น้ำตาที่เปิดประตูหัวใจ


บันทึกนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้คุณรู้สึกผิดต่อการกินเนื้อสัตว์ บันทึกนี้ไม่ต้องการเปลี่ยนคุณให้มากินเจ บันทึกนี้เพียงอยากเชิญชวนให้คุณลองทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ลดลงสักหนึ่งมื้อต่อสัปดาห์...ก็ยังดี

๑.

ครอบครัวของแจสมีน หญิงสาวชาวซาราวัค (หมู่เกาะทางตะวันออกของมาเลเซีย) มีอาชีพทำไร่ทำนา ครอบครัวเธอก็ยังเลี้ยงวัวเพื่อรีดนมขายอีกด้วย ฐานะของครอบครัวเรียกได้ว่าค่อนข้างขัดสน แต่สิ่งหนึ่งที่ครอบครัวเธอยึดมั่นมาตลอดคือการดูแลวัวเหล่านั้นจนสิ้นอายุขัยไปเองแม้ว่าพวกมันจะแก่จนไม่สามารถให้นมได้อีกต่อไป

วันหนึ่งวัวตัวหนึ่งซึ่งให้นมมาหลายปีก็ป่วยเป็นแผลอักเสบที่กีบเท้า โดยทั่วไปชาวนาจะขายวัวไปนั้นไปเพื่อเป็นเนื้อทันทีเพราะมันยากกับการรักษาและสร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับวัวมาก

พ่อค้าวัวที่รู้ข่าวก็รีบมาติดต่อขอซื้อวัวตัวนั้นเพราะส่วนใหญ่เขาจะซื้อวัวที่ไม่สบายได้ในราคาที่ถูกกว่า แต่พ่อแม่ของแจสมีนก็ตัดสินใจที่จะไม่ขายวัวตัวนั้นแม้ในตอนนั้นพวกเขาจะกำลังต้องการเงินมากเพียงใดก็ตาม พ่อของแจสมีนกล่าวว่า "วัวตัวนี้รับใช้ครอบครัวและให้นมกับเรามาหลายปี ฉันจะขายมันไปอย่างไรเมื่อมันแก่และเจ็บป่วยอย่างนี้?"

เมื่อพ่อค้าวัวจากไป วัวตัวนั้นเดินกะโผลกกะเผลกไปหาพ่อแม่ของแจสมีน วัวยกขาหน้าข้างที่เจ็บขึ้น และน้ำตาวัวก็ไหลรินเป็นทางยาว

แจสมีนบอกว่ามันเป็นน้ำตาแห่งความ "ขอบคุณ"

วัวตัวนั้นยังอยู่ต่อมาอีกนานจนหมดสังขารลงด้วยความชราในที่สุด

 

แปลจาก do we have a choice? โดย Chan Kah Yein

 

 

๒.

อาตมาไปถึงเรือนจำที่ไปสอนการทำสมาธิก่อนเวลาเล็กน้อย วันนั้นมีนักโทษที่ไม่เคยเจอมาก่อนมารออยู่คนหนึ่ง เขาคนนี้มีร่างกายที่กำยำ ผมเป็นกระเซิง หนวดเครายาว และมีรอยสักที่แขนทั้งสองข้าง รอยแผลเป็นบนใบหน้าบ่งบอกว่าเขาผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ท่าทางเขาเป็นคนดุร้ายน่ากลัวจนอาตมาแปลกใจว่าทำไมเขาจึงอยากมาเรียนทำสมาธิภาวนา ดูท่าทางเขาไม่น่าจะใช่ และอาตมาก็คิดผิดไปถนัด...

เขาเล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นเมื่อสองสามวันที่แล้วและมันก็ทำให้เขาตื่นตระหนกมากมายครั้งหนึ่งในชีวิต

เขาบอกว่าเขาเป็นชาวไอริช เติบโตมาจากชุมชนที่ทารุณโหดร้ายในเมืองเบลฟาสต์ เขาถูกแทงครั้งแรกในชีวิตเมื่ออายุเพียงเจ็ดขวบ เด็กเกเรในโรงเรียนขู่เอาเงินค่าอาหารกลางวันของเขาแต่เมื่อเขาปฏิเสธสองครั้ง เด็กชายคนนั้นก็แทงเขาเข้าที่แขน ดึงมีดออกแล้วเดินจากไป ด้วยความตกใจเขาวิ่งเลือดอาบแขนกลับไปบ้านซึ่งอยู่ใกล้โรงเรียน พ่อซึ่งกำลังตกงานพาเขาเข้าไปในครัวไม่ใช่เพื่อทำแผล แต่พ่อเขาคว้ามีดทำอาหารออกมาจากลิ้นชักบอกให้เขากลับไปแทงเด็กชายคนนั้นคืน นั่นคือสภาพแวดล้อมที่เขาโตขึ้นมา หากเขาไม่เข้มแข็งพอ เขาคงตายไปนานแล้ว

เรือนจำแห่งนี้เป็นไร่ที่ใช้ฝึกทักษะการทำไร่ทำสวนให้แก่นักโทษที่กำลังจะพ้นโทษออกไปให้รู้จักวิธีทำมาหากิน และผลิตผลที่ได้จากเรือนจำแห่งนี้ก็จะถูกส่งไปเป็นอาหารสำหรับนักโทษในเรือนจำอื่นทั่วเมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย ในไร่แห่งนี้มีการเลี้ยงวัว แกะ และหมู นอกเหนือไปจากการปลูกผัก ผลไม้ และที่สำคัญในเรือนจำนี้ก็มีโรงฆ่าสัตว์อยู่ด้วย

ทุกๆ คนจะมีหน้าที่ของตัวเองในไร่ นักโทษบางคนบอกอาตมาว่าหน้าที่ที่เป็นที่ต้องการและใฝ่ฝันมากสำหรับนักโทษอุกฉกรรจ์คือหน้าที่ในโรงฆ่าสัตว์ โดยเฉพาะหน้าที่ผู้สังหาร ต่างเป็นที่หมายปองอย่างมากของนักโทษในที่นั้น และหนุ่มร่างใหญ่ชาวไอริชคนนี้ก็ได้รับหน้าที่นั้น

ชายชาวไอริชคนนี้เล่าให้อาตมาฟังว่า ในโรงฆ่าสัตว์จะมีเหล็กที่แข็งแรงทำเป็นราว ปากกว้างแล้วเล็กลงเรื่อยๆ เป็นช่องแคบๆให้สัตว์เข้าไปได้ทีละตัว ข้างๆ ช่องแคบนั้นจะมียกพื้นที่เขายืนอยู่พร้อมปืนไฟฟ้า วัว หมู แกะ จะถูกบังคับให้เข้าช่องแคบๆนั้นโดยใช้สุนัขไล่ วัว หมู หรือแพะ ก็จะร้องโหยหวนตามแบบของมันและพยายามหนีเพราะมันกำลังได้กลิ่น ได้ยินเสียง และได้รู้สึกถึงความตายที่จะมาถึง เมื่อสัตว์อยู่ใกล้พื้นที่ยกขึ้นสูงนั้นมันก็จะขัดขืน ดิ้นรน ร้องโหยหวนเสียงดังที่สุดเท่าที่มันจะเปล่งออกมาได้ ถึงแม้ว่าปืนไฟฟ้าของเขาจะสามารถฆ่าสัตว์พวกนั้นได้ในครั้งเดียวแต่เพราะการดิ้นรน ขัดขืน เขาจึงไม่อาจเล็งได้อย่างแม่นยำ จึงกลายเป็นการจี้ครั้งแรกเพื่อให้มันช็อคและหยุดดิ้น และครั้งที่สองเพื่อปลิดชีวิต วันแล้ววันเล่า ชีวิตแล้วชีวิตเล่าเป็นอย่างนั้น

ชายชาวไอริชเริ่มตื่นเต้นเมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขย่าขวัญเขาที่เกิดขึ้นหลายวันก่อน เขาเริ่มสบถและแสดงอาการหวาดกลัว อาตมาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน วันนั้นเขาต้องฆ่าวัวเพื่อส่งให้เรือนจำทั่วเมืองเพิร์ธ วันนั้นก็เป็นวันปกติของการฆ่าของเขา ครั้งแรกเพื่อให้วัวช็อค ครั้งที่สองเพื่อฆ่าดังที่เคยทำมา แต่วันนั้นเมื่อวัวตัวหนึ่งเดินเข้ามาอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน วัวตัวนี้เงียบ เดินก้มหัวเข้ามาเงียบๆ อาจหาญเข้ามาในตำแหน่งที่เขาจะจัดการโดยไม่ขัดขืน ไม่พยายามหนี

เมื่ออยู่ในตำแหน่ง วัวตัวนั้นเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ผู้ฆ่า อย่างแน่นิ่ง ชายร่างกำยำไม่เคยเห็นลักษณะอาการของวัวแบบนี้มาก่อนในชีวิต เขารู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเสียเอง เขานิ่งด้วยความสับสน ไม่อาจยกปืนไฟฟ้าขึ้นได้ เขาไม่อาจแม้แต่จะละสายตาไปจากสายตาของวัวตัวนั้น วัวตัวนั้นจ้องไปที่หัวใจเขา

เขารู้สึกหมือนก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ไร้กาลเวลา เขาไม่รู้ว่ามันยาวนานเท่าใด เมื่อวัวตัวนั้นจ้องมาที่เขา ยิ่งมองเขายิ่งเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตาข้างซ้ายที่ใหญ่เปิดกว้าง มีน้ำตาเจิ่งขึ้นที่ขอบตา น้ำที่เกิดขึ้นในดวงตามีปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ และมันก็ไหลรินลงที่แก้มของวัวตัวนั้นเป็นทางยาว ประตูหัวใจที่ปิดตายมานานแล้วค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อย ชายคนนั้นจ้องวัวตัวนั้นด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น และน้ำที่เจิ่งในดวงตาวัวก็เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนเปลือกตาไม่อาจรองรับได้ สายน้ำตาสายที่สองรินหลั่งอีกครั้ง

ชายผู้ฆ่าปล่อยโฮออกมา วัวร้องไห้!

เขาทิ้งปืนลง สบถสาบานต่อผู้คุมห้องขังให้จะทำโทษเขาอย่างไรก็ได้ แต่วัวตัวนั้นต้องไม่ตาย!

ชายคนนั้นบอกว่าเขาไม่ทานเนื้อสัตว์แล้วในตอนนี้

เรื่องจริงนี้ได้รับการยืนยันจากนักโทษคนอื่นๆ ที่มาเล่าให้อาตมาฟังว่าวัวที่ร้องไห้ได้สอนชายที่โหดเหี้ยมว่าความรักความห่วงใยนั้นเป็นอย่างไร

 

แปลจาก Opening the door of your heart โดย Ajahn Brahm

-----

หากเรื่องราวของวัวสองตัวนี้ ทำให้หัวใจคุณอ่อนไหว อ่อนโยน ปิติ ซาบซึ้ง นั่นก็เพราะคุณมีความเมตตาสงสารต่อสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นทุนธรรมชาติอยู่แล้วในใจ ยังมีเรื่องราวเหล่านี้อีกนับแสนนับล้านที่เกิดขึ้นทุกๆ วันในโรงฆ่าสัตว์ ในฟาร์มต่างๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง

หากเป็นไปได้ฉันหวังว่าด้วยจิตใจอันอ่อนโยน ด้วยความเมตตาในหัวใจ เราจะร่วมกันทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง บันทึกนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้คุณรู้สึกผิดต่อการกินเนื้อสัตว์ บันทึกนี้ไม่ต้องการเปลี่ยนคุณให้มากินเจ บันทึกนี้เพียงอยากเชิญชวนให้คุณลองทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง ลดลงสักหนึ่งมื้อต่อสัปดาห์ก็ยังดี

ขอบคุณค่ะ ขอบคุณจริงๆ

 ----

หมายเลขบันทึก: 489281เขียนเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 12:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2012 17:23 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (38)

ขอบคุณเรื่องราวดีๆนี้ค่ะ..พี่ใหญ่เลิกบริโภคเนื้อสัตว์ใหญ่มานานแล้วค่ะ..

รูปร่างหน้าตา เหมือนวัวที่บ้านหนองผือเลย

...เป็นเรื่องราวที่ดี เศร้า ทำให้นึกถึงในวัยเด็กจำได้ว่าควายที่บ้านแก่มากแล้วชื่ออีค้ำ แม่ขายให้พ่อค้าไป ไม่น่าเชื่อว่าควายตัวนั้นถูกซื้อไปเชือดในงานแต่งงานข้างบ้าน เห็นน้ำตาควายอีค้ำ แล้วสงสารมากมันคงจำเจ้าของมันได้ มันร้องให้ด้วยดวงตาอันเศร้าสร้อยเหมือนมันจะรู้ว่ามันจะโดนเชือด แม่และครอบครัวของเราไม่ทานเนื้ออีกนานและไม่อยากไปร่วมงานแต่งนั้นเลย ทุกวันนี้พมไม่ทานเนื่อสัตว์ใหญ่แล้วประมาณเกือบสิบปีมาแล้วได้

นั่นไงครับ...
แท้สุดแล้ว ดวงตา คือปรัชญาความจริงของมนุษย์เรา ..
สบตา...รู้ใจ...

...เช่นนั้นจริงๆ...

ขอบคุณคุณปริมค่ะที่มาชวนคิดเรื่อง "น้ำตาเปิดประตูใจ" วัว...น้ำตาวัว...คนเลี้ยงวัว....คนเห็นเหตุการณ์....หรือแม้แต่คนอ่านแบบครูนกล้วนแต่ได้เปิดประตูใจหากใคร่ครวญ

สวัสดีค่ะคุณพี่ใหญ่,

ขอบคุณค่ะคุณพี่ใหญ่ เมื่อคนกินสัตว์ใหญ่ลดน้อยลง ปริมาณสัตว์ใหญ่ที่จะได้รับความทรมานในฟาร์ม ในโรงฆ่าสัตว์ก็จะลดลงตามไปด้วยค่ะ

Paul McCartney กล่าวว่า If the slaughterhouses had glass walls, everyone would be a vegetarian.

ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ชยันต์

นางแบบในภาพมาจากบ้านเด่น อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ค่ะ สวยงามพอพอกับแถบโรงเรียนหนองผือเลยนะคะ

ขอบคุณค่ะอาจารย์

สวัสดีค่ะคุณพิชัย,

ฟังดูเรื่องควายอีค้ำแล้วเห็นใจครอบครัวคุณพิชัยค่ะ เหตุการณ์ครั้งนั้นคงทำให้ทุกคนเจ็บปวดใจมาก แผ่เมตตาให้อีค้ำในคืนวันนี้ก่อนนอนค่ะถึงแม้มันจะนานมาแล้ว...

คุณพิชัยได้อ่านหนังสือ กระบือบาล หรือยังคะ? บางทีความหลังที่น่าเศร้าอาจเป็นแรงผลักดันให้เราทำสิ่งดีดีต่อไปก็ได้ค่ะ อย่างน้อยตอนนี้คุณพิชัยก็เปลี่ยนเมนูอาหารแล้ว... ขอบคุณมากค่ะ ;)

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์ขจิต

ตอนนี้เจ้ากระต่ายหม้อของอาจารย์คงโตเป็นสาวแล้วนะคะ ได้ไปเยี่ยมแกบ่อยไหมคะอาจารย์

ปริมยังไม่เคยเห็นวัวร้องไห้จริงๆ ค่ะ แต่แค่จินตนาการตามหนังสือที่อ่านก็เก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว หากไปเห็นตัวจริงเสียงจริงน้ำตาจริง คงใจเสียน่าดู

ขอบคุณค่ะท่านอาจารย์

สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน,

ดวงตาที่มองเข้าไปในหัวใจ ใช่ไหมคะ?

ราตรีสวัสดิ์ค่ะท่านอาจารย์

สวัสดีค่ะครูนก,

ขอบคุณค่ะที่มาร่วมใคร่ครวญพิจารณาไปด้วยกัน

Charles Darwin กล่าวว่า The love for all creatures is the noblest attribute of man ค่ะ

ราตรีสวัสดิ์ค่ะครูนก

ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่าน มาให้กำลังใจและมาร่วมเปิดประตูหัวใจไปด้วยกันในวันนี้

บันทึกนี้อาจดูเศร้าไปนิด บันทึกหน้าจะมาในแนวสดใสกว่านี้ค่ะ

ขอให้ทุกท่านฝันดีนะคะ ;)

  • เรือ่งของความเมตตาปรานี
  • น่าที่หลายคนจะได้อ่านกันเพื่อส่งเสริมให้
  • มีเพิ่มขึ้นในสังคมนะครับ
  • สวัสดีครับ คุณปริม
  • ขอบคุณสำหรับข้อคิดให้ลดทานเนื้อสัตว์น้อยลง
  • เป็นสิ่งที่ดีครับ 
 สวัสดีค่ะคุณปริม...

...วัวและควายเป็นวิถีชีวิตและความผูกพันของสังคมไทย จิตใจจึงอ่อนไหวทุกครั้งที่เห็นน้ำตาของพวกเค้าค่ะ.

...ด้วยเหตุนี้เช่นกันจึงเลิกทานเนื้อสัตว์ใหญ่มีคุณเหล่านี้ และไม่นำมาเลี้ยง ไม่ขายชีวิตเพื่อฆ่า.

...ขอบคุณบันทึกให้แง่คิดส่งเสริมเมตตาธรรมค้ำจุนโลกค่ะ...

ขอบคุณครับ ผมไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่มาหลายปีแล้วครับ

เป็นบันทึกที่มีชีวิตจิตใจเหลือเกินนะครับ คุณปริม

ขอให้เป็นดอกไม้ที่ทรงคุณค่าของที่นี่ไปนาน ๆ นะครับ

อย่าลังเลที่จะมอบสิ่งดี ดีให้คุณปริม เป็นสิ่งตอบแทน...ความคิด ความอ่าน ที่คุณปริมเธอเขียนไว้นะครับ

สวัสดีค่ะท่านอาจารย์โสภณ

ช่วยกันคนละไม้ละมือเพื่อโลกใบนี้ที่สวยงามค่ะ

ขอบคุณค่ะ :)

สวัสดีค่ะคุณเขียวมรกต

ขอบคุณค่ะ

หากทำแล้วรู้สึกดี มีความสุข ขอเชิญชวนค่ะ

:)

สวัสดีค่ะคุณน้อย

คุณยายปริมก็ไม่ทานเนื้อวัว เนื้อควายด้วยความเชื่อเช่นเดียวกันค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

สวัสดีคค่ะคุณเดชา

ขอบคุณมากค่ะ

ขอบบคุณจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาค่ะ

สวัสดีค่ะคุณแสงแห่งความดี

ขอบคุณมากค่ะที่ใช้หัวใจสัมผัสบันทึกนี้ แต่ละบันทึกเขียนด้วยใจรักและตั้งใจค่ะ ขอบคุณที่แวะเวียนมาอ่านให้กำลังใจ...

หากสิ่งดีดีที่จะเกิดขึ้นจากบันทึกนี้ ปริมขอให้มีสัตว์ต่างๆ ถูกฆ่ามาเป็นอาหารเท่าที่จำเป็น ขอให้สรรสัตว์ทั้งหลายมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ปราาศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ มีชีวิตยาวนาน ด้วยค่ะ มิรู้ขขอมากไปรึเปล่า แต่อยากขอค่ะ

ฝันดีค่ะคุณแสง ขอบคุณค่ะ

  • ตามวัตถุประสงค์ค่ะ..คงไม่ถึงกับกินเจ
  • แต่ลดการกินเนื้อสัตว์ให้ลดลง
  • ขอบคุณค่ะ

อาจารย์พิชชา

ขอบคุณมากๆ ค่ะ ขอบคุณจากใจ

:)

ขอบคุณบทความดี ๆ ส่งความรู้สึกเข้าไปข้างใน

ก้นบึ้งหัวใจของมนุษย์เรามีคุณธรรมและความแง่งามอยู่ เพียงแต่เราจะดึงออกมันมาใช้แค่ไหนเท่านั้น ขอบคุณบทความดีดีที่แบ่งปันครับ

สวัสดีค่ะคุณภูคา

ขอบคุณทที่กรุณามาอ่านและทักทายค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ

สวัสดีค่ะคุณพ่อน้องซอมพอ

หวังว่าเราจะนำความดีงามเหล่านั้นออกมาพิจารณาและทำตามโดยเร็ววันก่อนที่มันจะสายเกินไปค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ

หลังจากอ่าน...ผมมีความรู้สึกหลายอย่าง...เกือบพลาดที่ไม่ได้อ่านบันทึกนี้ที่อ่านแล้วสะเทือนใจ...ถึงแม้จะรับรู้เรื่องดังกล่าวมามากมาย...รู้สึกตื้อๆ ในใจ...ขอบคุณมากครับ

แก่นของเรื่องอีกจุดหนึ่งคือ ความโหดร้ายที่ชายนักโทษได้รับ บ่ม มาแต่เด็ก

 

อ่านแล้วตื้อ ๆ

โลกโหดร้ายจริง ๆ

...ยายธีเคยเห็น..วัว..ที่เขาจะเอาไปฆ่า..น้ำตาไหล..ตอนถูกบรรทุกไป..บนรถ..ปิคอัพ..เคยไปเขียนรูป..(ตอนเรียนศิลปะ)..ในโรงงานฆ่าสัตว์ก็เคยเห็น..วัว..ควาย..น้ำตาไหล(ที่เมืองไทย)..เช่นกัน...เคยเห็น..วัวที่เดินตามกันเป็นระเบีบยเข้าโรงงานฆ่าที่ทันสมัย..(ของฝรั่ง)...ตอนออกจากโรงงานแปรรูปเสร็จสรรพ..เป็น"แมค..โดนัล.".เจ้าค่ะ..(หนังสารคดีฝรั่ง)...เรามามองว่า..".ตอนกิน"...ความรู้สึก..อยาก..ด้วยหิว..หรือ..เพราะสุขภาพ..(ที่โฆษณา)..ความรู้สึกนี้..บดบัง..ความรู้สึก"ผู้กิน"..กับความตาย..ของ..(สัตว์ที่ถูกฆ่า)..พฤติกรรมการกินของมนุษย์นั้น.สุดลึกล้ำเหลือพรรณา...เจ้าค่ะ..ยายธี

เห็นสายตาของวัวน้อยแล้วสงสารจริงๆ เคยอ่านเรื่องของหลวงปู่โง่นท่านบอกว่าบางที วัวตัวนั้นอาจเป็นญาติเรากลับมาเกิดก็ได้ พอเห็นเราก็ส่งสายตา ส่งเสียงทักทาย เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยเป็นภาษาคนเท่านั้น ฟังแล้วก็ไม่ทานเนื้อวัวอีกเลย ช่วงนี้หน่อเยอะครับ กิ๋นแกงหน่อบ้างสบายใจดีเหมือนกัน ขอบคุณกับการแบ่งปันครับ

คุณหมอดิเรกคะ

ปริมเชื่อว่าคนเราแทบทุกคนในส่วนลึกแล้วมีความเมตตาต่อสัตว์เป็นทุนในใจอยู่แล้วค่ะ เราจึงรู้สึกสงสารเมื่อได้อ่านได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ค่ะ หากเราจะ take action จากความรู้สึกที่มี เพื่อลดความขัดแแย้งในใจเราก็จะดีมากค่ะ

ขอบคุณค่ะ :)

คุณพี่หมอภูสุภา

ค่ะพื้นฐานทางสังคม ครอบครัวมีส่วนในการหล่อหลอมจิตใจความรู้สึกนึกคิดค่ะ แต่หากมีสิ่งกระตุ้นเขาก็เปลี่ยนได้

อ่านเรื่องนี้แล้ว ปริมนึกถึงเรื่ององคุลีมาลค่ะ :)

คุณยายธีคะ

บางคนพอได้เห็นการทรมารสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ ในฟาร์ม แล้วเลิกกินเนื้อสัตว์ไปเลยก็มีค่ะ

ขอบคุณค่ะคุณยาย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท