 วิธีทำนาให้รวยของดี 2 ปีที่แล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้ชาวนานะคะ 'พี่หนาน'
I think we also need technologies. Some enabling technologies like multicultural/diversified farming (to create several streams of income); some innovations in making tools and building houses (to use more locally available materials) and some cost-cutting technologies (to add more lower cost options to living in rural areas).
I think 'environmental' issues should also become a part of farmers' thinking.
ขอบคุณผู้ให้กำลังใจ
ผมทำลิงก์ชื่อไม่เป็นผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยครับ
ขอบคุณผู้แสดงความคิดเห็น