เวลาเข้าเว็บหน่วยงานราชการไทยไม่ว่าหน่วยเล็กหน่วยใหญ่ สิ่งที่ผมเห็นและสังเกตได้ก็คือเว็บเหล่านี้ถูกใช้เป็นพื้นที่ "แสดงวิชา" ของคนทำเว็บของหน่วยงานนั้น
ผมเดาว่าน้องๆ นักทำเว็บเหล่านี้พึ่งเรียนรู้วิชากันมาใหม่ๆ หรือไม่ก็จบใหม่ๆ เลยอยากแสดงความสามารถให้ชาวโลกได้ประจักษ์
การแสดงวิชานี่คือการใส่ลูกเล่นทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมีความรู้ไว้ในเว็บ
แน่นอนครับ นั่นคือการมี Flash มีภาพเคลื่อนไหว มีเสียง มีตัวอักษรวิ่ง เปลี่ยน cursor มี background แปลกๆ และอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
แต่สิ่งที่ลืมทำกันส่วนใหญ่คือ "ใส่เนื้อหา"
ที่จริงจะบอกว่าไม่ได้ใส่เนื้อหาก็ไม่ได้ ก็ใส่กันอยู่นะครับ แต่คุณภาพเนื้อหาเป็นแบบสั้นๆ มีน้อยหน่อยเดียว แถมเขียนแล้วอ่านไม่รู้เรื่องอีกต่างหาก ใช้ภาษาวกวน อ่านไทยแล้วต้องแปลเป็นไทยอีกสามชั้นก็ยังไม่รู้เรื่อง
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะหน่วยงานเล็กๆ นะครับ หน่วยงานใหญ่ๆ ก็เป็นกันหมด เรียกว่าร้อนวิชามาจากค่ายเดียวกันก็คงได้
ผมไม่รู้ชัดๆ สาเหตุอะไรถึงลืมใส่เนื้อหากัน แต่ผมพอเดาได้สองสามเหตุผล
เหตุผลแรกคือ การใส่เนื้อหามันไม่สนุก คนไทยไม่ค่อยชอบเขียนอยู่แล้ว การเขียนอะไรยาวๆ ไม่ใช่เรื่องที่ชอบทำกัน ทำอะไรวูบๆ วาบๆ ในหน้าเว็บสนุกกว่า
เหตุลผลต่อมาคือ การทำเว็บในประเทศไทยมักจะถูกโยนให้คนที่จบวิทยาการคอมพิวเตอร์ (หรือหลักสูตรใกล้เคียง) คนเหล่านี้ทักษะการเขียนภาษาไทยน้อยอยู่แล้วเพราะไม่ได้เรียนมาด้านการเขียน ก็เลยยิ่งไม่อยากเขียนเนื้อหากันไปใหญ่
เหตุผลต่อมาต่อเนื่องจากเหตุผลแรก คือคนจบวิทยาการคอมพิวเตอร์ในหลักสูตรที่สอนๆ กันอยู่ในประเทศไทยไม่ได้สอนให้ผู้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับ Information Architecture (IA) ผมเห็นว่าเวลาสอนทำเว็บบางที่เริ่มต้นด้วยการสอนทำ Flash ด้วยซ้ำ ดังนั้นผู้เรียนเรียนรู้ลูกเล่นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็น "น้ำจิ้ม" ของการทำเว็บ แต่ไม่ได้เรียนเนื้อหาที่เป็น "หัวใจ" ของการทำเว็บ หรือการทำเนื้อหาที่ดีนั่นเอง
เอาแค่สามเหตุผลก่อน
ทางแก้ไขนั้นทำได้ไม่ยากครับ
เริ่มต้นจากเหตุผลแรกต้องแก้ด้วยตัวหัวหน้างาน โดยหัวหน้าต้องไม่ไปชื่นชอบกับน้ำจิ้มเหล่านี้ด้วย ผมเคยทำเว็บให้สถานศึกษาขนาดใหญ่มากๆ แห่งหนึ่ง ความเห็นแรกสุดที่ได้รับที่ทำให้ผมแทบตกจากเก้าอี้คือ "ทำไมไม่มีภาพเคลื่อนไหวเลยล่ะอาจารย์? มีตัวอักษรวิ่งๆ หน่อยก็น่าจะดีนะครับ"
ทางแก้เหตุผลต่อมาคือต้องปรับความเข้าใจกันเสียใหม่ทั้งประเทศไทยเลยว่า การทำเว็บคือการทำเนื้อหา ต้องใช้คนที่มีความสามารถในการทำเนื้อหา ได้แก่คนที่มีทักษะการเขียน (จบอักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ฯลฯ) ส่วนคนจบวิทยาการคอมพิวเตอร์มีหน้าที่เพียงเอาเนื้อหานั้นไปอยู่ในเว็บโดยจัดรูปแบบให้เนื้อหานั้นสามารถอ่านได้ง่าย เข้าถึงได้ง่าย สะดวก เท่านั้นเอง
ส่วนเหตุผลท้ายสุดที่ผมยกมาในบันทึกนี้แก้ยากครับ เป็นปัญหาการศึกษา ถ้าแม่ปูพ่อปู (ได้แก่ผู้สอนทั้งหลาย) ไม่เข้าใจเสียแล้วว่าเว็บคืออะไร เด็กๆ ก็คงได้เรียนทำ Flash วูบๆ วาบๆ กันต่อไปแล้วก็ไม่เคยได้ยินคำว่า Information Architecture แม้ว่าจะได้เรียนวิชา Web Development กันมาก็ตาม
แต่ถ้าคนไทยเข้าใจใหม่เหมือนกันว่า "การทำเว็บเป็นเรื่องของการทำเนื้อหา ไม่ใช่เป็นเรื่องการเขียนโปรแกรม" ทุกอย่างก็คงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ผมสรุปง่ายๆ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามถ้าองค์กรไหนต้องการจะทำเว็บแล้วเริ่มต้นด้วยการมองหา "นักเขียน" เพื่อเขียนเนื้อหา ไม่ใช่มองหา "นักเขียนโปรแกรม" องค์กรนั้นมาถูกทาง
เมื่อได้เนื้อหาที่ดีแล้วถึงค่อยหานักเขียนโปรแกรม เพราะถ้ามีเนื้อหาที่ดีเสียแล้วนักเขียนโปรแกรมจะหาเมื่อไหร่ก็ได้เพื่อให้ทำเนื้อหานั้นไปอยู่ในรูปแบบของเว็บ โปรแกรมสำเร็วรูปที่ไม่ต้องพึ่งนักเขียนโปรแกรมก็มีมากมาย และที่สำคัญอย่าปล่อยให้เว็บที่ทำออกมานั้นกลายเป็นที่ลองวิชาของนักเขียนโปรแกรมเอาสิ่งวูบๆ วาบๆ มาบดบังเนื้อหาดีๆ เสียหมดนะครับ
เห็นด้วยอย่างยิ่ง..เนื้อหาต้องมาก่อนเทคนิคทาง IT
ที่ website ของธปท.นั้น คนใส่เนื้อหาและ up date ข้อมูล คือตัวแทนผู้ปฏิบัติงานของสายงานต่างๆ..เป็นตัวเอก..
เป็นข้อสังเกตที่น่าคิดมากค่ะ ตัวอย่างเวบไซต์ต่างประเทศ ที่เป็นกลุ่มนักวิจัย เขาจ้าง นักเขียน มาเป็น editor ไม่มีอะไรวูบๆ วาบๆ แต่รวบรวมเนื้อหาและเครื่องมือไว้เยอะ
... บางหน่วยงาน ใช้ "จิต(จำต้อง)อาสา"คนกันเอง ซึ่งไม่รู้ทั้งวิทยาการคอม ไม่รู้ทั้งวิชาการเขียน
อาชีพหนึ่งที่ในประเทศไทยยังไม่มีคือ "technical writer" ครับ
ที่จริงแล้วสมัยผมเรียนจะมีหลักสูตรนี้โดยเฉพาะเลยครับ พวกนี้จะเป็นพวกศิลปศาสตร์แต่จะมาเรียนวิชาพื้นฐานด้านเทคโนโลยีกับนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ด้วยครับ
มหาวิทยาลัยไหนคิดเร็วทำเร็วเปิดหลักสูตรนี้แห่งแรกของประเทศไทยรับรองบัณฑิตเผลอๆ เงินเดือนจะสูงกว่าวิศวกรครับ เพราะงาน programming สามารถ outsource ออกไปต่างประเทศได้ แต่งานเขียนภาษาไทยยังไงก็ต้องใช้คนไทยเขียนครับ
เห็นด้วยที่สุดค่ะดร.ธวัชชัย เพราะ web ของรพ.สูงเนินล่มไปแล้วเพราะขาด technical writer นี่แหละค่ะ
แวะมาเยี่ยมชมคะ
เห็นด้วยกับอาจารย์ธวัชชัยคะ เรื่องความสำคัญของเนื้อหาบนWebsite จึงคิดว่า การจัดทำมาตรฐานการพัฒนาเว็บไซต์(Website Standard) มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่หน่วยงานภาครัฐที่ควรจะให้ความสำคัญ และปรับให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างถูกต้องและเหมาะสม แต่เห็นว่าทุกๆภาคส่วนน่าจะร่วมมือกันคะ
เว็บสมาคมตอนนี้ใช้ google site ที่ง่ายและทำเองได้ แบบไม่ต้องมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากนัก บวกกับ google app ที่ตอนแรกเกตทำเองแบบงง ๆ แต่ก็ได้น้อง UsableLabs มาช่วยกัน เลยได้เว็บไซต์ และระบบอีเมล์องค์กรที่มีประสิทธิภาพระดับหนึ่งค่ะอาจารย์
เห็นด้วยถึงเห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ
เคยทำเวบให้หน่วยงาน บางครั้งสิ่งที่ทำให้รู้สึกท้อก็คือ ผู้ทำเวบมีความรู้สึกว่า ผู้บริหารดูเหมือนราวกับสั่งให้ทำเวบ ด้วยเหตุผลแค่ว่า "อยากให้มี" แค่นั้น แต่ก็ไม่ได้ประสงค์ว่าจะใช้เวบเพื่อประโยชน์ใน "การสื่อสาร" อย่างแท้จริง
แล้วหน้าที่ของคนทำ นอกจากจะสร้าง(เขียน) "เวบ" แล้ว ก็ต้องหาเนื้อหามาใส่เอง การทำทุกอย่างเป็นทรีอินวิน หรือ โฟอินวัน มันก็คงไม่ไหว สิ่งที่ทำคือทำได้แค่ สร้าง(เขียน) เวบขึ้นมา แบ่งเซ็คชั่นไว้ว่าหน้าไหน หมวดไหนจะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรให้ แล้วส่วนของเนื้อหา คนเขียนเวบก็อาจจะเอามาใส่นิดหน่อยพอเป็นตุ๊กตาให้ จากนั้นคงต้องยกหน้าที่ให้กับอีกกลุ่มที่จะเป็นฝ่ายหาข้อมูล และเอาข้อมูลใหม่ๆมาอัปเดท
แต่ผลก็คือ พอเขียนเวบเสร็จ ทำตุ๊กตาให้เสร็จ เวบก็ค้างนิ่งอยู่อย่างนั้น ดีไม่ดี คนที่สั่งให้ทำไม่เคยเข้ามาดูเลยเสียด้วยซ้ำ
แล้วเวบของหน่วยงานมันไม่ใช่เวบของส่วนตัว มันมีหลายอย่างที่มีความละเอียดอ่อน ข้อมูลบางอย่างจะเอาลงเวบ ก็ต้องผ่านผู้บริหารอนุมัติก่อน ว่าลงได้ กล่าวได้คือ ข้อมูลเนื้อหากว่าจะรวบรวมหามาเขียนได้ก็ลำบาก กว่าจะลงได้ก็ยากเย็น พอทำไปๆทำอยู่คนเดียว ก็ชักเหนื่อยและเซ็ง จึงต้องปล่อยนิ่งไว้อย่างนั้น รอคนรุ่นใหม่ไฟแรงกว่ามาทำดีกว่า
แต่เวบส่วนตัว หรือเวบที่เราเป็นเจ้าของเอา ตั้งคอนเซปและบริหารเอง จะทำอะไรก็ง่าย เนื้อหาที่จะลงก็อยู่ในความสนใจของเราอยู่แล้ว การดูแลเวบจึงสนุกและสบายใจกว่าทำเวบของหน่วยงานมากนัก
พี่ k-jira บอกได้เห็นภาพเลยครับ ที่จริงแล้วนี่เป็นการทำที่ย้อนศร เพราะควรจะเริ่มต้นที่ทำเนื้อหาก่อน แต่ที่ย้อนศรอย่างนี้ก็เพราะผู้บริหารอยากได้เว็บ (ไม่ได้อยากได้เนื้อหา) นี่น่าจะเป็นปัญหาที่เจอกันเหมือนๆ กันหลายองค์กรครับ
กทน.เว็บมาสเตอร์ ดร.ธวัชชัย 555
ผมเคยเห็นพรรคพวกทำเว็บไซต์ซะดีเชียว
ลูกพี่มาใหม่ ไม่ชอบใจ เพราะไม่ค่อยมีหน้าตัวเองโผล่
ก็ให้เว็บมาสเตอร์เด็กใหม่ลบทิ้ง ทำใหม่เอาใจนาย