“เด็กไทยไม่เก่งเรื่องการคิด การใช้เหตุผลก็เพราะครูไทยเองก็ไม่สัดทัดในการใช้เหตุผล เราให้ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงแต่เราไม่ให้ความรู้ที่เป็นทักษะการคิด ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายที่เด็กไทยเสียเวลาในการเรียนรู้ข้อเท็จจริงมากเป็นร้อย ๆ หน้า โดยไม่ได้อะไรเป็นผลตอบแทนเลย”
จากสภาพการณ์ดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กไทย ซึ่งจะพบว่า นักเรียนมีศักยภาพในด้านทักษะการคิดต่ำ ปัญหาของเด็กที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน คือ พื้นฐานในการเรียนรู้ในโลกอนาคต กระบวนการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นผลมาจาก เด็กไทยคิดไม่เป็น จึงส่งผลให้แก้ปัญหาไม่ได้
ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการจัดการเรียนการสอนที่ยึดครูเป็นศูนย์กลางในโรงเรียน เน้นการให้ความรู้ การให้นักเรียนท่องจำเป็นสำคัญ ไม่ได้ฝึกให้เด็กเกิดทักษะการคิด การแก้ปัญหา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในระบบโรงเรียน ทั้ง ๆ ที่แนวคิดเรื่องการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีการนำมาเผยแพร่ในเมืองไทยกว่า 20 ปี และเกือบจะ 30 ปี มาแล้ว การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2503 เป็นหลักสูตร พ.ศ. 2521 ก็ได้ใช้แนวคิดหลักในการเปลี่ยนแปลง ต่อมาเมื่อหลักสูตรประถมศึกษา พ.ศ. 2521 ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2533 แนวคิดนี้ก็ยังคงอยู่จวบจนปัจจุบันที่มีการปฏิรูปการศึกษา และเปลี่ยนเป็นหลักสูตร พ.ศ. 2544 แล้วก็ตาม ก็ยังปรากฏให้มีการปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอน โดยให้ใช้แนวความคิดนี้
ระบบการเรียนการสอนในอดีตที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่ได้ให้ความสำคัญของกระบวนการคิดเท่าที่ควร การจัดการเรียนการสอนได้มีการท่องจำที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันมายาวนานหลายร้อยปี ทำให้เด็กนักเรียนส่วนใหญ่ขาดความสามารถในการวิเคราะห์ ไม่เสริมสร้างให้ผู้เรียนคิดเป็น วิเคราะห์และประยุกต์เป็น ส่งผลให้สิ่งที่เรียนมากลายเป็นความรู้ที่ไม่สามารถใช้ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตได้ ครูมีหน้าที่เป็นนักถ่ายทอดข้อมูลมากกว่าเป็นผู้ชี้แนะความรู้ การวัดผลไม่ได้ช่วยช่วยฝึกให้ผู้เรียนรู้จักใช้ความคิดวิเคราะห์และสร้างสรรค์
นอกจากนั้นแล้ว นักเรียนยังเคยชินกับการสอนและการสอบที่นิยมคำตอบที่ดีที่สุดเพียงคำตอบเดียว (Best Answer) โดยนักเรียนจะให้ความสนใจแต่คำตอบที่สุด (key) ละเลยคำตอบที่เป็นตัวลวง (distracter) ที่ถูกน้อยกว่า เป็นการปลูกฝังให้นักเรียนมองปัญหาด้านเดียว หรือมองโลกแบบมิติเดียว ไม่สามารถมองโลกแบบหลายมิติได้ มองว่าปัญหาหนึ่ง ๆ จะต้องมีเพียงคำตอบเดียว ปัญหาหนึ่ง ๆ จะต้องมีวิธีแก้ไขเพียงวิธีเดียว ไม่มีคำตอบหรือวิธีอื่นอีกแล้ว แต่ตามความเป็นจริงแล้วปรากฏการณ์หนึ่ง ๆ สามารถอธิบายได้ด้วยชุดเหตุผลที่หลากหลาย ไม่ใช่ชุดเหตุผลชุดเดียว เพราะความจริงมีหลายมิติ เพื่ออธิบายเรื่องราวหนึ่ง เหตุและผลชุดหนึ่งก็จะถูกสร้างขึ้น และทุกอย่างก็จบที่ชุดเหตุและผลนั้น นี่คือการคิดแบบมิติเดียว คำตอบทุกคำตอบมีความจำกัด ปรากฏการณ์หนึ่ง ๆ ไม่เพียงแต่เชื่อมต่อกับปรากฏการณ์อื่น ๆ เท่านั้น หากยังมีรากของปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ดังนั้นมิติในการอธิบายสิ่งต่าง ๆ จึงต้องมีมิติไม่เพียงแต่ภาพด้านกว้างเท่านั้น “ เมื่อไหร่เด็กไทยจะคิดเป็น” ก็คงจะตอบไม่ได้หากระบบการศึกษาของสังคมไทยยังไม่มีการพัฒนา
ดังนั้น การที่จะสอนให้นักเรียนมีทักษะในการคิดก็คือ จะต้องทำให้นักเรียนสามารถแก้ปัญหาได้ ด้วยกระบวนการคิดสร้างสรรค์
I was once a child going through the same pressure "be silent; why don't you learn to think".
Today, I put the same pressure on children but in a different way: "tell me; what do you think?"
Most time I (we) don't listen when children tell us what they think because I (we) think that "children don't know how to think". I (we) should try to listen more and tell them less. Then, maybe, just maybe, I (we) would learn that they do "think of what important to them".
;-)