รู้เมื่อสาย - คำสารภาพของชายคนหนึ่ง


"Everybody knows they’re going to die, but nobody believes it. If we did, we would do things differently - เราทุกคนรู้ว่าเราจะต้องตาย แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะหากเราเชื่อ เราจะทำในสิ่งที่ต่างไป"
วันก่อนได้มาเจอคลิปวีดีโอโดย ดร ริชาร์ด เตียว (Richard Teo) ในยูทูป ซึ่งท่านได้บรรยายให้บรรดานักศึกษาทันตแพทย์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2012 ฟังแล้วรู้สึกให้ฉุกคิดถึงทางเลือกในการใช้ชีวิตของคนเรา ก็เลยลองเรียบเรียงนำมาฝากค่ะ 

ดร ริชาร์ด เตียว เป็นแพทย์และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงมากมายด้านศัลยกรรมความงามของสิงคโปร์ ดร เตียว เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2012 ที่ผ่านมา ด้วยวัยเพียง 40 ปี

Please rest in peace Dr. Teo.

...

...

"สวัสดียามเช้าครับทุกท่าน เสียงของผมอาจจะแหบไปสักนิด หวังว่าทุกท่านคงจะพอทนฟังได้นะครับ ผมขอแนะนำตัวนิดหนึ่งนะครับ ผมชื่อริชาร์ด ผมเป็นแพทย์ ผมรู้สึกยินดีมากที่ได้รับเชิญจากท่านศาสตราจารย์ให้มาพูดในวันนี้ ในขณะที่คุณกำลังเริ่มเดินสู่หนทางการเป็นทันตแพทย์ ผมจะเล่าประสบการณ์และชีวิตของผมให้ทุกคนฟัง เผื่อมันจะช่วยเป็นข้อคิดเป็นอุทาหรณ์ให้คุณในวันข้างหน้าได้

ผมเป็นหนึ่งในผลิตผลตามแบบอย่างของสังคมในวันนี้ เป็นผลผลิตที่ประสบความสำเร็จดังที่สังคมต้องการ ตั้งแต่เด็กผมมาจากครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน ผมจำจากสื่อต่างๆ และผู้คนรอบตัวว่า ความสุขคือความสำเร็จ และความสำเร็จก็คือการมีฐานะร่ำรวย ด้วยความคิดนี้ผมกลายเป็นคนที่ชอบการแข่งขันมาโดยตลอด ผมไม่เพียงแค่ต้องเข้าไปอยู่ในโรงเรียนเด่นและดัง ผมจะต้องประสบความสำเร็จในทุกด้าน ทุกด้านจริงๆ แม้แต่การวิ่งแข่ง ผมต้องได้รับถ้วยรางวัล ผมต้องทำได้ดี ผมต้องได้รางวัลนั้น รางวัลนี้ ทุกๆ รางวัล เลือดนักสู้อยู่ในตัวผมตั้งแต่เด็ก 

แล้วผมก็เข้าโรงเรียนแพทย์ได้และจบออกมา คุณคงพอจะทราบว่าในคณะแพทยศาสตร์ จักษุวิทยาเป็นสาขาความเชี่ยวชาญที่มีความต้องการมากถึงมากที่สุด ผมก็ขวนขวายจนได้เข้าไปทำงานที่นั่น ผมไปฝึกงานที่แผนกจักษุวิทยา ผมได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ให้ทำวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาแสงเลเซอร์เพื่อรักษาดวงตา ในการวิจัยนั้นผมได้รับสิทธิบัตร 2 ใบ ใบหนึ่งเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์และอีกใบในด้านแสงเลเซอร์ 

คุณคงพอเดาออกว่าการประสบความสำเร็จในด้านวิชาการเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมมีฐานะดีขึ้น ในตอนนั้นผมคิดว่าการฝึกเป็นจักษุแพทย์นั้นใช้เวลานานเกินไปและผมมีโอกาสจะทำเงินได้มากมายจากด้านเอกชน ในขณะนั้นเป็นช่วงที่กำลังมีความต้องการด้านเวชศาสตร์ความสวยความงามกันมาก ดังนั้นเมื่อผมใช้ทุนคืนกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว ผมจึงตัดสินใจลาออกจากการฝึกหัดด้านจักษุกลางคัน และไปตั้งคลีนิกเสริมความงามในตัวเมืองและทำศัลยกรรมไปด้วย

จากประสบการณ์ที่ผมได้พบมาคือหนึ่งความแปลกของคนเราเช่นเขาไม่ค่อยนับถือแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป เขานับถือคนที่ร่ำรวยและมีชื่อเสียง คนบางคนไม่อยากจ่ายเงิน 20 เหรียญเพื่อหาหมอยามเจ็บป่วย แต่คนคนเดียวกันพอใจที่จะจ่ายเงินหลายพันเหรียญเพื่อทำการดูดไขมัน หรือยอมจ่าย 15,000 เหรียญเพื่อการเสริมหน้าอกเป็นต้น เมื่อเห็นเช่นนั้นผมจึงไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ได้คิดจะเปิดคลีนิครักษาโรคทั่วไป ผมเปิดคลีนิคเสริมความงาม แทนที่จะรักษาคนไข้ที่เจ็บป่วย ผมตัดสินใจที่จะช่วยทำให้คนอื่นสวยและดูดี

ธุรกิจดำเนินไปด้วยดี ดีมากๆ ด้วย เริ่มจากคิวรอเพื่อทำศัลยกรรมแค่สัปดาห์เดียว ก็เพิ่มเป็นสองสามสัปดาห์ไปถึงสามเดือน ผมรู้สึกทึ่งที่มีคนไข้มากมายเหลือเกิน ความฟุ้งเฟ้อเป็นธุรกิจที่ทำเงินให้ผมมากมายจริงๆ ผมเริ่มจ้างหมอมากขึ้น แค่ปีแรกปีเดียวผมก็ทำเงินได้หลายล้านเหรียญแล้ว แต่ผมไม่ได้หยุดแค่นั้น ผมกำลังตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเริ่มขยายธุรกิจไปที่อินโดนีเซียเพื่อให้บริการกับผู้มีอันจะกินในอินโดนีเซียที่มีกำลังการจับจ่ายสูง

