จากประสบการณ์การทำงานกับชุมชนในระยะ
30 ปีที่ผ่านมา พบว่าเกษตรกรธรรมดาไม่มีทางรวย เพราะอยู่ในระบบเป็นทาสเขา
อยู่ในระบบพึ่งปัจจัยภายนอกล้วน ๆ เช่น เป็นต้นทุนทั้งนั้น มันยากที่จะเหลือ
และจะรวยได้
ใครที่คิดว่า
ทำเกษตรและพึ่งปัจจัยภายนอกนั้น แทบจะไม่มีโอกาสรอด ยกเว้นธุรกิจขนาดใหญ่
ซึ่งเขาสามารถกำหนดต้นทุน ราคาขาย และกำไรจากผลผลิตต่อหน่วยได้
วันนี้
ผมมีแขกพิเศษ มาเยี่ยมที่บ้าน เป็นนายตำรวจระดับสารวัตร จากอำเภอซำสูง ทำนาเช่าที่อำเภอองค์รักษ์ไว้
80 ไร่ ลงทุนไปล้านกว่าบาทแล้ว เรื่องการปรับปรุงพื้นที่ ท่านถามว่า
ทำอย่างไรจึงจะรวย
ผมบอกว่า
หนทางรวย คือ การพึ่งพาตนเอง ใช้ความรู้มาก ๆ ใช้ปัจจัยภายนอกน้อย ๆ ปรับความรู้ให้ทันกับปัญหาที่เกิดขึ้นวันต่อวัน ซึ่งท่านน่าจะทำไม่ได้แน่นอน
เพราะท่านทำงานอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น แต่นาอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี ท่านก็คงจะต้องทำงานทางโทรศัพท์
หรือนาน ๆ ไปที
ปัญหาที่เกิดขึ้น
ท่านก็จะรับรู้ เฉพาะผ่านสายตาของคนงานที่ท่านจ้างไว้เท่านั้น ผมบอกท่านว่า
สมองท่านสั่งการโดยใช้ข้อมูลจากสายตาของคนงาน ซึ่งจะมีปัญหาในการจัดการข้อมูล
และความรู้ในการทำงานอย่างแน่นอน
และโดยพื้นฐานแล้ว
คนที่มาเป็นคนงานให้ท่านนั้น ก็คือ คนที่น่าจะล้มเหลวมาจากระบบการทำการเกษตรที่เคยทำอยู่
คนที่ทำสำเร็จนั้น ยากที่จะมีใครมายอมเป็นลูกจ้างคนอื่น และใคร ๆ ก็รู้ว่า
ระบบเกษตรไม่เคยทำให้ใครรวย
ซึ่งแม้จะจริงเพียงครึ่งเดียว ครึ่งที่ไม่จริงก็ไม่มีใครรู้เท่าไหร่
ที่ว่าไม่รู้
ก็เนื่องจากคนส่วนใหญ่หวังพึ่งคนอื่น พึ่งปัจจัยภายนอกนั่นเอง คนที่ทำสำเร็จแล้วในเครือข่ายปราชญ์
แม้จะพึ่งคนอื่นบ้างก็เป็นเพียงองค์ประกบปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ
แต่พึ่งความรู้ของตนเองเป็นหลัก สื่อสารข้อมูลระหว่างสายตาที่เห็น
กับสมองที่วางแผนอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน และแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที ซึ่งต่างจากคนที่จ้างคนอื่นทำ
ที่ไม่มีทางจะสื่อสารข้อมูลได้โดยตรงชัดเจน และทันเหตุการณ์ขนาดนั้น
ผมจึงแนะนำว่า
“เลิกดีกว่า” กลับไปทำอาชีพราชการเหมือนเดิม จะปลอดภัยมากกว่ากันเยอะ ขนาดเขาทำเอง
ยังเจ๊ง เลย.. แล้วเขามารับจ้างคนอื่น จะไม่ “เจ๊ง”ได้ยังไง
เพราะการทำงานให้กับตนเองนั้นย่อมจะจริงจังตั้งใจ
เอาใจใส่มากกว่าทำให้คนอื่นอยู่แล้ว และยิ่งทำงานตามคำสั่งด้วยแล้ว
ย่อมจะมีข้ออ้างที่จะไม่แก้ไขปัญหา อย่างทันท่วงที ซึ่งสามารถจะอ้างอะไรก็ได้มากมาย
เพราะในที่สุดแล้ว ข้ออ้างก็ทำให้ทุกอย่างจบลงโดยไม่ต้องแก้ไข
และไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใด ๆ
เพราะฉะนั้น
ถ้าท่านคิดอยากทำการเกษตรอย่างร่ำรวย อย่างเป็นจริงได้
ต้องปรับแนวคิดในการทำงาน มาทำแบบใหม่ ทั้งหมด โดยเฉพาะการทำการเกษตรแบบพึ่งตนเอง
