การศึกษาไทยปัจจุบัน..ถูกทางแล้วจริงหรือ?


การศึกษา

การศึกษาไทย ตกต่ำ และย่ำแย่ลงทุกวัน ก็เพราะมีการจัดอบรม และนิเทศ บ่อยเกินไป จนครูต้องมายุ่งกับการเตรียมประเมิน และไปอบรม ต่าง ๆ นานา ยิ่งจะสิ้นปีงบประมาณ ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งไม่มีเวลาให้กับนักเรียน ......ระบบการศึกษาแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือ ทำไมไม่ปรับระบบใหม่สักที ลดกิจกรรม ลดการนิเทศต่าง ๆ ลง ให้ครูได้มีเวลาสอนเด็กได้เต็มที่สักที เราเป็นครู ไม่มีเวลาให้เก็บเด็ก เราก็รู้สึกแย่ ถึงแม้การไปอบรมจะเป็นคำสั่งทางราชการก็จริง แต่ถ้าเลี่ยงได้ก็ขออยู่กับนักเรียนดีที่สุด ถึงแม้จะไม่ได้เก่งขึ้น หรือรับการพัฒนาเพิ่มขึ้น จากการอบรมก็ตาม แต่ก็เต็มใจ ถ้ามันทำให้นักเรียนได้ความรู้ และความอบอุ่นจากครูมากขึ้น +++ ถ้าการศึกษาไทยเป็นแบบนี้ต่อไป ก็ยอมรับการถอยหลังลงคลองเถอะครับ คุณภาพที่คุณจัดฉากขึ้นตอนนี้ เป็นแค่เปลือกเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงมาก ๆ +++ คุณภาพการศึกษาที่แท้จริง คือการสอนให้เด็กได้คุณภาพ สามารถจบออกไปแล้วประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้ มีคุณธรรม จริยธรรม ต่างหาก โบราณเขาสอนแบบล้าหลัง ไม่เห็นต้องมีอบรมนั่น นี่ โน่น นิเทศ นั่น นี่โน่น ก็เห็นได้เป็นครู เป็นหมอ มีงานสุจริตทำ ก็เพราะครูมีเวลาให้กับนักเรียน และอบรมสั่งสอนนักเรียนอย่างแท้จริง แต่สมัยนี้อะไรก็ไม่รู้

หมายเลขบันทึก: 500670เขียนเมื่อ 30 สิงหาคม 2012 11:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 กันยายน 2012 11:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ผมคิดว่าควรทำตัวให้เหมือนกับน้ำที่ไม่เต็มแก้วนะครับ

เพราะการอบรมก็เป็นการพัฒนาเพื่อความรู้ของบุคคลากรอย่างหนึ่ง และเพิ่มวิสัยทรรศน์ในการมอง ถ้าครูทำตัวเหมือนน้ำที่เต็มแก้ว เอาแต่เวลาไปสอน ผมเชื่อแน่ครับ ไม่เกินหนึ่งสามเดือนความรู้ที่คุณมีก็จะถูกถ่ายทอดออกมาหมด แล้วคุณจะเอาความรู้ที่ไหนมาสอนเด็ก หรือพัฒนาการสอนที่มีประสิทธิภาพครับ