ชีวิตกำลังดำเนินไปด้วยดี ผมทำอะไรกับเงินที่มีและผมใช้วันหยุดของผมยังไงนะหรือครับ ปกติผมจะพบปะสังสรรค์กับเพื่อนที่ชอบแข่งรถ ขับรถไปสนามแข่งที่มาเลเซีย นอกจากนี้ด้วยเงินที่เหลือผมซื้อรถเฟอรารี่ ตอนนั้นรุ่น 458 ยังไม่ออกมา ผมซื้อรุ่น 430 เพื่อนของผมซึ่งเป็นนักการธนาคารเขาขับสีแดง ผมจึงต้องขับสีน้ำเงิน 

หลังจากซื้อรถแล้วผมทำอะไรต่อ ผมจึงปลูกบ้าน ผมไปหาซื้อที่ดินเพื่อปลูกบ้านบ้านที่มีขนาดพอสมควร จากนั้นชีวิตของผมเป็นยังไงบ้าง ผมคบหาสมาคมอยู่ในแวดวงของคนรวย คนดัง คนสวยเช่นหนึ่งในนางงามยูนิเวิร์ส ผมได้ไปร่วมสังสรรค์กับผู้ร่วมก่อตั้งเฟสบุ้คที่ร่ำรวยมหาศาลในตอนนี้ เราไปทานอาหารในร้านที่มีชื่อเสียงระดับเชฟมิชิลินทั้งนั้น

...


...

ผมมาถึงจุดจุดหนึ่งในชีวิตที่คิดว่าผมมีทุกอย่างแล้ว เป็นจุดสูงสุดในชีวิตการทำงาน นั่นคือรูปของผมเมื่อปีที่แล้วในโรงยิม ผมคิดว่าผมสามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ และผมกำลังอยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต แต่ผมคิดผิด...ผมไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ 

เมื่อประมาณเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ผมเริ่มรู้สึกปวดหลังขึ้นมา ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะการออกกำลังกายมากเกินไป ผมจึงไปที่โรงพยาบาล (Singapore General Hospital) ไปหาเพื่อนของผมที่ทำงานที่นั่น เพื่อนของผมแนะนำให้ทำ MRI Scan ให้แน่ใจว่าแผ่นกระดูกสันหลังไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วเพื่อนของผมก็โทรมาบอกว่าจากรูปสแกน รู้สึกเหมือนจะมีเนื้องอกที่กระดูกไขสันหลัง ผมถามย้ำไปว่าหมายถึงอะไร...จริงๆ แล้วผมรู้ว่ามันคืออะไรแต่ที่ถามซ้ำผมรับมันไม่ได้ เพราะผมยังไปไหนมาไหน ไปห้องยิมตามปกติ และเมื่อผมทำการสแกนเพิ่มขึ้นในวันถัดมา จึงได้ทราบว่าจริงๆ แล้วผมเป็นมะเร็งปอดระยะที่สี่ ผมรู้สึกงงว่ามันมาจากไหน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นมันได้ลุกลามไปยังสมอง ไขสันหลัง ตับ และหมวกไตแล้ว 

ในขณะที่ผมกำลังคิดว่าผมควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้แล้วและกำลังอยู่ในจุดที่สูงสุดของชีวิต แต่ขณะเดียวกันผมรู้สึกว่าได้สูญเสียทุกอย่างไปในพริบตา นี่คือรูปสแกนของปอดของผม ทุกๆ จุดที่คุณเห็นคือมะเร็งเนื้องอกที่เรียกว่า Miliary ผมได้รับแจ้งว่าถึงแม้จะใช้การรักษาแบบคีโม ผมจะมีิเวลาอยู่อีกแค่ 3-4 เดือน ผมรู้สึกชีวิตของผมกำลังพังทะลายลงอย่างไม่เป็นท่า ผมอยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง คิดถึงสิ่งที่ผมกำลังมีอยู่ นึกถึงความสำเร็จที่ผมได้รับ ถ้วยรางวัล รถยนต์ บ้าน และทุกๆ อย่าง ความคิดที่ว่าสิ่งเหล่านั้นนำความสุขมาให้ผมยิ่งทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจยิ่งขึ้น 

ผมได้ตระหนักถึงว่าทุกสิ่งที่ผมมีในครอบครองไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขอีกต่อไป รถเฟอรารี่ที่ผมชอบนักชอบหนาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อยในช่วงสิบเดือนที่ผ่านมา สิ่งของนอกกายที่ผมเคยคิดว่ามันนำความสุขมาให้ผมมันกลับไม่ใช่ แต่คุณรู้ไหมสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขที่แท้จริงคือการแลกเปลี่ยนกับผู้คน คนที่ผมรัก เพื่อน คนที่ห่วงใยผมอย่างจริงจัง พวกเขาหัวเราะและร้องไห้ไปกับผม พวกเขารับรู้และเข้าใจความเจ็บปวดที่ผมกำลังเผชิญ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่นำความสุขมาให้ผม ไม่ใช่สิ่งของที่ผมมี ผมเคยคิดว่าวัตถุเหล่านั้นจะนำความสุขมาให้ผมแต่ไม่ใช่ เพราะหากมันใช่ผมคงมีความสุขขึ้นขณะที่ที่คิดถึงมันในเวลาที่ผมเป็นทุกข์มากที่สุด 

เทศกาลตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง โดยปกติแล้วสิ่งที่ผมทำคือการขับรถคันงามของผมเยี่ยมเยียนญาติและอวดให้เพื่อนฝูงดู ผมคิดว่ามันคือความสุข แต่คุณคิดว่าญาติมิตรเพื่อนฝูงที่บางคนอาจกำลังลำบากในด้านการเงินจะสามารถรับรู้ถึงความสุขของผมรึเปล่า? เปล่าเลย พวกเขาไม่อาจแบ่งปันความสุขจากผมได้ พวกเขากำลังเผชิญปัญหาในชีวิตของเขา เขากำลังพูดคุยเรื่องค่ารถโดยสารรถประจำทางสาธารณะที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่ผมทำมันทำให้ผมคิดว่าผมทำไปเพื่อทำให้พวกเขาอิจฉาในสิ่งที่ผมมี บางครั้งก็ทำให้เขาเกลียดผมด้วยซ้ำ ผมเรียกการกระทำนี้ว่าวัตถุแห่งความอิจฉา ผมโอ้อวดในสิ่งที่ผมมี เพื่อให้ผมรู้สึกว่ามันเติมเต็มเกียรติและอัตตาของผมเอง แต่มันไม่ได้นำความสุขมาให้ญาติและเพื่อนๆ ของผมเลย แต่ในตอนนั้นผมคิดว่านั่นคือความสุข

ขอให้ผมได้เล่าอีกเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง เมื่อผมยังอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณ พักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัย ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ผมคิดว่าเธอออกจะแปลกไปหน่อย เธอชื่อเจนนิเฟอร์ ตอนนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ในขณะที่เราเดินบนทางเดิน เมื่อเธอเห็นหอยอยู่บนทางเดิน เธอจะเก็บหอยนั้นขึ้นแล้วนำไปวางไว้บนหญ้า ผมมักจะถามเธอว่าทำไมต้องทำอย่างนั้น ทำให้มือสกปรกไปทำไม มันก็แค่หอยทาก ในความเป็นจริงแล้วเธอมีความเมตตาให้กับหอยทาก ความรู้สึกสงสาร รับรู้และเข้าใจว่าหอยจะถูกเหยียบย่ำเป็นความรู้สึกจริงๆ ของเธอ แต่สำหรับผม ผมเห็นมันเป็นเพียงหอยทาก หากมันไม่อาจนำตัวเองออกจากทางเดินของมนุษย์ก็สมควรแล้วที่มันจะถูกเหยียบ มันคืิอส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการของโลกและสัตว์ น่าขำไหมที่ในที่นั้นผมกำลังเป็นหมอฝึกหัด และควรที่จะมีความกรุณาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ผมทำไม่ได้

ตอนเป็นหมอฝึกหัดผมได้ถูกส่งตัวไปที่แผนกมะเร็งของโรงพยาบาล (National University Hospital) ทุกๆ วันผมจะเห็นผู้คนที่ตายลงด้วยโรคมะเร็ง ผมเห็นคนที่กำลังทนทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดที่พวกเขากำลังเผชิญ เห็นมอร์ฟีนที่เขาต้องปล่อยทุกๆ สองสามนาทีเพื่อระงับความเจ็บปวดนั้น ผมเห็นคนที่พยายามหายใจเป็นเฮือกสุดท้ายจากถังออกซิเจน แต่มันก็เป็นแค่งาน เป็นหน้าที่ของผม เมื่อผมไปที่คลีนิคทุกวัน ไปตรวจรอบ ไปเจาะเลือด ให้ยา ผมรู้สึกเข้าใจคนไข้จริงๆ หรือเปล่า? เปล่าเลย มันเป็นแค่งานอย่างหนึ่งของผม ผมไปทำงาน ผมออกจากวอร์ดมา เพื่อจะกลับไปทำธุระปะปังของผมต่อก็แค่นั้น

ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานของคนไข้แท้จริงเป็นอย่างไร? ผมเข้าใจมันมากแค่ไหน? เปล่าหรอก แต่ผมรู้จักคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้อธิบายอาการทุกอย่างและความรู้สึกที่คนไข้กำลังเผชิญได้ แต่แท้ที่จริงแล้วผมไม่ได้รู้ว่าเขารู้สึกยังไงจนวันที่ผมมาเป็นผู้ป่วยเสียเอง จนกระทั้งเดี๋ยวนี้ที่ผมเพิ่งเข้าใจว่าเขารู้สึกยังไง และหากคุณจะถามว่าผมจะเป็นหมอที่ต่างไปไหม หากผมได้ใช้ชีวิตนั้นอีกครั้ง ครับ...ผมจะเป็นหมอที่ต่างไปจากเดิม เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคนไข้รู้สึกอย่างไร และในบางครั้งเราอาจต้องเรียนรู้มันก็ต่อเมื่อเรากำลังเผชิญหน้ากับมันอย่างจังๆ

...


...

แม้ว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่คุณกำลังจะได้เป็นทันตแพทย์ ผมขออนุญาตท้าทายคุณสองเรื่อง แน่นอนว่าคุณบางคนอาจต้องไปทำงานให้เอกชน คุณจะเริ่มก่อร่างสร้างตัว สะสมเงินทอง ผมรับรองได้ว่าแค่การทำในสิ่งที่สำคัญและจำเป็นคุณจะได้รับเงินมากมาย เป็นเงินที่ได้มาอย่างน่ายินดี ความจริงมันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะประสบความสำเร็จ หรือร่ำรวย แต่ปัญหาหนึ่งที่คนโดยทั่วไปรวมทั้งผมด้วยประสบคือการวางตัวไม่ถูก ทำไมผมจึงกล่าวเช่นนั้น เพราะว่าเมื่อผมเริ่มสะสม ยิ่งผมมีมากขึ้น ผมก็ต้องการมากขึ้นเท่านั้น เมื่อต้องการมากขึ้น ผมก็เริ่มหลงใหลมัวเมา ดังที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อกี้คือการมีวัตถุสิ่งของในทุกๆ อย่างที่สังคมหยิบยื่นให้หรือที่สังคมต้องการให้เราเป็น ผมหมกมุ่นในสิ่งเหล่านั้นมากจนถึงขนาดว่าผมมองเห็นคนไข้เป็นเพียงที่มาของรายได้ และผมพยายามที่จะรีดไถทุกเซ็นต์จากคนไข้จริงๆ 

บ่อยครั้งที่เราลืมว่าใครที่เราควรให้บริการ เรากลายเป็นคนที่บริการใครไม่เป็นนอกจากตัวเราเอง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษา ทันต หรือคลีนิคใดก็ตาม ผมบอกได้เลยว่าในส่วนเอกชน บ่อยครั้งเราให้คำปรึกษาคนไข้ในการรักษาที่ไม่จำเพาะเจาะจง และในบางครั้งถึงแม้จะไม่จำเป็นแต่เราก็แนะนำ เหมือนกับว่าเรากำลังสูญเสียความเป็นมนุษย์และไร้เข็มทิศในทางที่เราเดินไป เพราะเราต้องการเพียงให้บริการตัวเราเอง

ผมบอกคุณได้เลยว่าในสองสามปีที่ผ่านมา เรากล่าวหาคู่แข่ง ปล่อยข่าวลือต่างๆ นานา เกี่ยวกับธุรกิจด้านเดียวกันโดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แต่ตราบใดที่เราทำให้เขาอ่อนแอลงและเราได้เปรียบในทางธุรกิจเราก็จะทำ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ในทุกสาขา ความท้าทายที่ผมมีให้คุณข้อแรกคือการไม่หลงทางทางจิตวิญญาณนั้น ผมได้เรียนรู้มันด้วยชีวิตของผมและผมขอให้คุณไม่เดินตามทางนั้น

จากนี้พวกเราหลายๆ คนจะรู้สึกท่วมท้นกับคนไข้เมื่อเราเริ่มทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชน ผมบอกคุณได้เลยว่าเมื่อผมเริ่มฝึกหัดใหม่ๆ เมื่อมีแฟ้มคนไข้กองอยู่บนโต๊ะเป็นกอง ตอนนั้นผมอยากให้งานของผมเสร็จไปโดยเร็ว ผมอยากให้คนไข้ออกไปจากห้องตรวจของผมโดยเร็วที่สุดเพราะว่ามันมีมากมายเหลือเกิน ทุกวันของผมกลายเป็นกิจวัตร กลายเป็นหน้าที่ที่ต้องทำส่วนหนึ่ง และอีกอย่างผมเคยเข้าใจคนไข้บ้่างไหม รู้ไหมว่าเขารู้สึกอย่างไรจริงๆ เขากลัว เขาตื่นตระหนกไหม ผมเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังเผชิญไหม เปล่าเลยจนกว่าสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นกับผมเอง และผมก็คิดว่านั่นคือข้อผิดพลาดหนึ่งในระบบของเรา เพราะเราได้รับการปลูกฝังให้เป็นผู้ให้บริการด้านสุขภาพ เป็นมืออาชีพ แต่จริงๆ แล้วเราไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไร ผมไม่ได้ขอให้คุณเข้าไปผูกพันทางอารมณ์ในสิ่งที่คุณทำ ผมไม่คิดว่านั่นคือวิถีของมืออาชีพ แต่ทว่าเราได้ใส่ความพยายามในการทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน ผมไม่ได้ทำและผมก็คิดว่าเราหลายๆ คนยังไม่พยายามเท่าที่ควร ดังนั้นอย่าเสียความพยายามที่จะเป็นคนที่เข้าใจคนนั้นไป การท้าทายอีกข้อของผมคือการพยายามเข้าใจคนไข้ ใส่รองเท้าที่เขาสวมดูว่าเขารู้สึกอย่างไร เพราะความเจ็บปวด ความกลัว ความตระหนกนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงแม้มันจะไม่เกี่ยวกับเรา แต่นั่นคือสภาวะที่เขาเป็นในขณะนั้น

ขณะนี้ผมอยู่ในระหว่างการทำคีโมครั้งที่ 5 ผมบอกคุณได้เลยว่ามันรู้สึกแย่จนบอกไม่ถูก การรักษาแบบคีโมเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณไม่ปราถนาให้เกิดกับใคร แม้กระทั่งศัตรูของคุณคุณก็ไม่ขอให้เขาต้องพานพบกับมัน เพราะมันทรมานมาก ความรู้สึดพะอืดพะอม การอาเจียน คุณไม่รู้ว่าจะสามารถเก็บรักษาอาหารในท้องไว้ได้ไหม เป็นความรู้สึกที่เลวร้ายมาก และกับเรี่ยวแรงเล็กน้อยที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ ผมพยายามที่จะออกไปพบปะกับผู้ป่วยโรคมะเร็งคนอื่นๆ เพราะผมเข้าใจว่ามันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน แต่ผมก็รู้ตัวดีว่ามันออกจะสายเกินไปและเล็กน้อยเกินไป ดังนั้นพวกคุณยังมีโอกาสและเวลามีอนาคตที่สดใส มีพลังงานและทรัพยากรมากมาย ดังนั้นผมจึงคิดว่านั่นคือการท้าทายของคุณด้วยเช่นกันที่จะมองลึกไปกว่าเพียงคนไข้ที่อยู่ตรงหน้า และเข้าใจว่ายังมีคนอีกมากมายที่อยู่ในภาวะเจ็บป่วย ลำบาก อย่าคิดว่าคนจนเท่านั้นที่เป็นทุกข์ มันอาจไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะคนยากจนบางคน เขาเริ่มจากการมีไม่มากแต่เขาก็พอใจในสิ่งที่มี คุณอาจไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาอาจมีความสุขมากกว่าคุณและผม 

และนอกจากนี้ยังมีคนที่มีความทุกข์ทางใจ กาย ลำบากทางอารมณ์ ทางการเงินอีกมากมายนักและเขามีอยู่จริง เราจะเลือกที่จะไม่ใส่ใจหรือไม่รับรู้ว่ามันมีอยู่ก็สุดแล้วแต่เราจะคิด และในยามที่คุณเรียนจบและประกอบอาชีพไปแล้ว ผมหวังว่าคุณจะเผื่อแผ่ไปหาคนที่ต้องการความช่วยเหลือบ้าง การช่วยด้วยความตั้งใจและจริงใจนั้นผู้รับสามารถสัมผัสถึงความต่างนั้นได้ ตอนนี้ผมเป็นผู้รับผมจึงรู้ว่ามันเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ตั้งใจดูแลเราอย่างแท้จริง ให้กำลังใจ ต่างๆ นานา  มันทำให้ผมรู้สึกดีมากจนบอกไม่ถูก

...


...

นี่คือรูปของปอดหลังการรักษา ผมได้รับการรักษาไม่นานมานี้ หลายๆ อย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ที่ทำให้ผมได้มีโอกาสมายืนพูดกับคุณได้ในวันนี้ ผมขอจบการบรรยายในวันนี้ด้วยคำพูดนี้ จากหนังสือ Tuesday with Morrie ที่คุณอาจเคยอ่านมาแล้ว...

"Everybody knows they’re going to die, but nobody believes it. If we did, we would do things differently - เราทุกคนรู้ว่าเราจะต้องตาย แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะหากเราเชื่อ เราจะทำในสิ่งที่ต่างไป"

เมื่อผมเผชิญหน้ากับความตายอย่างเลือกไม่ได้ ผมละวางทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองและใส่ใจแต่ในสิ่งที่จำเป็น แต่ชีวิตมันน่าตลกที่ว่า บ่อยครั้งที่เรารับรู้ว่ากำลังจะตาย เราจึงเริ่มเรียนรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร มันอาจเป็นหัวข้อการพูดที่ไม่น่าพึงประสงค์สำหรับเช้าวันนี้ แต่มันคือความเป็นจริงที่ผมกำลังเผชิญอยู่

อย่าปล่อยให้สังคมมาคอยบอกคุณว่าคุณควรใช้ชีวิตอย่างไร อย่าปล่อยให้สื่อบอกคุณว่าคุณควรทำอะไร เพราะนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม และผมก็ใช้ชีวิตอยู่โดยคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่จะนำความสุขมาให้ ผมหวังว่าคุณจะนำสิ่งที่ผมบอกเล่าไปคิดพิจารณา ไตร่ตรองและตัดสินด้วยตัวเองว่าคุณอยากใช้ชีวิตยู่แบบใด ไม่ใช่ตามสิ่งที่คนอื่นบอกให้คุณทำ และขอให้คุณตัดสินใจว่าคุณจะบริการตัวเอง หรือคุณช่วยจะสร้างความต่างให้ชีวิตอื่น เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการ "ให้ตัวเอง" - ผมเคยคิดเช่นนั้นแต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด 


ขอบคุณครับและหากคุณมีคำถามที่จะถาม โปรดถามได้ครับ ขอบคุณครับ"

หมายเลขบันทึก: 509781เขียนเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2012 16:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม 2012 22:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (47)

ชอบเรื่องเล่าแบบนี้มากค่ะ..กว่าที่คนเราจะพบความสุขที่แท้จริง..อาจสายเกินไปเสียแล้ว..เสพสุขติดทุกข์..ไม่ยั่งยืน..

ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ ที่นำมาให้อ่าน ครับ

เยีย่มมากค่ะ

รู้ตัวเมื่อไหร่....เปลี่ยนแปลงเมื่อนั้น

ทบทวนทางเดินชีวิตของตนเองเสมอ สุข สงบ เย็น เป็นประโยชน์หรือยัง

ขอบคุณค่ะคุณปริม

ความรู้สึก ความคิด ของคนไข้ ของคนที่เผชิญอยู่กับความทุกข์ เป็นสิ่งที่ยากอธิบาย ยากแก่การเข้าใจ

จนกว่า วันหนึ่งที่เราเป็นผู้เผชิญกับสิ่งเหล่านี้เอง

 

เมื่อเราเจ็บป่วย เราจึงควรจดจำความรู้สึก ความคิด ความทุกข์เหล่านี้ไว้

 

อย่างน้อยเพื่อเข้าใจผู้อื่นที่เป็น รับฟังและเข้าใจ

 

 

ขอบคุณบันทึกดี ๆ ของน้องปริมค่ะ

  • อ่านเรื่องเล่านี้แล้ว ก็ทำให้เข้าใจว่า ทำไมหมอบางคนเขาไร้ Empathy, Sympathy, ในความเจ็บความทุกข์ทรมานของคนไข้
  • และก็คิดถึงคำพูดของท่านประเวศ วะสี ที่ว่า "ที่หมอรักษาโรคไม่หาย เพราะหมอรู้จักแต่โรค แต่ไม่รู้จักคน"
  • ได้เรียนรู้ว่า เมื่อตนเป็นทุกข์บ้าง ถึงได้รับรู้ถึงความทุกข์ของคนอื่น
  • ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบันทึกที่ให้ข้อคิดว่า เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เราควรใช้มันอย่างไร  

เป็นเรื่องที่เยี่ยมมาก ให้แง่คิดในหลายแง่มุม ขอถ่ายทอดแลกเปลี่ยนประสบการณ์

๑. เคยป่วยหนัก เข้ารพ.ของรัฐและเอกชน การให้บริการรู้สึกสงสารตัวเอง แต่พอเห็นชาวบ้านตาดำๆ ผมสงสารเขามากกว่า ทำไมหมอไทย บริการเขาแบบนั้น หมอไม่ผิด แต่ ความเป็นมนุษย์ ทำไมให้กันน้อยจัง

๒.ผู้บริหารทั้งหลายมีตำแหน่งมีเงินเดือนมากมาย ทำไมไม่ทำหน้าที่ เสียสละเพื่อองค์กรบ้าง เอาแต่ตีกอล์ฟ ตามนาย เล่นการพนัน ชู้สาว ทิ้งบุคลากร เพื่อประโยชน์สุขส่วนตัว นับวันยิ่งเยอะ สักวัน รู้เมื่อสาย

๓. ต้องหันมาประเมินตนเอง ว่าประมาทกับชีวิตหรือไม่ ไปหลงกับงานที่เขามอบเขาสั่งมากน้อยเพียงใด กำลังหลงกับความสำเร็จ เกียรติ กล่อง รางวัล แค่ไหน จนลืมพอเพียง ลืมดูแลตนเอง หรือเปล่า

กลัว และ รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เหมือนกัน

ขอบคุณบทความดีๆ ครับ

เปลี่ยนได้ เมื่อคิดได้

-สวสดีครับ

-ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆครับ

-ได้ข้อคิดมากมายจากเรื่องนี้

-ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะ คุณปริม

แวะมาทิ้งรอยไว้ก่อน จะกลับมาอ่านใหม่ค่ะ

สวัสดีค่ะคุณพี่ใหญ่,

ถึงแม้จะสายไปนิด และทำได้น้อยไปหน่อยดังที่คุณหมอริชาร์ดได้บรรยายถึงตนเอง แต่อย่างน้อยที่สุดในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต คุณหมอริชาร์ดก็พยายามแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของเขาให้คนอื่นได้รู้ และได้คิดไตร่ตรองค่ะ

คนบางคนยังไม่ตื่นแม้จะตายไปแล้วก็มีนะคะ

มีความสุขในวันหยุดค่ะคุณพี่ใหญ่ ;)

สวัสดีค่ะคุณมืด

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านบทความนี้ค่ะ พอดีเดือนก่อนได้อ่านข่าวการเสียชีวิตของท่านจากหนังสือพิมพ์ แล้วก็นึกประทับใจในความพยายามของท่านในช่วงสุดท้ายของชีวิต พอดีเข้าไปค้นเจิคลิปวีดีโอของท่านในยูทูป เลยนำมาเรียบเรียงไว้ค่ะ

ขอบคุณค่ะ

สวัสดีค่ะคุณหมอธิรัมภา,

เป็นโชคดีของคนที่คิดได้ ได้พิจารณาใคร่ครวญ ในขณะที่เรายังพอมีเวลาเหลืออยู่นะคะ

ถึงแม้เราจะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ยังคงจะมาถึงอยู่หรือเปล่า แต่หากเราได้ทำความดีในวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวว่ามันจะมาหรือไม่นะคะ

ขอบคุณมากค่ะ

สุขสันต์วันเสาร์ค่ะ

สวัสดีค่ะพี่หมอภูสุภา

ปริมเชื่ออยู่เสมอว่ายังมีคุณหมอที่พยายามเข้าใจ รับรู้ รับฟังคนไข้ด้วยเมตตาอยู่มากมาย ยังมีหมอที่ทำงานด้วยหัวใจอีกหลายต่อหลายคนในบ้านเราค่ะ ปริมเชื่อว่าพี่หมอก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขอบคุณมากค่ะ ;)))

สวัสดีค่ะปริม ชอบบทความนี้จึงขออนุญาตไปเผยแพร่ต่อที่ http://koratnurse.com/index.php?name=blog&file=readblog&id=5 ชลัญเป็น web master อยู่ค่ะื

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์แม่วิไล

คนเราต่างกันนะคะ บางคนอาจมีพื้นฐานของการเข้าอกเข้าใจคนอื่นมาเป็นสมบัติติดตัว บางคนอาจไม่มีและต้องเรียนรู้จากชีวิตของตัวเองอย่าง ดร เตียวคนนี้ พูดไปเขากลายเป็นคนที่น่าสงสารนะคะ ที่ไม่อาจเรียนรู้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้ในตอนที่เขายังมีสุขภาพแข็งแรงดี เพราะด้วยสติปัญญา ความรู้ความสามารถของเขา หากเขามีใจที่สมบูรณ์มากกว่านี้เขาจะเป็นคนที่เพียบพร้อมทุกอย่างจริงๆ บังเอิญเขาไม่มีโอกาสได้รู้เร็วกว่านี้เขาจึงมีเวลาทำในสิ่งที่ควรทำน้อย แต่ทว่าพอรู้ตัวเขาก็เร่งทำในสิ่งที่อยากทำให้มากที่สุดค่ะ ตลอดเวลา 19 เดือนหลังจากรู้ว่าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย คุณหมอท่านก็ออกพูดและสื่อสารกับคนไข้ด้วยกันไม่น้อยทีเดียว นับว่ายังดีที่มีโอกาสค่ะ

ขอบคุณท่านอาจารย์แม่ที่มาร่วมแบ่งปันในบันทึกนี้ค่ะ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ชยันต์

เมื่อก่อนเคยสงสัยเหมือนกันค่ะว่าคนบางคนทำไมถึงทำในบางสิ่งได้ ทำไมถึงไม่มีหัวใจบ้างเลย ทำให้รู้สึกนึกตำหนิคนคนนั้นขึ้นมา (เราเองก็ไม่มีเมตตาเสียเลย) พักหลังมานี่พยายามมองว่าคนเรามีพื้นฐานทางจิตใจที่ต่างกัน มีพัฒนาการด้านจิตใจที่ต่างกัน อาจด้วยบุญบารมีที่สั่งสมมาทั้งชาติที่ผ่านมาและชาตินี้ ทำให้เขามองไม่เห็นสิ่งที่ควรทำ มองข้ามสิ่งที่จำเป็นในชีวิตไป เมื่อมองเช่นนี้ทำให้รู้สึกสงสารเขา (เริ่มมีเมตตาขึ้นมาบ้าง)

บางคนอาจจะยังไม่ตื่น อาจใช้ชีวิตแบบงัวเงีย ไม่ทันคิด ไม่มีสติค่ะ เพราะหากความนึกคิดเขาแจ่มแจ้ง เขาคงไม่ทำเช่นนั้น เหมือน ดร. เตียว ที่เขาหลับใหลในชีวิต ไม่อาจเข้าใจหัวอกคนอื่นได้ หมกมุ่นมัวเมาในวัตถุมาตลอดชีวิต มาตื่นเอาก็เหลือเวลาแค่ 19 เดือนเท่านั้น

สิ่งที่เราทำได้คือการให้กำลังใจคนที่ยังไม่ตื่นเหล่านั้น ให้เขาตื่นขึ้นมาโดยเร็วค่ะ เพื่อเขาจะได้มีเวลามากกว่า ดร. เตียว ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ เมื่อเขาตื่นแล้ว ทุกคนรอบข้างก็จะมีความสุขขึ้น รวมทั้งตัวเขาเองนะคะ

ที่สำคัญตัวเราเอง...นอกจากการไม่ทำให้ใครอื่นเดือดร้อนเพราะการกระทำของเราแล้ว เราสามารถเอื้อมมือไปช่วยสะกิดคนรอบข้างให้ตื่นได้มากน้อยแค่ไหน ด้วยเมตตานะคะ ด้วยรู้ว่าเราตื่นแล้ว ไม่ใช่งัวเงียไปปลุกเขาแล้วเรานอนต่อ อิอิอิ (อันนี้ปริมเป็นบ่อยค่ะ ;))

ขอบคุณท่านอาจารย์ที่กรุณามาแบ่งปันในบันทึกนี้ค่ะ

สวัสดีค่ะคุณมะเดื่อ

ขอบคุณที่มาอ่านและให้กำลังใจบันทึกนี้นะคะ

สุขสันต์วันหยุดค่ะคุณครู

สวัสดีค่ะคุณพี่ kunrapee,

สำคัญมากนะคะ การคิดได้และรู้จักเปลี่ยนตัวเองค่ะ บางคนโชคดีอาจคิดได้ด้วยตนเอง บางคนอาจต้องมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมากระตุ้นให้เปลี่ยน แต่ยังไงก็ยังดีกว่าการอยู่แบบเดิมๆ นะคะ เพราะอย่างน้อยเมื่อเปลี่ยน ผลที่ได้คือการเปลี่ยนแปลง

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีค่ะคุณเพชรน้ำหนึ่ง

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านบทความยาวๆ บทนี้นะคะ

พักผ่อนในวันหยุดบ้างนะคะ ;))

สวัสดีค่ะคุณ Bright Lily,

บันทึกนี้ยาวมากกว่าปกติค่ะ เพราะพยายามแปลทุกๆ ประโยคที่คุณหมอพูดตลอดเวลา 22 นาทีค่ะ

ขอบคุณมากค่ะที่มาทักทาย วันนี้ที่สิงคโปร์ฝนไม่ตกค่ะแต่ครึ้มๆ ทั้งวันเลย ที่ภูเก็ตอากาศดีไหมคะ

สุขสันต์วันเสาร์ค่ะ

สวัสดีค่ะคุณชลัญ

ด้วยความยินดีค่ะ ขอบคุณมากค่ะที่ให้เกียรตินำบทความไปเผยแพร่ค่ะ ความจริงปริมก็นำมาเผยแพร่อีกทีจากยูทูปเช่นกันค่ะ

สุขสันต์วันเสาร์ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจบันทึกนี้ค่ะ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในวันหยุดวันนี้ค่ะ

สวัสดีค่ะคุณปริม ดิฉันอ่านบทความนี้หลายรอบมาก แล้วเก็บมาเล่าเรื่องค่ะ คำพูดของคุณหมอลึกซึ้งมากค่ะ ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันนะคะ

สวัสดีค่ะ

         เป็นเรื่องดีมากค่ะ  ได้ข้อคิดเตือนสติได้ดีค่ะ
  • ถ่ายทอดบทเรียนชีวิตได้อย่างซาบซึ้งมากค่ะ
  • งานอะไรหากเราไม่ได้สัมผัสด้วยหัวใจ สิ่งใดหากเราไม่ได้มีประสบการณ์ด้วยตัวเอง ย่อมไม่อาจค้นพบความหมายแท้จริงของมัน
  • นับว่าเป็นบุญที่ได้ค้นพบความหมายนั้น และเป็นกุศลที่ได้แบ่งปันข้อคิดดี ๆ 
  • ขอบคุณมากค่ะ 

ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆมาให้อ่าน เป็นเรื่องจริงของคนส่วนใหญ่ที่เป็นเช่นนี้ ที่เราทำเพราะคิดว่ามันคืองาน แม้ว่างานนั้นคือคน โดยเฉพาะคนไข้ที่แต่ละวัน แต่ละเช้านั่งเฝ้ารอหมอของฉันจะมาเมื่อไหร่ แต่พอมาแล้วท่านกลับพูดกับกระดาษ พูดกับชาร์ตเหล็ก หรือพูดกับน้องหมอที่เดินตามกันมา แล้วก็จากไป...ปล่อยให้คนไข้นั่งมองตาละห้อย...แต่ก็ไม่เป็นเช่นนี้ทั้งหมดนะคะ ที่ดีมากๆๆๆก็มีค่ะขอชม

ขอบคุณอย่างยิ่งที่คุณปริม ได้กรุณานำมาให้ได้อ่านในครั้งนี้ ได้แนวคิดไปอีกเรื่อง ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

พระพุทธองค์ตรัสเรื่องความสุขของฆราวาสไว้ในหมวดธรรมที่เรียกว่า "คิหิสุข" ที่แปลว่า ความสุขแบบฆราวาส ประกอบด้วย

                  ๑. สุขเพราะมีทรัพย์   
                  ๒. สุขเพราะได้ใช้จ่ายทรัพย์  
                  ๓. สุขเพราะไม่มีหนี้สิน 
                  ๔. สุขเพราะได้งานทำที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ ต่อตนเอง ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม

หากพิจารณาหมวดธรรมดังกล่าวอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่า เนื้อหาที่จะนำไปสู่การปฏิบัตินั้นครอบคลุมชีวิตเราและสังคมอย่างครบวงจร สุขในข้อหนึ่งอาจเป็นผลมาจากความพากเพียรพยายามจนเป็นความสำเร็จส่วนตัว ส่วนสุขข้อที่สองนั้นเป็นความสุขที่เราต้องกระจายไปสู่สังคมในนามของการแบ่งปันให้สังคมหรือคืนกำไรให้กับสังคม เพราะสังคมคือต้นทุนแห่งความสำเร็จของเรา พ่อค้ามีลูกค้าเป็นกำไร หมอก็มีคนไข้เป็นกำไร กำไรมาจากไหน มาจากสังคม ไม่มีพวกเขา ก็ไม่มีเราในวันนี้ ความมั่งคั่งทั้งปวงมาจากสังคม เราได้อะไรจากสังคม แล้วไม่คืนให้สังคม คิดดูซิ ! เราจะเรียกตัวเราเองว่าคนใจดำได้ไหม ?

ขออนุญาตเผยแพร่แนวคิดจากหมอ ริชาร์ด เตียว ท่านนี้สู่สาธารณชนเพื่อให้คนทั้งหลายได้ตระหนักว่า ไม่ว่าชีวิตเราจะป่วยหรือไม่ป่วย หน้าที่ของความเป็นมนุษย์คือการแบ่งปันให้กับสังคม สังคมที่ยังอุดมไปด้วยเพื่อนพ้องน้องพี่ที่่ร่วมสถานการณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งสิ้น

ขอบคุณคุณหมอปริมที่หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้สมองพวกเราได้พัฒนา

สวัสดีค่ะ คุณปริม - ขอขอบคุณเรื่องราวดีดี ที่นำมาฝากกัน - ใช้เวลาตั้งใจอ่าน อย่างมาก ได้ความรู้สึกมากมายทีเดียว...ในฐานะที่ทำงานใน "คณะแพทยศาสตร์" .... ได้พบ เห็น รับรู้ และ เข้าใจ ได้มากจริงๆ ....

ขอบคุณมากค่ะ

เมื่อคิดได้ก็เมื่อป่วยหนัก แต่ก็ยังดีที่ดร.ริชาร์ดเขียนและออกมาพูดบอกกล่าว ถึงชีวิตของเขาก่อนเป็นโรคมะเร็ง ให้คนที่ทราบเรื่องราวของเขา ควรใช้ชีวิตอย่างไร

ค่ะ " คนเราตายไปก็ไม่ได้นำอะไรไปได้เลย "

  • ชอบบันทึกแบบนี้ครับ
  • ได้ไตร่ตรองชีวิตที่จะทำต่อไป
  • มาแจ้งว่าน้องเห็ดไปถึงโรงเรียนบ้านหนองผือแล้วครับ

สวัสดีค่ะคุณตันติราพันธ์

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ในชีวิตได้ดีค่ะ ขอบคุณที่ช่วยกันแบ่งปันความดีงามนี้ค่ะ

สุขสันต์วันสุขใจค่ะ ;))

สวัสดีค่ะคุณครู KRUDALA,

เป็นบุญของเราที่ได้พบเจอเรื่องราวดีดีที่เตือนสติ ให้น้อมคิดตามนะคะ

คุณครูสบายดีนะคะ ;))

รักษาสุขภาพในหน้าหนาวค่ะ

สวัสดีค่ะคุณศิลา

ใครก็ตามที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ด้วยหัวใจ นับว่าเขาคนนั้นได้สร้างกุศลกับทั้งตัวเองและคนรอบข้างนะคะ โชคดีที่งานที่ตัวเองทำมาตลอดเป็นสิ่งที่เราชอบ เรารัก ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันลำบากมากมาย คิดแล้วก็น่าเห็นใจคุณหมอนะคะ ที่เขาไม่ได้ทำงานนั้นด้วยหัวใจ เขาจึงไม่ค่อยมีความสุขเท่าที่ควร

ขอบคุณมากค่ะ สุขสันต์วันสุขค่ะ

สวัสดีค่ะคุณแสงดาว

หากเราได้พบปะ อยู่ในสมาคมของคนที่ใช้หัวใจทำงาน หัวใจเราก็คงตอบรับในจังหวะที่สอดคล้องกันนะคะ งานที่มีคงราบรื่นเพราะความเข้าใจกัน หากบังเอิญเราไม่ได้อยู่ในแวดวงนั้น เราคงต้องเหนื่อยหน่อย และก็หวังว่าเขาจะเอาหัวใจมาทำงานด้วยสักวันนะคะ เพราะเขาเองก็จะมีความสุขขึ้นค่ะ เมื่อเขามีความสุขคนรอบข้างก็จะรู้สึกตาม

ขอบคุณมากค่ะที่เข้ามาอ่านบันทึกนี้นะคะ

ยินดีที่ได้รู้จักด้วยค่ะ

สุขสันต์วันสุขค่ะ

สวัสดีค่ะคุณหนูณิชญ์

สิ่งดีดีมีไว้แบ่งปันเสมอๆ ตามสไตล์ของบล็อกนี้ค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ สุขสันต์บ่ายวันศุกร์ค่ั

กราบนมัสการพระอาจารย์ พระมหาอัมพรค่ะ

กราบนมัสการขอบคุณสาระธรรมที่เมตตานำมาฝากค่ะ

คนเรามีบุญมาต่างกัน ก็เลยมองเห็นความเป็นจริงในชีวิตในระดับที่ต่างกันนะคะ

สำหรับคนที่มองเห็นแล้วปฏิบัติตาม เขาคือคนแรกที่มีความสุข คนรอบข้างก็จะมีความสุขไปด้วย สำหรับคนที่ยังมองไม่เห็น จึงเป็นอย่างที่เป็น เราจึงได้แต่หวังให้บุญตามเขาให้ทันค่ะ ให้เมตตาเขามากๆ เพื่อความเมตตานั้นจะซึมซับไปหาเขาบ้าง

การนมัสการขอบคุณอีกครั้งค่ะ

สวัสดีค่ะคุณ joy,

บันทึกนี้ยาวมากกว่าปกติสำหรับบันทึกของปริมค่ะ เพราะตั้งใจเรียบเรียงการพูดทุกประโยคเป็นตัวหนังสือเลยค่ะ แต่คุณหมอได้ฝากข้อคิดนี้ได้ดีจริงๆ ค่ะ คล้ายๆ กับ The last lecture เลยค่ะ

ขอบคุณมากค่ะที่มาอ่านและให้กำลังใจค่ะ

มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์นะคะ

สวัสดีค่ะพี่กานดา

อย่างน้อยคุณหมอท่านนี้ก็มีเวลา 19 เดือนในการบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตของเขาให้คนอื่นฟังค่ะ คงเป็นบุญมิใช่น้อยเช่นกันค่ะ

ไม่ว่าจะร่ำรวยมากแค่ไหน หรือยากจนเพียงใด สิ่งที่จะนำติดตัวไปได้ยามลาโลกคือความดีที่สะสมไว้ในขณะมีชีวิตอยู่ค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์นะคะ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ขจิต

ขอบคุณมากค่ะที่มาทักทาย ส่งข่าวคราว จะรีบตามไปอ่านค่ะ

พักนี้ติดอ่านบันทึกมากมายค่ะ ตามไม่ทันจริงๆ จะไปแอ่วหา (ที่บล็อก) นะคะอาจารย์

สุขสันต์วันศุกร์ค่ะ

หัวใจความเป็นมนุษย์ ดูแลคนไข้ด้วยใจ ประดุจเขาเป็นญาติของเรา คะ

เป็นบันทึกที่เยี่ยมมากครับ

สวัสดีค่ะคุณพี่ประกาย

คนที่จะดูแลคนอื่นได้ หัวใจเขาสร้างด้วยเนื้อเยื่อพิเศษค่ะ เพราะมันงดงามเหลือเกิน ;))

พี่ประกายก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ

ฝันดีนะคะ

สวัสดีค่ะคุณลุงชาติ

ต้องยกคุณความดีนี้ให้กับเจ้าของเรื่องที่ถ่ายทอดด้วยใจค่ะ

คุณความดีนี้จะติดตัวคุณหมอไปยังสุคติภพค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

ไม่รู้ว่าไม่ได้อ่านบันทึกของคุณน้องได้อย่างไร  สงสัยตอนนั้นอยู่เมืองไทย  สัญญานติดต่อไม่ได้

เพิ่งมาได้อ่าน บางทีทุกอย่างมีคำตอบครับ

ผมเขียนเรื่อง โชคดีที่เป็นมะเร็ง กูจะตายอยู่แล้ว Nothing To Lose ของคุณหมอแท็ต หมอไทยเกิดในอเมริกา เป็นมะเร็งในปอด เป็นมาแล้วสองปี  ตอนนี้ก็ยังไม่ตาย ผมอัดวิดีโอไว้ด้วย แต่คุณหมอเป็นคนขี้อาย  บอกว่าลบเถอะครับ

คำตอบมีอยู่ในบันทึกต่างๆเกี่ยวกับหมอเขียวที่ผมเขียนมาเมื่อหกเดือนที่แล้ว  บันทึกเรื่องเข้าค่ายหมอเขียว มีคนมาอ่านเป็นประวัติการณ์ อ่านแล้วสี่พันกว่าคน  คนมีปัญหาก็อยากหาทางออก  บางคนโชคดี เพราะทำบุญไว้มากก็มีกัลยาณมิตรมาชี้ทางครับ


สวัสดีค่ะคุณพี่,

ขอบคุณเรื่องราวชีวิตน่าทึ่งของคุณหมอที่นำมาเล่าต่อค่ะ 

ชอบที่ว่าที่รักษาไม่หายเพราะทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำหรือเพราะกรรมที่ทำมา เป็นคำตอบที่เป็นสัจธรรมมากค่ะ

หากคุณหมอริชาร์ดได้รู้คงลองเช่นกัน


ขอให้คุณหมอแท็ตหายจากโรคร้ายโดยเร็วนะคะ ท่านโชคดีได้มีกัลยาณมิตรแนะนำสิ่งดีดีให้ค่ะ

ขอบคุณค่ะ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท