กินเพื่อสุขภาพตามหมอสั่ง..ระวังโรคเพียบ


วันนี้หมอไทยกลับสอนเราแบบเซื่องๆว่า ให้เรากินอาหารให้เหมือนฝรั่ง ปริมาณโปรตีน คาร์โบ ฯ ต้องได้ตามระบบฝรั่ง อาหารเช้า กลางวัน เย็น ก็ปรับตามระบบฝรั่ง

วันนี้ผมจะมาว่าเรื่องโภชนาการต่อ (ห้าหมู่)  ที่หมอไทยเราเก่งวิจัยลอยฟ้าตามฝรั่งกันเหลือเกิน  ตีพิมพ์กันมากหลายในเรื่องสูงส่ง   .... แต่เรื่องพื้นๆ ไม่เคยคิดอะไรให้สังคมไทยได้เลย  แถมยังซ้ำเติมให้วอดวายด้วยซ้ำ

 

 

หมอเขาสอนว่า  คนไทยต้องกินอาหารครบห้าหมู่แบบฝรั่ง ....คาร์โบ โปรตีน วิตามิน ไขมัน เกลือแร่ ทั้งปริมาณและคุณภาพ ..ก็ไปลอกฝรั่งมาทั้งดุ้น ทั้งปริมาณและคุณภาพ  มีหลักฐานหล่นเกลื่อนให้จับผิด   เช่น ผัก... บอกให้เรากิน บล็อกคอลลี่ อาร์ติโฉก เซราลี่   ..ส่วนผลไม้ให้กิน แอปริคอท อาโวกราโด ...บ้าไปแล้วหมอไทยเอ๋ย พูดอะไรออกมาอายผีสางเทวดา และ “ครูใหญ่” หน่อย

 

 

แล้วหมอรู้ไหมว่าวันนี้ หมอฝรั่งมันข้ามช็อตไปแล้วว่า ถ้ากินคาร์โบ ผสมโปตรีน (โปรตีน) จะมีผลร้ายต่อร่างกาย  เช่น กินเสต้กกับเฟรนซ์ไฟร์  เนื่องจากว่าโปรตีนกับแป้งมันต้องการน้ำย่อยที่มีความเป็นกรดด่างตรงข้ามกัน   ดังนั้นถ้ากินสองอย่างพร้อมกัน กระเพาะมันจะส่งน้ำย่อยที่เป็นกรดและที่เป็นด่างออกมาพร้อมกัน ก็ทำให้คานกันจนกลายเป็นกลาง ทำให้ย่อยอาหารทั้งแป้งและเนื้อไม่ได้ทั้งคู่   ก็จะเกิดสิ่งเลวร้ายต่างๆ ตามมามากหลาย

 

 

เอ้า หมอ รีบไปศึกษากันซะ ว่าที่เขาว่ามานั้นถูกไหม หรืออาจถูกสำหรับเขา แต่ผิดสำหรับเราก็เป็นได้ เพราะน้ำย่อยฝรั่งนั้นมีหลักฐานเชิงประัจักษ์ทำให้เชื่อได้ว่าต่างจากน้ำย่อยไทยโขอยู่    ....จากนั้นช่วยเอามา “ย่อย” ให้คนไทยฟังกันหน่อยว่า  แบบนี้แล้วจะทำไงดี  เพราะเมื่อก่อนบอกให้กินครบห้าหมู่ ก็ไม่ได้บอกเสียด้วยว่าให้กินอะไร ก่อนหลังกันอย่างไร  กินกันไปตามความศรัทธาในหมอ มิตายหมู่กันหมดหรือ

 

 

ในระหว่างนี้ผมขอบังอาจสอนหมอต่อไปว่า   คนไทยโบราณเราฉลาดกว่าหมอฝรั่งที่พวกหมอไทยชื่นชูกันหนักหนา   เพราะคนไทยโบราณเรานั้นท่านฉลาด วิจัย วิเคราะห์เรียนรู้กันมานานจนสรุปได้ว่า  อาหารเช้าสำคัญที่สุด เพราะต้องเติมพลังงานเพื่อให้มีแรงทำงานได้ทั้งวัน   ดังนั้น อาหารเช้าของเราจึงมีข้าว (แป้ง... starch) เสีย 90% ที่เหลือคือ ผัก เช่น ผักจิ้มสด  ผักในแกงส้ม แกงเลียง แกงจืด   โดยมีเนื้อ (โปรตีน) น้อยมาก   ก็มีเพียงโปรตีนธรรมชาติจำนวนน้อยที่ปนอยู่กับข้าวและผักทั้งหลาย