ทุกคนมักคิดว่าตัวเองรู้ไปเสียหมดทุกเรื่องนะครับ

จึงที่ทำให้ตัวเองรู้สึกลำบากกับงานที่ได้รับ

เปลี่ยนมุมมองและความคิดนะครับ

ขอบคุณครับ

ถ้าเป็นการอบรมใหม่ ๆ ในสิ่งที่เรายังไม่รู้นี้ ผมก็ยอมรับครับ ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่บางเรื่องอบรมทุกปี ก็มีแต่เรื่องคล้าย ๆ เดิม ส่งคนเดิม ๆ ไปอบรม ก็ไปเจอแต่เรื่องที่เราได้รับมาแล้ว ไปนอนกินกาแฟ ตากแอร์เย็น ๆ แล้วก็กลับ เสียดายงบประมาณชาติ น่าจะลงกับเด็กให้เยอะ ๆ ทั้งสื่อการเรียนการสอน ห้องเรียน อาหารการกิน ระบบดูแลนักเรียน น่าจะดีกว่า และบางครั้งคนที่ไปอบรม กลับมาก็ไม่มีเวลาที่จะมาถ่ายทอด หรือบางครั้งเราไปอบรมแล้ว ก็ต้องกลับมาทำงานส่งอีก ซึ่งบางเรื่องเป็นงานที่หนักพอสมควรต้องให้เวลาอย่างมาก เช่นผมไปอบรมวิจัย ให้ผลกลับมาเก็บข้อมูลไปส่งพร้อม 3 บท ภายในเวลา 1 เดือน เสร็จแล้วก็ต้องไปทำบท 4-5 ต่ออีก จะเอาเวลาไหนทำหละครับทีนี้ ทั้งต้องสอน ไหนโรงเรียนจะเตรียม นิเทศ เสร็จก็เตรียมประเมินภายใน ไหนจะงานอื่นอีก ยิ่งสิ้นปีงบประมาณ ยิ่งแล้วซ้ำ กระหน่ำเข้ามา ครูบางคนแทบไม่มีเวลาอยู่โรงเรียนด้วยซ้ำกับการประเมิน บางคนไป สองสัปดาห์ติดกันก็มี อย่างเช่นผม 1-10 ก.ย.นี้ก็ต้องไปอบรม เด็กก็จะสอบปลายภาค คะแนนก็ยังเก็บไม่หมด สอนก็ไม่ค่อยจะมีเวลา แล้วเด็กจะได้อะไรหละครับ ถ้ามีแต่จะให้เราไปอบรม และก็มาเตรียมกับการประเมินโรงเรียนอยู่แบบนี้

การอบรมเป็นสิ่งดีครับ แต่ผมว่าถ้าเอาแต่พอดีพองาม ลดการนิเทศ ประเมินจากภายนอกลง ไม่ต้องถี่มาก
อบรมน้อยลง เฉพาะเรื่องที่สำคัญๆ และก็ไม่ควรมาจัดอบรมถี่ ๆ เร่งใส่ปีงบประมาณแบบนี้ก็น่าจะดีนะครับ เพราะผมอยู่จุดนี้ ผมเห็นแล้วสงสารเด็กนักเรียนครับ...คนอยู่สูง ๆ อย่างนักวิชาการ เขาไม่ได้มาอยู่กับเรา เขาไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นอย่างไร เขาก็รอรับแต่ผลงานที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง
ยิ่งประเมินคุณภาพสถานศึกษา จะเชื่อได้แค่ไหนว่ามีมาตรฐานจริง ๆ ตามเกณฑ์ที่วางไว้ บางครั้่งดูแล้วมันสวนทางกันอย่างยิ่ง

ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นดี ๆ จากคุณ ลูกสายลม ครับผม

     ผมเข้าใจเหตุผลของคุณนะครับ

     แต่คุณก็อย่าลืมความเป็นองค์กรนะครับ คนที่เป็นเหมือนคุณมีเยอะครับ พอได้ทำงานไปสักพักก็จะเห็นจุดเด่นจุดด้อย   ก็เกิดความคิดเป็นสรตะว่า ทำไมไม่เป็นแบบนี้ หรือทำไมไม่เป็นอย่างนี้ สิ่งนี้ไม่ถูก ที่ถูกต้องทำแบบนี้ อะไรแบบนี้นะครับ

     ถ้าจะถามว่าสิ่งที่คุณคิดผิดหรือถูก ผมตอบได้ครับไม่ผิด และถูกต้อง แต่ไม่ถูก กาละ และ เทศะ (space and time) และเราต้องไม่ควรลืมเรื่องความเป็นองค์กรที่มีมาก่อนเราจะเข้ามาทำงานเสียอีกนะครับ

     ผมขอเสนอหลักคิดอย่างหนึ่งว่า  สิ่งที่ดำรงอยู่หรือมีมาไม่ควรไปเปลี่ยนแปลงนะครับ แต่สิ่งที่ไม่เคยมีมาเราสามารถสร้างและให้มีใหม่ได้  

    ทำไมผมถึงคิดแบบนี้  

ประเด็นที่หนึ่ง สิ่งที่ดำรงอยู่หรือมีมาไม่ควรไปเปลี่ยนแปลง 

   เพราะว่า สิ่งเหล่านี้ มีมาก่อนที่เราจะเข้าไปทำงาน แม้ว่าจะถูกใจหรือไม่ถูกใจเราก็ตาม แต่มันก็ต้องเป็นสิ่งที่คนอื่นรับได้ (จำนวนมากกว่ารับไม่ได้) ฉะนั้น ก็ไม่ควรไปเปลี่ยนแปลงอะไร ถ้าแม้ว่าเราคิดจะเปลี่ยนแปลง  ผมเสนอว่า คุณต้องใจเย็น ๆ รอคุณเป็นผู้บริหารก่อนนะครับ สิ่งชอบหรือไม่ชอบก็จะตกอยู่ภายใต้อำนาจคุณ ทีนี้คุณจะทำอะไรก็ได้ครับ (แต่ต้องภายใต้ความรับผิดชอบของคุณนะครับ) และก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ


ประเด็นที่สอง  สิ่งที่ไม่เคยมีมาเราสามารถสร้างและให้มีใหม่ได้ 

    สิ่งเหล่านี้ นี้แหละครับ ที่คุณสามารถสร้างและมีใหม่ได้  สมมติคุณได้ดูแลเรื่องการจัดทำหลักสูตรเด็ก หรือการจัดอบรม (อะไรที่คุณสนใจและได้รับมอบหมาย) คุณจัดทำไปเลยตามสิ่งที่คุณคิดไว้นะครับ และก็จะเป็นประโยชน์ทั้งตต่อเด็ก ต่อเพื่อรร่วมงาน และก็ต่อตนเองนะครับ


        เรื่องหรือแนวคิดนี้นะครับ จะเป็นดาบสองคม  เมื่อคุณได้เป็นผู้บริหาร  แล้วมีเด็กรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน  แล้วไม่เชื่อสิ่งที่ผู้บริหารสั่ง แค่คิดคุณก็คงรู้สึกวุ่นว่ายแล้วใช่ไหมครับ ของย้ำอีกรอบนะครับ ความเป็นองค์กร สำคัญมากกว่า บุคคลที่เข้ามาทำงานเสียอีกนะครับ คนอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความเป็นองค์กรต้องอยู่นะครับ 

       เรื่องนี้คุณต้องค่อย ๆ คิดนะครับ ไม่งั้นจะเป็นโทษกับตัวเอง 

ขอบคุณมากครับ

     ที่คุณ     """ลูกสายลม  พูดมาผมรับทราบและเข้าใจระบบตรงนี้ดีครับ ว่าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

ผมเลยรู้สึกน้อยใจ และก็มาเล่าในนี้ เพื่ออย่างน้อยจะได้มีคนรับรู้บ้าง ว่าตอนนี้ระบบการศึกษามันเป็นอย่างไร เราปฏิรูปมา 2 รอบแล้ว แต่ก็ยังไม่ไปไหนสักที ที่จริงจะไปว่านักวิชาการที่เขาคอยคิดนโยบาย คิดวิธีการต่างๆ มาให้เราทำ อย่างเดียวก็ไม่ได้ ที่เขาคิดมันก็ดี ที่จริงมั้นก็ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ส่วน ทั้งผู้ปฏิบัติด้วย แต่ที่ผมสงสารตอนนี้ก็คือ นักเรียน ตาดำ ๆ ที่บางครั้งครูไม่มีเวลาให้เต็มที่ ทำเขาขาดส่วนเติมเต็ม ที่เขาควรจะได้ไป ผมแค่รู้สึกแย่ ที่ผมต้องไปอบรมหลาย ๆ ครั้ง หรือเห็นครูคนอื่นไปบ่อย ๆ แล้วเด็กก็ไม่มีครูสอน หรือมีการสอนแทนแต่ก็ไม่เต็มที่ เพราะโรงเรียนมีครูน้อยอยู่แล้ว
ก็อย่างว่าผมจะไปเปลี่ยนระบบอะไรก็คงไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่มาบ่นๆ อยู่อย่างนี้ และทำหน้าที่ตนเองให้เต็มที่ทั้ง เรื่องการทำงาน และการสอนต่อไป.....

เรียน คุณครูพันธุ์ ใหม่ ที่เคารพ

ชื่นชม และ ขอบคุณที่ครู คิดแบบนี้ พวกเราที่อยู่ในโรงเรียนขนาดเล็ก และระดับกลุ่มโรงเรียน ตลอดจนเขตพื้นที่ คิดแบบคุณทุกคน ยิ่งปฏิรูปการศึกษา ก็ยิ่งจะ "กระอัก" มากขึ้น ผมเคยเป็นศึกษานิเทศก์ ปัจจุบันเป็นผู้บริหารโรงเรียน ๑๕ ปี วิเคราะห์ทิศทางการศึกษาโดยดูจากหลักสูตรและกระบวนวิธีสอน ตลอดเกือบ ๑๐ ปี แทบไม่มีอะไรใหม่เลย คนที่อยู่นอกวงการอาจไม่เข้าใจ ซึ่งไม่เป็นไร ในประเด็นของครูพันธุ์ใหม่..คือ ครูอบรม มาก บ่อย ต้องทิ้งห้องสอน ทิ้งเด็ก ปีหนึ่งๆ หลายครั้ง กำลังเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ผอ.เขตพื้นที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นับวันยิ่งหนักข้อ ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๓...เป็นต้นมาก็ว่าได้
ผมเป็นกรรมการเขตพื้นที่(ด้านวิชาการ) ประชุมคณะกรรมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  ดร.ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผอ.ร.ร.ขยายโอกาสทางการศึกษา มีครูในสังกัด เกือบ ๒๐ คน ยกมือแสดงความคิดเห็นต่อท่านประธาน (ผอ.เขต) ว่า ลดการอบรมบ้างได้หรือไม่ ดร.เสนอว่าการพัฒนาครูมีหลายรูปแบบ ทำคู่มือ แบบฝึก ชุดฝึก ไปให้ครูศึกษาและสอนก็ได้ เพราะทุกวันนี้ ศึกษานิเทศก์นำครูของเขาไปเป็นคณะทำงาน เป็นวิทยากร และจัดอบรมซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นๆ ของฝ่ายต่างๆบนเขต ทำให้ครูออกจากโรงเรียนทุกวัน ทุกสัปดาห์ บางวันก็หลายคน...ณ วันนี้ โรงเรียนขนาดกลางแทบไม่มีครูสอน โรงเรียนเล็ก บางวันต้องปิดโรงเรียนไปเลย..โรงเรียนที่ผมอยู่ ตลอดเดือนสิงหาคม ยังไม่เคยมีครูครบ ๖ คน สักวัน
 ศึกษานิเทศก์ในที่ปรชุมตอบว่า เราไม่จัดอบรมก็ไม่ได้ สพฐ.เขาส่งงบประมาณมาให้จัด...ส่วนผอ.เขต ตอบว่า ผมเห็นใจโรงเรียนมานานแล้ว ผมเคยบอกแต่ยังทำไม่ได้ ว่าให้อบรมเสาร์อาทิคย์ ตอนหลังจัดอะไรกันก็ไม่ค่อยบอกผม  ผมคิดว่าไม่ต้องไปฟัง สพฐ. มาก ไปรับโครงการเขามา ก็ไม่ต้องไปทำทั้งหมด เราทำเรื่องที่เป็นปัญหาของเราดีกว่า..สุดท้ายท่านผอ.ยกตัวอย่างโครงการโรงเรียนดีศรีตำบล อบรมบ่อย ครั้งละหลายวัน ปิดโรงเรียนตลอด น่าจะให้ตัวแทนไป.....
 ครูพันธุ์ใหม่ ครับ โรงเรียนต่างจังหวัด ในระดับรากหญ้า เด็กอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ มากเหลือเกิน ..ส่วนระบบก็เป็นอย่างนี้มานาน ถ้ายังเป็นต่อไป อีก ๑๐ ปีข้างหน้า ปัญหาเด็กอ่านไม่ออกเต็มบ้าน เต็มเมือง จะร้ายแรงยิ่งกว่ายาบ้าเสียอีก
 ที่โรงเรียนผมปฏิบัติอย่างนี้ครับ ถ้าให้ไป ๒ คน ผมจะให้ไปคนเดียว ถ้าขอให้ไปช่วยงาน  หากหลายวัน ผมไม่ให้ เรื่องไหนเป็นเรื่องธุรการ ไม่เกี่ยวการเรียนการสอน ผมอาสาไปเอง.. ผมทำเช่นนี้ตลอด จนเป็นอัตลักษณ์ของโรงเรียน ทำให้เด็กมีคุณภาพ ครูก็สบายใจ ไม่ต้องเดินทางออกจากโรงเรียน ผมไม่กลัวโดนชี้แจง เพราะยึดโรงเรียนและเด็กเป็นหลัก
 ผมบอกครูว่าวิธีสอนไม่มีสูตรสำเร็จ..ดูพื้นฐานบริบทของเด็กเป็นสำคัญ ถ้าอบรมแล้วไม่ได้อะไร ให้ศึกษาด้วยตนเอง เตรียมการสอนเยอะๆ ใช้แบบฝึกที่หลากหลาย นำเด็กเรียนรู้นอกห้องเรียนบ้าง การสอนแบบเก่า ที่มีเพลง เกม นิทาน เอามาใช้ อย่าลืมซ่อมเสริมด้วย ขณะเดียวกัน อย่าทิ้ง ดนตรี นาฎศิลป์ ศิลปะ และกีฬา
 สุดท้ายนี้ ต้องขอโทษด้วยที่เขียนยาว อัดอั้นตันใจเหมือนกัน มีโอกาสจะวิเคราะห์ให้ครูพันธุ์ใหม่ฟัง เกี่ยวกับ การศึกษาแบบวางยา ที่การเมือง นำ การศึกษามากไป ตั้งแต่ สพฐ. ถึง เขตพื้นที่ฯ เกิดอะไรขึ้นที่ข้างบน จนทำให้คนข้างล่างอย่างเรารับกรรมปีแล้วปีเล่า และกรรมนั้นก็ตกถึงเด็กเสียด้วย ว่างๆ เข้าไปเยี่ยมที่โรงเรียนบ้างนะครับ

www.bannongphue.com

สวัสดีครับ

แวะมาให้กำลังใจครับ

ครูที่ห่วงเด็ก นับว่าน่านับถือครับ

  • มาให้กำลังใจคะ ไม่ใช่คนในวงการศึกษาโดยตรง แต่ทุกความคิดที่หวังพัฒนา ก็ขอชื่นชมคะ
  • สะท้อนมาที่การเดินทางของตนเองเหมือนกันคะ น้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี

ขอบคุณทุกท่านมากนะครับที่แวะมาอ่าน และเข้าใจถึงปัญหาของวงการศึกษาปัจจุบัน การเป็นครู เราถึงเด็กไป แม้จะตามคำสั่ง หน้าที่ที่ต้องไปก็จริง แต่ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นกับเรา คือเรามีเวลาให้กับนักเรียนน้อยลง ทำให้เขาขาดในส่วนที่เขาจะได้รับไป ความรู้สึกนี้ถ้าใครเป็น "ครู" จะรู้ดีครับ

ขอบคุณทุกท่านนะครับที่เข้าใจ และ ขอบคุณท่าน ผอ.ชยันต์ เพชรศรีจันทร ที่มีความคิดเห็นและอุดมการณ์เดียวกัน ถ้าวันหนึ่งผมได้เป็นผู้บริหาร ผมก็คงจะทำเหมือนท่านครับ ลดอะไรที่ไม่จำเป็นหรือไม่เกิดประโยชน์ลง ให้ครูได้อยู่กับนักเรียนให้มากที่สุด

ยิ่งปัจจุบัน รร ประเมินผ่านทุกอย่าง ได้มาตรฐาน (โดยส่วนใหญ่จะปลูกผักชี พอผ่านการประเมินไปแล้วก็กลับมาสภาพเดิม) แต่มาดูเด็ก ไม่ได้อะไรเลย เพราะเอาเวลาไปเตรียมการประเมิน ไปอบรมหมด

สำหรับผมแล้ว การศึกษาต้องมุ่งที่ผู้เรียนเป็นสำคัญที่สุดครับ อย่างอื่นพัฒนาแต่เด็กแย่ลง ก็คงจะไม่ใช่

มาให้กำลังใจคะ หัวอกเดียวกัน ดิฉันเป็นครูที่ปรึกษานักเรียนม.1ห้องที่สอบได้คะแนนน้อยที่สุด ผลก็คือ เด็กเขียนตามคำบอกไม่ได้เลยลองให้เด็กเขียน ก-ฮ ผลคือทำถูก 1 คน นี่เด็กมัธยมนะคะ มันเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก มันเกิดอะไรขึ้นกับครู ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือจะโทษใคร แต่ เหมือนว่าเด็กเป็นฝ่ายรับกรรม


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท