อิตาลีเป็นคู่ค้าของไทยเป็นอันดับที่ 4 ในสหภาพยุโรป และอันดับที่ 21 ในโลก นักท่องเที่ยวอิตาลีมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยประมาณ 130,000 คนต่อปี ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปอิตาลีปีละประมาณ 12,350 คน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี
ตอนที่ 2 เที่ยวอิตาลี
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2555 : ณ กรุงโรม
วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม 2555 เวลา 09.30 น. กรุ๊ปทัวร์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ได้บินจากจากสนามบินนานาชาติไคโร (Cairo International Airport) กรุงไคโร เมืองหลวงของประเทศอียิปต์ (Egypt) เมืองแห่งทะเลทราย ข้ามทะเลเมดิเตอเรเนียน (Mediteranean Sea) ไปยังปลายทางกรุงโรม (Rome) เมืองหลวงของประเทศอิตาลี (Italy) โดยใช้บริการอียิปต์แอร์ (EGYPTAIR) เช่นเดียวกับเที่ยวบิน (Flight) แรก แต่เป็นเครื่องขนาดเล็กกว่า ความแตกต่างที่เห็น คือ เมื่อเครื่องบินบินเหนือกรุงไคโร มองลงไปจะเห็นสภาพของความแห้งแล้ง พื้นที่มีแต่สีน้ำตาล มองหาต้นไม้ไม่พบ บนท้องฟ้าไม่มีเมฆ แต่พอบินผ่านทะเลเมดิเตอเรเนียน ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเมฆสีขาวราวกับปุยนุ่น หลายครั้งที่เครื่องต้องบินฝ่าเมฆ ทำให้เครื่องมีอาการสั่นสะเทือนและโคลงเคลงทุกครั้ง (ผู้เขียนรู้สึกกังวลนิดๆ) ทราบภายหลังว่า น้องสาขาเดียวกับผู้เขียนอาเจียนจากสาเหตุดังกล่าว (ที่นั่ง : Seat จะเปลี่ยนไปทุกเที่ยวและผู้เขียนไม่เดยได้นั่งกับน้อง) เมื่อเข้าเขตประเทศอิตาลีมองลงไปยังพื้นดิน จะเห็นต้นไม้และแปลงปลูกพืชสีเขียว
(ขอบคุณภาพจาก Internet)
อิตาลีเป็นประเทศสมาชิกก่อตั้งของสหภาพยุโรป (EU) สมาชิกองค์การสหประชาชาติ และจัดอยู่ในกลุ่ม G8 (Giants 8 เป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ประกอบไปด้วยประเทศสมาชิก 8 ประเทศ คือ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี รัสเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา โดยเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ถือเป็น 65% ของโลก) มีประเทศอิสระ 2 ประเทศ คือ ซานมารีโน และ นครรัฐวาติกัน ซึ่งล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ของอิตาลี ประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศอิตาลีเรียกว่า ชาวอิตาเลียน (Italian) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากคนในสมัยโรมันโบราณ อิตาลีมีประชากรประมาณ 60 ล้านคน โดย 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในกรุงโรม และอีก 1.5 ล้านคนอยู่ในกรุงมิลาน ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ภาษาทางการคือ ภาษาอิตาลี อิตาลีมีแหล่งมรดกโลกมากกว่าประเทศใดๆ ในโลก มีทั้งมรดกโลกทางวัฒนธรรม และมรดกโลกทางธรรมชาติที่มีคุณค่าอย่างมาก ประมาณ 60% ของงานจิตรกรรมในโลกนี้ สรรค์สร้างขึ้นในประเทศอิตาลี และอิตาลียังผลิตไวน์มากกว่าทุกประเทศ
ไทยมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิตาลีมาตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2411 (ค.ศ. 1868) ในด้านการค้าและเศรษฐกิจนั้น ในปี พ.ศ. 2549 อิตาลีเป็นคู่ค้าของไทยเป็นอันดับที่ 4 ในสหภาพยุโรป และอันดับที่ 21 ในโลก นักท่องเที่ยวอิตาลีมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทยประมาณ 130,000 คนต่อปี ในขณะที่นักท่องเที่ยวไทยไปอิตาลีปีละประมาณ 12,350 คน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B5) จากสถิติดังกล่าว แสดงว่า ไทยได้เปรียบดุลการท่องเที่ยวอิตาลีมากเลย
วันที่ 15 ตุลาคมเป็นวันที่ลูกทัวร์เหน็ดเหนื่อยที่สุด เพราะทุกคนไปรวมตัวกันที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่ 4 ทุ่มของวันที่ 14 ตุลาคม หลังจากนั้นก็เดินทางตลอด พอเครื่องถึงสนามบินลีโอนาร์โด ดาร์วินชี เวลาประมาณ 13.00 น. (เวลาที่อิตาลี สวิทเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมงเหมือนที่ไคโร) ผู้เขียนรู้สึกดีใจที่เห็นสายการบินไทยจอดอยู่ 1 ลำ กระบวนการต่างๆ ที่สนามบินเป็นไปโดยรีบเร่งจนไม่มีโอกาสถ่ายรูป ผู้เขียนลำบากกว่าใครเขา เพราะเที่ยวนี้ไม่มีใครช่วยลากกระเป๋า (2 ใบ) และการพก Notebook ไปด้วย ทุกครั้งที่ผ่านพิธีการตม.ก็ต้องควักออกมาแสดง รถโคช 2 คันนำลูกทัวร์จากสนามบินไปยังนครรัฐวาติกัน โดยไกด์ไทยจะบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ ๆ จะไปชมขณะนั่งบนรถ เมื่อไปถึงรถต้องจอดอยู่ห่างจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์พอสมควร ไกด์เร่งให้ทุกคนทำเวลา และมีการถ่ายภาพร่วมกันเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นต้องไปเข้าแถวยาวเหยียด ใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้เข้าชมภายในมหาวิหาร ไกด์ปล่อยให้ทุกคนชมและถ่ายภาพอย่างอิสระ และนัดให้ไปพร้อมกันที่จุดนัดพบเวลา 16.00 น.
นครรัฐวาติกัน (อังกฤษ: State of the Vatican City; อิตาลี: Stato della Città del Vaticano) เป็นนครรัฐที่มีพื้นที่และประชากรน้อยที่สุด เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา ซึ่งเป็นประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก ศูนย์กลางคือ มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ การปกครองเป็นแบบอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่พระสันตะปาปาเพียงผู้เดียว ซึ่งจะหมดวาระเมื่อสิ้นพระชนม์ นครรัฐวาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน (ประมาณ 200 คนเป็นสตรี) พลเมืองประกอบด้วยองค์สันตะปาปา คาร์ดินัล ผู้ปกครองนครรัฐวาติกัน เจ้าหน้าที่ประจำวาติกัน และทหารสวิสมีหอกโบราณเป็นอาวุธประดับเกียรติ ซึ่งเป็นองครักษ์ของสันตะปาปาประมาณ 100 คน นอกจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ทูตวาติกันที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ค่าธรรมเนียมการเข้าชมมหาวิหารฯ นับเป็นรายได้สำคํญของนครรัฐวาติกัน (http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99)
ปกติเวลาเดินทางท่องเที่ยวในประเทศแถบเอเชีย ลูกทัวร์จะได้รับแจกน้ำดื่มทุกวัน บางครั้งก็แจกทั้งเช้าและบ่าย แต่ทัวร์ครั้งนี้ไม่ได้รับแจก และที่สำคัญไกด์ไม่แนะนำเลยว่าจะซื้อน้ำดื่มได้ที่ไหน น้อง Roomate ของผู้เขียนอาศัยดื่มในห้องน้ำบอกว่าไกด์บอกดื่มได้ แต่ผู้เขียนไม่ยอมทำตาม น้องสาขาของผู้เขียนก็บ่นกระหายน้ำ ผู้เขียนเลยชวนออกไปเดินหาแหล่งจำหน่ายน้ำดื่ม โดยบอกกับน้องเชิงสันนิษฐานว่า แหล่งท่องเที่ยวต้องมีน้ำดื่มจำหน่ายอยู่แล้ว (ผู้เขียนนึกถึงเมืองไทยขึ้นมาทีเดียว เพราะมีจำหน่ายทุกซอกทุกซอย รวมทั้งมีบริการถึงที่ จะถามคนท้องที่ก็ไม่มีใครสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ) โชคดีเดินข้ามถนนออกมาไม่กี่เมตรก็พบแผงขายน้ำ ขวดละ 2 ยูโรประมาณ 80 บาท หลังจากนั้นก็มีหลายคนตามไปซื้อด้วยความสบายใจ เพราะ 80 บาทกลายเป็นถูกไปเลยเมื่อเทียบกับราคาที่สนามบินกรุงไคโร เมื่อได้ดื่มน้ำทุกคนก็ยิ้มออกและมีแรงสังเกตและถ่ายภาพ ไกด์บอกว่าเมืองนี้ชอบใช้รถคันเล็ก เพราะถนนหนทางแคบ รถคันเล็กจะจอดสะดวก (ภาพขวาสุดผู้เขียนแอบถ่ายวัยรุ่นจากบนรถ ...รูปร่างหน้าตาดีกันทั้งนั้น)
กรุงโรม นับเป็นเมืองเก่าแก่ที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และมีผลงานที่หาค่ามิได้มากมายมหาศาล ทั้งงานศิลปะ พระราชวัง พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ และโบสถ์ เป็นต้น...ในปี 2005 มีผู้ไปเยือนกรุงโรมจากทั่วโลก 19.5 ล้านคน สถานที่ๆ มีผู้ไปเยี่ยมชมมากที่สุด คือ สนามกีฬาโคลอสเซียม ที่มีผู้ไปเยือนปีละ 4 ล้านคน ...อันดับ 3 น้ำพุเทรวี่ ปีละ 3.5 ล้านคน (Rome is regarded as one of the world's most beautiful ancient cities, and contains vast amounts of priceless works of art, palaces, museums, parks, churches, etc. ...In 2005, the city received 19.5 million global visitors. The 5 most visited places in Rome are 1) the Colosseum (4 million tourists a year),...3) Trevi Fountain (3.5 million tourists a year),... (http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_tourist_attractions_in_Rome) ภาพล่างคือ "ประตูชัยคอนสแตนติน" (ข้างสนามกีฬาโคลอสเซียม) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและที่มาของสำนวน "ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม" (แอบถ่ายตำรวจอิตาเลียน คนขวามือที่สวมแว่นคือเพื่อนที่เกษียณพร้อมผู้เขียน)
หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่เป็นสัญลักษณ์และเป็นที่รู้จักดีที่สุดในกรุงโรม คือ "น้ำพุเทรวี่" ที่ได้มีการออกแบบและสร้างเสร็จในศตวรรษที่ 18 นักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ไปที่นั่นเพื่อโยนเหรียญลงไปในน้ำพุ เพราะตามตำนานของคนในท้องถิ่น เชื่อว่า การทำเช่นนั้นจะทำให้โชคดี (One of the most recognizable and iconic monuments in the city, the Trevi Fountain was designed and completed in the 18th century. Several tourists come to the fountain in order to throw a coin, which is, according to a local legend, supposed to bring good luck.) น้ำพุเทรวี่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สุดท้ายที่พวกเราได้ไปเที่ยวชมในวันที่ 15 ตุลาคม หลังจากนั้นก็แวะซื้อของที่ระลึกใกล้น้ำพุ รับประทานอาหารเย็นเป็นอาหารจีนที่มีปริมาณและคุณภาพ 1 ใน 3 เท่าของที่เคยรับประทานในทัวร์เอเชีย แล้วเข้าที่พัก ที่น้ำพุคนแออัดยัดเยียดมาก ผู้เขียนเลยถ่ายรูปเฉพาะสถานที่ (ปกติก็ไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองอยู่แล้ว ยกเว้นรูปหมู่ เพราะทำใจไม่ได้ที่รูปถ่ายช่างฟ้องสังขารเสียเหลือเกิน) ลืมถามครอบครัวที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งพ่อ-แม่ (แม่ คือ Roomate ของผู้เขียน) ลูกสาวสองคน และลูกชายที่เป็นช่างภาพ ว่า ได้โยนเหรียญลงในน้ำพุกันหรือเปล่า แต่ไม่โยนก็โชคดีอยู่แล้วล่ะ เพราะไปเที่ยวกันทั้งครอบครัว ดูอบอุ่นมีความสุขที่สุดในกรุ๊ปทัวร์นี้ (ภาพขวาสุดผู้เขียนแอบถ่าย [คนหน้าตาดี] เช่นเคย)
ผู้เขียนแปลกใจที่ไกด์แนะนำลูกทัวร์ ให้ทานยาพาราเซตามอลก่อนนอน เพื่อให้นอนหลับสนิทจะได้พักผ่อนเพียงพอ ผู้เขียนเองไม่ต้องใช้เครื่องช่วยใดๆ เพราะเป็นคนประเภทหัวถึงหมอนก็นอนหลับแล้ว เและเป็นคนที่แทบจะไม่ใช้ยาแต่พกยาเพื่อแบ่งปันคนอื่น เที่ยวคราวนี้ก็ได้ให้ Roomate ใช้ตัวเองไม่ได้ใช้เลย พอถึงเวลาประมาณ 03.00 น. (ที่โรม เวลาเมืองไทยดูจาก Notebook คือ ประมาณ 08.00 น.) ผู้เขียนก็ลุกขึ้นเขียน Blog โพสต์ภาพที่ถ่ายมาให้กัลยาณมิตร GotoKnow ได้ดูกัน ดีว่า "คนขี้บ่น" ไม่ได้ไปด้วย ไม่เช่นนั้นจะต้องถูกบ่น ราวกับผู้ปกครองบ่นบุตรหลานที่ติดเกม
ขอบคุณทุกท่านมากนะคะที่แวะมาท่องเที่ยวกรุงโรมไปกับผู้เขียน
โปรดติดตามเที่ยวเมืองปิซาในวันที่ 16 ตุลาคม และเมืองเวนิสในวันที่ 17 ตุลาคมนะคะ