 

ดังนั้นระบบรับรู้ (biosensor) ของร่างกายก็จะส่งน้ำย่อยแป้ง (ด่าง... Ph สูงกว่า 7) ออกมามากกว่าน้ำย่อยโปรตีน ผสมกันแล้วน้ำย่อยก็ยังคงเป็นด่าง  จึงทำการย่อยแป้งซึ่งเป็น 90% majority ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ทำให้ได้พลังงานแก่ร่างกาย  เพราะพลังงานส่วนใหญ่มาจากแป้ง ดังนั้นก็มีพลังงานออกไปทำไร่ไถนาได้กันทั้งวัน

 

ส่วนชาวนาฝรั่งกินอะไรเป็นอาหารเช้า ..ตอบ  โปรตีนและไขมันเป็นหลัก มีแป้งน้อยมาก เช่น หมูแฮม ไข่ดาว หนมปัง นมวัว  ..ประมาณว่า โปรตีน 50 ไขมัน 40 คาร์โบ (แป้ง) 10 ...นี่มันตรงข้ามกับไทยโบราณเลยนะ

 

เรา ไทย และ ฝรั่ง   กินต่างกันแบบนี้มานานหลายร้อยพันปี   จนระบบน้ำย่อยปรับตัวต่างกัน  จนได้สมดุลของใครของมัน    จนน้ำย่อยของเราย่อยแป้งได้ดีกว่าฝรั่ง   ส่วนของฝรั่งย่อยโปรตีน ไขมัน นม  ได้ดีกว่าเรา  ส่วนสารอาหารที่สกัดได้ก็คงต่างกันด้วย ส่งผลถึงลักษณะร่างกาย ผิวพรรณ และ นิสัยด้วย

 

หมอฝรั่งมันบอกว่ากินแป้งมากแล้วทำให้อ้วน  วันนี้หมอไทยก็จำขี้ปากมาสอนคนไทยอีกแล้ว ทั้งที่คนไทยโบราณกินแป้งเป็นหลัก (ข้าว)  กินกันสามจาน ที่เหลือก็ผัก มีเนื้อน้อยมาก แต่ทำไมคนไทยโบราณไม่อ้วน แสดงว่าน้ำย่อยเราย่อยแป้งได้ดี หมดจรด  ส่วนฝรั่งย่อยไม่เกลี้ยงก็สะสมกลายเป็นความอ้วน ส่วนน้ำย่อยเราย่อยนมไม่ได้ หมอไทยก็ดจร. ไปสอนให้คนไทยกินนม บำรุงกระดูก ทั้งที่ผักไทยที่มีแคลเซี่ยมบำรุงกระดูกสูงมีมากหลาย เช่น กระถิน (137ml/100 กรัม) ขี้เหล็ก (156)  ยอดแค (395) ใบชะพลู (601)

 

เบต้าแคโรทีน ก็นิยมกันจัง (คือไรไม่รู้) ไปสอนให้กินแครอท (มีปริมาณ 6994)   ส่วนผักไทยมีมากกว่านี้มากหลายหมอไทยอาจไม่รู้จัก  เช่น ขี้เหล็ก (7181) แค (8654) กระเพราะ (7857)

 

แต่วันนี้หมอไทยกลับสอนเราแบบเซื่องๆว่า ให้เรากินอาหารให้เหมือนฝรั่ง ปริมาณโปรตีน คาร์โบ ฯ ต้องได้ตามระบบฝรั่ง   อาหารเช้า กลางวัน เย็น ก็ปรับตามระบบฝรั่ง  

 

จนวันนี้ตามโรงแรมต่างๆ หาอาหารเช้าแบบไทยๆกินได้ยากมาก มีแต่ ABF โคตรพร่อโคตรแมร่งมัน  หรือไม่ก็อาหารจีน (ข้าวต้ม) 

 

 

โภชนาการกำลังดัง  ประดาหมอเล็กหมอใหญ่ หมอเด็ก หมอแก่  ออกทีวีจนโด่งดังกันใหญ่ ..... แล้วก็ไม่มีใครผู้ฟังตนใดกล้าเถียง  ต่างกราบไหว้บูชากันว่า  ....หมอไทยเก่งจริงๆ ไปสู่สากลแล้วนะเนี่ย สอนให้เรากิน อาติโฉคไปโน่น (เกิดมาเคยเห็นหน้าตาไอ้พวกนี้กันบ้างไหม รสชาติระดับหลานหัวปลีกล้วยไทยเรา)

 

ความจริงเรื่องอาหารการกินนั้นเป็นหน้าที่ของนักโภชนาการ (nutritionist)  ไม่ใช่เรื่องของหมอ แต่ในประเทศไทยเราถ้าเอาคนพวกนั้นมาพูดสอนหน้าจอ มันไม่ขลัง ก็เลยต้องเอาหมอมาพูด เราก็เลยมีหมอนกแก้วกันมาก  แต่ว่า แม้เอานักโภชนาการมาก็คงนกแก้วพอกันแหละ

 

ก็ขนาด “หัวหมอ” ยังง่าวปานนี้ แล้วดังนั้นอย่าไปโทษพวก “หัวแดง”  ว่าง่าวเลยครับ  และจึงไม่น่าแปลกอะไรที่ “หมอเหลี่ยม” ท่านจะมาสั่งสอนให้โสเภณีการเมืองไทยกินโน่นนี่นั่น (จนครบห้าหมู่) ได้อย่างง่ายดาย

 

 

 

...คนถางทาง (๑ พค. ๒๕๕๕) 

หมายเลขบันทึก: 489748เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2012 07:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 10:13 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

พูดถึงเรื่องการกินเพื่อสุขภาพ หมอไทยมักคิดอะไรไม่ค่อยออก (คิดได้แต่ลาออกจากการเป็นหมอไปเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นักบริหาร ซึ่งเป็นการสูญเสียแห่งชาติมหาศาล เมืองนอกที่เจริญแล้วไม่มีหมอคนไหนเขาทำกันแบบนี้ ลองระบุชื่อนักการเมืองเมกายุโรปที่เป็นหมอมาสักคนสิ)

หมอไทยเราพอคิดเรื่องการกินน้ำ ก็บอกเราว่าต้องกินน้ำวันละ ๘ แก้ว ให้เท่าฝรั่ง (ทั้งที่ฝรั่งตัวใหญ่กว่าเรามาก) แค่เทียบบัญญัติไตรยางศ์เด็กปอสี่ก็น่าจะรู้แล้วว่ากิน ๖ แก้วพอแล้วhttp://www.gotoknow.org/blogs/posts/453844

กินแคลอรี่วันละ ๒๐๐๐ kcal ..ก็อีหรอบเดียวกัน ... กินอาหารครบห้าหมู่ ก็ลอกเขามาทั้งที่ metabolism ของเขากับเราต่างกัน ก็ไม่เคยคิดวิจัยอะไรกันให้ละเอียด เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ในชาติ

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/458082

ฮ่า ฮ่า ฮ่า

จนวันนี้ตามโรงแรมต่างๆ หาอาหารเช้าแบบไทยๆกินได้ยากมาก มีแต่ ABF โคตรพร่อโคตรแมร่งมัน  หรือไม่ก็อาหารจีน (ข้าวต้ม) 

พยาบาลยกมือสนับสนุน

ผักไทยที่มีแคลเซี่ยมบำรุงกระดูกสูงมีมากหลาย เช่น กระถิน (137ml/100 กรัม) ขี้เหล็ก (156)  ยอดแค (395) ใบชะพลู (601)

นี่ซิรู้จริง  แพทย์บางท่าน  ไม่รู้หรอก

ชลัญธรสอนให้คนไข้ที่มีอาการเหนื่อยเพลีย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ผลปรากฏว่า ผู้ป่วยกลับมาแย่กว่าเดิม ชลัญก็เลยถามว่า

ชลัญ :  อ้าวไหนบอกว่าปรับตัวกินอาหารครบ 5 หมู่แล้วไง 

คนไข้ :  ลุงปรับแล้ว  มันไม่ไหวหมอ  ลำบากเกิน

ชลัญ : ละบากยังไง  อาหารพื้นบ้านเรามันก็มีครบทุกหมู่ นา

คนไข้ : คุณหมอครับ  บ้านผม อยู่ หมู่ 2 กว่า จะกินครบ 5 หมู่  นี่ลำบากมาก  แต่ละหมู่ก็อยู่ ไกลกัน  ผมขอกินหมู่เดียวนี่แหล่ะครับ มันจะตายก็ให้มันตายไปเถอะ

ชลัญ : ?????????????

( แค่ขำ ๆน่ะอาจารย์  จำลองการแนะนำคนไข้ที่ไม่มีการอธิบายเหตุผล  แทนที่ผู้ป่วยจะดีขึ้นกลับแย่กว่าเดิม นี่แหล่ะ ที่แพทย์พยาบาลหลายคยกำลังปฏิบัติอยู่ คือพูดๆไป แต่เหตุผลคืออะไรไม่อธิบาย) 

อ้อ..ไปค้นหาเจอบทหนึ่งแล้ว เรื่อง กินอาหารครบห้าหมู่ระวังตายเหมือนหมูฝรั่ง

http://www.gotoknow.org/blogs/posts/454031

คุณ ชธ. ครับ ต่อไปต้องแนะให้กินอาหารหนึ่งตำบลห้าผลิตภัณฑ์ อิอิ

ควายมันกินหญ้าหมู่เดียว ไม่เห็นมันปวดหัวไมเกรนเลยนิ

เห็นด้วยครับ แหม.... ถ้าตัดย่อหน้าสุดท้ายออกไปนี่น่าจะเข้าถึงผู้อ่านได้เยอะกว่านะครับ ตอนนี้เข้าถึงได้ 50% ของคนไทยครับ (ฮา)

ท่านอาจารย์จุดประเด็นเรื่องนี้ก็ดีแล้วค่ะ.. ขอแชร์ด้วยคน - มาอเมริกาพบว่า เกือบ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ของคนอเมริกาที่มิชิแกน อ้วนมากๆ จัดได้ว่าเป็นพี่ๆธิดาช้างบ้านเราเลยค่ะ.. (ทั้งผู้หญิงและผู้ชายค่ะ) มันเป็นความทุกข์ของคนที่นี่ค่ะ.. ทุกข์เพราะมีอันจะกิน เห็นอาหารเค้าแต่ละอย่างที่ทำให้เราทาน ฮู้.. กินทั้งวันเรายังกินไม่หมดชามเลยค่ะ .. (คงจะเป็นปู่ ย่า จานเพราะใหญ่มากกก) แต่เวลาเห็นเค้าทานกันหงับๆๆ หน้าตาเฉยเลย ยิ่งเป็น..ไอศครีมนะคะ .. ชามกว้างประมาณสิบนิ้วได้ แป๊บเดียว เกลี้ยง -- โอ๊ย..ต่อไปมันจะกินช้านนนนมั๊ย..เนี่ย -- รถเข็นไฟฟ้าขายดีมากๆ ค่ะ เพราะพวกนี้เค้าอ้วนกันมากๆๆๆ จนเดินไม่ไหว แสดงว่ามันน่าจะเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของระบบการแพทย์อเมริกา -- ดังนั้นจึงเห็นด้วยกับท่านอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ.. เราควรเรียนรู้บ้านเค้า (ติดตามดูผลระยะยาวด้วยน่าจะดีมากๆ) และนำมาศึกษาซ้ำเพิ่มเติมในบริบท ของประเทศไทย และต้องเป็นแต่ละท้องถิ่นด้วยนะคะ -- นั่นแหล่ะถึงจะเป็นวิจัยทางโภชนาการที่แท้จริงไม่ใช่เอาไว้ (กราบ) บนหิ้ง

อ่านแล้วสะดุดเลยค่ะอาจารย์.. เรื่องสุขภาพนี่ ไม่เข้าใคร-ออกใคร.. เพราะเราเอาแบบอย่างเค้ามาทั้งดุ้นจริงๆค่ะ

อาจารย์เหน็บได้เก่งจัง.. เห็นด้วยมากๆค่าาาา

 

kunrapee และ แควนๆครับ

ปกติ ผมเป็นคนน่ารัก สุภาพนะครับ ใครๆ ก็ชม อิอิ

แต่ถ้ามาถึงเรื่องโง่ๆ ที่หลอกคนทั้งประเทศเมื่อไหร่...ผมต้อง"ของขึ้น" ออกอาการ เก็บไม่อยู่ ทุกทีไป

อาจารย์ ขอแซว...นิ๊ดสสสส์........ รุ่น 50 อัพ เขาดูความน่ารักกันตรงไหน เผื่อชลัญ 50 บ้างจะได้เอาเป็น idol ......55555555

คุณชลัญฯครับ คนบางคน 50+ แต่ดูดีมีเสน่ห์กว่าคน 25+ เสียอีก มันแล้วแต่จริตของผู้มองด้วยครับ ไม่มีสูตรตายตัวอะไร สมดังสำนวนฝรั่งที่ว่า Beauty is in the eye of the beholder

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท