หลายบันทึกที่เรียงร้อยกันบนพื้นที่ความสุข Happy Soul เห็นได้ว่าเหมือนพวงมาลัยคล้องคอ โซ่คล้องใจที่เราต่างร่วมเติมเต็มให้กันและกัน ใช่ไหมคะ และยังเหมือนรุ้งหลากสีที่สร้างพื้นที่ความสุขเป็นสะพานให้เราข้ามไปสู่เป้าหมายเดียวกันด้วยค่ะ
"จิตสงบร่มเย็น เป็นปกติธรรมดา นำพาให้เกิดความเมตตา
ต่อตนเองและเพื่อนมนุษย์"
บันทึกนี้ถือว่าเป็นบันทึกทดลองเป็น "ช่างเชื่อม" นำบันทึกของกัลยาณมิตรที่แบ่งปันความสุขในโครงการสร้างพื้นที่ความสุข (Happy Ba Creation) มานำเสนอให้เห็นมิติความสุข Happy Soul หนึ่งใน Happy 8 เพื่อ "Happy Ba" ของเราค่ะ และหลังจากบันทึกนี้ก็จะทะยอยเชื่อมความสุขในมิติต่าง ๆ ของกัลยาณมิตรท่านอื่น ๆ เพื่อมาสัมผัสเรียนรู้ความสุขบนความดีและความงามในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบกันนะคะ
Happy Soul
หลายบันทึกของกัลยาณมิตรที่เขียนเรื่องราวสะท้อนมิติความงามแห่งจิตใจและความดีของการเป็นมนุษย์เพื่อเพื่อนมนุษย์ ล้วนมีศรัทธา...ศรัทธาในการขัดเกลาตัวตนให้บริสุทธิ์ผ่องใส และศรัทธาในความดีงามที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่กัลยาณมิตร
กว่าจะเป็นเราทุกวันนี้มีการสะสมตัวตนหนาแน่นหลายชั้น การจะลอกความเป็นตัวเราออกไปทีละชั้นนั้นต้องใช้ประสบการณ์การเรียนรู้ "ดูกายใจตัวเอง" เป็นงานหลักที่ต้องทำตลอดทั้งชีวิต ที่สำคัญ การมีกัลยาณมิตรที่ร่วมสะท้อนความดี ความงาม ความสุขจะทำให้เราย้อนกลับมามองตัวเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เราควรเริ่มต้นจากความรักตัวเองให้เป็นก่อน
"คงเพราะวัยของชีวิตมันสูงขึ้น , หรือดูจิตเก่งขึ้น , หรือความเมตตา ที่เคยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไปถึงท่านผู้อื่นนั้น มันเริ่มกระจายมาถึงตนเองบ้างแล้วก็เป็นได้นะครับ....”[1] ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ณ วันนี้ พี่ชายชยพรรักและเมตตาต่อตัวเองได้ละเอียดยิ่งขึ้นค่ะ เมื่อเรารักและเมตตาต่อตัวเองเป็น ก็ย่อมเผื่อแผ่ไปยังผู้อื่นได้ละเอียดตามไปด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ขอให้สังเกตตัวเองไปด้วยว่าความรักความเมตตานั้น ไม่ได้เจือกิเลส "ความหลง" นะคะ หลงในความดี หลงในความเก่งของตัวเอง แบบนี้ไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับการรักตัวเองตามบันทึกนี้นะคะ
ความเมตตาต่อตัวเรา ทำให้ลดความหมกมุ่นฟุ้งซ่าน
และมีจิตที่เป็นสมาธิในการจัดการงานต่าง ๆ ได้ด้วยค่ะ
“ยามรู้สึกว่าไม่มีสมาธิ เป็นเพราะกังวลใจเรื่องอื่นอยู่หรือเปล่า
ยามหม่น ขุ่นมัว เหนื่อยหรือเปล่า พักผ่อนบ้าง
ใจหรือความคิดจำเป็นต้องมีระยะหยุดพัก นั่งสงบ นั่งสมาธิ
เพื่อให้เกิดสมาธิ หรืออย่างน้อย เกิดสงบ แล้วเกิดพลัง
ยามเหงา เพราะเรารักตัวเองไม่เป็นหรือเปล่า
หรือเพราะเราไม่รักตัวเอง จึงทนอยู่กับตัวตนคนเดียวไม่ได้”[2]
พี่หมอเล็กภูสุภาจัดการกับศัตรูภายในตัวเองด้วยการรวบรวมจิตให้มีสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็จะเกิดพลัง พลังนั้นจะลดความหนัก ความแน่น ความฟุ้งซ่านได้เป็นอย่างดี ยามที่เราต้องเผชิญกับงานที่ซับซ้อน ช่วงเวลาที่ลำบากยุ่งยาก หากเรามองย้อนกลับมาเผชิญหน้ากับภายในตัวเราอย่างกล้าหาญ เข้าใจและปฏิบัติได้เช่นนี้ ก็เท่ากับเรารักตัวเองเป็น และยิ่งถ้าหากว่าเราได้แผ่เมตตาให้กับตัวเองด้วยแล้ว ใจก็เป็นสุข การแผ่เมตตาให้ตัวเอง เป็นการลดทุกข์ที่ทับถมแก้ไม่ตกให้เบาบางลงได้ เพราะเรากำลังเริ่มต้นที่จะไปสู่การเจริญสติค่ะ จิตใจเบา สว่างและใสสะอาดค่ะ แต่หากว่าเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะก็ไม่ต้องท้อ หมดกำลังใจนะคะ จิตเรามีเจริญ มีเสื่อม มีนิ่งเฉย เฉื่อยชาค่ะ
แนวทางการขัดเกลาตัวเองคือการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นของกาย ของใจเรา "รู้พอ" "รู้เจ็บ" "รู้แก่" "รู้พลัดพราก" การยอมรับทุกข์ ได้หรือไม่อยู่ที่ตัวเรา
หลวงพ่อชากล่าวว่า (โดยผมขอแปลงคำสอนหลวงพ่อ ตามความเข้าใจของผม ณ วันนี้ )
“เมื่อเราไมรู้จักพอ เราก็ไม่รู้จักแก่ ........เมื่อไม่รู้จักแก่ มันก็มีแต่ความไม่พอ......”
“ เมื่อเราไม่ยอมรับ หรือ ไม่ตระหนักถึง ว่าเรามี “ความแก่” รอเราอยู่....... “ผม(ดิฉัน) ยังไม่แก่เลยครับ(ค่ะ) เอาไว้ก่อน ยังอีกไกล.....” ....... เราก็จะไม่มีคำว่า “พอ” เมื่อไม่รู้จักคำว่า “พอ” หรือ “เพียงพอ” อยากได้ อยากมี ไม่สุดสิ้น.........
ผมไม่ใช่เพิ่งเริ่มจะเข้าใจ แต่เข้าใจมานานแล้วว่า .......ครูบาอาจารย์ท่านสู้ ท่านพยายาม แค่ไหนกว่าจะดึงคนแค่ไม่กี่คนให้มาเพียงเพื่อจะ...........”สัมผัสกับหลักธรรมที่แท้จริง” ท่านเพียงชี้ทางให้เราเดิน......ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง......."[3]
อาจารย์วิชญธรรมได้แบ่งปันให้เราเรียนรู้ที่จะฝึกปฏิบัติขัดเกลาตัวเอง โดยเชิญชวนมาเริ่มต้นย่างก้าวนับหนึ่งไปด้วยกัน หลายบันทึกของท่าน มือใหม่หัดขับทางธรรม สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ "ไม่ยาก หากมีความเพียร" ค่ะ
คุณคนบ้านไกลบอกว่า "คนส่วนมากเวลาให้ปฏิบัติธรรม จะบอกว่าไม่มีเวลา ครูบาอาจารย์จะบอกถ้ายังมีลมหายใจ ก็ต้องมีเวลาภาวนา
แต่ทำจริงๆมันยากครับ...
ถ้าคุณมีเวลาก็ให้นั่งทำสติแบบเคลื่อนไหวแบบหลวงเทียน.ต่อ สติของคุณตอนนั้นมันจะแจ่มใสมาก คุณเริ่มต้นชีวิตได้สวยแล้ว อ่าน กรรมฐานที่ Fresno – หลักการและเทคนิค วิธีเจริญสติ"[4]
ลองเข้าไปศึกษาแนวทางปฏิบัติเจริญสติแบบเคลื่อนไหวกับคุณคนบ้านไกลได้นะคะ แล้วจะเข้าใจว่า ว่างหนอ ภาวนาหนอ ไม่ต้องรอเวลาเลยค่ะ
ดูกายแล้ว อย่าลืมดูใจด้วยนะคะ
"ความอยากมาจากไหน...ก็ใจเรานั่นเอง
ความอยากทำให้ใจเราเร่าร้อน กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ดิ้นรน ทุรนทุราย สงบไม่ลง หาทางทำไปตามใจปรารถนา เมื่อได้สิ่งนั้นมาตามต้องการแล้ว ก็สงบไปเพียงชั่วนิดเดียว เดี๋ยวก็อยากได้อย่างอื่นอีกต่อไป คืออยากไม่รู้จักพอ อยากได้ของใหม่ไปเรื่อยๆ ไปเที่ยวที่ไหนก็จะซื้อของที่ระลึกมา ซื้อมา ซื้อมา ถึงบ้านก็เก็บเข้าตู้ไว้จนบ้านกลายเป็นที่เก็บของ ไปเที่ยวที่ใหม่ก็จะซื้อมาอีกแล้วก็เก็บเข้าตู้เหมือนเดิม ทำอย่างนี้ทุกครั้งทีไปเที่ยว ซื้อของ ต่างๆนาๆไม่จบสิ้น
สังเกตใจของเรา..ซิ มันคิดอยู่ตลอดเวลาว่า "อยาก"
ใจเรามันถูกความอยาก บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา อยากทำ อยากดู อยากฟัง อยากกิน อยากเด่น อยากดัง อยากเท่ห์ อยากโก้ อยากอวด อยากสวย อยากงาม อยากให้คนมอง..."[5]
เราควรตามดู ตามรู้ สังเกตความอยาก อยากให้หายก็รู้ ไม่หายอยากก็รู้ อยากก็อยู่ที่ใจ ไม่อยากก็อยู่ที่ใจ ขอบเขตการศึกษาตัวตนก็คือกายกับใจของเราเอง
แต่ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือแหล่งกำเนิด คือพลังแห่งชีวิต
ที่เชื่อมต่อ "กาย" กับ "ใจ" ทราบไหมคะว่าคืออะไร
ลมหายใจที่ทอดผ่านกายกับใจเราค่ะ
"หลวงปู่ติช นัท ฮันท์ พูดอยู่เสมอว่า การหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่สำคัญ และเป็นความรื่นรมย์ยิ่ง ลมหายใจของเราเชื่อมต่อร่างกายและจิตใจ บางครั้งจิตของเราคิดถึงสิ่งหนึ่งแต่ร่างกายกำลังทำอีกอย่าง ร่างกายและจิตใจไม่สามัคคีกัน การหายใจด้วยความรู้ตัวการพิจารณาลมหายใจเข้าออกเป็นสะพานที่สำคัญมากในการนำร่างกายและจิตใจมาอยู่ด้วยกันและเป็นหนึ่งเดียว
เช้านี้ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกขอบคุณ...ขอบคุณลมหายใจที่ยังมาอยู่ด้วยกัน ฉันนึกถึงคำสอนของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวโกว่า "ให้เอาลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่ดี ถ้าเราระลึกถึงลมหายใจบ่อยๆ ก็จะเป็นการรักษาสุขภาพจิตใจให้เป็นปกติ เป็นการสร้างค่านิยมในการรักษาสุขภาพใจ ชีวิตของเราก็จะเป็นปกติสุข...
"ท่ามกลางหลากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน ฉันบอกตัวเองให้หยุดและสัมผัสถึงลมหายใจของตัวเองและบอกตัวเองว่าไม่มีอะไรจะสำคัญไปกว่าลมหายใจแล้ว การที่ได้หายใจอยู่ในวันนี้เป็นความสะดวกกายสบายใจอย่างยิ่งทีเดียวเทียบกับความฝันเมือคืน เราสามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการได้ในวันนี้ แต่ทว่าเมื่อลมหายใจหยุดไปทุกอย่างก็จะไม่มีความหมายสำหรับเราอีกต่อไป"[6]
หลายบันทึกที่เรียงร้อยกันบนพื้นที่ความสุข Happy Soul เห็นได้ว่าเหมือนพวงมาลัยคล้องคอ โซ่คล้องใจที่เราต่างร่วมเติมเต็มให้กันและกัน ใช่ไหมคะ
และยังเหมือนรุ้งหลากสีที่สร้างพื้นที่ความสุขเป็นสะพานให้เราข้ามไปสู่เป้าหมายเดียวกันด้วยค่ะ
ภาพโดย Aphinya Komthep
https://picasaweb.google.com/lh/view
บางบันทึก แวะไปอ่านมาแล้วนะคะ แต่กัลยาณมิตรบางท่านไม่ได้ใส่คำสำคัญ Happy Ba จึงไม่กล้านำมาอ้างอิง ต้องขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ อีกประการหนึ่ง การเชื่อมโยงจะขอดูให้ลึกละเอียดลงไปอีกทีค่ะว่านำมาเติมเต็มกันได้ในมุมไหนบ้างค่ะ
หากต่อไปบันทึกท่านใดสามารถนำมาร้อยเรียงร่วมกันได้ ตอนเขียนเป็นหนังสือจะนำมาเพิ่มเติมให้มิตินี้มีความหลากหลายมากขึ้นค่ะ
[6] ปริม ทัดบุปผา, "ลมหายใจ," http://www.gotoknow.org/blogs/posts/504165