แบบผสมผสาน แบบใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของการจัดการ
ดังมีตัวอย่างในเครือข่ายปราชญ์มากมาย
เช่น กรณีของลุงนิล ที่อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร
เคยคิดว่าตัวเองจะรวยได้โดยการปลูกทุเรียนขาย เพราะทุเรียนราคาแพง
แต่ทำไปทำมาก็เจ๊ง แต่ก็ได้ความคิดใหม่ว่า น่าจะทำทุเรียนนอกฤดู
เพราะราคาดีกว่าทุเรียนในฤดูมากมาย ตอนแรก ๆ ก็ดูทีท่าว่าจะดี พอทำๆๆไประบบการผลิตก็ล่มสลาย
และเป็นหนี้เป็นสินมากขึ้นกว่าเดิม สุดท้าย ที่ทำกินประมาณ 17 ไร่ ติดหนี้ธนาคารอยู่เกือบล้านบาท
ลุงนิล จึงหันกลับมา ทำเกษตรผสมผสานแบบ “9 ชั้น” จึงได้พบว่า
เป็นวิธีที่ทำให้ระบบเกษตรมีกำไรและยั่งยืน จากที่เคยเป็นหนี้อยู่เกือบล้านบาท
ณ วันนี้ มีรายได้ประจำวันรวม ๆ แล้วอยู่ประมาณเดือนละเกือบแสนบาท
และไม่มีหนี้อีกต่อไป
นี่คือ
กรณีตัวอย่างของความสำเร็จของเกษตรกรที่ทำแบบพึ่งตนเอง ไม่หวังพึ่งคนอื่น
เพราะฉะนั้นจึงเป็นอุทาหรณ์ว่า ใครก็ตาม
ที่คิดจะประสบผลสำเร็จจากการทำการเกษตร จะต้องทำแบบพึ่งตนเองเป็นหลัก เท่านั้น
ถ้าพึ่งตนเองได้ทั้งหมดก็ยิ่งดี แต่หวังพึ่งคนอื่นนั้นไม่มีทางแน่นอน
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
เห็นด้วยค่ะท่าน เกษตรพอเพียงตามแนวทางพ่อหลวงค่ะ
ทำเอง เท่าที่ทำได้ พออยู่ พอกิน ไม่สะสม ... หายใจได้ด้วยจมูกตนเอง ...ไม่ต้องยืมจมูกผู้อื่นหายใจ... "รวย" หรือ "จน" ในความหมาย แต่ละคน นั้นต่างกัน..... เกษตรกร บางท่าน ไม่ได้มีสมบัติพัสถาน มากมาย ทุกสิ่งทำเอง เท่าที่ทำได้..... บนพื้นที่ของตนเอง... เค้าถือว่า นั่น " ค้า รวยล้นฟ้าแล้ว"..... ในขณะที่ ... "เกษตรกร"... บางท่าน ... ทำเอง หรือไม่ กระบวนการได้มา ในการสะสม สมบัติพัสถาน ด้วยวิธีใด..... ? ... อาจ นิยาม คำว่า "รวย" ไว้อีกแบบ..... ...."คนไม่รู้จักพอ"..... จะไม่รู้จักคำว่า "รวย"......
ขอบพระคุณ อาจารย์ ในการแชร์ ประสบการณ์ ทางความคิด ได้ยอดเยี่ยม ค่ะ
อิอิ ใช่ครับ พอ เมื่อไหร่ ก็รวยเมื่อนั้น 5555555555555555
จะขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวเกษตรกรทุกท่านให้ต่อสู้ต่อไปค่ะ ตามแบบอย่างเศรษฐกิจพอเพียงดี่ที่สุดค่ะ
สวัสดีครับอาจารย์แสวง
ผมเคยดูวีดีโอเกี่ยวกับการทำนาอินทรีย์ของอาจารย์แล้วชอบมาก ผมดูซ้ำหลายรอบเลย เสียดายที่คุณภาพของภาพและเสียงไม่ค่อยดี เป็นของดีที่ยังขาดการสนับสนุน
ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยรวมถึงผมด้วยที่สนใจแนวทางและประสบการณ์ของอาจารย์ในการทำนารูปแบบที่ไม่เหมือนชาวนาส่วนใหญ่ แต่คนเหล่านี้ยังไม่มีโอกาสทำจริง สนใจและอยากทำแบบนี้แต่ส่วนใหญ่ต้องทำภารกิจอื่น ก็เลยได้เพียงคิดและสื่อสารผ่านหน้าจอไปก่อน ชาวนาไทยตัวจริงที่จะทำแบบอาจารย์ในตอนนี้น่าจะมีไม่ถึง 1,000 ราย (เดาเอาแบบมองโลกแง่ดี) จากหลายล้านรายทั่วประเทศ
ขอบคุณที่อาจารย์กรุณาทำเป็นแบบอย่างและพยายามเผยแพร่แนวคิดและประสบการณ์อันมีค่าให้ได้เรียนรู้นะครับ
เพียร
10 ก็หายากครับผม